ผมอุ้มอันนาลงมาจากรถ แล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาตัวยาวกลางห้องรับแขก ตอนแรกกะว่าจะพาเธอไปที่ซุ้มของผมนั่นแหละ แต่เพราะที่นั่นมันมีลูกน้องของผมอยู่กันมาก หากต้องการจะทำอะไร มันคงไม่สะดวกนัก
ที่นั่นเป็นซุ้มรวมพลของคนรักการสื่อสาร ทุกอย่างที่อยู่ในนั้นส่วนใหญ่ จะเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับอุปกรณ์กู้ภัย อาทิเช่น ไฟไซเรน กล่องเสียงเพื่อส่งสัญญาณ อีกทั้งวิทยุสื่อสารมากมายหลายชนิด รวมไปถึงอุปกรณ์ที่สามารถนำไปช่วยชีวิตคนได้ กระทั่งไม้ที่มีเอาไว้สำหรับใช้จับงู ที่เลื้อยเข้ามาเพ่นพ่านในบ้านคน นั่นก็ยังไม่พ้นกู้ภัยอย่างเรา
ผมชื่อตองเก้า กำลังเรียนมหาลัยอยู่ชั้นปีที่สาม ในคณะวิศกรรมไฟฟ้า ปีเดียวกับอุลตร้าที่เป็นพี่ชายของอันนานั่นแหละ เพียงแต่อยู่คนละมหาลัย ส่วนเธอผมสืบจนรู้ได้ว่า เธอเรียนอยู่มหาลัยเดียวกันกับผม เพียงแต่อยู่กันคนละคณะเท่านั้น
อันนาเพิ่งจะเข้ามาเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ ของมหาลัยที่นี่เป็นปีแรก และมันคงไม่แปลกนักหากว่าผมจะสนใจเธอ
ยังไงนะเหรอ?
เพราะเธอเป็นน้องสาวของไอ้อุลไง...
ผมต้องการพาเธอไปทำมิดีมิร้าย อย่างที่เธอคิดเอาไว้ แต่เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน เพราะผมดันคิดแผนการ ที่แยบยลกว่านั้นขึ้นมาได้
ไอ้อุลมันจะต้องเจ็บปวดหัวใจ เหมือนอย่างที่มันเคยทำกับผมไว้ จนไม่เหลือความเป็นเพื่อนให้กันอีกต่อไป
อันนาน่าจะไม่รู้เรื่องราว ระหว่างผมกับพี่ชายของเธอนั่นแหละ แต่นั่นมันคงไม่ใช่ประเด็น เพราะผมเห็นว่าอันนาเป็นแค่เหยื่อ พอเอาเธอเบื่อแล้วก็ค่อยทิ้ง และนั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำ เพื่อสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น
เจ้าของใบหน้าน่ารัก เสียแต่ว่าปากดีไปหน่อย หากเธอเป็นผู้ชาย คงจะโดนผมต่อยปากแตก ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน
ผมยาวของอันนาดำขลับรับกับใบหน้าขาวผ่อง ขนตาของเธองอนยาวเป็นแพหนา อยู่บนดวงตากลมโตคู่สวย จมูกโด่งเล็กนั่นด้วยที่เชิดรั้น บ่งบอกเลยว่าอันนาเป็นคนที่ไม่ยอมใคร และสิ่งสุดท้ายก็คือริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอ ที่ทำให้ผมเผลอมองจนแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ
ยิ่งตอนเห็นเธอใช้สายตา พร้อมกับขยับริมฝีปาก ขึ้นมาเถียงกับผมเสียงแปร๋น ผมโคตรอยากให้เธอใช้ปาก กับอย่างอื่นของผมแทนมากกว่า
ผมทอดสายตามองคนที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ พลางใช้ความคิดพร้อมกับพิจารณาเจ้าของร่าง แล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างในร่างกายคล้ายกำลัง....
ตื่นตัว!
แม่ง!...เต็มที่เสียด้วยสิ...
มึงต้องอดทนให้ได้นะไอ้เก้าน้อย...แล้วค่อยไปว่าวเอาออกทีหลัง
สมองสั่งการให้ผมสลัดความคิดในหัวทิ้งไป และให้กลับมาอยู่ปัจจุบัน...
ไอ้อุลมันเคยทำให้ผมเจ็บมากแค่ไหน มันจะต้องเจ็บมากกว่านั้น ผมต้องไม่เผลอใจหรือหวั่นไหว ไปกับน้องสาวของมัน แม้ว่าเธอจะน่ารักมากแค่ไหนก็ตาม
อันนาเริ่มขยับตัว แล้วค่อยๆ เปิดเปลือกตา ขึ้นมาสำรวจสิ่งที่อยู่รอบกายไปทั่วๆ และสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ตัวผม
เธอเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งพลางลูบคลำตัวเอง จากนั้นจึงยกขาทั้งสองข้าง ขึ้นมาชันเข่าแล้วกอดเอาไว้ นัยน์ตาเธอตื่นตกใจ ราวกับเห็นผมเป็นไอ้บ้าหื่นกาม
“ นายยังไม่ได้ทำอะไรฉันใช่ไหม? นายต้องการอะไร? อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ”
เธอพูดกับผมเสียงเครือสั่น รวมไปถึงร่างกายของเธอนั่นก็ด้วย
อันนาถอยร่นไปจนสุดโซฟา เมื่อเห็นว่าผมขยับร่างเข้าไปใกล้ และมันไม่ใช่เรื่องยาก หากผมจะคว้าตัวเธอมาทำอะไรๆ แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่ทำ
ถ้าอีกคนไม่ยินยอมพร้อมใจ หรือให้ความร่วมมือกัน แล้วมันจะไปสนุกตรงไหนละ
ในเมื่อผมก็พอมีวิธีที่จะทำให้อีกฝ่าย ยินยอมพร้อมใจตามกันไปได้ แต่มันคงไม่ใช่เวลานี้ไง เพราะดูแล้วอันนาน่าจะยังไม่เคยกับเรื่องแบบนั้น และมันเป็นหน้าที่ของผม ที่จะทำให้เธอรู้สึกคุ้นชินกับมันไปทีละอย่าง ก่อนจะจับเธอเชือดทีหลัง
“ ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไร...เธอก็เป็นลมไปก่อนแล้วมั้ย...จืดชืดฉิบหาย ใครมันจะไปมีอารมณ์กับผู้หญิงอย่างเธอได้วะ”
อันนามุ่ยหน้าเมื่อได้ยินผมต่อว่าเธอเชิงดูแคลน เจ้าตัวเม้มปากแน่น จนเห็นลักยิ้มขึ้นบนแก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ที่สามารถรอดพ้นอันตราย จากเงื้อมมือของคนอย่างผมได้
รอยยิ้มของเธอช่วยทำให้โลกทั้งใบ สว่างสดใสขึ้นมาทันทีอย่างที่เห็น เพราะนัยน์ตาของเธอเป็นประกาย เหมือนมีดาวระยิบระยับประดับอยู่ในนั้น
“ แต่...”
ผมละไว้ ในขณะที่มองสบตากับเธอนิ่งๆ เพื่อต้องการให้เธอได้รู้ว่าผมกำลังจริงจัง
อันนาเลิกคิ้วขึ้นสูงเชิงรอฟังให้ผมพูดต่อ แต่พอเห็นว่าผมยังเฉยอยู่ ด้วยความอยากรู้เธอจึงได้เอ่ยถาม อย่างที่ต้องการจะเอาคำตอบให้ได้เลยทันที
“ แต่อะไรละ? ”
“ ต้องให้ฉัน...จูบเธอ... ”
!!!
เธอเบิกตากว้างพร้อมกับส่ายหน้า...แต่ทว่านั่นผมยังพูดไม่ทันจบ
“ให้ฉัน...จูบเธอ จนกว่าฉันจะพอใจ...”
ผมบอกแล้วรอฟังคำตอบรับ แต่เธอกลับเงียบเสียงของตัวเองลงไป คล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จนผมชักทนไม่ไหว และเธอก็คงจะเห็นอาการของผมว่ากำลังหงุดหงิดใจ เธอถึงได้รีบบอกออกมาทันควัน
"ก็นายพูดออกมาเองว่าฉันจืดชืดฉิบหาย แล้วยังจะมาจูบฉัน ให้เสียอารมณ์นายไปทำไม?"
เออ...แล้วก็มาย้อนถามกูกลับ ทำเอาตั้งรับซะแทบไม่ทัน และไปไม่เป็นกันเลยทีนี้...
แต่หัววิศวะอย่างผม ก็ตีเนียนด้วยการตอบโต้อีกฝ่าย กลับไปอย่างหน้าด้านๆ แบบที่ไม่คิดจะยอมให้กันได้ง่ายๆ
“ งั้นก็ไม่ให้กลับ...และอาจจะทำมากกว่าที่กำลังทำอยู่ ”
ผมรีบขู่ทับ ถึงเธอจะพยักหน้ารับ แต่ก็ต่อรองกลับมาเสียงอ่อย
“ แค่หอมแก้มฉันเฉยๆ ได้ไหม? ”
เธอพูดพร้อมกับก้มหน้า และไม่ยอมสบสายตากับผมตรงๆ สงสัยคงจะอายนั่นแหละ
“ฉันหอมไปตั้งหลายทีละ ตอนที่เธอหลับ สงสัยต้องเพิ่มจากจูบเป็นจับ พร้อมกับลูบคลำจนหนำใจให้อีกอย่างมั้ย?”
“มะ...ไม่เอา!งั้นจูบอย่างเดียวก็ได้!”
สุดท้ายอันนาก็ต้องยอมเสียแขนขา เพื่อรักษาอวัยวะสำคัญ ถูกของเธอแล้วหละที่จะคิดได้แบบนั้น....
ผมรวบเอวบางเข้ามาใกล้ในระยะประชิด โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะขัดขืนทั้งที่ถูกฝืนใจ แต่มันช่วยไม่ได้ ในเมื่อผมไม่เหลือทางเลือกอะไรให้เธออีกแล้ว“เงยหน้าขึ้นมาสิ ก้มแบบนี้ ฉันจะจูบเธอได้ยังไง?” อันนาพรูลมหายใจก่อนช้อนใบหน้าขึ้นมาสบตากับผม นัยน์ตากลมโตเป็นประกาย ทำเอาผมถึงกับสะดุดลมหายใจ ก่อนจะจูบลงไปบนหน้าผากมน จนถึงเปลือกตาที่ปิดสนิททั้งสองข้าง แล้วเลื่อนลงไปยังริมฝีปากบาง อย่างรู้สึกตื่นเต้น...เชี่ย!คนตื่นเต้น มันจะต้องเป็นเธอสิวะ! ไหงกลายเป็นผมไปเสียได้...ปลายจมูกของเราทั้งคู่เกยซ้อนกัน จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ตอนนี้รู้สึกว่าจังหวะการเต้นหัวใจตัวเองกำลังสั่นไหว ผิดเพี้ยนไปแทบจะทันที และที่สำคัญอันนาน่าจะรับรู้ได้หมดทุกอย่าง เพราะฝ่ามือเรียวบางของเจ้าตัว วางไว้ตรงหัวใจของผมพอดีผมสอดฝ่ามือใหญ่เข้าไปรั้งท้ายทอยของเธอล็อคไว้ แล้วกดจูบลงไปบนริมฝีปากบางอย่างรู้จังหวะ ก่อนจะผละออกมาบอกกับเธอว่า“ ซ่อนรูปก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ...”เพราะผมเผลอ เลยเอามือไปกอบกุมสองเต้าของเธอเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ถึงแม้อันนาจะไม่ขัดขืนอะไรเลยสักอย่าง แต่ผมสัมผัสได้ ว่าเธอกำลังนั่งตัวแข็งเกร็ง“นายบอกฉันเ
ก่อนที่อันนาจะลงจากรถ ผมได้จับมือของเธอให้หงายขึ้น แล้ววางวิทยุสื่อสารลงไปบนมือเรียวบางของเธอวิทยุสื่อสารที่ใช้งานด้วยการใช้ความถี่ ที่ผมเป็นคนคิดฟังชั่น และดัดแปลงมันขึ้นมา เพื่อให้เธอเอาไว้ใช้ติดต่อกับผมได้ แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น“เอาวิทยุสื่อสารนี่ไว้ใช้งาน สำหรับติดต่อกันระหว่างฉันกับเธอ”ผมบอกพร้อมกับดึงโทรศัพท์ จากมืออีกข้างของอันนามาเมมเบอร์ของผมไว้ แล้วกดโทรเข้าไปในเครื่องของผม เพื่อเมมเบอร์ของเธอเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน จากนั้นผมจึงอธิบายวิธีการใช้งาน ของวิทยุสื่อสารเครื่องนี้ให้เธอฟัง“วิทยุเครื่องนี้ฉันเป็นคนบิวท์มันขึ้นมาเอง และล๊อคช่องเอาไว้ใช้แค่เพียงช่องเดียว ไม่มีใครสามารถจูนคลื่นความถี่มาตรงกับช่องนี้ได้ ”อันนาเหลือบตามองวิทยุสื่อสารด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ก็ยอมรับสิ่งนั้นไว้ ก่อนจะรีบเปิดประตูลงไป ด้วยกลัวว่าอาจมีใครมาเห็นเข้า แต่ผมก็ยังรั้งเธอเอาไว้“ เดี๋ยวสิ...อันนา”ผมรวบตัวเธอเข้ามาแนบชิดอีกครั้ง เพื่อจูบริมฝีปากบางสีเชอร์รี่ ที่เผยอขึ้นรับกับริมฝีปากของผม อย่างไม่ยอมให้เธอได้พักหายใจและสิ่งที่เธอทำได้นั่นก็คือ กำมือขึ้นมาทุบหน้าอกของผมหนักๆ เมื่อผมไม่ยอมปล่อยเ
เมื่อวานพี่อุลตร้ามาเคาะประตูห้อง คงต้องการจะขอโทษฉันนั่นแหละ แต่ฉันยังโกรธเขาอยู่ จึงไม่ยอมเปิดประตูเพื่อรับฟัง คำแก้ตัวอะไรจากเขาทั้งนั้นจนกระทั่งวันนี้...ฉันนั่งรถเมล์มาเรียนมหาลัย โดยที่ไม่ยอมให้คนเป็นพี่ชาย ขับรถมาส่งเหมือนเช่นทุกครั้ง เพราะยังโกรธเขาไม่หาย และรีบเดินเข้ามหาลัยไปอย่างเร่งด่วน เพราะจวนใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนกันแล้วนั่นแหละRrr! Rrr! Rrr!แต่โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย ที่ฉันได้เปิดระบบสั่นเอาไว้ ทำให้ฉันสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังโทรเข้ามาที่แรกก็คิดว่าจะปล่อยให้มันสั่น จนกว่ามันจะเงียบหายไปเอง แต่ด้วยเกรงว่าคนที่บ้าน อาจจะโทรเข้ามา เพราะมีธุระสำคัญแต่มันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดคิด และโคตรจะเซ็งกับชีวิต เมื่อมองเห็นชื่อของตองเก้า ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ“ โทรมาทำไม! หมาออกลูกเป็นควายหรือยังไงฮะ!....ฉันกำลังจะเข้าเรียนแล้ว ”ฉันกดรับ พลางตวาดเข้าไปในโทรศัพท์อย่างลืมกลัว เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกอีกฝ่าย ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวมากเกินไปเพราะฉันคิดว่าตัวเอง สามารถเบ่งใส่เขาได้ ในเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน หากฉันอยู่ต่อหน้าของตองเก้า ฉันก็ต้องทำเป็นกลัวเขาไว้ก
( เธออยู่กับใคร? ทำไมถึงได้กล้าเสียงดังใส่ฉันฮะ) ตองเก้าตะโกนถามฉันเข้ามาเสียงตึง ฉันจึงลดระดับอารมณ์ของตัวเองลงมา ก่อนจะตอบเขากลับไปว่า“ อยู่กับเพื่อน... ”(ผู้หญิง...ใช่มั้ย?)“ผู้ชาย...แถมยังหล่อกว่านายหลายเท่า”( ถ้าไม่อยากเน่าตาย บอกมันให้อยู่ห่างๆ จากเธอเอาไว้ )ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่อยากจะพูดกับผู้ชายคนนี้ ฉันจึงได้คิดหาวิธีที่จะทำให้อีกฝ่าย กดวางสายของเขาไปเอง“ แบ๊ตวิทยุของนายจะหมดแล้วนะ มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเร็วๆ เข้า ”( อย่ามาหลอกฉันซะให้ยาก แบตวิทยุนั่น เปิดทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนยังไงก็ไม่หมด ไม่มีทางที่เธอจะมาหลอกคนอย่างฉันได้ ) ฉันอยากจะลมใส่ ที่หลอกคนอย่างเขาไม่ได้สักที...เฮ้อ!“ แล้วจะเรียกฉันหาพระแสงอะไรยะ!! ”( ไหน...ว.3 อีกครั้งสิ ) ว.3 หมายความว่า ตองเก้าต้องการให้ฉัน ทบทวนข้อความกับเขาใหม่“ ก็..เรียกฉันทำไมบ่อยๆ...ละคะ ”( ฟังแล้วค่อยลื่นหูหน่อย...ฉันต้องการจะย้ำเธอถึงเรื่องของเราในค่ำคืนนี้ )“ ฉันรู้แล้ว! ”(จะให้ฉันไปรับเธอได้ที่ไหน?)“ ที่บ้านของหลินซีเพื่อนซี้ของฉันเอง...เดี๋ยวฉันปักหมุด แล้วจะส่งโลเคชั่นไปให้นาย...แค่นี้นะฉันจะได้ไป
และไม่ใช่ใครที่ไหน...นอกซะจากนายตองเก้า เจ้าของฉายามารบรรพกาลที่ฉันเป็นคนตั้งให้ร่างสูงโปร่งยืนพิงข้างประตูรถเก๋งคันหรูของตัวเอง...รถเก๋งที่ราคาของมันสำหรับคนธรรมดาอย่างฉัน ไม่สามารถจับต้องมันได้นัยน์ตาเจ้าของร่างใหญ่ ที่กำลังมองตรงมาที่ฉันนั้นฉายแววประหลาด มันคล้ายกับปีศาจร้าย ที่ดูน่าเกรงขามในยามราตรี ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้า และแสดงอาการไม่พอใจออกมา โดยไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ในจังหวะเดียวกันกับที่ฉัน ได้หันไปบอกกับหลินซีว่า“ฉันไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับ ”“เออ...ไปเถอะโชคดีว่ะเพื่อน ”หลินซีตบไหล่ พร้อมกับพยักหน้าให้เชิงเป็นกำลังใจ เมื่อได้เห็นสีหน้ากับท่าทางเซ็งๆ ของฉัน ที่แสดงออกมาโดยไม่คิดจะปิดบังอาการฉันหันมองทางด้านข้างของรถผ่านกระจกบานใส เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างกันด้านใน ได้เงียบเสียงของตัวเองลงไป ตั้งแต่ตอนที่เราได้ออกมาจากบ้านของหลินซี ถึงแม้ตองเก้าจะหน้าตาดีมากแค่ไหน ก็ไม่ทำให้ฉัน อยากจะหันไปมองหน้าเขาสักเท่าไหร่ เราปล่อยให้ระยะเวลาผ่านไป แต่แค่เพียงไม่กี่นาที ตองเก้าก็ได้ทำลายความเงียบนี้ลง“ยัยบื้อ! นี่เธอเห็นข้างทาง น่ามองกว่าหน้าของฉันอย่างงั้นเหรอ? ”‘เออดิ’...ฉัน
บ้าจริง!นี่คือสิ่งที่ฉันต้องได้รับจากการกระทำของตน หรือนั่นเป็นเพราะอีกคนตั้งใจ ให้มันเป็นไปตามเกมส์รุกไล่ ที่เขาได้เป็นคนกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ต้นไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ถูกอีกคน จูบฉันอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย ยกเว้นจะผละออกในบางช่วงจังหวะ เพื่อให้ฉันมีเวลาได้พักหายใจฝ่ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาลูบไล้ แล้วกอบกุมมันไว้ทั้งสองเต้า ที่เขาเคยบอกออกมาว่า มันมีลักษณะแบนราบยังกับฝาบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังบีบเคล้น และหยอกเล่นกับมัน โดยไม่ยอมละไปจากตรงนั้น ของฉันได้สักทีสายไส้ไก่ที่ผูกไว้หลังคอ ได้ถูกเขาดึงมันออกไปโดยไม่รู้ตัว เพราะฉันมัวแต่รู้สึกหวามไหว และเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของอีกฝ่าย ที่ทำให้ฉันไม่สามารถจะครองสติของตนเอาไว้ได้ และฉันก็รู้ว่าเขาชอบใจ ที่สามารถทำให้ฉันคล้อยตาม ในสิ่งที่เขากำลังชักนำ เขาถึงได้กล้าทำทุกอย่างบนเรือนร่างของฉัน ราวกับตัวเขานั้นเป็นเจ้าของ ที่สามารถครอบครองและจับต้องมันได้ แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น“ ฉันอยากได้เธอ...อันนา...”ตองเก้าผละหน้าออกมาบอกกับฉันเสียงสั่นพร่า ฉันจึงใช้เวลาในช่วงจังหวะนั้น ดันใบหน้าเขาออกห่าง พลางปฎิเสธเขากลับไป ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน“ไม่
ตองเก้าเอาเสื้อคลุมของเขามาให้ฉันใส่ทับ และพาฉันมาที่ผับแห่งหนึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าผับของพี่โจ้อี้ถึงสี่เท่า บรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ต่างเดินเข้าออกกันให้วุ่นวายตองเก้าเอาแขนขึ้นมาโอบไหล่ เพื่อกันไม่ให้ฉันเบี่ยงตัวหนีเขาไปไหนได้ ก่อนจะพาฉันเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน“ไอ้เก้า...ทางนี้โว๊ยเพื่อน ” มือที่วางไว้บนลาดไหล่ เลื่อนลงมากุมมือฉันไว้ แล้วพาเดินตรงไปหากลุ่มของเพื่อนชาย ที่มีคนหนึ่งให้สัญญาณด้วยการโบกมือไปมา และสีหน้าของทุกคนดูประหลาดใจ เมื่อได้เห็นผู้ชายจอมเจ้าชู้อย่างตองเก้า ยอมเอาผู้หญิงบ้านๆ อย่างฉันมาควงออกหน้า“อันนา...เป็นแฟนของฉัน ”แถมตองเก้ายังแนะนำฉัน ให้เพื่อนๆของเขาได้รู้จัก จากนั้นจึงหันมาพยักหน้าให้ฉันนั่งลงอยู่ตรงข้างกัน ก่อนจะพูดต่อจากนั้น“ อันนา...นี่คือเพื่อนๆ ของฉัน คนนี้ชื่อทริคเกอร์ นั่นชื่อต้นไทร ส่วนคนสุดท้ายนี่มีชื่อว่า ตีหนึ่ง ซึ่งทุกคนล้วนเป็นจิตอาสากู้ภัย ที่อยู่จุดเดียวกับฉัน และอยู่มหาลัยเดียวกันกับเรา ”ฉันเลื่อนสายตามองหน้าของพวกเขาทีละคน อย่างรู้สึกสนใจโดย่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ส่งยิ้มการค้าไปให้ จากนั้นเพื่อนชายของตองเก้า ที่มีชื่อว่าตีหนึ่ง ได้เอ่ยท
ยอมรับว่าฉันกำลังกลัวคนตัวใหญ่กว่า เมื่อได้เห็นทีท่า กับคำที่เขาพูดออกมา ราวกับคนไม่มีสติเพราะฤทธิ์ของเหล้าที่เขากินเข้าไปเขาน่าจะเมาแล้วนั่นแหละ แต่ก็รู้กันดีว่าไอ้พวกขี้เหล้าทั้งหลาย มันก็มักจะบอกว่าตัวเองไม่เมากันทั้งนั้น และฉันก็ไม่ควรจะอยู่ต่อ เพื่อรอให้เขาเชือดได้ง่ายๆ สู้เสี่ยงไปตายเอาดาบหน้าท่าจะดีกว่ากันพอคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงผลักเขาออกไปจนสุดกำลังที่มี ก่อนจะรีบวิ่งหนีโดยที่ไม่สนใจคนข้างหลัง“ เฮ้ยอันนา! อย่าเพิ่งออกไป...ฉิบหายแล้วกู! ”ฉันไม่ฟังเสียงของตองเก้าที่ตะโกนตามหลังของฉันมา รู้แค่ว่าเจ้าของร่างใหญ่กว่า กำลังวิ่งตามฉันมาติดๆ อย่างที่ไม่คิดจะปล่อยฉันไปฉันวิ่งชนโต๊ะ ชนเก้าอี้ และชนคน จนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แต่ก็พยายามยันตัวลุกขึ้นยืน แล้วยังฝืนวิ่งหนีเขาต่อพอกันที!ให้ฉันคบกับเขานั่นก็เกินจะทนไหว แต่ถึงขนาดต้องพลีกายทั้งที่ใจยังไม่พร้อม ฉันยอมตายเสียยังดีกว่า ปล่อยให้เขารังแกฉันเหมือนที่ผ่านมาเมื่อฉันวิ่งออกมาจากประตูทางเข้า ก็ถูกตองเก้าคว้าเอวเอาไว้ได้ในที่สุด และหยุดฉันไว้ด้วยการจับร่างของฉัน ดันเข้าไปจนแผ่นหลังติดกับผนังกำแพงฉันหอบหายใจแรงๆ พร้อมกับที่มีน
[ตองเก้า...จากต้นไทรวอสองเปลี่ยน]ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาแต่ไกล แต่เป็นความรู้สึกที่คลับคล้ายกับกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น...แล้วผมก็พยายามฝืนที่จะลืมตา[ไอ้เก้า!...มึงมัวทำห่าอะไรอยู่วะ...ทำไมมึงถึงไม่พาน้องมันมาสักที..กูกับหลินนั่งรอพวกมึงมาชั่วโมงกว่าๆ อีกสิบห้านาทีถ้ามึงยังไม่มา หลินบอกว่าจะไปหาอันนาที่เต๊นแล้วนะเว้ย]เสียงของไอ้ต้น! ที่เป็นคนเรียกชื่อผมดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร นั่นจึงทำให้ผมรีบหันไปคว้ามันมากดคีย์รับ"เออโทษทีว่ะ...อากาศกำลังดีมันเลยทำให้กูเผลอหลับไปพร้อมกับอันนา"[ มึงคิดว่ากูไม่รู้เลยงั้นสิ...ไอ้สันดาน ]"เออตามนั้น...ในเมื่อมึงรู้แล้วจะถามกูทำไม...บอกหลินด้วยว่าไม่ต้องมาเพราะกูกับอันนากำลังจะไป"ผมรีบตัดบทสนทนา ก่อนหันมองอันนาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี"ไอ้ต้นมันเรียกวิทยุตามเราสองคนน่ะ" ผมบอกเจ้าของใบหน้าน่ารัก ก่อนก้มลงไปจุ๊บริมฝีปากของเธอทีหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่น่าจะพอเพราะเมื่อผมผละออกมา อันนาก็รั้งต้นคอของผมให้ลงไปจูบกับเธออีกครั้งก่อนจะผละออก"ต่อกันไหม?...ฉันจะได้วิทยุบอกไอ้ต้นมันว่า ให้พาหลินไปเดินเที่ยวที่งานดนตรีกันก่อนไม่ต้องรอ""ขืนต่ออีกที ฉันคงได
วันสิ้นปี ณ.ที่เขาใหญ่{Unna part}เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราสองคนมากมาย จึงเป็นเหตุที่ทำให้การจัดกิจกรรม ของชมรมวิศวะไฟฟ้าคราวนั้นต้องถูกยกเลิกกลางคัน และหลังจากที่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้ ตองเก้าจึงจัดทริปเค้าดาวน์ที่เขาใหญ่เพราะเจ้าตัวเขาต้องการเอาใจฉันนั่นเองอยากรู้ใช่ไหมละ ว่าทำไมฉันถึงเลือกเค้าท์ดาวน์ข้ามปี ณ.ที่เขาใหญ่แห่งนี้..นั่นเป็นเพราะที่นี่มีงานลานดนตรีที่ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักครั้งซึ่งในบริเวณงานดังกล่าว จะมีพื้นที่ประมาณราวหนึ่งตารางกิโลเมตรเห็นจะได้ บริเวณด้านในจะประกอบไปด้วยเวทีต่าง ๆ ที่เอาไว้สำหรับให้นักร้องทั้งหลายขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตให้คนที่ตั้งใจมาในงานนี้ได้ฟัง ซึ่งแต่ละเวทีก็ยังแยกประเภทของดนตรีแต่ละแนวอย่างเช่น Jazz Pop Rock หรือลูกทุ่ง กระทั่งรำวงย้อนยุค รวมไปถึงการระเล่นต่างๆ อย่างมากมายที่นี่จึงเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางให้คนที่มีดนตรีในหัวใจได้มารวมตัวกัน เพราะมีเหล่าบรรดาศิลปินในดวงใจหลากหลาย ที่เราจะได้เห็นพวกเขามารวมตัวกันที่นี่นั่นเองและจุดที่เราเข้าพักก็จะอยู่ใกล้กับสถานที่ที่จัดงานลานดนตรี ซึ่งฉ
"ไม่ให้กลับ!...โอ๊ย!"ตองเก้าร้องเสียงดัง พลางทำหน้าแหยเพราะคงเจ็บแผลจากการเคลื่อนไหว ด้วยการใช้กำลังแขนของตัวเองมากเกินไป"ฉันบอกนายแล้วเห็นมั้ยว่าอย่าขยับ!..." ว่าแล้วฉันก็ค่อยๆ ประคองร่างใหญ่ให้นอนลงไปที่เดิม"ฉันไม่กลับแล้วก็ได้... ฉันขอโทษความจริงฉันไม่น่ายั่วให้นายโกรธเลย...เจ็บมากมั้ย?""เจ็บมาก..." เจ้าตัวพูดว่าเจ็บแถมยังเบะปาก จนฉันอยากจะขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้าตาของเขา"สามวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ทำฉันคิดถึงเธอมาก...จูบหน้าผากฉันหน่อยได้ไหม?"ตองเก้ากำลังอ้อนฉันด้วยการใช้คำพูดหวานๆ และมันก็ทำให้ฉันใจอ่อนกับเขาอีกตามเคย"แค่หน้าผากเองเหรอ?" ฉันถามขณะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากตามที่เขาร้องขอ จากนั้นจึงถามเขาต่อว่า"พอไหม?" แต่ฉันไม่ได้รอคำตอบอะไร เพราะฉันค่อยๆ จูบไล่จากหน้าผากลงมาจนถึงริมฝีปากของเขา แต่จูบแค่เพียงเบาๆ"เอาอีก..."เห็นไหมละ...ว่าพอเจ้าตัวได้คืบก็จะเอาศอก ฉันจึงได้บอกเขาออกไปว่า..."พอก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะถามนาย.." ฉันว่าพลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม"เรื่องอะไร?"“แหวนของนะโม อยู่กับแม่นายใช่ไหม ฉันอยากขอเอาไปคืนให้เขา”“อยู่ที่เอวา เอวาอาสาว่าจะเ
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องพิเศษของตองเก้าพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปมองหน้าของนะโมเพื่อขอกำลังใจนะโมพยักหน้าให้พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเชิงต้องการขออนุญาตคนที่อยู่ด้านใน แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เมื่อคนที่อยู่ด้านในกลับเป็นฝ่ายเปิดออกให้เอง“อันนา!...อันนามาแล้วค่ะแม่”เอวาร้องลั่นราวกับดีใจนักหนาเมื่อเห็นว่าเป็นฉัน ก่อนหันไปบอกคนเป็นมารดาที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับบิดาของเธอเรายกมือขึ้นไหว้พวกท่านพร้อมกัน และเมื่อเห็นว่าท่านรับไหว้ฉันกับนะโมจึงเดินตามหลังเอวาไปนั่งด้วยกันที่โซฟา แต่ทว่า..อยู่คนละฝั่ง และฉันเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ตรงกลางทุกคนในครอบครัวของตองเก้ารู้เรื่องราวของนะโมทุกอย่าง โดยผ่านการบอกเล่าจากฉันเมื่อสามวันที่ผ่านมา"เราใช่ไหมที่มีชื่อว่านะโม?..."แม่ของเอวาเลื่อนสายมาที่นะโมตอนถาม เพราะเมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเราอยู่โรงพยาบาล พวกท่านยังไม่ทันได้สังเกตใคร นอกฉันกับคนเป็นลูกชายของท่านเท่านั้น"ครับ.." นะโมตอบกลับสั้นๆ พอได้ยินอย่างนั้นท่านจึงได้พูดกับเขาในประโยคต่อไปอีกว่า"ครอบครัวของเราขอขอบใจเธอมากนะ ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของเราไว้ แล้วยังพาเขามา
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน จากชั่วโมงหนึ่งกลายเป็นสองสามสี่ และในชั่วโมงที่ห้านั่นเองที่ฉันได้เห็นร่างของหมอใหญ่เปิดประตูออกมา แล้วบอกกับพวกเราทุกคนว่า“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”ทุกคนเฮโลลั่นโรงพยาบาลประสานเสียงกัน จนถูกคุณหมอดุเข้าให้นั่นแหละถึงได้พากันเบาเสียงลงฉันเห็นคนเป็นพี่ชายพลอยดีใจร่วมไปกับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของทั้งสองคน มันยังคงไม่จืดจางฉันคิดว่าอย่างนั้นพี่อุนเดินมาโอบไหล่ฉันเชิงให้กำลังใจ ขณะเดียวกันก็ดึงฉันเข้าไปกอด ก่อนจะผละออกมาพูดว่า“แกกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ดูเสื้อผ้าของแกมีแต่เลือดอยู่เต็มไปหมด หมอบอกว่าไอ้เก้ามันพ้นขีดอันตรายแล้ว เราแค่รอให้มันฟื้นหมอถึงจะอนุญาตให้เราเข้าเยี่ยมมันได้"หลังจากที่พี่ชายบอกฉัน หลินซีก็เข้ามาพูดในทำนองเดียวกัน“ฉันก็คิดแบบพี่อุลนะ แกกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถอะ มอมแมมเป็นลูกหมาเลย”ฉันรับฟัง แต่ยังไม่ขยับไปไหน เนื่องจากฉันกำลังสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครบางคน“หลิน... นะโมละเขาไปไหน แกเห็นเขาไหม?” ฉันเอ่ยถามเอากับเพื่อนสนิทเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้ดี“นะโมกลับไปเอารถที่ห้าง
เราสองคนช่วยกันพยุงตองเก้าให้นอนราบไปกับพื้นรถทางด้านหลัง และนะโมยังจับดูชีพจรของตองเก้าอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยที่เราสองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยนะโมเปิดกระเป๋าร่วมยาแล้วล้วงเอาผ้าก๊อต มาปิดปากแผลให้ตองเก้าที่ด้านหน้า จากนั้นเราจึงช่วยกันพลิกร่างหนาเพื่อทำแผลให้เขาที่ด้านหลังเจ้าตัวทำหน้าแหยทุกครั้งนั่นแหละแต่ทว่ากลับไม่มีเสียงร้อง ผิดกับฉันที่มีน้ำตาไหลนองออกมา โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดไหลได้สักทีเมื่อปฐมพยายาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บเสร็จสรรพ ฉันจึงแจ้งทางศูนย์กลับไปว่า เราได้นำตองเก้าขึ้นรถกู้ชีพของเขาไปส่งโรงพยาบาลให้เอง โดยสั่งการให้ศูนย์ช่วยประสานกับทางโรงพยาบาลว่าให้เตรียมทุกอย่างไว้รอพอได้ยินเสียงฉัน พี่อุลจึงขึ้นความถี่เรียกขาน ทั้งอย่างนั้นเวลานี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันฉันไม่แคร์ เพราะฉันสนแค่คนที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันในตอนนี้เท่านั้นเองนะโมให้ฉันเอาผ้าสะอาดที่มีในกระเป๋า กดทับบาดแผลของตองเก้าเอาไว้อีกชั้น เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลออกมามาก จากนั้นเขาจึงใช้ผ้าด้ายดิบผืนใหญ่ที่มีไว้สำหรับห่อคนตาย แต่มันยังไม่ผ่านไช้งาน มาห่มให้ตองเก้าเพราะเราไ
ปัง!...ปัง !เสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดกัน ฉันถูกเกี่ยวเอวแล้วล้มลงไป พร้อมกับมีร่างใหญ่ของอีกคนทับฉันไว้ที่ด้านบนมีอะไรเกิดขึ้นกับเราทั้งสองคนงั้นเหรอ? “อันนา...เธอ...ปลอดภัยใช่ไหม?”ตองเก้าผงกหัวขึ้นมาถามฉันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งที่เขายังทับร่างของฉันอยู่ ถึงฉันจะจุกจนพูดไม่ออกแต่ก็พยายามเปล่งเสียงบอกเขากลับไปว่า“ฉันไม่เป็นไร..”พอได้ยินอย่างนั้นตองเก้าจึงใช้แขนยันตัวเองขึ้น ก่อนพลิกร่างใหญ่ออกไปนอนแผ่หลา ขณะที่ทำสีหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดจากอะไรสักอย่าง และฉันก็ได้เห็นเลือดที่ติดอยู่กลางลำตัวของเขาซึ่งเราทั้งสองคนเหมือนกันเพียงแต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บเท่านั้นเองเสียงปืนที่ดังขึ้นติดกันสองนัดเมื้อกี้ มีเราสองคนที่เป็นเป้าหมาย...ใช่ไหม? รึยังไง?“ตองเก้า!...นายถูกยิง!” ฉันอุทานเสียงดังอย่างรู้สึกตกใจ ก่อนช้อนแขนเข้าไปประคองศรีษะของเขาขึ้นมาวางไว้บนตักของฉัน จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือลูบไปทั่วใบหน้าขณะเดียวกันก็ตบแก้มเขาเบาๆ เชิงต้องการให้เขามีสติ“นายต้องไม่เป็นอะไร อดทนไว้นะตองเก้า...ฮื่อๆ ”ฉันร้องไห้ก่อนวางมือบางบนหลังมือใหญ่ ที่เขาใช้กดทับบาดแผลของตัวเองเอาไว้ทั้งสองข้าง ทั้งอย่างนั้นมัน
เราสองคนคุยกันถึงเรื่องทั่วไปมากมาย จนมาถึงเรื่องที่ฉันตั้งใจจะถามเขา...“อีกเดือนกว่าๆ มหาลัยของฉันก็จะปิดเทอมแล้วนะ ฉันอยากไปเที่ยวหานายที่อเมริกาบ้างน่ะ แล้วถ้าฉันไปนายพอจะมีเวลาว่างพาฉันเที่ยวที่นั่นบ้างได้ไหม?""ได้อยู่แล้วสิ...ไม่เห็นต้องทำหน้าเกรงใจแบบนั้นเลยนี่""ก็เราปิดเทอมไม่ตรงกัน ถึงตอนนั้นนายก็คงจะเรียนหนักมาก..งั้นฉันเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วดีกว่า ”"เวลาของฉันทั้งหมดเป็นของเธอ...อันนา""..!!!.."ฉันเบิกตากว้างพร้อมกับอ้าปากค้าง เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเพราะตั้งแต่นะโมเปิดเผยความรู้สึกที่มีให้ฉัน คำพูดของเขาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปพอๆ กับสายตาแต่เชื่อไหมละว่า...คำพูดคำจาและสายตา ที่มองฉันมาอย่างลึกซึ้งของอีกฝ่าย กลับไม่เคยทำให้หัวใจของฉันหวั่นไหว ซึ่งไม่เหมือนกับคำพูดและสายตาของใครบางคน ทั้งที่คำพูดเหล่านั้นมันไม่ใช่ของจริง“ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะแก้แค้น แต่เมื่อได้ใกล้ชิดเธอทีไรมันกลับทำให้ฉันลืมทุกอย่าง ลืมกระทั่งสิ่งที่ตั้งใจจะทำกับเธอ แล้วเผลอใจไปรักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อันนา...เธอช่วยให้โอกาสฉันได้แก้ตัวใหม่กับเธออีกครั้งได้ไหม? ”ตอนนี้คำพูดของตอ
“มึงคิดว่าน้องกูยังอยากจะคุยกับมึงอยู่อีกรึไง...มึงรีบกลับบ้านของมึงไปซะ ก่อนที่กูจะทนเห็นหน้ามึงไม่ได้”ไอ้อุลมันว่าผมเสียงเข้มและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ทว่าผมก็คงโกรธมันไม่ได้อยู่ดี“กูยอมรับว่ากูรักอันนา และไม่ได้คิดกับน้องของมึงอย่างที่กูได้พูดออกไป เป็นเพราะกูเข้าใจมึงผิด กูขอโทษ” ผมอยากให้มันหายโกรธจึงยอมลดตัวขอโทษมันก่อน และไอ้อุลมันก็ได้ย้อนผมกลับมาในเวลาเดียวกัน“กูไม่รับ! มึงรีบกลับบ้านไปเลยไป๊ บอกเอวาด้วยว่าไม่ต้องเสียเวลาโทรมาหากูอีก เพราะถึงยังไงกูก็ไม่ยกโทษให้พวกมึงทั้งคู่ ต่างคนต่างอยู่มึงกับกูไม่เคยรู้จักกัน รวมถึงอันนาน้องกูนั่นก็ด้วย”“มึงจะโกรธเกลียดกูกูไม่ว่า แต่กูอยากเจออันนาก่อน” “ตอนนี้น้องกูไม่อยู่! มึงฟังกูพูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ!” ไอ้อุลตะเบงเสียงดังใส่ แต่ผมไม่สนใจจะฟัง และยังคงถามมันกลับไปอย่างใจเย็น“แล้วอันนาไปไหน?”เพราะคิดว่าไอ้อุลมันกำลังกันท่า อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าที่มันบอกผมออกมานั่นจะจริงแท้สักแค่ไหน มันเกลียดผมเข้าไส้มันจึงพยายามกันผมออกไปให้พ้นจากน้องสาวของมันเท่านั้นที่ผมเข้าใจ“ในเมื่อมึงอยากจะรู้มากนักเป็นงั้นกูบอกมึงก็ได้ ว่าอันนาไปดูหนังกับผ