วันนี้ดาวเหนือและอคิราต้องเข้าบริษัทเพื่อประชุมเรื่องคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ และมาเตรียมความพร้อมสำหรับบินไปต่างประเทศในวันมะรืน
“มึงจะลงตรงนี้หรือว่าไปขึ้นลิฟต์ข้างหลัง” ดาวเหนือถามเมื่อมาถึงหน้าตึก ปกติแล้วจะมีเหล่าบรรดาแฟนคลับมาดักรอศิลปินในค่ายแถวหน้าตึกเสมอ
“จอดตรงนี้ก็ได้” อคิราบอกก่อนจะเปิดประตูรถลงไปขึ้นลิฟต์ด้านหน้า
ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวเหล่าบรรดาแฟนคลับก็รีบเดินมาถ่ายรูปและทักทายด้วยความดีใจ ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มกว้างไปให้เป็นการตอบแทนเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าทุกคนมารอนานเท่าไรแล้ว บางคนอาจจะเข้ามาทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง บางคนอาจจะแวะมาซื้อของออฟฟิเชียลที่วางขายอยู่ในตึก แต่ทุกคนน่าจะคาดหวังว่าจะได้เจอศิลปินคนโปรด
นั่นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่จะลงมาให้คนที่คอยซับพอร์ตนเองได้เจอ เพราะหากไม่มีทุกคนก็ไม่มีเขาในวันนี้เช่นกัน นักร้องหนุ่มใช้เวลาอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ขอตัวเพราะใกล้ถึงเวลานัด
“พี่ครามสวัสดีครับ” อริคาทักทายคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่ก่อนหน้าและอดไม่ได้ที่จะมองคนไม่คุ้นตาอีกคน
“เป็นยังไงบ้างช่วงนี้ โทษทีนะที่ไม่มีเวลาไปหาเลย ไอ้เหนือทำงานถูกใจไหม” ฟ้าครามถามถึงผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่
“ก็ดีมั้ง”
“แสดงว่าไม่ถูกใจเท่าไร”
“ไม่ถึงขนาดนั้น ว่าแต่ผมถามอะไรหน่อยสิ พี่ไปได้มันมาจากไหน” อคิราถาม การเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวหรือคนดูแลไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ปกติแล้วน่าจะเป็นคนที่เคยทำหน้าที่นี้แล้วสลับไปดูศิลปินดาราอื่นในค่ายแทน แต่กับดาวเหนือเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“หมายถึงไอ้เหนือน่ะเหรอ”
อคิราพยักหน้าเป็นคำตอบ นั่นทำให้คนถูกถามหนักใจไม่น้อย
“มีคนเขาฝากมาน่ะ”
“เด็กเส้นนี่เอง” นักร้องหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ด้วยความเข้าใจ ดูท่าแล้วเส้นน่าจะใหญ่ไม่น้อยไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มาทำงานหน้าที่นี้
“จะเส้นไหนก็ไม่ต้องไปเกรงใจมันหรอก แล้วถ้ามันทำหน้าที่ไม่ดียังไงก็มาบอกพี่ได้” ฟ้าครามบอก ถึงแม้จะเป็นหลานตนเองหากทำงานไม่ดีก็อาจจะต้องย้ายตำแหน่งกันบ้าง
“ว่าแต่นี่ใครครับ” อคิราก้มลงไปกระซิบถามใกล้ๆ อดีตผู้จัดการ
“รู้จักกันไว้สิ เผื่อต่อไปต้องทำงานด้วยกัน ตะวันนี่พี่ไต้ฝุ่น ฝุ่นนี่ตะวัน” ฟ้าครามแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน
อคิรายกมือไหว้เพราะทางฟ้าครามเรียกแบบนั้นก็เท่ากับว่าไต้ฝุ่นอายุมากกว่าตนเอง ส่วนทางนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะทักทายกลับเช่นกัน
“ลิฟต์มาพอดี” ฟ้าครามบอกแล้วเบี่ยงตัวหลบให้ไต้ฝุ่นและอคิราเดินเข้าไปก่อน แต่ยังไม่ทันที่ลิฟต์จะปิดก็มีเสียงหนี่งดังขึ้น
“รอด้วยครับ” เจ้าของน้ำเสียงหอบๆ รีบบอกเพราะตนเองนั้นวิ่งมาพร้อมกับถือชุดที่ไปเอามาจากร้านซักรีดหลายชุด “ขอบคุณครับ อ้าวอะ...” เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างในทั้งหมด ดาวเหนือถึงกับชะงักและกลืนคำพูดนั้นออกไป “พี่คราม มาได้ไงเนี่ย”
“ไอ้นี่ถามแปลก คนทำงานบริษัทนี้จะเข้ามาก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอวะ” ฟ้าครามตอบกลับ
“ก็จริง แล้วนี่” ดาวเหนือมองเลยไปยังคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับฟ้าคราม เขานึกอยู่ครู่หนึ่งเพราะรู้สึกว่าคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอที่ไหน “พี่ฝุ่นนี่ แล้วทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ อย่าบอกนะว่าทำงานที่บริษัทนี้เหมือนกัน”
“ดาราในสังกัดคนใหม่” ฟ้าครามตอบให้
“ไม่เจอกันหลายปี กลับมาทีเป็นดาราเลยนะพี่ ไม่น่าอะ...เอ๊ยพี่ครามถึงไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้”
“เราก็โตขึ้นเยอะ ว่าแต่เรียนจบแล้วเหรอ จำได้ว่า” ก่อนที่ไต้ฝุ่นจะเอ่ยอะไรออกมาดาวเหนือก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ถึงพอดีเลย ผมไปก่อนนะไว้เจอกัน” คนมีชนักติดหลังรีบเดินออกจากลิฟต์แต่ดูเหมือนทางนั้นจะรีบเกินไปจนทำให้สะดุดกับพื้นต่างระดับ
“รีบอะไรนักหนาหรือกลัวอะไรอยู่” อคิราที่อยู่ใกล้ที่สุดจับแขนของดาวเหนือเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะล้ม
“กลัวอะไร กูไม่ได้กลัวแค่จะถึงเวลาประชุมแล้วกูไม่อยากให้คนอื่นรอ” ดาวเหนือบอกด้วยความเลิ่กลั่ก จากนั้นจึงกระชากแขวกลับมาหลังตั้งหลักได้
“จะไม่ขอบคุณกูสักคำ” อคิราเลิกคิ้วเชิงถาม
“รีบไปได้แล้ว” บอกจบก็รีบเดินนำไปก่อน สาบานได้เลยว่าเขาล่ะเกลียดสายตาที่มองมาจริงๆ
“มึงติดหนี้กูอยู่นะไอ้เหนือ” นักร้องหนุ่มตะโกนบอก แล้วเดินตามไปยังห้องประชุม
“ไม่ได้ขอให้ช่วยโว้ย”
การประชมกินเวลาราวๆ สามชั่วโมงเพราะต้องคุยกันเรื่องคอนเซ็ปต์ของคอนเสิร์ตครั้งนี้ แขกรับเชิญที่อยากได้และเพลงที่เลือกมาร้อง
“ตะวันก็ลองไปคิดดูว่าอยากได้อะไรบ้างแล้วเอามาคุยกันอีกที” โปรดิวเซอร์ให้การบ้านเจ้าของคอนเสิร์ตไปช่วยกันคิด
“ได้ครับพี่”
“อย่างนั้นวันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน เจอกันอีกทีอาทิตย์หน้า”
ทีมงานเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมจนเหลือแต่อคิรากับดาวเหนือและก่อนที่ทั้งสองคนจะลุกขึ้น ก็มีใคบางคนเดินเข้ามาก่อน
“วันนี้มีงานต่อไหมตะวัน” เสียงฟ้าครามถามอดีตคนที่ตัวเองเคยดูแล
“ไม่มีแล้วครับ พี่มีอะไรหรือเปล่า”
“พอดีผู้ใหญ่อยากคุยด้วยหน่อย”
“คุยกับผม” อคิราชี้มาที่ตัวเอง
“ใช่ อีกชั่วโมงไปเจอกันที่ชั้นยี่สิบห้านะ”
“เรื่องอะไรพอรู้ไหมพี่” อคิราถามด้วยความสงสัย
“เรื่องงานนี่ล่ะ ไอ้เหนือด้วย”
“เกี่ยวอะไรกับผม”
“มึงเป็นผู้จัดการส่วนตัวตะวันก็ต้องไปด้วยสิ”
“โอเค แน่ใจนะว่าให้ผมไปด้วย” ดาวเหนือถามเพราะกลัวเจอคนรู้จัก ชั้นยี่สิบห้าน่าจะเป็นชั้นที่อันตรายที่สุดสำหรับตนเองแล้ว
“บอกให้ไปก็ไป ไว้เจอกัน”
ดาวเหนืออยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ตั้งแต่เริ่มทำงานี้ชายหนุ่มก็เลี่ยงที่จะเข้าบริษัทหรือถ้ามาก็จะมาแค่คนเดียวเท่านั้น เพราะเขาไม่อยากเสี่ยงเจอคนรู้จักที่นี่นัก
“กูจะลงไปซื้อกาแฟ มึงเอาอะไร” ดาวเหนือหันไปถามคนในความดูแล ตอนแรกว่าเลิกประชุมจะไปหาอะไรกิน แต่ตอนนี้คงต้องหาอะไรรองท้องไปก่อน
“ไม่อะ” อคิราส่ายหน้าปฏิเสธ
“งั้นเดี๋ยวกูมา” บอกจบก็เดินเปิดประตูออกไปหาอะไรกิน
เมื่ออยู่คนเดียวอคิราก็ลุกขึ้นไปนอนบนโซฟาตัวยาวเพื่อพักสายตาช่วงสองสามวันมานี้เขาไม่ค่อยมีเวลานอนเพราะต้องเร่งทำรายงานให้เสร็จก่อนเดินทางไปต่างประเทศ
ดาวเหนือลงมาหาซื้อกาแฟพร้อมกับแฮมเบอร์เกอร์ข้างๆ ตึก และชายหนุ่มไม่ลืมที่จะซื้อไปฝากอคิราด้วย รายนั้นก็ยังไม่ได้กินอะไรพอๆ กับเขาเหมือนกัน
“กูซื้อกาแฟกับเบอร์เกอร์มาให้” คนที่กลับเข้ามาในห้องประชุมอีกครั้งเอ่ยขึ้น ทว่าเขากลับไม่เห็นใครบางคนนั่งอยู่ เจ้าของสายตาเรียวจึงมองหาคนในความดูแลและก็พบว่าอคิราหลับอบู่บนโซฟา “ไอ้ตะวัน”
เงียบ...
ดาวเหนือไม่ได้เรียกซ้ำอีกครั้ง เขามองนาฬิกาบนข้อมือตัวเองแล้วปล่อยให้ชายหนุ่มที่หลับนอนต่อ รู้ว่าหลายวันมานี้อคิราไม่ค่อยได้พักจึงไม่อยากกวน ดาวเหนือจึงนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ไปเงียบๆ และเหมือนจะนึกอะไรออกมาได้ ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ทำอะไร” คนที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาถาม
“เปล่า กูซื้อมาให้กินสิ” ดาวเหนือรีบเก็บโทรศัพท์ทันทีที่อคิราลืมตาขึ้นมา หวังว่าหมอนั่นจะไม่เห็นว่าเขาทำอะไร
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เอามาให้กูดู” บอกแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปหาดาวเหนือด้วยใบหน้านิ่งๆ
“ทำไมต้องให้ โทรศัพท์กู”
“ถ้าไม่มีอะไรก็เอามาให้กูดู”
“ไม่ให้” คนแอบถ่ายรูปเบี่ยงหลบคนตัวใหญ่กว่าที่กำลังจะมาแย่งโทรศัพท์
“แน่ใจ” อคิราจับมือดาวเหนือเอาไว้แล้วล้วงไปหยิบโทรศัพท์ด้วยตนเอง
“ไอ้ตะวันหยุด มึงจะทำอะไร”
“ดูน่ะสิว่ามึงถ่ายอะไร”
“เอาคืนมา” ดาวเหนือจะแย่งโทรศัพท์คืนหลังจากโดนขโมยไป
“เดี๋ยวกูคืนแน่”
อคิราที่สูงกว่ายืนเต็มความสูงแล้วยกมือข้างที่ถือโทรศัพท์ขึ้นจนสุดไม่ยอมคืนให้เจ้าของ โชคดีที่หน้าจอยังไม่ปิดจึงทำให้เขามีโอกาสเข้าไปเช็กดูว่าดาวเหนือถ่ายอะไรไว้
“แอบชอบกูรึไง ถึงแอบถ่ายรูปกูหรือจะเอาไปทำอะไร”
“ใครชอบมึง เอามานี่” ดาวเหนือยังพยายามแย่งคืน เพราะกลัวว่าอคิราจะดูไปมากกว่านั้น คราวนี้ดาวเหนือต้อนอคิราจนชายหนุ่มถอยหลัง
“เฮ้ย” เสียงร้องของอิราดังขึ้นเพราะดาวเหนือเล่นทิ้งน้ำหนักมาที่ตนเองเต็มร้อย ชายหนุ่มถึงกับเสียหลักล้มไปบนโซฟา แต่เขาไม่ได้ล้มไปคนเดียว “มึงเล่นอะไรเนี่ย”
“ก็แค่นี้” ได้ทีดาวเหนือก็แย่งโทรศัพท์ตัวเองคืนมา โดยไม่สนใจว่าตอนนี้กำลังอยู่บนตัวของนักร้องหนุ่ม แต่พอดาวเหนือจะลุกขึ้นกลับถูกคนที่อยู่ด้านล่างโอบเอวเอาไว้เสียก่อน ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองคนห่างกันแค่นิดเดียวเท่านั้น เรียกว่ารู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน “ปล่อยได้แล้วกูจะลุก”
“แน่ใจเหรอว่าอยากลุก นึกว่าอยากอยู่แบบนี้นานๆ”
“ใครจะอยากไปอยู่ ปล่อยกูได้แล้ว” ดาวเหนือพยายามจะแกะมือใหญ่นั่นออกแต่ก็ไม่สำเร็จ
อคิรายังคงโอบเอวแน่นไม่ยอมปล่อยตามคำบอก และยิ่งทางนั้นดิ้นมากเท่าไรชายหนุ่มก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น
“ไอ้ตะวัน มึงนี่” ไม่คิดว่าตัวใหญ่กว่าเขานิดเดียวจะแรงเยอะขนาดนี้
“กูทำไม”
เงียบ...
“กำลังอึ้งกับความหล่อของกูอยู่เหรอ” อคิราแกล้งถาม
“ไอ้หลงตัวเอง ปล่อยกูโว้ย” คนที่ยังอยู่ในอ้อมแขนตะโกนบอกพร้อมกับใช้แรงครั้งสุดท้ายเพื่อให้พ้นพันธนาการนี้ แต่ดูเหมือนว่าดาวเหนือจะพลาดครั้งใหญ่เพราะริมฝีปากตนเองไปโดนซอกคอของอคิราเข้าพอดี
“จะซุกคอกูอีกนานไหม หรือติดใจกับความขาวความหอม” คนที่อยู่ข้างล่างถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ทว่าแววตากลับอ่านไม่ออก
“ใครติดใจ ไอ้หลงตัวเอง” รอบนี้ดาวเหนือลุกขึ้นมาได้ง่ายๆ เพราะเจ้าของมือใหญ่ที่อยู่ด้านล่างยอมปล่อย
“แล้วอย่ามาหลงกูแล้วกัน” ตอบกลับแล้วลุกขึ้นหลังจากที่ดาวเหนือลุกออกจากตัวเอง
“ใครจะหลงมึง อ่อ น่าจะมีเยอะอยู่แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่กูแน่ๆ”
“จะรอดูวันที่มึงกลืนน้ำลายตัวเอง” อคิราเดินไปหยิบน้ำที่ผู้จัดการส่วนตัวซื้อมาให้ดื่ม นี่ถ้าชายหนุ่มหันไปคงไปเห็นว่าดาวเหนือกำลังชูนิ้วกลางให้ตัวเองอยู่แน่นอน
“ฝันไปเถอะ” ดาวเหนือเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงกว่าปกติ สงสัยจะเพราะเมื่อครู่ใช้แรงเยอะไปหน่อย
เมื่อใกล้ถึงเวลานัดผู้จัดการส่วนตัวก็พาคนในปกครองขึ้นไปตามนัด ดาวเหนือมองตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ที่ชั้นยี่สิบห้า ชายหนุ่มให้อคิราเดินออกไปก่อน ส่วนตัวเองยังอดระแวงไม่ได้กลัวว่าจะเจอคนรู้จักเข้า
“นั่นมึงจะไปไหน ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว” ดาวเหนือถามคนที่เดินนำอยู่
“เข้าห้องน้ำ มึงจะตามไปด้วยไหม” หันมาตอบแล้วยักคิ้วให้
“เชิญมึงเถอะ อย่าสายแล้วกัน”
ผู้จัดการส่วนตัวเดินตรงไปยังห้องประชุมก่อน อย่างน้อยถ้าเจอคนรู้จักก็พอมีเวลาพูดคุยกันเพื่อไม่ให้ความลับแตก ปกติดาวเหนือเป็นคนโกหกไม่เก่ง พอมีเรื่องต้องปิดบังเลยไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงถึงไม่ให้มีพิรุธ ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุมแต่ทว่าเขากลับยืนค้างอยู่ตรงนั้น
“เออ ขอโทษครับ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ไม่เห็น ผมน่าจะเข้าห้องผิด” ชายหนุ่มลนลานรีบพูดออกไป “ผมขอตัวก่อนดีกว่า”
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นล่ะ” เสียงฟ้าคราเอ่ยเรียกไว้ก่อน
“แต่ว่าอา...กับ” ดาวเหนือชี้ไปยังไต้ฝุ่นที่ยืนติดกับฟ้าคราม
“เข้ามา”
“ครับ แล้วนั่นอาจะไปไหน”
“ออกไปเอาของ เดี๋ยวกูกลับมา” ฟ้าครามตอบกลับสั้นๆ แล้วยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเองด้วยความโมโห โมโหทั้งตัวเองและไอ้คนฉวยโอกาส
“เออ พี่ฝุ่นก็มาคุยเรื่องงานเหมือนกันเหรอครับ” ดาวเหนือทำลายความเงียบด้วยการชวนคุย อย่างน้อยมันก็ดีกว่าปล่อยให้ห้องเงียบอยู่แบบนี้
“ใช่ ว่าแต่เราทำไมถึงมาทำงานที่นี่ล่ะ พี่ว่าเราน่าจะยังเรียนไม่จบนะ” ไต้ฝุ่นถามกลับ
“ผมดรอปเอาไว้น่ะ อยากหาเงินมากกว่า”
“หาเงิน ทำอย่างกับลำบากขนาดนั้น” น้ำเสียงของไต้ฝุ่นแฝงไว้ด้วยความสงสัย ฐานะอย่างคนตรงหน้าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงิน
“ผมแค่อยากทำตามความฝัน แต่ไม่อยากรบกวนเงินพ่อแม่” ดาวเหนือบอกจุดประสงค์ที่มาทำงานแทนที่จะเรียนต่อให้จบ
“วัยรุ่นสร้างตัวว่างั้น”
“ก็ไม่เชิง ว่าแต่หายไปตั้งหลายปีรู้ไหมอาผมเหมือนหมาหงอยไปเลย” ดาวเหนือเปลี่ยนไปคุยเรื่องคนอื่นบ้าง
“ขนาดนั้นเลย” ไต้ฝุ่นเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ขนาดนั้นล่ะ ผมนึกว่าพี่ฝุ่นกับอาครามจะ” ยังไม่ทันที่คนอายุน้อยกว่าจะได้เอ่ยอะไรต่อ อคิราก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน นั่นทำให้ดาวเหนือหยุดพูดทันที
“ไม่คุยกันต่อล่ะ” นักร้องหนุ่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ แล้วมองทั้งสองคนโดยไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “หรือว่ากูเข้ามาขัดจังหวะอะไร” อคิรามองผู้จัดการส่วนตัวอย่างจับผิด
“ไม่ได้อะไรทั้งนั้นล่ะ ไปนั่งรอเลยมึงน่ะ” ดาวเหนือไล่ เขาล่ะเกลียดสายตาที่มันมองมาจริงๆ
ภายในห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบครู่ใหญ่และเมื่อถึงเวลาประชุมคนที่เกี่ยวข้องก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับฟ้าคราม
“ไม่เจอกันนาน สบายดีนะตะวัน” กรรมการฝ่ายบริหารและมีหน้าที่ดูแลฝ่ายผลิตละคร แต่ก็รู้จักกับศิลปินในสังกัดเกือบทุกคน เอ่ยทักทายอย่างคนคุ้นเคย
“ครับพี่”
“ได้ข่าวว่าเดี๋ยวจะมีคอนเสิร์ต”
“ครับ” อคิราตอบคำถาม
“หลังจากนั้นมีโปรเจกต์อะไรต่อรึเปล่า”
“ยังไม่ไม่แพลนอะไรครับ”
“งั้นสนใจมาเล่นซีรีย์ไหม พอดีมีบทน่าสนใจอยู่พี่อยากให้เราลองดู เผื่อจะได้ขยายฐานแฟนคลับด้วย บทที่พี่อยากให้เล่นยังไม่ใช่บทพระเอกนะ แต่สำคัญไม่แพ้กัน ส่วนบทพระเอกเป็นของไต้ฝุ่น” เมฆาบอก
“แต่ผมไม่ถนัดงานด้านนี้ พี่ก็รู้” อคิราตอบ ไม่ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ตัวเองถูกชวนให้มาเล่นซีรีย์สักเรื่อง
“ไม่ถนัดก็ลองได้ กว่าจะเปิดกล้องก็ปีหน้า ยังมีเวลาเวิร์คช็อป ลองเอาเรื่องย่อคร่าวๆ ไปอ่านดูก่อนแล้วค่อยมาให้คำตอบพี่หลังจากกลับมาจากทำงานก็ได้”
“แต่ว่า”
“รอบนี้อย่าเพิ่งปฏิเสธ เชื่อพี่” เมฆายังคงโน้มน้าว “แล้วอีกอย่างพี่วางแผนไว้ว่าจะให้เราร้องเพลงประกอบซีรีย์ด้วย”
“ผมยังไม่รับปากนะพี่” อคิรารับบทที่ถูกส่งให้มาเก็บไว้
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เล่นซีรีย์หรือว่าร้องเพลงประกอบละคร”
“อย่างแรกครับ” อคิราบอกตรงๆ ถ้าเป็นเรื่องร้องเพลงเขาพร้อมเสมอแต่ถ้าเป็นเรื่องการแสดงชายหนุ่มไม่มั่นใจ
“เหนือ เราก็ช่วยพูดให้ตะวันใจอ่อนหน่อยแล้วกัน” เมฆาหันไปบอกคนที่นั่งอยู่ติดกับอคิรา
“เออ ครับ”
“ฝุ่นล่ะ อ่านบทที่ให้ไปจบแล้วใช่ไหม” คราวนี้เมฆาหันไปถามคนที่อยู่อีกฝั่ง
“ครับ”
“ช่วงนี้เราก็เรียนแคสติ้ง เรียนร้องเพลง เต้นไปก่อน พอทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มเวิร์คช็อป ยังไงถ้ามีปัญหาหรือว่าอะไรก็บอกครามมันได้” เมฆาหันไปทางผู้จัดการส่วนตัวของไต้ฝุ่น
“ครับพี่”
เมฆาส่งงานต่อให้ผู้กำกับคุยกับนัดแสดงหลักของเรื่อง รวมถึงเล่าเรื่องย่อๆ เพื่อโน้มน้าวอคิราต่อ ส่วนตัวเองนั้นมีประชุมต่อ
“พี่คิดว่าไม่น่ามีอะไรแล้ว เอาเป็นว่าพี่รอคำตอบจากตะวันนะ” ผู้กำกับบอก
“โห้...พี่จะมาช่วยกันกดดันผมเหรอครับ”
“เปล่าสักหน่อย แต่ยังไงบทนี้ก็อยากให้เป็นตะวันนะ” ผู้กำกับบอกย้ำอีกครั้ง เพราะอยากได้อคิรามาร่วมงานด้วยจริงๆ
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมให้คำตอบแล้วกัน”
“หวังว่าจะได้ยินข่าวดี พี่ไปล่ะ เอาไว้เจอกันที่กอง”
อคิราถึงส่ายหัวเหมือนตอนนี้เขาโดนมักมือชกให้เล่นไปแล้ว แต่อย่างไรชายหนุ่มก็อยากมีเวลาตัดสินใจและอ่านเรื่องที่ได้มาก่อน บางทีคราวนี้ตนเองอาจจะลองงานใหม่ๆ ดูบ้าง
“จะไปไหนต่อไหม” ฟ้าครามถามอคิรา
“น่าจะกลับคอนโดเลย พี่มีอะไรหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ไปไหนต่อ ว่าจะชวนไปหาไรกินหน่อย ไม่เจอกันนาน”
“เอาสิ ผมว่างอยู่แล้ว” อคิรารับคำชวน เขามีบางอย่างอยากจะถามฟ้าครามเหมือนกัน บางทีอาจจะไม่ต้องสืบเองแต่อาจจะต้องแลกด้วยอะไรนิดหน่อยเท่านั้น “แล้วไปกันหมดนี่เลยไหม” ชายหนุ่มหมายถึงไต้ฝุ่นกับดาวเหนือด้วย
“ไต้ฝุ่นคงไม่ว่างไปกับเราหรอก ส่วนไอ้เหนือจะไปด้วยกันไหม” ฟ้าครามรีบบอกราวกับไม่อยากให้ไต้ฝุ่นไปด้วย
“กูว่าง” ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้นๆ นั่นหมายถึงว่าเขาจะไปด้วย
“อย่างนั้นผมขอตัวแล้วกัน”
“ได้ไง มึงต้องไปด้วยสิ” อคิราหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัว
“ก็ไม่อยากไป มึงอยากไปก็ไปสิ” ตะวันที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าตอบกลับ ใช่ว่าเขากับอคิราต้องตัวติดกันตลอด
“แต่มึงเป็นผู้จัดการกู”
“แล้วไง ต้องทำตัวเป็นอินจันเหรอ” ชายหนุ่มหมายถึงคู่แฝดคู่แรกของไทย
“ก็น่าสน กูไม่ได้ขับรถมาจะให้กูกลับยังไง”
“อา...เอ๊ย พี่ครามน่าจะไปส่งมึงได้ ใช่ไหมครับ” ดาวเหนือหันไปถามคนชวน
“มึงก็ไปด้วยกันนี่ล่ะจะได้จบๆ อย่าเรื่องมาก ยังไงต้องกินข้าวเย็นอยู่แล้ว” ฟ้าครามตัดจบ ไม่อย่างนั้นคงเถียงกันอีกยาว
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจและบอกกับตัวเองว่าทำได้อยู่แล้ว งานนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แค่ดูแลคนคนเดียวเท่านั้น คิดถึงเงินค่าจ้างเข้าไว้จะได้มีกำลังใจทำงาน เพื่อความฝัน เพื่อโลกกว้างคนอย่างต้องดาวเหนือทำให้ได้“ยังไม่เข้าไปอีกเหรอ” เจ้าของเสียงห้าวที่เดินมาทีหลังเอ่ยขึ้น“โอ๊ย…อาตกใจหมด กำลังจะเข้าไปนี่ล่ะ” คนยืนอยู่ก่อนหันไปตามเสียง“งั้นก็เข้าไปได้แล้ว ป่านนี้ตะวันน่าจะแต่งตัวอยู่”“อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้นะอา” หันไปบอกย้ำกับคนเป็นอาอีกรอบ“รู้แล้วน่า มึงเองก็อย่าไปโป๊ะใส่ตะวันแล้วกัน หมอนั่นไม่ใช่คนโง่ อาเตือนไว้ก่อน”“รับทราบครับ” คนเป็นหลานลากเสียงรับคำยาวก่อนจะเคาะประตูห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปด้านในคนอยู่ด้านในห้องไปมองแล้วทักทายผู้จัดการส่วนตัว ก่อนจะมองไปที่คนแปลกหน้าอีกรอบ“คนที่จะมาดูแลตะวันต่อจากพี่”“คนนี้น่ะเหรอ” เจ้าของชื่อมองคนแปลกหน้านิ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ“คนนี้ล่ะ หมอนี่ชื่อดาวเหนือนะ ส่วนนี่ตะวัน ทำความรู้จักกันไว้ล่ะ พวกนายสองคนน่าจะเข้ากันได้ดี” ฟ้าครามแนะนำให้คนทั้งคู่รู้จักกันก่อนหน้านี้หนึ่งอาทิตย์ตนเองได้แจ้งข่าวกับอคิราไปแล
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้คนที่เพิ่งได้นอนไปไม่ถึงห้าชั่วโมงต้องขยับตัวลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะอยากนอนให้นานกว่านี้อีกนิดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะวันนี้คนที่อยู่ในความดูแลมีเรียนเช้าและต้องไปให้ทันไม่อย่างนั้นจะถูกหักคะแนนเอาได้นับวันดาวเหนือคิดว่าเขาเหมือนมีลูกเล็กที่ต้องดูแลทุกอย่าง ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่เห็นแก่เงินก้อนโตนั่น แต่อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเวลาเอาไปใช้ทำตามความฝันจะได้ภูมิใจ พอคิดได้แบบนี้ดาวเหนือก็มีกำลังใจในการทำงานต่อ ชายหนุ่มลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟังก่อนจะลงไปอีกชั้นของคอนโดมีเนียม ดาวเหมือนมองประตูห้องตรงหน้าก่อนจะกดรหัสผ่านเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะได้เข้ามาในนี้หรือเปล่า เพราะเจ้าของห้องหลับลึกจนเขานึกว่าซ้อมตายทุกวัน “มึงตื่นได้แล้ว เดี๋ยวสาย” คนเข้ามาใหม่เปิดประตูห้องนอนเข้ามาพร้อมกับเรียกเสียงดัง “มึง” เงียบ... ไร้สัญญาณตอบรับเหมือนเคย “ไอ้ตะวันตื่นได้แล้ว” คราวนี้ดาวเหนือเริ่มดึงผ้าห่มที่คลุมทั้งตัวออก
วันนี้ดาวเหนือและอคิราต้องเข้าบริษัทเพื่อประชุมเรื่องคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ และมาเตรียมความพร้อมสำหรับบินไปต่างประเทศในวันมะรืน “มึงจะลงตรงนี้หรือว่าไปขึ้นลิฟต์ข้างหลัง” ดาวเหนือถามเมื่อมาถึงหน้าตึก ปกติแล้วจะมีเหล่าบรรดาแฟนคลับมาดักรอศิลปินในค่ายแถวหน้าตึกเสมอ “จอดตรงนี้ก็ได้” อคิราบอกก่อนจะเปิดประตูรถลงไปขึ้นลิฟต์ด้านหน้าทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวเหล่าบรรดาแฟนคลับก็รีบเดินมาถ่ายรูปและทักทายด้วยความดีใจ ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มกว้างไปให้เป็นการตอบแทนเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าทุกคนมารอนานเท่าไรแล้ว บางคนอาจจะเข้ามาทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง บางคนอาจจะแวะมาซื้อของออฟฟิเชียลที่วางขายอยู่ในตึก แต่ทุกคนน่าจะคาดหวังว่าจะได้เจอศิลปินคนโปรด นั่นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่จะลงมาให้คนที่คอยซับพอร์ตนเองได้เจอ เพราะหากไม่มีทุกคนก็ไม่มีเขาในวันนี้เช่นกัน นักร้องหนุ่มใช้เวลาอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ขอตัวเพราะใกล้ถึงเวลานัด “พี่ครามสวัสดีครับ” อริคาทักทายคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่ก่อนหน้าและอดไม่ได้ที่จะมองคนไม่คุ้นตาอีกคน “เป็นยังไ
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้คนที่เพิ่งได้นอนไปไม่ถึงห้าชั่วโมงต้องขยับตัวลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะอยากนอนให้นานกว่านี้อีกนิดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะวันนี้คนที่อยู่ในความดูแลมีเรียนเช้าและต้องไปให้ทันไม่อย่างนั้นจะถูกหักคะแนนเอาได้นับวันดาวเหนือคิดว่าเขาเหมือนมีลูกเล็กที่ต้องดูแลทุกอย่าง ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่เห็นแก่เงินก้อนโตนั่น แต่อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเวลาเอาไปใช้ทำตามความฝันจะได้ภูมิใจ พอคิดได้แบบนี้ดาวเหนือก็มีกำลังใจในการทำงานต่อ ชายหนุ่มลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟังก่อนจะลงไปอีกชั้นของคอนโดมีเนียม ดาวเหมือนมองประตูห้องตรงหน้าก่อนจะกดรหัสผ่านเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะได้เข้ามาในนี้หรือเปล่า เพราะเจ้าของห้องหลับลึกจนเขานึกว่าซ้อมตายทุกวัน “มึงตื่นได้แล้ว เดี๋ยวสาย” คนเข้ามาใหม่เปิดประตูห้องนอนเข้ามาพร้อมกับเรียกเสียงดัง “มึง” เงียบ... ไร้สัญญาณตอบรับเหมือนเคย “ไอ้ตะวันตื่นได้แล้ว” คราวนี้ดาวเหนือเริ่มดึงผ้าห่มที่คลุมทั้งตัวออก
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจและบอกกับตัวเองว่าทำได้อยู่แล้ว งานนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แค่ดูแลคนคนเดียวเท่านั้น คิดถึงเงินค่าจ้างเข้าไว้จะได้มีกำลังใจทำงาน เพื่อความฝัน เพื่อโลกกว้างคนอย่างต้องดาวเหนือทำให้ได้“ยังไม่เข้าไปอีกเหรอ” เจ้าของเสียงห้าวที่เดินมาทีหลังเอ่ยขึ้น“โอ๊ย…อาตกใจหมด กำลังจะเข้าไปนี่ล่ะ” คนยืนอยู่ก่อนหันไปตามเสียง“งั้นก็เข้าไปได้แล้ว ป่านนี้ตะวันน่าจะแต่งตัวอยู่”“อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้นะอา” หันไปบอกย้ำกับคนเป็นอาอีกรอบ“รู้แล้วน่า มึงเองก็อย่าไปโป๊ะใส่ตะวันแล้วกัน หมอนั่นไม่ใช่คนโง่ อาเตือนไว้ก่อน”“รับทราบครับ” คนเป็นหลานลากเสียงรับคำยาวก่อนจะเคาะประตูห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปด้านในคนอยู่ด้านในห้องไปมองแล้วทักทายผู้จัดการส่วนตัว ก่อนจะมองไปที่คนแปลกหน้าอีกรอบ“คนที่จะมาดูแลตะวันต่อจากพี่”“คนนี้น่ะเหรอ” เจ้าของชื่อมองคนแปลกหน้านิ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ“คนนี้ล่ะ หมอนี่ชื่อดาวเหนือนะ ส่วนนี่ตะวัน ทำความรู้จักกันไว้ล่ะ พวกนายสองคนน่าจะเข้ากันได้ดี” ฟ้าครามแนะนำให้คนทั้งคู่รู้จักกันก่อนหน้านี้หนึ่งอาทิตย์ตนเองได้แจ้งข่าวกับอคิราไปแล