เสียงนาฬิกาปลุกทำให้คนที่เพิ่งได้นอนไปไม่ถึงห้าชั่วโมงต้องขยับตัวลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะอยากนอนให้นานกว่านี้อีกนิดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะวันนี้คนที่อยู่ในความดูแลมีเรียนเช้าและต้องไปให้ทันไม่อย่างนั้นจะถูกหักคะแนนเอาได้
นับวันดาวเหนือคิดว่าเขาเหมือนมีลูกเล็กที่ต้องดูแลทุกอย่าง ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่เห็นแก่เงินก้อนโตนั่น แต่อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเวลาเอาไปใช้ทำตามความฝันจะได้ภูมิใจ
พอคิดได้แบบนี้ดาวเหนือก็มีกำลังใจในการทำงานต่อ ชายหนุ่มลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟังก่อนจะลงไปอีกชั้นของคอนโดมีเนียม ดาวเหมือนมองประตูห้องตรงหน้าก่อนจะกดรหัสผ่านเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะได้เข้ามาในนี้หรือเปล่า เพราะเจ้าของห้องหลับลึกจนเขานึกว่าซ้อมตายทุกวัน
“มึงตื่นได้แล้ว เดี๋ยวสาย” คนเข้ามาใหม่เปิดประตูห้องนอนเข้ามาพร้อมกับเรียกเสียงดัง “มึง”
เงียบ... ไร้สัญญาณตอบรับเหมือนเคย
“ไอ้ตะวันตื่นได้แล้ว” คราวนี้ดาวเหนือเริ่มดึงผ้าห่มที่คลุมทั้งตัวออก
“คนจะนอน ขออีกครึ่งชั่วโมงค่อยมาปลุก” เจ้าของน้ำเสียงงัวเงียตอบ ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมไว้ต่อ เมื่อคืนเขาทำรายงงานจนดึกกว่าจะได้นอนก็เกือบๆ เช้าแล้ว
“มีพรีเซนต์งานไม่ใช่เหรอ ถ้าไปไม่ทันไม่ต้องมาโทษกูเลยนะ อยากได้เอฟวิชานี้ก็ตามใจมึง” คราวนี้ดาวเหนือขู่ รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงรักการเรียน เพียงแต่ตื่นยากกว่าชาวบ้านชาวช่องสักสิบเท่าเท่านั้น
“ขู่กูเหรอ” ถามกลับทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“กูให้เวลามึงเตรียมตัวแค่ยี่สิบนานที ถ้าช้ากว่านั้นเดี๋ยวกูไปดรอปให้” บอกจบก็เดินออกจากห้องนอนไปทันที
คนที่นอนอยู่ยอมลืมตาแล้วถอนหายใจยาวออกมา เขานอนลืมตานิ่งสักพักก่อนจะได้ยินเสียงจากคนข้างด้านนอกตะโกนมาอีกครั้ง
“เหลืออีกสิบห้านาที” ยังไม่วายที่จะตะโกนเข้ามา
“ห้องกูมีนาฬิกาไม่ต้องบอก” คราวนี้อคิราตะโกนกลับอย่างหัวเสียแต่ก็ยอมลุกไปอาบน้ำแต่โดยดี รอให้เรียนเสร็จก่อนค่อยหาวิธีเอาคืนผู้จัดการกวนตีนนี่แล้วกัน
ผู้จัดการส่วนตัวนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับเช็กตารางงานของอาทิตย์นี้ไปด้วย ถือว่าไม่ยุ่งมากยังพอมีเวลาให้หายใจบ้างเพราะอาทิตย์หน้าอคิราต้องบินไปเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าตนเองต้องตามไปดูแลด้วย
“อีกห้านาที” ดาวเหนือตะโกนบอกให้คนที่อยู่ในห้องรู้เวลา
“กูจะไปเรียนไม่ได้ไปแข่งมาสเตอร์เซฟ ไม่ต้องเร่งกูขนาดนั้น” คนที่เดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่พอใจบอก
“กูกลัวมึงสาย เสร็จแล้วใช่ไหมจะได้ออกไปกันเลย”
“เออ แล้วนั่นมึงจะไปไหน” อคิราถามเพราะเห็นว่าผู้จัดการส่วนตัวตามมาด้วย
“ไปส่งมึงที่มหาลัยน่ะสิ”
“กูไปเองได้”
“อันนั้นรู้ แต่เรียนเสร็จมึงมีไปงานต่อเดี๋ยวกูรอรับเลย ไปได้แล้ว” ดาวเหนือตัดจบแล้วเดินนำอคิราไปยังลานจอดรถโดยไม่สนใจว่าเขาจะโวยวายอะไรออกมา
“เป็นผู้จัดการหรือพ่อกูกันแน่วะ” อคิราบ่นออกมาแบบตั้งใจให้ได้ยิน
“กูได้ยินนะ แล้วหัดพูดกับกูดีๆ หน่อยอย่างน้อยกูก็อายุเยอะกว่ามึง” บอกแล้วเปิดประตูรถด้านคนขับ ว่าจะเงียบแล้วแต่ก็อดโต้กลับไม่ได้
“แค่ไม่กี่ปีล่ะวะ”
“แต่ก็มากกว่า ขึ้นรถได้แล้ว” นี่ขนาดบอกว่าอายุมากกว่ายังไม่เคยกลัวเขาสักครั้ง ทำไมไม่เห็นว่านอนสอนง่ายเหมือนอย่างที่ฟ้าครามบอกเลย นับวันแต่จะเพิ่มเลเวลความกวนตีนจนเขาต้องท่องถึงเงินวันละหลายรอบ ไม่อย่างนั้นคงได้ทำลายสมบัติของบริษัทกันบ้าง
“มองอะไร ไหนว่ากลัวกูไปสาย” อคิราถามเสียงห้วนเมื่อดาวเหนือกำลังมองมา
“คาดเข็มขัดด้วย”
อคิราหยักไหล่เป็นคำตอบว่าไม่แคร์จากนั้นจึงหลับตาเพื่อพักผ่อนต่อ นั่นทำให้คนบอกถอนหายใจออกมาแรงๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนนั่งสนใจขึ้นมา
“มึงจะไม่กวนตีนสักวันได้ไหม” บอกจบดาวเหนือก็เอี้ยวตัวไปดึงเข็มขัดนิรภัยทางด้านคนนั่งมาคาดให้อคิรา
“ไม่ได้” คนตอบลืมตาขึ้นมาและพบว่าตอนนี้ใบหน้าของผู้จัดการส่วนตัวอยู่ห่างกับหน้าตนเองแค่คืบเท่านั้น มือใหญ่ของชายหนุ่มคว้ามือดาวเหนือเอาไว้ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนใกล้กันมากขึ้นอีกนิด“จะจูบกูรึไง”
ตอนนี้ทั้งคู่รู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันแต่ก็ยังไม่มีใครยอมหลบตา
“อยากลองไหมล่ะ” ดาวเหนือยักคิ้วพร้อมกับถามกลับ คนอย่างไอ้เหนือกวนตีนมากวนตีนกลับไม่โกง “แต่อย่าเลยเสียปากกูเปล่าๆ” สุดท้ายก็เป็นคนแพ้ยอมหลบตาคู่นั้นก่อน อยากจะควักลกตานั่นออกมาจริงๆ “ปล่อยมือกูได้แล้ว” หันไปมองมือใหญ่ที่กำข้อมือเขารอบ คงเพราะรายนั้นตัวใหญ่กว่าเล็กน้อยมือคิราจึงใหญ่และกำได้รอบ
“ไม่กล้ามากกว่ามั้ง” อคิราบอกด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยนิดๆ ที่ตนเองเป็นคนชนะในยกนี้
“ปากดีนะมึง” ดาวเหนือบอกแค่นั้นก่อนจะขับรถไปส่งคนข้างๆ ที่มหาวิทยาลัย
“อันนั้นยอมรับ อยากลองเมื่อไรก็บอก”
“ให้จบมึงไปจูบปากหมาดีกว่า”
“ไม่ลองก็ไม่รู้นะครับ” เจ้าของเสียงห้าวลากคำสุดท้ายยาว
ระหว่างทางอคิราบอกให้ดาวเหนือแวะซื้อกาแฟกับมื้อเช้าก่อนเพราะไม่มีเวลามากพอไปกินที่โรงอาหาร พอกินอิ่มชายหนุ่มก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนั่งอ่านทวนงานที่ต้องพรีเซนต์ในเช้านี้อีกครั้ง
ดาวเหนืออดหันไปมองคนข้างๆ ไม่ได้พอมันอยู่นิ่งๆ ค่อยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย อคิรมาจะมีสมาธิและตั้งใจเสมอไม่ว่าเรื่องงานหรือว่าเรื่องเรียน นี่ถ้ามันลดความกวนตีนลงหน่อยน่าจะดีขึ้นมาก
“ถ้าเลิกเรียนแล้วก็ส่งข้อความมาบอกเดี๋ยวกูมารับ”
“นึกว่าจะไปนั่งเฝ้ากูเรียนด้วย”
“เชิญนิสิตไปเรียนคนเดียวเถอะ เดี๋ยวพี่คนนี้จะไปธุระต่อ” เจ้าของรถไล่เมื่อถึงหน้าคณะ
ดาวเหนือมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอคิราได้เดือนกว่าๆ แล้ว เรื่องตัวงานถือว่าไม่มีปัญหาแต่จะมีปัญหาก็กับคนในความดูแลนี่ล่ะ ไม่รู้ว่าทำไมอคิราถึงไม่ค่อยยอมฟังตนเองเท่านั้น ทั้งๆ ที่กับคนอื่นชายหนุ่มก็ให้เคราพและเชื่อฟังเป็นอย่างดี
หลังส่งคนในความดูแลขึ้นเรียนเสร็จดาวเหนือก็จอดรถไว้ใกล้ๆ ก่อนจะนั่งรถไฟฟ้าไปยังสถานที่ที่หนึ่งที่ตนเองอยากไปมาหลายวันแล้ว พอวันนี้มีเวลาว่างจึงไม่ยอมพลาดโอกาสเพราะเป็นวันสุดท้าย หากพลาดคงต้องเสียดายอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มเดินเข้ามาด้านในแล้วค่อยๆ เดินดูภาพถ่ายแต่ละภาพช้าๆ ราวกับต้องการเก็บทุกรายละเอียด เขาชอบการถ่ายภาพและมีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะเป็นช่างภาพที่สามารถจัดงานนิทรรศการเป็นของตัวเองสักครั้ง เพราะแบบนี้ดาวเหนือจึงต้องการเงินเพื่อทำตามฝัน นั่นก็คือออกท่องโลกกว้าง หาประสบการณ์ใหม่แล้วเก็บความทรงจำกลับมาในรูปแบบของภาพถ่าย มันอาจจะดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับใครหลายคนแต่สำหรับตนเองนั้น การมีความฝันและทำฝันให้สำเร็จด้วยตนเองมันเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ
เมื่อได้เจออะไรที่ชอบเวลามักผ่านไปไวเสมอ ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะตัดใจออกจากงานเพราะใกล้ถึงเวลาที่อคิราจะเลิกเรียนแล้ว อีกอย่างช่วงเย็นต้องไปอัดรายการต่อ
ดาวเหนือมาถึงมหาวิทยาลัยและยังพอมีเวลาให้ตนเองได้หาอะไรกิน ชายหนุ่มจึงเดินตรงไปยังโรงอาหารที่อยู่ระหว่างสองคณะ เขาน่าจะหาอะไรกินเสร็จก่อนที่อคิราจะเลิกเรียน ทว่ายังเดินไปได้ไม่เท่าไรเสียงคุ้นๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง
“ไม่คิดจะทักทายเพื่อนหน่อยเหรอวะไอ้คนทรยศ” เจ้าของเสียงห้าวดังมาแต่ไกล
“กูไม่ได้มีตาหลังถึงจะเห็นพวกมึง” ดาวเหนือหันไปตามเสียงแล้วตอบกลับอย่างกวนตีน
“ไอ้เหนือ ไอ้คนทิ้งเพื่อน ใช่ไหมว่าไอ้ภูไอ้ลม” ขุนพลหันไปหาแนวร่วม
“เออใช่” เพื่อนอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ไหนว่าจะสู้ไปด้วยกัน มึงรู้ไหมว่าตอนนี้พวกกูลำบาแค่ไหน”
“จะรู้ได้ไงกูไม่ได้เรียนกับพวกมึงแล้ว” ดาวเหนือกอดอกแล้วตอบกลับ แต่ดูสภาพของเพื่อนแล้วเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายคืน
“อย่าให้ถึงทีมึงบ้างแล้วกันสบายตอนนี้ลำบากตอนหลัง ไม่มีพวกกูแล้วจะรู้สึก” คราวนี้ภูผาตัดพ้อเพื่อน
“ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวมันกลับมาเมื่อไรกูจะสมน้ำหน้าให้” ขุนพลว่าอีกที
“กูว่าตอนนี้พวกมึงเอาตัวให้รอดก่อนเถอะ ยังไม่ต้องมาห่วงกู” ดาวเหนือเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงเวลาจะเอาตัวรอดได้อย่างสบายๆ
“เออมึงมันเก่ง ไอ้สัส” วายุอดไม่ได้ที่จะด่าความมั่นใจของเพื่อนออกมา
“ว่าแต่มึงเข้ามหาลัยมาทำไม ถ้าเปลี่ยนใจลงทะเบียนน่าจะไม่ทันแล้วมั้ง” เพราะนี่ก็เปิดเทอมใหม่มาเกือบๆ สองเดือนแล้ว
“มารับเด็กน่ะ”
“อะไรมึงมีแฟนแล้ว” เพื่อนทั้งสามคนเอ่ยออกมาพร้อมกัน
“ยังโว้ย มารับเด็กในความดูแล ว่าแต่จะยืนคุยแบบนี้อีกนานไหมกูหิวแล้วไปหาไรกินกันดีกว่า เดี๋ยวกูต้องไปทำงานต่อ”
“ดีล” เพื่อนตอบกลับพร้อมกันอีกครั้ง จากนั้นทั้งสี่คนจึงเดินตรงไปโรงอาหาร
คนที่กำลังคุยกับเพื่อนอย่างออกรสออกชาติอยู่ต้องหยุดเพราะได้ยินเสียงฮือฮามาจากทางด้านหลัง
“ใครมาวะ” วายุที่นั่งหันหลังให้ถาม เพื่อนอีกสองคนที่น่าจะเห็นว่าใครเข้ามา เดาว่าต้องเป็นคนดังเพราะดูจากปฏิกิริยาจากคนที่อยู่ในโรงอาหาร บางคนถึงกับยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป
“คนดังคณะวิศวะ” ภูผาตอบเพื่อน
นั่นทำให้ดาวเหนือที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากชะงัก อย่าบอกนะว่าเป็นคนในความดูแลของเขา ชายหนุ่มรีบหันไปมองทันที
“ไอ้ตะวัน” เสียงดาวเหนือเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“มึงรู้จักด้วยเหรอวะ ปกติไม่เคยสนใจว่าใครเป็นใคร” วายุที่นั่งอยู่ติดกันถาม ในบรรดาเพื่อนในกลุ่มคงมีแต่ดาวเหนือเท่านั้นที่ไม่สนใจอะไรว่าใครเป็นใคร ดังแค่ไหน จะสนใจก็แต่เรื่องเรียนและถ่ายรูปเท่านั้น
“เรื่องมันยาว”
“พวกกูมีเวลาฟัง” วายุตอบกลับด้วยความอยากรู้ทันที
“เออ ไว้มีเวลาแล้วเดี๋ยวกูเล่า ก็ไปก่อนนะ” บอกเพื่อนเสร็จก็รีบลุกออกไปก่อนที่อริคาจะเดินมาถึง หวังว่าหมอนั่นคงจะยังไม่ทันสังเกตเห็นตนเอง
“ไอ้นี่แปลกๆ” ขุนพลมองเพื่อนแล้วหันกลับไปมองอิราที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน
ดาวเหนือถอนหายใจยาวออกมาหลังพ้นจากรัศมีโรงอาหาร ไม่คิดว่าหมอนั่นจะเลิกคลาสก่อนเวลาและไหนจะเดินมาโรงอาหารที่อยู่คนละตึกกับคณะที่เรียนอีก ไม่รู้ว่าพรหมลิขิตหรือกรรมลิขิตแต่อย่างน้อยๆ ความลับก็น่าจะเป็นความลับอยู่
คงนั่งรออยู่ได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ได้รับข้อความจากอคิราว่าเรียนเสร็จแล้วให้มารับที่หน้าคณะด้วย ดาวเหนือจึงเดินไปเอารถที่จอดไว้ไม่ไกลทันที เนื่องจากต้องไปถ่ายรายการต่อ
“รีบขึ้นมาได้แล้วจะยืนรอให้กูไปเปิดประตูให้รึไง” คนขับลดกระจกลงมาถาม
“งั้นก็ลงมาซิ”
“พ่องงง ขึ้นมาได้แล้วเดี๋ยวสาย” มองมาจากดาวอังคารก็รู้ว่ามันกำลังกวนตีนเขาอยู่ เห็นแล้วอยากจะซัดหน้านั่นสักที
อคิรายอมเปิดประตูรถขึ้นมานั่งหลังกวนอารมณ์ผู้จัดการส่วนตัวได้ก็รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้น ยอมรับว่าชอบเวลาที่ดาวเหนือโมโห นั่นอาจจะเพราะชายหนุ่มรีแอคชั่นออกมาทางสีหน้าทั้งหมด ยิ่งแสดงออกมาเท่าไรก็ยิ่งน่าแกล้งมากขึ้นเท่านั้น ถ้าแกล้งอีกนิดจะเป็นยังไง
“ไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนที่โรงอาหารมาเหรอ” อคิราถามเสียงเรียบ นั่นทำให้คนที่กำลังขับรถอยู่ชะงัก แต่ยังโชคดีที่ว่าไม่ถึงกับตกใจแรง
“มึงเห็น”
“ตากูไม่ได้บอด”
ตอนนี้ดาวเหนือกำมือแน่นแล้วมองตรงไปข้างหน้าไม่ยอมหันกลับมามองคนข้างๆ
“เออ กูไปหาอะไรกินมา พอดีเจอรุ่นน้องเลยนั่งด้วยกัน มึงมีปัญหาอะไร”
“ไม่ยักรู้ว่าเป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกัน” อคิราย้ำคำว่าศิษย์เก่าเป็นพิเศษ
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องรู้ ต่อไปมึงก็หัดนับถือกันบ้างทั้งในฐานะรุ่นพี่แล้วก็ผู้จัดการส่วนตัว” ได้ทีดาวเหนือเอาเรื่องนี้มาย้ำอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะว่าอยากบ้าอำนาจแต่เขาอยากให้อคิรากวนตีนน้อยลงกว่านี้สักหน่อย
“เอาไว้กูจะคิดดูแล้วกัน” อคิราไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ชายหนุ่มได้แต่มองใบหน้าของคนที่กำลังขับรถนิ่ง นี่ถ้าดาวเหนือหันมาเห็นคงได้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาคู่นี้กันบ้าง
วันนี้ดาวเหนือและอคิราต้องเข้าบริษัทเพื่อประชุมเรื่องคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ และมาเตรียมความพร้อมสำหรับบินไปต่างประเทศในวันมะรืน “มึงจะลงตรงนี้หรือว่าไปขึ้นลิฟต์ข้างหลัง” ดาวเหนือถามเมื่อมาถึงหน้าตึก ปกติแล้วจะมีเหล่าบรรดาแฟนคลับมาดักรอศิลปินในค่ายแถวหน้าตึกเสมอ “จอดตรงนี้ก็ได้” อคิราบอกก่อนจะเปิดประตูรถลงไปขึ้นลิฟต์ด้านหน้าทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวเหล่าบรรดาแฟนคลับก็รีบเดินมาถ่ายรูปและทักทายด้วยความดีใจ ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มกว้างไปให้เป็นการตอบแทนเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าทุกคนมารอนานเท่าไรแล้ว บางคนอาจจะเข้ามาทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง บางคนอาจจะแวะมาซื้อของออฟฟิเชียลที่วางขายอยู่ในตึก แต่ทุกคนน่าจะคาดหวังว่าจะได้เจอศิลปินคนโปรด นั่นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่จะลงมาให้คนที่คอยซับพอร์ตนเองได้เจอ เพราะหากไม่มีทุกคนก็ไม่มีเขาในวันนี้เช่นกัน นักร้องหนุ่มใช้เวลาอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ขอตัวเพราะใกล้ถึงเวลานัด “พี่ครามสวัสดีครับ” อริคาทักทายคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่ก่อนหน้าและอดไม่ได้ที่จะมองคนไม่คุ้นตาอีกคน “เป็นยังไ
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจและบอกกับตัวเองว่าทำได้อยู่แล้ว งานนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แค่ดูแลคนคนเดียวเท่านั้น คิดถึงเงินค่าจ้างเข้าไว้จะได้มีกำลังใจทำงาน เพื่อความฝัน เพื่อโลกกว้างคนอย่างต้องดาวเหนือทำให้ได้“ยังไม่เข้าไปอีกเหรอ” เจ้าของเสียงห้าวที่เดินมาทีหลังเอ่ยขึ้น“โอ๊ย…อาตกใจหมด กำลังจะเข้าไปนี่ล่ะ” คนยืนอยู่ก่อนหันไปตามเสียง“งั้นก็เข้าไปได้แล้ว ป่านนี้ตะวันน่าจะแต่งตัวอยู่”“อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้นะอา” หันไปบอกย้ำกับคนเป็นอาอีกรอบ“รู้แล้วน่า มึงเองก็อย่าไปโป๊ะใส่ตะวันแล้วกัน หมอนั่นไม่ใช่คนโง่ อาเตือนไว้ก่อน”“รับทราบครับ” คนเป็นหลานลากเสียงรับคำยาวก่อนจะเคาะประตูห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปด้านในคนอยู่ด้านในห้องไปมองแล้วทักทายผู้จัดการส่วนตัว ก่อนจะมองไปที่คนแปลกหน้าอีกรอบ“คนที่จะมาดูแลตะวันต่อจากพี่”“คนนี้น่ะเหรอ” เจ้าของชื่อมองคนแปลกหน้านิ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ“คนนี้ล่ะ หมอนี่ชื่อดาวเหนือนะ ส่วนนี่ตะวัน ทำความรู้จักกันไว้ล่ะ พวกนายสองคนน่าจะเข้ากันได้ดี” ฟ้าครามแนะนำให้คนทั้งคู่รู้จักกันก่อนหน้านี้หนึ่งอาทิตย์ตนเองได้แจ้งข่าวกับอคิราไปแล
วันนี้ดาวเหนือและอคิราต้องเข้าบริษัทเพื่อประชุมเรื่องคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ และมาเตรียมความพร้อมสำหรับบินไปต่างประเทศในวันมะรืน “มึงจะลงตรงนี้หรือว่าไปขึ้นลิฟต์ข้างหลัง” ดาวเหนือถามเมื่อมาถึงหน้าตึก ปกติแล้วจะมีเหล่าบรรดาแฟนคลับมาดักรอศิลปินในค่ายแถวหน้าตึกเสมอ “จอดตรงนี้ก็ได้” อคิราบอกก่อนจะเปิดประตูรถลงไปขึ้นลิฟต์ด้านหน้าทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวเหล่าบรรดาแฟนคลับก็รีบเดินมาถ่ายรูปและทักทายด้วยความดีใจ ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มกว้างไปให้เป็นการตอบแทนเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าทุกคนมารอนานเท่าไรแล้ว บางคนอาจจะเข้ามาทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง บางคนอาจจะแวะมาซื้อของออฟฟิเชียลที่วางขายอยู่ในตึก แต่ทุกคนน่าจะคาดหวังว่าจะได้เจอศิลปินคนโปรด นั่นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่จะลงมาให้คนที่คอยซับพอร์ตนเองได้เจอ เพราะหากไม่มีทุกคนก็ไม่มีเขาในวันนี้เช่นกัน นักร้องหนุ่มใช้เวลาอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ขอตัวเพราะใกล้ถึงเวลานัด “พี่ครามสวัสดีครับ” อริคาทักทายคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่ก่อนหน้าและอดไม่ได้ที่จะมองคนไม่คุ้นตาอีกคน “เป็นยังไ
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้คนที่เพิ่งได้นอนไปไม่ถึงห้าชั่วโมงต้องขยับตัวลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะอยากนอนให้นานกว่านี้อีกนิดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะวันนี้คนที่อยู่ในความดูแลมีเรียนเช้าและต้องไปให้ทันไม่อย่างนั้นจะถูกหักคะแนนเอาได้นับวันดาวเหนือคิดว่าเขาเหมือนมีลูกเล็กที่ต้องดูแลทุกอย่าง ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่เห็นแก่เงินก้อนโตนั่น แต่อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเวลาเอาไปใช้ทำตามความฝันจะได้ภูมิใจ พอคิดได้แบบนี้ดาวเหนือก็มีกำลังใจในการทำงานต่อ ชายหนุ่มลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟังก่อนจะลงไปอีกชั้นของคอนโดมีเนียม ดาวเหมือนมองประตูห้องตรงหน้าก่อนจะกดรหัสผ่านเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะได้เข้ามาในนี้หรือเปล่า เพราะเจ้าของห้องหลับลึกจนเขานึกว่าซ้อมตายทุกวัน “มึงตื่นได้แล้ว เดี๋ยวสาย” คนเข้ามาใหม่เปิดประตูห้องนอนเข้ามาพร้อมกับเรียกเสียงดัง “มึง” เงียบ... ไร้สัญญาณตอบรับเหมือนเคย “ไอ้ตะวันตื่นได้แล้ว” คราวนี้ดาวเหนือเริ่มดึงผ้าห่มที่คลุมทั้งตัวออก
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกความมั่นใจและบอกกับตัวเองว่าทำได้อยู่แล้ว งานนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แค่ดูแลคนคนเดียวเท่านั้น คิดถึงเงินค่าจ้างเข้าไว้จะได้มีกำลังใจทำงาน เพื่อความฝัน เพื่อโลกกว้างคนอย่างต้องดาวเหนือทำให้ได้“ยังไม่เข้าไปอีกเหรอ” เจ้าของเสียงห้าวที่เดินมาทีหลังเอ่ยขึ้น“โอ๊ย…อาตกใจหมด กำลังจะเข้าไปนี่ล่ะ” คนยืนอยู่ก่อนหันไปตามเสียง“งั้นก็เข้าไปได้แล้ว ป่านนี้ตะวันน่าจะแต่งตัวอยู่”“อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้นะอา” หันไปบอกย้ำกับคนเป็นอาอีกรอบ“รู้แล้วน่า มึงเองก็อย่าไปโป๊ะใส่ตะวันแล้วกัน หมอนั่นไม่ใช่คนโง่ อาเตือนไว้ก่อน”“รับทราบครับ” คนเป็นหลานลากเสียงรับคำยาวก่อนจะเคาะประตูห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปด้านในคนอยู่ด้านในห้องไปมองแล้วทักทายผู้จัดการส่วนตัว ก่อนจะมองไปที่คนแปลกหน้าอีกรอบ“คนที่จะมาดูแลตะวันต่อจากพี่”“คนนี้น่ะเหรอ” เจ้าของชื่อมองคนแปลกหน้านิ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ“คนนี้ล่ะ หมอนี่ชื่อดาวเหนือนะ ส่วนนี่ตะวัน ทำความรู้จักกันไว้ล่ะ พวกนายสองคนน่าจะเข้ากันได้ดี” ฟ้าครามแนะนำให้คนทั้งคู่รู้จักกันก่อนหน้านี้หนึ่งอาทิตย์ตนเองได้แจ้งข่าวกับอคิราไปแล