ยอมรับว่าฉันกำลังกลัวคนตัวใหญ่กว่า เมื่อได้เห็นทีท่า กับคำที่เขาพูดออกมา ราวกับคนไม่มีสติเพราะฤทธิ์ของเหล้าที่เขากินเข้าไปเขาน่าจะเมาแล้วนั่นแหละ แต่ก็รู้กันดีว่าไอ้พวกขี้เหล้าทั้งหลาย มันก็มักจะบอกว่าตัวเองไม่เมากันทั้งนั้น และฉันก็ไม่ควรจะอยู่ต่อ เพื่อรอให้เขาเชือดได้ง่ายๆ สู้เสี่ยงไปตายเอาดาบหน้าท่าจะดีกว่ากันพอคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงผลักเขาออกไปจนสุดกำลังที่มี ก่อนจะรีบวิ่งหนีโดยที่ไม่สนใจคนข้างหลัง“ เฮ้ยอันนา! อย่าเพิ่งออกไป...ฉิบหายแล้วกู! ”ฉันไม่ฟังเสียงของตองเก้าที่ตะโกนตามหลังของฉันมา รู้แค่ว่าเจ้าของร่างใหญ่กว่า กำลังวิ่งตามฉันมาติดๆ อย่างที่ไม่คิดจะปล่อยฉันไปฉันวิ่งชนโต๊ะ ชนเก้าอี้ และชนคน จนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แต่ก็พยายามยันตัวลุกขึ้นยืน แล้วยังฝืนวิ่งหนีเขาต่อพอกันที!ให้ฉันคบกับเขานั่นก็เกินจะทนไหว แต่ถึงขนาดต้องพลีกายทั้งที่ใจยังไม่พร้อม ฉันยอมตายเสียยังดีกว่า ปล่อยให้เขารังแกฉันเหมือนที่ผ่านมาเมื่อฉันวิ่งออกมาจากประตูทางเข้า ก็ถูกตองเก้าคว้าเอวเอาไว้ได้ในที่สุด และหยุดฉันไว้ด้วยการจับร่างของฉัน ดันเข้าไปจนแผ่นหลังติดกับผนังกำแพงฉันหอบหายใจแรงๆ พร้อมกับที่มีน
ฉันรู้สึกหวั่นเกรงเมื่อเห็นนักเลงพวกนั้น พากันเดินเข้ามาหาตองเก้าและเขาก็ไม่ยอมถอยเจ้าตัวทั้งหลบ และเตะต่อยพวกมันกลับไปด้วยชั้นเชิงที่มีเหนือกว่า แต่ก็ไม่สามารถจะต้านเอาไว้ได้ เพราะจำนวนคนของอีกฝ่าย ที่มีมากกว่าเราอยู่หลายเท่าตัว “ เฮ้ย!! ไอ้พวกหมาหมู่ กล้ารุมเพื่อนกู งั้นพวกมึงก็อย่าอยู่เลย! ”และแล้วสวรรค์ ก็เห็นใจในความดีของเขา จึงได้ส่งอัศวินขี่ม้าขาว ให้เข้ามาช่วยเราอีกตั้งหลายคนอัศวินที่ว่านั่นก็คือเพื่อนๆ ของตองเก้า ที่หายหัวไปกับพวกสาวๆ นั่นแหละ และอาจมีคนเห็นว่าทางด้านหลังของร้าน กำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ถึงได้รีบเข้าไปบอกคนที่อยู่ด้านใน พวกเขาถึงออกมาได้ทันเวลาพอดีเพื่อนๆ ของตองเก้า ต่างก็วิ่งเข้าไปช่วยกันตะลุมบอนคนของอีกฝ่าย จนตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นใครกันบ้างและเมื่อตองเก้ายันตัวลุกมาขึ้นได้ เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในกลุ่มของคนพวกนั้น แล้วฉันจะอยู่เฉยได้อย่างไร?สายตาของฉัน เหลือบไปเห็นไม้ท่อนหนึ่ง ฉันจึงหยิบมันขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะตัวเองไม่เคยมีเรื่องกับใคร อีกทั้งยังไม่เคยเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน.โพล๊ะ!ๆๆฉันได้ฟาดท่อนไม้ลงไปบนหลังของอีกฝ่าย ที่ม
"ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บตรงไหนบ้างมั้ยละ...มาให้ฉันดู?"ฉันเริ่มรู้สึกเจ็บหัวเข่า ตอนที่ได้ยินเขาถามนี่แหละ แล้วมันก็ลามไปที่สะโพกจนถึงต้นขา เพราะตอนที่กำลังวิ่งหนีเขาออกมา ฉันชนทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งตอนนั้นฉันยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะต้องการจะหนีเขาให้ได้เท่านั้นเอง.“ ขาเธอช้ำนี่ ใครเป็นคนทำฮะ พวกของไอ้กระจ๊วดรึไง? ” ตองเก้าเอ่ยถาม ขณะที่กวาดตามองไปทั่ว แล้วเห็นรอยจ้ำบนตัวของฉัน และได้รู้ในนาทีนั้น ว่าไอ้กระจ๊วดนั่นมันก็คือชื่อคน แต่ยังไม่ทำให้ฉันละความสนใจ“นายนั่นน่ะชื่อว่ากระจ๊วดจริงเหรอ? คืออะไร? มันมีความหมายในพจนานุกรมไหม? หรือว่าเป็นชื่อสัตว์ในตำนาน? ” ฉันยังคงตั้งคำถามมากมาย เพราะรู้สึกสงสัยไม่หาย หากไม่ได้ยินคำอธิบาย มันก็คงจะคาใจฉันไม่จบสิ้นตองเก้าขำพรืดออกมาทันทีที่ได้ยิน เพื่อให้ฉันสิ้นความสงสัย เขาจึงยอมอธิบายให้ฟัง“ มันชื่อ กระจั๊ว ที่แปลว่าแมลงสาปนั่นแหละ แต่แมลงสาปในที่นี้ เขาเอาไว้เปรียบกับผู้ชายที่ชอบเกาะผู้หญิงกิน เพียงแต่ฉันเปลี่ยนสรรพนามให้มันใหม่ ที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรม ในเมื่อเข้าใจแล้วก็เอารอยนั่นมาให้ฉันดูสิ”เขาเอื้อมมือมาในจังหวะนั้น ฉันจึงรีบดึงชายก
“ฉันอยากได้เธอ...อันนา”เขาผละออก แล้วบอกตอนที่วางฉันลงบนที่นอน ก่อนจะจูบฉันต่อจากนั้น ขณะเดียวกันก็จัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองไปด้วย จนเราทั้งคู่อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันทุกครั้งที่เขาต้องการฉัน เขาก็มักจะพูดประโยคนั้น และมันน่าจะฝังอยู่ในหัวของเจ้าตัวเขาไปแล้วคราวนี้เขาจูบฉันอย่างดูดดื่ม อีกทั้งยังอ่อนหวานและนุ่มนวล เชิงชวนให้ฉันคล้อยตาม แต่ยังคงไม่รุกล้ำร่างกาย คล้ายต้องการจะไล่ต้อนให้ฉันจนมุม แล้วยอมเขาเองด้วยการขบเม้ม และไล้เล็มริมฝีปากกดจูบฉันย้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนฉันต้องเป็นฝ่ายเผยอริมฝีปากให้ เขาจึงแทรกปลายลิ้นร้อนผ่าวของเขาเข้ามาได้คนเอาแต่ใจ!...และฉันก็ได้แต่คล้อยตามเขาไปได้เสียทุกครั้ง ทั้งที่ปากก็บอกออกไปว่า 'ไม่' นั่นแหละ...ตองเก้าทั้งเก่งและช่ำชอง เขารู้ว่าต้องทำยังไงแบบไหน ถึงทำให้ฉันยอมเขา โดยที่ไม่จำเป็นต้องบังคับเอา และฉันก็ยังให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดีทั้งที่รับรู้ทุกอย่างแต่มันเริ่มไม่มีสติสตัง เพราะฝ่ามือกว้างที่กำลังลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของฉัน ขณะที่ริมฝีปากของเขาก็ทำงานไปพร้อมกัน“อื้อ~~”ฉันครางอือ เมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนอ่อนนุ่ม แต่ทว่าชื้นแฉะแล
เสียงลมหายใจหอบหนักของเราทั้งคู่ บ่งบอกให้ฉันรู้ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันเอง หลังจากที่ได้ฟังตองเก้าพูดประโยคนั้นของเขาจบลง“ฉันพร้อมเป็นของเธอ แล้วเธอละพร้อมแล้วใช่มั้ย?”ฉันไม่ได้เอ่ยอะไร ได้แต่ยกแขนขึ้นไปกอดคอเขาไว้เชิงตอบรับ พร้อมกับจูบเขาก่อนอย่างที่ถูกสอนมา ขณะที่มือหนาของอีกฝ่าย ก็ลูบไล้สัมผัสร่างกายของฉันไปทั่วเนิ่นนานที่มีแค่เสียงจูบกันของเรา แล้วหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเขา เรียกชื่อฉันตามมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ในขณะที่ฉันยังหลับตาพริ้มอยู่“อันนา...”“...?...”“ให้ฉัน...เป็นของเธอนะ?”“อื้อ...นายเป็นของฉัน”ฉันตอบอย่างเผลอไผล ตามเขาไปราวกับคนไร้สติ ในบางช่วงจังหวะเวลาของอารมณ์เมื่อฉันตอบรับเขากลับไป ด้วยสติที่เหลือน้อยเต็มที มีหรือที่อีกคนจะรีรอ พอได้ยินอย่างนั้น ตองเก้าจึงแยกเรียวขาของฉันอ้าออก โดยที่ไม่ต้องบอกว่าเขาจะทำอะไรเพราะฉันรู้สึกได้ จากความเป็นชายที่แข็งแกร่งเป็นแท่งร้อน ซึ่งฉันได้เห็นมันตอนที่เขากำลังเอามันถูไถ กับส่วนอ่อนไหวกลางกาย นั่นทำให้ฉันต้องเบิกตากว้าง....อย่างรู้สึกตกใจ"นะ..นาย...ฉันไม่...อร้าย!"ปึ๊ก!หากฉันคิดเปลี่ยนใจ มันสามารถหยุดเขาเอาไว้ได
{TONGKAO PART}หมั่นเขี้ยวฉิบหาย!ตอนไหนเหรอ?ก็ตอนที่เห็นเธอทำหน้าฟินขณะที่ยังมีคราบน้ำตา กับที่ได้ยินเธอบอกออกมาว่าเสียวด้วยนั่นแหละและไม่ใช่แค่นั้น...อันนาเรียนรู้ได้ไว ถึงสนองตอบผมกลับมาได้ ในทุกจังหวะลีลาการเคลื่อนไหว เกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้ซะอีกยิ่งเห็นสีหน้าทรมานปนสุขสม ที่ผมเป็นคนปรนเปรอให้ ทำเอาผมแทบจะแตกออกมาเสียให้ได้ และถ้าเป็นจังหวะนั้น...ผมก็น่าจะชักมันออกมาไม่ทันแน่ๆแต่ช่างแม่งเหอะ!ในเมื่อผมตั้งใจจะสดกับเธอ มันก็ต้องมีเผลอไผลปล่อยไว้ข้างในกันบ้าง เพราะเธอทำให้ผมอารมณ์ค้าง จนลูกๆ ของผมต่างก็พากันมาจ่อรอ อยู่หน้าปากประตูทางเข้าของเจ้าตัว แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ยังพอจะอดทนอดกลั้นมันเอาไว้ได้สีหน้าของอันนาและดวงตาของเธอดูเร่าร้อน ในตอนที่เธอเผลอช้อนมันขึ้นมาสบตากับผม จนต้องก้มลงไปกดจูบกับเธอ และเผลอคิดไปไกลถึงครั้งต่อๆ ไปของเรา ยิ่งเธอตอดรัดตัวตนของผมถี่ๆ เข้า ทำเอาผมแทบทนรอต่อไปไม่ไหว"อันนา...ซี้ด~~ของเธอโคตรวิเศษ...แล้วก็เด็ดมาก!"ผมครางซี้ดเสียว ขณะเดียวกันก็ยกฝ่ามือกว้าง ขึ้นมาขยำหน้าอกของเธอทั้งสองข้าง พลางดูดเลียปลายถันสลับกันไปมา ขณะที่ช่วงล่างก็ยังรุกเร้า และ
{Unna part} ตองเก้ายอมพาฉันไปส่งที่บ้านของหลินซี ตามที่ฉันร้องขอเขาตอนที่เราอยู่ในห้องน้ำด้วยกัน แต่เขามีข้อแม้กับฉันว่าห้ามขัดขืน หากเขาจะขอชื่นใจกับร่างกายของฉันบ้าง โดยที่ไม่ได้รุกล้ำเข้ามาข้างใน แล้วฉันจะปฎิเสธเขากลับไปได้มั้ย ในเมื่อเขาไม่เหลือทางเลือกอะไรให้ฉันเลย...“ยังเจ็บมากมั้ย?” ตองเก้าเอ่ยถาม ขณะที่เปิดประตูอีกฝั่ง ให้ฉันได้เข้ามานั่งอยู่ในรถ“นิดหน่อย..ไม่เท่าไหร่”ฉันปดคำใหญ่ ทั้งที่รู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งร่างกาย แต่เขาไม่จำเป็นต้องรับรู้ขนาดนั้น เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรเจ้าของร่างใหญ่ปรับเบาะให้ฉันนอน ก่อนกดจมูกโด่งลงมาบนแก้ม แล้วสูดมันเข้าไปจนสุดแรง....ตอนนี้หน้าของฉันต้องแดงมากแน่ๆ แต่เขาคงไม่เห็นหรอก ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้เลิกอาย ในเมื่อเขาก็ทำอะไรกับร่างกายของฉันไปตั้งหลายอย่าง จนไร้หนทางที่จะปัดป้อง“เธอเป็นเมียของฉันแล้วนะอันนา...”“.......”เขาบอกย้ำถึงสถานะของฉัน ทั้งที่มันไม่น่าจะเรียกแบบนั้นได้ และฉันก็เลือกที่จะเงียบเสียงของตัวเองลงไป แต่อีกฝ่ายกลับย่อตัวลงนั่ง ให้สายตาของเราทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนจะพูดประโยคต่อมากับฉันเพื่อย้ำสถานะขอ
{TONGKAO PART} หลังจากวันที่เรามีอะไรกัน ผมไม่ได้ติดต่อกับอันนาอีกเลย ยอมรับว่ากลัวใจตัวเองไปซะเฉยๆ แทนที่จะทำให้เธอเป็นคนหวั่นไหว แต่ตัวเองนี่แหละที่กลับไปไม่เป็นถึงแม้ผมจะหายไป แต่ดูเหมือนเธอไม่ทุกข์ร้อน และค่อนข้างสบายใจเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีผมคอยทำให้เธอต้องรำคาญใจ ผมเดาได้จากเสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า ในเวลาที่เธอได้อยู่กับพวกเพื่อนๆที่ผมรู้...นั่นเป็นเพราะผมเอง ที่แอบไปซุ่มดูเธออยู่ทุกวันผมนั่งมองแก้วเหล้าตรงหน้า ด้วยสายตาว่างเปล่า รู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งยั่วเย้าที่อยู่รอบกาย จนเพื่อนๆ ต่างก็พากันสังเกตได้“ เป็นอะไรวะ คลาสโนว่าอันดับหนึ่งอย่างมึง ทำไมถึงนั่งทำตัวเป็นฤๅษีไปได้ ”ต้นไทรตบไหล่แซวขณะเอ่ยถาม แล้วก็มีเสียงของตีหนึ่งตามมาต่อจากนั้น“ไอ้เก้ามึงจะเอาสาวสักคนไหม? เดี๋ยวกูเรียกให้ ” ไม่ว่าเปล่ามันยังหันไปกวักมือเรียกสาวๆ ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ซึ่งบรรดาสาวๆ เหล่านั้น ก็ดูหมือนจะสนใจพวกเราอยู่เหมือนกัน“ ยังก่อน...กูอยากอยู่คนเดียว ”ผมบอกเพื่อนออกไปด้วยอาการเฉยชาไม่รู้สึกรู้สาอะไร“แล้วมึงจะมาทำไมวะเนี่ย...เหี้ย!หลงรูแล้วสิมึงอ่ะ กูบอกแล้วนะว่าอย่าไ
[ตองเก้า...จากต้นไทรวอสองเปลี่ยน]ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาแต่ไกล แต่เป็นความรู้สึกที่คลับคล้ายกับกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น...แล้วผมก็พยายามฝืนที่จะลืมตา[ไอ้เก้า!...มึงมัวทำห่าอะไรอยู่วะ...ทำไมมึงถึงไม่พาน้องมันมาสักที..กูกับหลินนั่งรอพวกมึงมาชั่วโมงกว่าๆ อีกสิบห้านาทีถ้ามึงยังไม่มา หลินบอกว่าจะไปหาอันนาที่เต๊นแล้วนะเว้ย]เสียงของไอ้ต้น! ที่เป็นคนเรียกชื่อผมดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร นั่นจึงทำให้ผมรีบหันไปคว้ามันมากดคีย์รับ"เออโทษทีว่ะ...อากาศกำลังดีมันเลยทำให้กูเผลอหลับไปพร้อมกับอันนา"[ มึงคิดว่ากูไม่รู้เลยงั้นสิ...ไอ้สันดาน ]"เออตามนั้น...ในเมื่อมึงรู้แล้วจะถามกูทำไม...บอกหลินด้วยว่าไม่ต้องมาเพราะกูกับอันนากำลังจะไป"ผมรีบตัดบทสนทนา ก่อนหันมองอันนาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี"ไอ้ต้นมันเรียกวิทยุตามเราสองคนน่ะ" ผมบอกเจ้าของใบหน้าน่ารัก ก่อนก้มลงไปจุ๊บริมฝีปากของเธอทีหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่น่าจะพอเพราะเมื่อผมผละออกมา อันนาก็รั้งต้นคอของผมให้ลงไปจูบกับเธออีกครั้งก่อนจะผละออก"ต่อกันไหม?...ฉันจะได้วิทยุบอกไอ้ต้นมันว่า ให้พาหลินไปเดินเที่ยวที่งานดนตรีกันก่อนไม่ต้องรอ""ขืนต่ออีกที ฉันคงได
วันสิ้นปี ณ.ที่เขาใหญ่{Unna part}เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราสองคนมากมาย จึงเป็นเหตุที่ทำให้การจัดกิจกรรม ของชมรมวิศวะไฟฟ้าคราวนั้นต้องถูกยกเลิกกลางคัน และหลังจากที่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้ ตองเก้าจึงจัดทริปเค้าดาวน์ที่เขาใหญ่เพราะเจ้าตัวเขาต้องการเอาใจฉันนั่นเองอยากรู้ใช่ไหมละ ว่าทำไมฉันถึงเลือกเค้าท์ดาวน์ข้ามปี ณ.ที่เขาใหญ่แห่งนี้..นั่นเป็นเพราะที่นี่มีงานลานดนตรีที่ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักครั้งซึ่งในบริเวณงานดังกล่าว จะมีพื้นที่ประมาณราวหนึ่งตารางกิโลเมตรเห็นจะได้ บริเวณด้านในจะประกอบไปด้วยเวทีต่าง ๆ ที่เอาไว้สำหรับให้นักร้องทั้งหลายขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตให้คนที่ตั้งใจมาในงานนี้ได้ฟัง ซึ่งแต่ละเวทีก็ยังแยกประเภทของดนตรีแต่ละแนวอย่างเช่น Jazz Pop Rock หรือลูกทุ่ง กระทั่งรำวงย้อนยุค รวมไปถึงการระเล่นต่างๆ อย่างมากมายที่นี่จึงเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางให้คนที่มีดนตรีในหัวใจได้มารวมตัวกัน เพราะมีเหล่าบรรดาศิลปินในดวงใจหลากหลาย ที่เราจะได้เห็นพวกเขามารวมตัวกันที่นี่นั่นเองและจุดที่เราเข้าพักก็จะอยู่ใกล้กับสถานที่ที่จัดงานลานดนตรี ซึ่งฉ
"ไม่ให้กลับ!...โอ๊ย!"ตองเก้าร้องเสียงดัง พลางทำหน้าแหยเพราะคงเจ็บแผลจากการเคลื่อนไหว ด้วยการใช้กำลังแขนของตัวเองมากเกินไป"ฉันบอกนายแล้วเห็นมั้ยว่าอย่าขยับ!..." ว่าแล้วฉันก็ค่อยๆ ประคองร่างใหญ่ให้นอนลงไปที่เดิม"ฉันไม่กลับแล้วก็ได้... ฉันขอโทษความจริงฉันไม่น่ายั่วให้นายโกรธเลย...เจ็บมากมั้ย?""เจ็บมาก..." เจ้าตัวพูดว่าเจ็บแถมยังเบะปาก จนฉันอยากจะขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้าตาของเขา"สามวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ทำฉันคิดถึงเธอมาก...จูบหน้าผากฉันหน่อยได้ไหม?"ตองเก้ากำลังอ้อนฉันด้วยการใช้คำพูดหวานๆ และมันก็ทำให้ฉันใจอ่อนกับเขาอีกตามเคย"แค่หน้าผากเองเหรอ?" ฉันถามขณะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากตามที่เขาร้องขอ จากนั้นจึงถามเขาต่อว่า"พอไหม?" แต่ฉันไม่ได้รอคำตอบอะไร เพราะฉันค่อยๆ จูบไล่จากหน้าผากลงมาจนถึงริมฝีปากของเขา แต่จูบแค่เพียงเบาๆ"เอาอีก..."เห็นไหมละ...ว่าพอเจ้าตัวได้คืบก็จะเอาศอก ฉันจึงได้บอกเขาออกไปว่า..."พอก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะถามนาย.." ฉันว่าพลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม"เรื่องอะไร?"“แหวนของนะโม อยู่กับแม่นายใช่ไหม ฉันอยากขอเอาไปคืนให้เขา”“อยู่ที่เอวา เอวาอาสาว่าจะเ
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องพิเศษของตองเก้าพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปมองหน้าของนะโมเพื่อขอกำลังใจนะโมพยักหน้าให้พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเชิงต้องการขออนุญาตคนที่อยู่ด้านใน แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เมื่อคนที่อยู่ด้านในกลับเป็นฝ่ายเปิดออกให้เอง“อันนา!...อันนามาแล้วค่ะแม่”เอวาร้องลั่นราวกับดีใจนักหนาเมื่อเห็นว่าเป็นฉัน ก่อนหันไปบอกคนเป็นมารดาที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับบิดาของเธอเรายกมือขึ้นไหว้พวกท่านพร้อมกัน และเมื่อเห็นว่าท่านรับไหว้ฉันกับนะโมจึงเดินตามหลังเอวาไปนั่งด้วยกันที่โซฟา แต่ทว่า..อยู่คนละฝั่ง และฉันเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ตรงกลางทุกคนในครอบครัวของตองเก้ารู้เรื่องราวของนะโมทุกอย่าง โดยผ่านการบอกเล่าจากฉันเมื่อสามวันที่ผ่านมา"เราใช่ไหมที่มีชื่อว่านะโม?..."แม่ของเอวาเลื่อนสายมาที่นะโมตอนถาม เพราะเมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเราอยู่โรงพยาบาล พวกท่านยังไม่ทันได้สังเกตใคร นอกฉันกับคนเป็นลูกชายของท่านเท่านั้น"ครับ.." นะโมตอบกลับสั้นๆ พอได้ยินอย่างนั้นท่านจึงได้พูดกับเขาในประโยคต่อไปอีกว่า"ครอบครัวของเราขอขอบใจเธอมากนะ ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของเราไว้ แล้วยังพาเขามา
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน จากชั่วโมงหนึ่งกลายเป็นสองสามสี่ และในชั่วโมงที่ห้านั่นเองที่ฉันได้เห็นร่างของหมอใหญ่เปิดประตูออกมา แล้วบอกกับพวกเราทุกคนว่า“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”ทุกคนเฮโลลั่นโรงพยาบาลประสานเสียงกัน จนถูกคุณหมอดุเข้าให้นั่นแหละถึงได้พากันเบาเสียงลงฉันเห็นคนเป็นพี่ชายพลอยดีใจร่วมไปกับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของทั้งสองคน มันยังคงไม่จืดจางฉันคิดว่าอย่างนั้นพี่อุนเดินมาโอบไหล่ฉันเชิงให้กำลังใจ ขณะเดียวกันก็ดึงฉันเข้าไปกอด ก่อนจะผละออกมาพูดว่า“แกกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ดูเสื้อผ้าของแกมีแต่เลือดอยู่เต็มไปหมด หมอบอกว่าไอ้เก้ามันพ้นขีดอันตรายแล้ว เราแค่รอให้มันฟื้นหมอถึงจะอนุญาตให้เราเข้าเยี่ยมมันได้"หลังจากที่พี่ชายบอกฉัน หลินซีก็เข้ามาพูดในทำนองเดียวกัน“ฉันก็คิดแบบพี่อุลนะ แกกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถอะ มอมแมมเป็นลูกหมาเลย”ฉันรับฟัง แต่ยังไม่ขยับไปไหน เนื่องจากฉันกำลังสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครบางคน“หลิน... นะโมละเขาไปไหน แกเห็นเขาไหม?” ฉันเอ่ยถามเอากับเพื่อนสนิทเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้ดี“นะโมกลับไปเอารถที่ห้าง
เราสองคนช่วยกันพยุงตองเก้าให้นอนราบไปกับพื้นรถทางด้านหลัง และนะโมยังจับดูชีพจรของตองเก้าอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยที่เราสองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยนะโมเปิดกระเป๋าร่วมยาแล้วล้วงเอาผ้าก๊อต มาปิดปากแผลให้ตองเก้าที่ด้านหน้า จากนั้นเราจึงช่วยกันพลิกร่างหนาเพื่อทำแผลให้เขาที่ด้านหลังเจ้าตัวทำหน้าแหยทุกครั้งนั่นแหละแต่ทว่ากลับไม่มีเสียงร้อง ผิดกับฉันที่มีน้ำตาไหลนองออกมา โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดไหลได้สักทีเมื่อปฐมพยายาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บเสร็จสรรพ ฉันจึงแจ้งทางศูนย์กลับไปว่า เราได้นำตองเก้าขึ้นรถกู้ชีพของเขาไปส่งโรงพยาบาลให้เอง โดยสั่งการให้ศูนย์ช่วยประสานกับทางโรงพยาบาลว่าให้เตรียมทุกอย่างไว้รอพอได้ยินเสียงฉัน พี่อุลจึงขึ้นความถี่เรียกขาน ทั้งอย่างนั้นเวลานี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันฉันไม่แคร์ เพราะฉันสนแค่คนที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันในตอนนี้เท่านั้นเองนะโมให้ฉันเอาผ้าสะอาดที่มีในกระเป๋า กดทับบาดแผลของตองเก้าเอาไว้อีกชั้น เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลออกมามาก จากนั้นเขาจึงใช้ผ้าด้ายดิบผืนใหญ่ที่มีไว้สำหรับห่อคนตาย แต่มันยังไม่ผ่านไช้งาน มาห่มให้ตองเก้าเพราะเราไ
ปัง!...ปัง !เสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดกัน ฉันถูกเกี่ยวเอวแล้วล้มลงไป พร้อมกับมีร่างใหญ่ของอีกคนทับฉันไว้ที่ด้านบนมีอะไรเกิดขึ้นกับเราทั้งสองคนงั้นเหรอ? “อันนา...เธอ...ปลอดภัยใช่ไหม?”ตองเก้าผงกหัวขึ้นมาถามฉันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งที่เขายังทับร่างของฉันอยู่ ถึงฉันจะจุกจนพูดไม่ออกแต่ก็พยายามเปล่งเสียงบอกเขากลับไปว่า“ฉันไม่เป็นไร..”พอได้ยินอย่างนั้นตองเก้าจึงใช้แขนยันตัวเองขึ้น ก่อนพลิกร่างใหญ่ออกไปนอนแผ่หลา ขณะที่ทำสีหน้าคล้ายกำลังเจ็บปวดจากอะไรสักอย่าง และฉันก็ได้เห็นเลือดที่ติดอยู่กลางลำตัวของเขาซึ่งเราทั้งสองคนเหมือนกันเพียงแต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บเท่านั้นเองเสียงปืนที่ดังขึ้นติดกันสองนัดเมื้อกี้ มีเราสองคนที่เป็นเป้าหมาย...ใช่ไหม? รึยังไง?“ตองเก้า!...นายถูกยิง!” ฉันอุทานเสียงดังอย่างรู้สึกตกใจ ก่อนช้อนแขนเข้าไปประคองศรีษะของเขาขึ้นมาวางไว้บนตักของฉัน จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือลูบไปทั่วใบหน้าขณะเดียวกันก็ตบแก้มเขาเบาๆ เชิงต้องการให้เขามีสติ“นายต้องไม่เป็นอะไร อดทนไว้นะตองเก้า...ฮื่อๆ ”ฉันร้องไห้ก่อนวางมือบางบนหลังมือใหญ่ ที่เขาใช้กดทับบาดแผลของตัวเองเอาไว้ทั้งสองข้าง ทั้งอย่างนั้นมัน
เราสองคนคุยกันถึงเรื่องทั่วไปมากมาย จนมาถึงเรื่องที่ฉันตั้งใจจะถามเขา...“อีกเดือนกว่าๆ มหาลัยของฉันก็จะปิดเทอมแล้วนะ ฉันอยากไปเที่ยวหานายที่อเมริกาบ้างน่ะ แล้วถ้าฉันไปนายพอจะมีเวลาว่างพาฉันเที่ยวที่นั่นบ้างได้ไหม?""ได้อยู่แล้วสิ...ไม่เห็นต้องทำหน้าเกรงใจแบบนั้นเลยนี่""ก็เราปิดเทอมไม่ตรงกัน ถึงตอนนั้นนายก็คงจะเรียนหนักมาก..งั้นฉันเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วดีกว่า ”"เวลาของฉันทั้งหมดเป็นของเธอ...อันนา""..!!!.."ฉันเบิกตากว้างพร้อมกับอ้าปากค้าง เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเพราะตั้งแต่นะโมเปิดเผยความรู้สึกที่มีให้ฉัน คำพูดของเขาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปพอๆ กับสายตาแต่เชื่อไหมละว่า...คำพูดคำจาและสายตา ที่มองฉันมาอย่างลึกซึ้งของอีกฝ่าย กลับไม่เคยทำให้หัวใจของฉันหวั่นไหว ซึ่งไม่เหมือนกับคำพูดและสายตาของใครบางคน ทั้งที่คำพูดเหล่านั้นมันไม่ใช่ของจริง“ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะแก้แค้น แต่เมื่อได้ใกล้ชิดเธอทีไรมันกลับทำให้ฉันลืมทุกอย่าง ลืมกระทั่งสิ่งที่ตั้งใจจะทำกับเธอ แล้วเผลอใจไปรักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อันนา...เธอช่วยให้โอกาสฉันได้แก้ตัวใหม่กับเธออีกครั้งได้ไหม? ”ตอนนี้คำพูดของตอ
“มึงคิดว่าน้องกูยังอยากจะคุยกับมึงอยู่อีกรึไง...มึงรีบกลับบ้านของมึงไปซะ ก่อนที่กูจะทนเห็นหน้ามึงไม่ได้”ไอ้อุลมันว่าผมเสียงเข้มและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ทว่าผมก็คงโกรธมันไม่ได้อยู่ดี“กูยอมรับว่ากูรักอันนา และไม่ได้คิดกับน้องของมึงอย่างที่กูได้พูดออกไป เป็นเพราะกูเข้าใจมึงผิด กูขอโทษ” ผมอยากให้มันหายโกรธจึงยอมลดตัวขอโทษมันก่อน และไอ้อุลมันก็ได้ย้อนผมกลับมาในเวลาเดียวกัน“กูไม่รับ! มึงรีบกลับบ้านไปเลยไป๊ บอกเอวาด้วยว่าไม่ต้องเสียเวลาโทรมาหากูอีก เพราะถึงยังไงกูก็ไม่ยกโทษให้พวกมึงทั้งคู่ ต่างคนต่างอยู่มึงกับกูไม่เคยรู้จักกัน รวมถึงอันนาน้องกูนั่นก็ด้วย”“มึงจะโกรธเกลียดกูกูไม่ว่า แต่กูอยากเจออันนาก่อน” “ตอนนี้น้องกูไม่อยู่! มึงฟังกูพูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ!” ไอ้อุลตะเบงเสียงดังใส่ แต่ผมไม่สนใจจะฟัง และยังคงถามมันกลับไปอย่างใจเย็น“แล้วอันนาไปไหน?”เพราะคิดว่าไอ้อุลมันกำลังกันท่า อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าที่มันบอกผมออกมานั่นจะจริงแท้สักแค่ไหน มันเกลียดผมเข้าไส้มันจึงพยายามกันผมออกไปให้พ้นจากน้องสาวของมันเท่านั้นที่ผมเข้าใจ“ในเมื่อมึงอยากจะรู้มากนักเป็นงั้นกูบอกมึงก็ได้ ว่าอันนาไปดูหนังกับผ