เวลา 11.59 น.
@ ห้องเรียน ตึกคณะบริหารธุรกิจ
“อีกหนึ่งนาทีเท่านั้น”
ซูมี่นั่งจ้องนาฬิกาแขวนติดผนังรอเข็มนาทีชี้ตรงเลข 12 อย่างไม่ละสายตา จนเพื่อนสาวฝาแฝดคนสนิทอย่างต้นข้าวกับต้นรักต่างหันหน้าไปมองเธอด้วยความสงสัย
“ยัยมี่ ฉันเห็นแกมองนาฬิกาตั้งแต่ต้นคาบแล้วนะ” ต้นข้าวเอ่ย
“สงสัยต้องมีนัดแหง ๆ นัดเดตกับผู้บ่าวใช่ไหมมีมี่” ต้นรักแทรกถาม
“คนอย่างยัยมี่จะนัดผู้ชายเหรอ ทุกวันนี้ผู้ชายมาดักรอหน้าตึกเรียนตั้งไม่รู้กี่คน มันแทบจะไม่ชายตามองสักคนเลย”
ฝาแฝดทั้งสองคนแม้จะหน้าตาพิมพ์เดียวกันเป๊ะ แต่นิสัยหรือความคิดนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
ฝาแฝดผู้พี่ ‘ต้นข้าว’ จะเป็นคนชอบพูดตรงไปตรงมา รับได้ก็รับ รับไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน ชนิดที่เรียกว่า ‘ขวานผ่าซาก’ อีกทั้งความคิดของเธออิงทุกสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ละเมอเพ้อฝันเรื่องไร้สาระโดยเฉพาะกับเรื่องความรัก
ขณะที่ฝาแฝดผู้น้อง ‘ต้นรัก’ มักเป็นคนพูดจาถนอมน้ำใจผู้อื่น พูดจาน่าฟังและรื่นหูในทำนอง ‘บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น’ ความคิดก็ตรงกันข้ามกับแฝดคนพี่ เธอมองว่าทุกคนต่างมีความฝันและสามารถทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ยิ่งกับความรักเธอถือว่าเป็นศิราณีตัวแม่ที่พร้อมตอบปัญหาหัวใจให้กับเพื่อนชายหญิงทุกคู่ แม้ว่าตัวหล่อนเองจะยังไม่มีเคยมีแฟนก็ตาม
เวลา 12.00 น.
“เย้! เที่ยงสักที” ซูมี่รีบเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนเข้ากระเป๋าหิ้วก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง
“อ้าวเฮ้ย! ไม่บอกกล่าวเพื่อนฝูงเลยว่าจะไปไหนยัยมี่”
ต้นข้าวตะโกนสุดเสียงไปถึงเพื่อนรักที่กำลังจะเดินพ้นบานประตูห้องเรียน คนที่ถูกเรียกรีบเบรกฝีเท้าก่อนจะหันมายิ้มตาสระอิให้กับเพื่อนหญิง
“ซอรี่พวกแก ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องทำไว้มาเล่าให้ฟังทีหลังนะ”
เมื่อพูดจบซูมี่ก็สับขาวิ่งออกไปจากห้องทันที ปล่อยให้เพื่อนรักทั้งสองมีเครื่องหมายคำถามบนหัว
“ต้นข้าว ฉันว่าใช่เรื่องนี้แน่”
ต้นรักยื่นมือถือให้ดูข่าวติดเทรนด์ในโลกออนไลน์ พาดหัวข่าวเด่นชัดด้วยตัวอักษรตัวหนา
‘ต้อนรับการกลับมา ทายาทโรงแรมและรีสอร์ตชื่อดัง HTND’
“ไม่ผิดแน่ แต่เตรียมผ้าซับน้ำตาให้มันหน่อยก็แล้วกันยัยรัก”
“อ้าวทำไมล่ะข้าว มีมี่จะเสียใจเรื่องอะไรในเมื่อคนที่ชอบมาตั้งนานกลับมาแล้ว”
“แก...เขาหายจ๋อมจากยัยมี่ไปตั้งกี่ปี อยู่ ๆ ก็กลับมาป่านนี้ พกเมียแถมลูกกลับมาจากต่างประเทศด้วยชัวร์”
“ยัยข้าว! ห้ามพูดแบบนี้ให้มีมี่ได้ยินเด็ดขาดนะ เราต้องให้กำลังใจเพื่อนสิ เขาอาจจะยังไม่มีก็ได้ ใครจะไปรู้”
ต้นรักเอามือปิดปากต้นข้าวไม่ให้พูดจาแนวนี้อีก เธอกลัวจะไปบั่นทอนความรู้สึกของซูมี่หากเธอมาได้ยินเข้า
“ใครจะไปรู้เนี่ยแหละตัวดีเลย หวังว่าจะเป็นอย่างที่แกคิดก็แล้วกัน”
แม้ว่าต้นข้าวจะมีความเห็นต่างกับต้นรัก ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนสาวอยู่ไม่น้อย หากไม่เป็นไปตามที่ต้นรักคิดเอาไว้คนที่จะเจ็บมากที่สุดคือซูมี่
@ HTND Hotel, Bangkok
เวลา 13.00 น.
มุมมองของซูมี่ ♥
แท็กซี่คันสีเขียวตัดสีเหลืองพาฉันมาส่งที่หน้าประตูทางเข้าหลักของโรงแรม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มา สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำการพบกันครั้งแรกของฉันกับพี่อลัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาเปลี่ยนไปตามกาลเวลา สนามหญ้าทางด้านซ้ายมือที่เจ้าซิงอีเคยวิ่งเล่นถูกแทนที่เป็นร้านกาแฟในสวนเรียบร้อย ส่วนขอนไม้ที่ฉันเคยนั่งแหมะดันกลายเป็นลานน้ำตกจำลองไปเสียแล้ว แม้ว่าทุกอย่างรอบตัวดูเปลี่ยนไป หวังเพียงพี่อลันนั้นยังเหมือนเดิมก็พอ
ตื่นเต้นแทบบ้าที่จะได้เจอหน้าเขา หน้าฉันมันแผลบไหม สีปากดูซีดไปหรือเปล่า นี่ฉันสวยพอหรือยังนะ ฉันตั้งคำถามตัวเองราวกับเป็นคนบ้าที่เสียสติ คุณพระ! นั่นไง...ดันลืมของฝากติดไม้ติดมือจนได้ ซูมี่เอ๊ย! เอ็งจะมาสมองเบลอแบบนี้ไม่ได้ เอาล่ะต้องหาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากพี่อลันเสียแล้ว เครื่องดื่มที่ร้านกาแฟตรงนั้นดีกว่า...
“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง รับอะไรดีคะ”
“มีชาอู่หลงไหมคะ”
“เอ่อคุณผู้หญิงคะ ร้านเราเป็นร้านกาแฟค่ะ” ทราบค่าว่าคือร้านกาแฟ แต่จะไม่มีเมนูชาบ้างเลยเหรอ เมนูทางเลือกสำหรับแขกอะ You know?
“ไม่มีเมนูชาเลยเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ รับเป็นกาแฟแทนไหมคะ”
ใครมันเป็นคนคิดเมนูเครื่องดื่มให้ร้านนี้กันนะ รู้กันไหมเนี่ยว่าลูกเจ้าของโรงแรมเขาชอบดื่มชาอู่หลงจะตาย ไม่มีได้ยังไงก่อน
“ลาเต้เย็น 1 อเมริกาโน่ 1 ค่ะ”
ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดสักจึงสั่งตามใจตัวเองไป อเมริกาโน่ยกให้พี่อลัน ส่วนลาเต้เย็นนั้นของฉันเอง ถามว่าพี่อลันชอบดื่มอเมริกาโน่ใช่หรือเปล่า...เอ่อก็ต้องมาลุ้นกันอีกที
เมื่อซื้อเครื่องดื่มเสร็จสรรพ ฉันก็หิ้วถุงรักษ์โลกที่เต็มไปด้วยแก้วเครื่องดื่มเข้าไปในตัวโรงแรมและเดินตรงไปยังโต๊ะแผนกต้อนรับ
“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“มาขอพบคุณอลันค่ะ”
“แขกที่คุณผู้หญิงมาขอพบ ได้แจ้งเลขห้องพักไว้หรือไม่คะ ดิฉันจะได้ทำการติดต่อประสานงานไปยังห้องพักของท่านผู้นั้นให้ค่ะ”
พนักงานคงจะคิดว่าฉันมาพบแขกที่มาพัก ชื่อเล่นของพี่อลันมันคงจะโหลไป งั้นเดี๋ยวบอกชื่อจริงเธอไปเลยดีกว่า
“ไม่ใช่แขกโรงแรมค่ะ แต่เป็นลูกเจ้าของที่นี่คุณอลัน อชิรวิชญ์ค่ะ”
พอฉันพูดจบพนักงานต้อนรับถึงกับทำหน้าเหวอเหมือนโดนผีหลอก ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าดูเคร่งขรึมราวกับโดนผีที่หลอกเข้าสิงไปแล้ว
“ได้นัดท่านไว้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้นัดค่ะ แต่...” ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค พนักงานสาวก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวทันที
“ถ้าไม่ได้นัด ก็เข้าพบไม่ได้ค่ะ”
“ถ้างั้นช่วยนัดให้ตอนนี้เลยได้ไหมคะ”
“ขออภัยค่ะ รบกวนทำนัดกับทางเลขาท่านโดยตรงนะคะ”
“แล้วฉันต้องติดต่อเลขาที่ไหนคะ”
“ดิฉันไม่สามารถบอกเบอร์เลขาของท่านให้บุคคลภายนอกได้ค่ะ”
อ้าว! แล้วถ้าหล่อนไม่ให้เบอร์เลขากับฉันแล้วจะโทรทำนัดได้อย่างไรก่อน เมื่อกี้แม่นางยังพูดจาดีกับฉันอยู่เลยแล้วดูตอนนี้สิใช้น้ำเสียงเสมือนฉันเป็นหมูเป็นหมา ในเมื่อพนักงานไม่ให้ความร่วมมือก็ไม่เป็นไร คนอย่างฉันมีแผนสองเสมอ
“ว่าไงลูกสาวคนสวยของพ่อ”
ฉันต่อสายโทรหาคุณพ่อสุดที่รัก ถามว่าดีใจไหมที่ถูกชมว่าสวย No มันเป็นเพียงคำสร้อยที่คุณพ่อชอบพูดต่อประโยคเวลาคุยกับลูก ๆ เท่านั้น เวลาที่ซิงอีโทรหาท่านก็โดนเรียกว่า ‘ลูกชายสุดหล่อของพ่อ’ คล้ายกัน
“คุณพ่อที่รัก ลูกมีเรื่องรบกวนนิดค่ะ”
“ว่ามาเลยลูก”
“พอจะมีเบอร์เลขาพี่อลันไหมคะ”
“หมายถึงอลัน ลูกคุณอคิณน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ลูกจะขอไปทำไมหรือ อ๋อรู้ข่าวแล้วสินะว่าอลันพึ่งถึงไทย”
ทำไมคุณพ่อพูดจาแปลก ๆ เหมือนว่ารู้ข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว
“แสดงว่าคุณพ่อรู้มาตั้งนานแล้วใช่ไหมคะว่าพี่อลันจะกลับไทยตอนไหน”
“เอ่อคือแบบนี้นะซูมี่”
“งอนคุณพ่อแล้วค่ะ ขออนุญาตวางสายนะคะ”
ฉันวางสายคุณพ่อไปเรียบร้อยด้วยเหตุผลเกิดอารมณ์น้อยใจพระบิดา ทำไมท่านรู้ถึงไม่ยอมบอกฉันกันล่ะ ไม่รู้แล้วขออนุญาตงอนคุณพ่อสัก 2 ชั่วโมง และนั่นก็ถือว่าฉันทิ้งแผนสองไปอย่างโง่ ๆ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อ
“ส้มโอลาป่วยเหรอ ตายแล้ว! สตาฟในงานไม่พอแน่ ๆ”
ผู้หญิงที่ดูอาวุโสคนหนึ่งอายุน่าจะราวเลขสี่พลางกุมขมับกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่ตรงทางขึ้นบันได
หูของฉันที่ราวกับฝังชิปดักฟังชาวบ้านถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ชัดเจนเต็มสองรูหูว่ามีพนักงานป่วยกะทันหันและทำให้จำนวนคนดูแลงานอะไรบางอย่างไม่เพียงพอ ทันใดนั้นเองฉันจึงปิ๊งไอเดียสุดบรรเจิดขึ้นมาทันที
“สวัสดีค่ะรบกวนสอบถามหน่อยค่ะ พอดีจะมาสมัครเป็นนักศึกษาฝึกงานที่นี่ต้องไปติดต่อที่ไหนเหรอคะ”
ฉันเดินเข้าไปตีเนียนเป็นนักศึกษามาสมัครฝึกงานและถามข้อมูลกับพี่ผู้หญิงคนนั้น แม้ว่าจะเรียนวิชาการจัดการโรงแรมมา แต่ทักษะการแสดงละครของฉันก็ไม่แพ้เด็กนิเทศฯ หรอกนะ
“ไปติดต่อที่แผนกบุคคลเลยค่ะ”
ฉันทำท่าพยักหน้าทำนองเข้าใจแล้วยกมือไหว้เพื่อเป็นการขอบคุณ พร้อมหมุนตัวฟูลเทิร์นอย่างช้า ๆ คิดว่าพี่เขาต้องเอ่ยปากเรียกฉันสิ
“เอ๊ะ! เดี๋ยวค่ะ” มันช่างเป็นไปตามแผนที่วาดไว้เสียจริง ทำไมซื้อหวยถึงไม่ถูกแบบนี้บ้างหนอ
“คะ?”
“สนใจฝึกงานที่นี่เหรอ เราเรียนจบตรงสายมาไหม”
“เรียนตรงเลยค่ะแต่ยังเรียนไม่จบ พอดีที่มหาวิทยาลัยบังคับให้ฝึกงานก่อนจบค่ะ”
“อ๋อเข้าใจแล้วจ้ะ พี่จะช่วยคุยกับ HR ให้รับเราเข้าเป็นเด็กฝึกงานนะ แต่ตอนนี้ช่วยพี่หนึ่งเรื่องก่อนได้ไหม”
“ได้เลยค่ะ ให้ช่วยอะไรคะ”
“พอดีวันนี้ทางโรงแรมมีงานสำคัญจะจัดขึ้นตอนห้าโมงเย็น ก่อนที่งานจะเริ่มตอนบ่ายสามจะมีเลี้ยงอาหารให้กับแขกคนสำคัญที่มาเข้าร่วม เผอิญว่าพนักงานของพี่คนหนึ่งป่วยแล้วพี่ต้องรีบหาคนมาทำงานแทน น้องสะดวกช่วยพวกพี่ไหมจ๊ะ งานไม่ยากเลยแค่เสิร์ฟน้ำกับเสิร์ฟอาหารให้แขกเท่านั้นเอง”
“สะดวกค่ะ ยินดีช่วยมาก ๆ ค่ะ”
ขอตอบสำรวมแบบนางงามมิตรภาพไปก่อน ถึงในใจกระโดดโลดเต้นเป็นจังหวะสามช่าแล้ว คุณพี่ผู้หญิงพาฉันเดินเข้าไปเก็บกระเป๋าที่ห้องล็อกเกอร์ จากนั้นเธอก็ยื่นชุดยูนิฟอร์มของโรงแรมมาให้เปลี่ยนพร้อมถามชื่อฉันเพื่อเอาไปทำป้ายชื่อติดหน้าอกให้
“น้องชื่ออะไรจ๊ะ พี่ปุ้ยนะเป็นผู้จัดการแผนกอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่”
“ยินดีที่รู้จักค่ะพี่ปุ้ย หนูชื่อ...น้ำผึ้งค่ะ”
เปลี่ยนจากชื่อภาษาจีนเป็นภาษาไทยให้ดูเนียนเสียหน่อย ถือว่าไม่ได้พูดเท็จ 100% ก็แล้วกัน เพราะซูมี่ (淑蜜) ความหมายในภาษาไทยก็แปลว่า น้ำผึ้งที่งดงาม เหมือน ๆ กันแหละเนอะ
“โอเค น้ำผึ้งเปลี่ยนชุดแล้วเดินมาหาพี่ที่ห้องครัวนะ”
“รับทราบค่ะ”
ฉันจัดการแปลงกายสวมบทบาทพนักงานโรงแรม จากนั้นก็เดินไปที่จุดนัดพบพร้อมหอบถุงกาแฟสองแก้วที่ซื้อมา ก่อนที่จะเลี้ยวไปหาพี่ปุ้ยฉันก็แวบเอาเครื่องดื่มไปแช่ไว้ในตู้เย็นกันละลาย
“เอาล่ะมากันครบแล้ว ขอแนะนำน้องน้ำผึ้งที่จะมาช่วยงานพวกเราแทนส้มโอในวันนี้ หน้าที่ของทุกคนคือดูแลแขกคนสำคัญของโรงแรมให้ดีที่สุด อาหารในแต่ละจานถูกระบุชื่อแขกไว้เรียบร้อย เรามีหน้าที่เสิร์ฟให้ถูกคนตามรายชื่อที่ติดไว้ ส่วนเครื่องดื่มพี่ขอแบ่งงานรับผิดชอบกันเป็นสองทีมด้วยกัน ทีมที่แรกเสิร์ฟน้ำเปล่าและน้ำผลไม้ ส่วนทีมที่สองเสิร์ฟไวน์และแชมเปญนะ”
“ขอโทษนะคะ หนูต้องอยู่ทีมไหนคะ” ฉันยกมือขึ้นถามเพื่อให้เคลียร์ในหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง
“แล้วน้ำผึ้งอยากอยู่ทีมไหน”
ขอเวลาคิดประมวลผลสักครู่ ทีมแรกเครื่องดื่มพื้นฐานและดูเสิร์ฟง่ายที่สุด ขณะที่ทีมที่สองการเสิร์ฟเครื่องดื่มดูท่าจะท้าทายกว่ามาก อย่างการรินไวน์ต้องอาศัยทักษะความชำนาญพอสมควร คนเสิร์ฟต้องเอียงขวดให้อยู่กึ่งกลางเหนือปากแก้วเพื่อรินให้แขกที่ต้องการดื่ม ไหนจะต้องหมุนขวดครึ่งรอบตอนเวลาที่จะหยุดริน ส่วนแชมเปญยิ่งยากเข้าไปใหญ่ต้องคอยถือขวดให้ตั้งฉากมุม 90 องศา จากนั้นก็ต้องเอียงแก้วที่จะรินเข้าหาตัวขวดให้ได้มุม 45 องศาพอดีด้วยและต้องคุมฟองอากาศในแก้วให้ดีก่อนจะรินซ้ำจนพอใจ ทีมที่สองดูท้าทายดี! แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ใช้ในการตัดสินใจของฉันเท่านั้น คำตอบที่จะเคาะการตัดสินใจของฉันมาจากคำถามนี้
“ขอสอบถามเพิ่มอีกนิดค่ะ เครื่องดื่มที่แบ่งกันเป็นทีมแบ่งตามแขกที่ถูกระบุการให้บริการเครื่องดื่มที่ต่างกันไว้อยู่แล้ว ถูกต้องไหมคะ”
“ถูกจ๊ะหากอยู่ทีมแรกก็จะได้เสิร์ฟเฉพาะแขกกลุ่มทั่วไป ส่วนทีมที่สองเสิร์ฟให้สำหรับแขก VIP เท่านั้น”
“โอเคค่ะ น้ำผึ้งขอเลือกอยู่ทีมที่สองค่ะ” ทุกคนต่างหันมามองด้วยความประหลาดใจในคำตอบของฉัน
“น้ำผึ้งแน่ใจเหรอว่าจะอยู่ทีมนี้ มันกดดันมากนะ”
“แน่ใจค่ะ”
ฉันมาที่นี่โดยมีเป้าหมายอันแรงกล้าอยากเจอพี่อลันตัวเป็น ๆ ดังนั้นการเลือกทีมเสิร์ฟน้ำมีผลต่อโอกาสที่จะเจอเขา ทว่างานสำคัญเช่นนี้ระดับผู้บริหารของโรงแรมต้องตามไปดูแลแขกคนสำคัญเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงตกปากรับคำเลือกอยู่ทีมที่สองแบบไม่ลังเล
เมื่อถูกบรีฟงานเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนต่างพากันเดินไปยังห้องจัดเลี้ยงเพื่อเตรียมต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน ข้างเวทีตรงนั้นยังจำได้ดีเคยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กยืนประกบข้างพี่ชายสุดหล่อคนหนึ่ง เป็นอีกครั้งในรอบ 12 ปี ที่ฉันได้กลับมายังห้องเดิมที่มีความทรงจำในวัยเด็กกับเขา
ทีมแรกยืนประจำตำแหน่งตรงโซนโต๊ะที่ติดกับทางประตูเข้าออก ขณะที่ทีมสองยืนล้อมรอบโซนด้านในสุดติดกับขอบเวที หัวหน้าทีมที่ชื่อว่า ‘พี่ศักดิ์’ เดินยิ้มร่าเข้ามาทักทายให้กำลังใจน้อง ๆ ในทีม และมาหยุดยืนข้างฉัน
“สวัสดีน้องน้ำผึ้ง พี่ศักดิ์นะ…พี่เซอร์ไพรส์มากที่เด็กใหม่อย่างเราเลือกมาอยู่ทีมที่กดดันที่สุดในงาน”
“สวัสดีค่ะพี่ศักดิ์ ขอถามได้ไหมคะว่าทำไมถึงกดดันที่สุด”
“ก็มีแต่แขกผู้ใหญ่ระดับตัวท็อปของประเทศที่ต้องคอยให้บริการ เพราะมันมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของโรงแรม เลยต้องเพิ่มความใส่ใจเป็นพิเศษไงล่ะ”
ก็พอเข้าใจที่พี่ศักดิ์อธิบาย การบริการที่ดีเป็นตัวสะท้อนภาพลักษณ์สู่สายตาคนภายนอก เพราะฉะนั้นฉันต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด จะไม่ยอมให้พี่อลันและครอบครัวพี่เขาต้องเสียชื่อเป็นอันขาด
“ทุกคนฟังทางนี้ อีกสิบนาทีคุณอลันจะลงมาดูความเรียบร้อยนะคะ” พี่ปุ้ยเดินมาประกาศบอกให้ทุกคนทราบเพื่อเตรียมตัวรอรับทายาทเจ้าของโรงแรม
“เรายังไม่เคยเจอคุณอลันเนอะ เขาเป็น…”
“เคยเจอแล้วค่ะ”
“ฮะ เคยเจอเหรอ” ซวยละ เผลอหลุดปากพูดกับพี่ศักดิ์
“หมายถึงน้ำผึ้งเคยเห็นรูปคุณอลันผ่านตาในอินเทอร์เน็ตค่ะ ตัวจริงเขาเป็นคนยังไงเหรอคะ”
“ก็ว่าอยู่เราเคยเจอคุณอลันตอนไหนเพราะเขาไปอยู่สวิตฯ หลายปี เขาเป็นคนยังไงเหรอ...เท่าที่พี่เคยเจอเขาประมาณ 2 ครั้ง เขาเป็นคนเก่งนะ พูดจาก็สุภาพแถมดูไม่ถือตัว แต่แอบมีความเนี้ยบเรื่องงานอยู่พอสมควร เดี๋ยวเราเจอเขาก็จะรู้เอง”
นิสัยของพี่อลันเป็นตามที่พี่ศักดิ์พูดจริง แต่เรื่องความละเอียดในมุมของการทำงานนั้น ฉันก็ยังไม่เคยเห็น อยากรู้แล้วสิว่าเขาจะเป็นยังไง
“มาแล้ว ๆ”
พี่ปุ้ยหันหน้ามาบอกทุกคน ส่วนฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตื่นเต้นสุดขีดที่จะได้เจอกับเขา
ผู้ชายร่างสูงที่คุ้นเคยปรากฏตัวในห้องจัดเลี้ยง พร้อมกับเลขาส่วนตัวที่ถือแฟ้มเล่มบางไว้ในมือ ใบหน้า รูปร่าง รวมถึงผิวพรรณของเขานั้นดูไม่เปลี่ยนจากเดิม คงจะมีแค่ความหล่อที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 12 ปีก่อนเท่านั้นเอง หากฉันจะบอกว่าหล่อเทียบเท่าศิลปินเกาหลีในดวงใจก็คงไม่เกินจริง
“คุณอลันหล่อจังแก เขาอายุเท่าไหร่นะ 20 ไหม”
“น่าจะสัก 25 ไหม เออหล่อจริงจะวูบ”
ฉันอยากจะกลอกตามองบนให้เหลือแต่ตาขาวล้วน เมื่อได้ยินพนักงานหญิงในทีมเดียวกันส่งเสียงพูดคุยกันราวกับเป็นนกกระจิบ อยากจะหันไปร่วมวงสนทนาด้วยแล้วบอกไปว่าเขาอายุ 32 แล้วจ้ะหล่อน
พี่อลันเดินตรวจความเรียบร้อยโดยเริ่มจากบริเวณโซนที่ทีมแรกดูแลก่อน พร้อมทั้งเช็กความเรียบร้อยการแต่งกายของพนักงานเสิร์ฟทุกคนด้วย พอเขาเดินเข้าไปหาพนักงานคนไหน พนักงานคนนั้นก็ยกมือไหว้ทำความเคารพ และตัวเขาก็พยักหน้าตอบเป็นการน้อมรับไหว้ จนกระทั่งเขาเดินเข้ามาตรวจทีมฉัน
เรื่องการจัดวางอาหารและเครื่องดื่มผ่านฉลุยไปได้ด้วยดี ถัดมาการตรวจเครื่องแต่งกายถูกเริ่มจากพี่ศักดิ์หัวหน้าทีม ตามมาด้วยสมาชิกในทีมคนอื่น ๆ และฉันปิดท้าย
เมื่อพี่อลันเดินมาถึงตรงที่ฉันยืน เขาก็หยุดมองหน้าฉันด้วยหน้าที่นิ่งก่อนจะก้มลงไปมองป้ายชื่อที่ติดไว้ตรงบริเวณอกเสื้อ ‘น้ำผึ้ง’ และช้อนสายตามองหน้าอีกครั้ง ฉันส่งยิ้มแห้ง ๆ ตอบแต่ในใจกรี๊ดคอแทบแตกไปเสียแล้ว
“คุณมีน ผมขอแฟ้มหน่อยครับ”
“นี่ค่ะคุณอลัน”
คุณมีนที่พี่อลันเอ่ยถึงคือเลขาสาวที่มาด้วยกัน เธอเดินมายื่นแฟ้มให้พี่อลันเปิดอ่านข้อมูลบางอย่าง จู่ ๆ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมาหนึ่งข้าง
“คุณปุ้ยครับ พนักงานที่ชื่อส้มโอไปไหนครับ”
“อุ๊ย! ขออภัยค่ะคุณอลัน ปุ้ยลืมแจ้งว่าน้องส้มโอลาป่วย ปุ้ยก็เลยหาคนมาทำแทนค่ะ”
พี่ปุ้ยวิ่งมาหาพี่อลันแทบหน้าจะล้มคะมำไปกับพื้น เพื่อบอกเหตุผลการเปลี่ยนตัวพนักงานเสิร์ฟกะทันหัน
“แล้วคุณน้ำผึ้งมาจากไหนครับ ทำไมผมหาชื่อในแฟ้มไม่เจอ”
งานน่าจะเข้าพี่ปุ้ยเต็มประตู ดูท่าข้อมูลในแฟ้มจะเป็นข้อมูลเก่าที่ยังไม่ได้ถูกปรับให้เป็นปัจจุบัน
“พอดีเป็นน้องนักศึกษาฝึกงานที่พึ่งเข้ามาใหม่ค่ะ ปุ้ยเลยยังไม่ได้ใส่ชื่อน้องเพิ่มเข้าไป”
“คุณปุ้ยให้เด็กฝึกงานมาต้อนรับแขกโซน VIP เหรอครับ”
พี่อลันพูดเชิงตำหนิพี่ปุ้ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ฉันเองก็พึ่งเห็นเขาด้านนี้เป็นครั้งแรก...น่ากลัวชะมัด
“ปุ้ยขอโทษค่ะคุณอลันที่ไม่รอบคอบ เดี๋ยวปุ้ยจะให้น้องสลับกับน้องอีกคนในทีมแรกนะคะ”
“โทษนะคะ เด็กฝึกงานไม่มีโอกาสทำงานให้กับแขก VIP เหรอคะ” ฉันยกมือเอ่ยถามผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเพราะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับฉันสักเท่าไหร่
“ไม่ใช่ไม่มีครับ แต่คุณพึ่งเข้ามาฝึกงานที่นี่จะให้มารับหน้าที่บริการแขก VIP ผมว่ามันเร็วไปหน่อย”
“พูดมาตรง ๆ เถอะค่ะ ว่ากลัวเด็กฝึกงานจะทำงานพังเข้าใจง่ายกว่าค่ะ”
“น้องน้ำผึ้ง หยุด ๆ”
พี่ศักดิ์พร้อมพี่ปุ้ยเดินเข้ามาประกบตัวให้ฉันหยุดต่อล้อต่อเถียงกับลูกเจ้าของโรงแรม
“คุณอลันคะ เดี๋ยวมีนจัดการเรื่องน้องพนักงานคนนี้กับฝ่ายบุคคลให้ค่ะ” เลขาหันหน้ามาคุยกับเจ้านายซึ่งเขาก็ยกมือยั้งเรื่องที่เธอพูดไว้
“ไม่ต้องครับ ถ้าคุณน้ำผึ้งมั่นใจว่าสามารถดูแลแขก VIP ได้ ก็ให้เธอดูไป”
“จะดีเหรอคะคุณอลัน” เลขามีนถามย้ำกับเจ้านาย
“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อจากนี้ ก็ให้เธอรับผิดชอบก็แล้วกันครับ”
พูดจบพี่อลันก็เดินออกไปจากห้องหน้าตาเฉย ปล่อยให้พนักงานทุกคนยืนอึ้ง เข้าใจที่พี่ศักดิ์บอกแล้วว่าเรื่องงานเขาสุดจะเจ้าระเบียบจริง
“น้ำผึ้ง! เราไปพูดอย่างนั้นกับเจ้านายได้ยังไง” พี่ปุ้ยเดินมาตีแขนฉันหนึ่งที เสมือนเป็นคุณแม่ที่กำลังดุลูกสาว
“ขอโทษค่ะพี่ปุ้ยน้ำผึ้งปากไวไปหน่อย แค่อยากจะทำหน้าที่ในทีมสองเหมือนเดิมแค่นั้นค่ะ” ฉันยกมือไหว้ขอโทษ ซึ่งเธอก็ยังเมตตาไม่ถือสาเอาความ อาจเพราะฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่
“เอาเถอะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีแล้วกัน ศักดิ์คอยดูน้องด้วยนะ”
“ได้เลยพี่ปุ้ย เดี๋ยวผมประกบน้องเอง” พี่ศักดิ์รับทราบที่พี่ปุ้ยกล่าว
“ต้องอายุเท่าไหร่กันคะพี่ศักดิ์ ถึงจะไม่ถูกมองว่าเป็นเด็ก” ฉันเอ่ยถามหัวหน้าทีมด้วยความสงสัย
“ก็คงต้องมีประสบการณ์ในการทำงานก่อนแหละมั้ง”
พี่ศักดิ์ตอบคำถามกลับแต่แอบแฝงความไม่มั่นใจในคำพูดตัวเองมากนัก ถ้าไม่ให้ลองฝึกทำงานเพื่อสั่งสมประสบการณ์ ฉันก็จะถูกมองว่าเป็นเด็กไปอย่างนี้จนวันยังค่ำ ถามจริงพี่อลันที่แสนดีคนนั้นหายไปไหน ฉันไม่ชอบเขาในบุคลิกแบบนี้เลย ไว้จบงานนี้เมื่อไหร่ฉันจะเข้าไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องในทุกประเด็น แล้วคอยดูเถอะว่าเด็กเสิร์ฟคนนี้จะทำให้แขกของโรงแรมประทับใจจนไม่รู้ลืม
จำยัยน้องไม่ได้แถมดูถูกอีก คิดว่าซูมี่จะเสิร์ฟแขก VIP รอดกันมั้ยคะ มาเป็นกำลังใจกัน
เวลา 14.30 น.อีกเพียงครึ่งชั่วโมงการเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มภายในงานจะเริ่มขึ้นเหล่าบรรดาแขกที่ได้รับเชิญต่างเริ่มทยอยเดินเข้ามาภายในห้องจัดเลี้ยงกันไม่ขาดสาย แขกแต่ละคนลงทะเบียนเข้างานเพื่อการคัดกรองให้นั่งตามโซนโต๊ะรับประทานอาหารที่ถูกจัดไว้อย่างถูกต้อง โดยจะมีหมายเลขติดที่ป้ายไว้สำหรับแขกที่ได้หมายเลข 1 คือแขกทั่วไปซึ่งทางทีมแรกจะเป็นผู้ดูแล ในขณะเดียวกันทีมที่สองจะดูแลแขกที่ติดหมายเลข 2 หรือที่เรียกว่า VIP เมื่อแขกที่ต้องดูแลเดินเข้ามาที่ห้องจัดเลี้ยง ซูมี่จึงเดินไปสวัสดีทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและเชิญแขกไปนั่งประจำโต๊ะในระหว่างที่รอเวลาอาหารพร้อมเสิร์ฟ ในช่วงนั้นเองเธอสามารถเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขกระหว่างรอได้แขกคนแรกที่หญิงสาวได้ต้อนรับเป็นนักธุรกิจชายชาวจีนที่พอพูดอังกฤษได้เล็กน้อย ทว่าภาษาไทยเป็นศูนย์ โชคดีที่เธอได้ภาษาจีนติดตัวมาทางสายเลือดจึงเป็นเรื่องง่ายในการสื่อสาร“ฉิ่ง เวิ่น หนี เสี่ยง เฮอ เสิ่น เมอะ หยิ่นเลี่ยว?”ซูมี่ถามแขกเป็นภาษาจีนว่า ‘ขออนุญาตถามค่ะ คุณอยากดื่มเครื่องดื่มอะไรดีคะ’“โหย่ว เสิ่น เมอะ หยิ่นเลี่ยว?”นักธุรกิจชาวจีนถามเธอกลับว่า ‘มีเครื่องด
มุมมองของอลัน ☻@ HTND Hotel, Bangkok12 ปีแล้วสินะ ที่ผมไม่ได้กลับมาบ้านเกิดตัวเอง หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยในไทยคุณพ่อก็ส่งให้ผมไปเรียนต่อปริญญาโทสายตรงทางด้านการโรงแรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทันที ไม่มีแม้แต่เวลาบอกลาเพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือเด็กตัวน้อย ทุกอย่างเป็นเรื่องกะทันหันและไม่ได้มีสัญญาณบอกไว้ล่วงหน้า ทว่าก่อนที่จะไปจากที่นี่ผมได้ฝากซองจดหมายเล็ก ๆ ผ่านทางคุณพ่อช่วยมอบให้คุณอาหลินเพื่อส่งถึงเด็กตัวน้อย ใจความในจดหมายเขียนข้อความไม่ถึงหนึ่งย่อหน้ากระดาษ โดยผมเขียนอธิบายทำนองว่าจะไม่ได้เจอเธอหลังจากนี้ แต่ก็ทิ้งท้ายเพื่อไม่ให้เด็กน้อยรู้สึกตกใจ‘พี่ไปแป๊บเดียว เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมานะ’จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเธอจะลืมผมไปแล้วหรือยัง แล้วจดหมายฉบับนั้นส่งถึงมือเธอหรือเปล่า ไม่ว่ายังไงผมก็พร้อมที่จะไปเจอเธอเร็ว ๆ นี้ในรอบ 12 ปี หลังจากเคลียร์ตารางงานสำคัญ 'การประชุมผู้ถือหุ้น' ในบ่ายวันนี้ และผมย้ำนักย้ำหนากับคุณพ่อให้ช่วยบอกคุณอาหลินว่าอย่าพึ่งบอกเรื่องนี้กับเธอเป็นอันขาด ผมมีของฝากน่ารัก ๆ ไปเซอร์ไพรส์เธอและหวังว่าเธอจะชอบมันตื๊ด...ตื๊ด...เบอร์ปริศนาโทรเข้ามาที่มือถือของผม
ซูมี่หันมาสบตาอลันหลังจากได้ยิน คำว่า ‘เด็กดื้อ’ ที่เขาเอ่ยมาเมื่อสักครู่ นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ถูกเรียกแบบนี้จากปากของผู้ชายคนหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าเขารู้แล้วว่าเธอคือซูมี่ ทว่ารู้ตั้งแต่ตอนไหนกันนะ“สนุกดีค่ะคุณอลัน ขอตัวก่อนนะคะ” แทนที่จะทักเรียกเขาว่าพี่ เธอดันเลือกที่จะเรียกเขาด้วยสรรพนามอื่นที่ดูห่างเหินและกำลังเดินจากไปหมับ!อลันเดินเข้าไปจับแขนซูมี่พร้อมไปยืนกั้นขวางทางข้างหน้าเพื่อไม่ให้เธอเดินหนี“พี่รู้ว่าเรากำลังไม่พอใจพี่อยู่ ไปคุยกับพี่ที่ห้องทำงานก่อน”“น้ำผึ้งมีงานที่ต้องทำต่อค่ะ โปรดกรุณาปล่อยด้วย” ซูมี่พยายามสะบัดแขนออกจากมืออันแข็งแกร่งของอลันที่จับไว้ราวกับเอากาวมาเชื่อมติด“ไม่ จนกว่าซูมี่จะฟังพี่และหยุดแทนตัวเองว่าน้ำผึ้งได้แล้ว”อลันใช้เสียงเข้มพูดกับซูมี่พร้อมบอกให้เธอเลิกเรียกชื่อจอมปลอมนั่นเสียที“ก็ชื่อน้ำผึ้งจริง ๆ นะคะ” ซูมี่เลือกที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขา“พี่ขอร้องนะ ไปคุยกันดี ๆ อีก 30 นาทีพี่จะมีประชุมต่อแล้ว”อลันพยายามพูดจาดี ๆ เพื่อให้ซูมี่ยอมเชื่อฟังพี่ชายคนนี้สักครั้ง ซึ่งเธอ ก็ยอมโอนอ่อนให้ อาจเห็นว่าเขากำลังมีประชุมงานที่สำคัญจึงไม่อยากให้ เ
@ HTND Hotel, Bangkokเวลา 18.00 น.อลันตัดสินใจพาซูมี่กลับมาทานข้าวที่โรงแรมของตัวเอง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ก่อนจะเดินทางมาถึงเขาได้โทรแจ้งเลขาให้ช่วยบอกพ่อครัวเตรียมอาหารชุดใหญ่ไว้สำหรับ 2 คนเป็นที่เรียบร้อย และในเมนูอาหารต้องมีชุดติ่มซำถาดใหญ่ไว้พร้อมเสิร์ฟด้วยเมื่อรถได้เทียบจอดที่ลานจอดรถ VIP ทั้งคู่ก้าวเท้าลงจากรถและเดินมุ่งตรงไปยังห้องรับรองที่ถูกจัดเตรียมไว้ เมื่อประตูห้องฯ เปิดออกก็พบกับเมนูอาหารเรียงรายมากกว่า 10 เมนูบนโต๊ะกลมหมุนลายหินอ่อน หญิงสาวกวาดสายตามองอาหารด้วยแววตาเป็นประกาย จนพี่ชายคนข้าง ๆ หันไปยิ้มถาม“เมนูอาหารพอจะถูกใจเราไหม”“ถูกใจมากเลยค่ะ เราจะกินกันหมดไหมคะพี่อลัน” ซูมี่เอ่ยถาม“ไม่หมดก็ห่อกลับบ้านได้นะ เผื่อเมนูไหนคนที่บ้านอยากทานด้วย เอาล่ะมากินกันเถอะ”อลันลากเก้าอี้ออกให้ซูมี่นั่งก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกัน เขาเริ่มจากหยิบขนมจีบและฮะเก๋าสุดเลิฟให้เธอลองชิมเสียก่อน พอซูมี่เอาเข้าปากถึงกับร้องอุทานว่าอร่อยมาก ขนาดแม่ครัวที่บ้านยังทำให้ทานไม่ได้แบบนี้เลย พี่ชายแสนดีสุดแสนจะดีใจ หากรู้ว่าเธอชอบขนาดนี้คงไม่เสียเวลาพาไปกินไกลที่ไหนอีกแล้ว ทั้
ต่อให้อลันพยายามจะพูดให้ซูมี่เข้าใจความรู้สึกที่เขามีต่อเธออย่างไร ซูมี่ก็เลือกที่จะไม่ฟัง สรุปง่าย ๆ ก็คือดื้อนั่นเองแต่ถือว่าอลันมีความใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่มากพอที่สามารถแยกแยะระหว่างเรื่องความรู้สึกกับเรื่องที่ต้องดูแลน้องสาวจอมดื้อออกจากกันได้ เขาขับรถไปส่งเธอกลับบ้าน ระหว่างเดินทางบรรยากาศในรถยิ่งกว่าป่าช้า หากมีเสียงหมาหอนแทรกขึ้นมาน่าจะอุ่นใจกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้@ บ้านครอบครัวตระกูลหลินเมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านซูมี่ คุณแม่ของซูมี่ก็ออกมารับลูกสาวกลอยใจเข้าบ้าน อลันยกมือไหว้สวัสดีคุณอาเพียงขวัญที่ไม่ได้เจอกันนาน เธอได้พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบเล็กน้อยกับอลันก่อนจะเชิญเข้าไปนั่งพักในบ้าน แต่อลันขอปฏิเสธอย่างสุภาพเพราะดึกแล้วจึงไม่อยากรบกวนเวลาของครอบครัวซูมี่ เขาจึงกล่าวลาและขอตัว ทว่าก่อนเดินกลับไปขึ้นรถคุณเพียงขวัญบอกลูกสาวตัวแสบให้ไปส่งพี่ชายที่หน้าบ้านก่อนซูมี่ทำตามคำสั่งคุณแม่ เธอเดินตามหลังอลันมาติด ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ จนอลันรู้สึกว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะมองหน้ากันไม่ติดแล้ว จึงเอ่ยพูดเล็กน้อยเพื่อให้บรรยากาศมันดีขึ้น“พี่กลับก่อนนะ เดินเข้าบ้านดี ๆล่ะ”หมับ!
3 วันผ่านไป...@ ห้องเรียน ตึกคณะบริหารธุรกิจตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น จนถึงตอนนี้ซูมี่กับอลันก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย หญิงสาวเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างตึกเรียนเหมือนกำลังคิดทบทวนในสิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดว่ามันได้ผลดีหรือผลเสียกันแน่ การที่เธอมาทวงสัญญาตามที่ให้ไว้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย หากคิดในมุมของซูมี่ก็เพราะอลันให้คำสัญญาไม่ใช่หรอกเหรอจึงกลายเป็นการสร้างความหวังให้กับเธอเช่นนี้ ตั้ง 12 ปีเชียวนะที่ผู้หญิงคนหนึ่งรอผู้ชายคนนั้นอย่างไม่รู้จุดหมาย เธอไม่ยอมเปิดใจให้ผู้ชายคนไหนเข้ามาศึกษาดูใจเลยสักคน เพราะเธอรอแค่เขาเท่านั้น...“สะกิดมันหน่อยยัยรัก วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วมั้ง” ต้นข้าวบอกน้องสาวฝาแฝดของตัวเองให้สะกิดเรียกซูมี่ที่นั่งข้างกัน“มีมี่เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นนั่งเหม่อมาเป็นชั่วโมงแล้ว” ต้นรักหันไปถาม“ไม่มีอะไรต้นรัก ซูมี่แค่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ซูมี่หันมายิ้มให้เพื่อนสนิทตัวเอง“ไอ้ที่ว่าเรื่อยเปื่อยมีเรื่องของผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วยไหม” ต้นข้าวเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยท่าทีสงสัย“มีบ้าง แต่ไม่มาก”“โกหก!”ฝาแฝดส่งเสียงพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกหล่อนเป็นเพื่อนเธอม
จากวันนั้นที่ซูมี่พยายามหาทางไปเจออลัน ทั้งคู่ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อลันพาเธอไปส่งถึงบ้านด้วยความเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยหลังจากที่สอนการบ้านเสร็จ ในคืนนั้นตระกูลหลินอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาพอดิบพอดี ในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังจะรับประทานอาหารเย็น คุณชางอีจึงชวนอลันทานข้าวด้วยกันที่บ้านก่อนกลับ ซึ่งอลันก็พยายามพูดว่าไม่เป็นไรด้วยความเกร็งใจผู้ใหญ่ แต่หญิงสาวตัวแสบดันลากแขนเขาให้ไปนั่งเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ข้างเธอ ซึ่งอันที่จริงแล้วที่นั่งตรงนั้นเป็นของซิงอี แต่น้องชายตัวดีดันมาทีหลังจึงโดนแย่งที่นั่งและให้ไปนั่งข้างคุณแม่แทน บทสนทนาภายในโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยหัวข้อสนุกสนานและเบาสมองโดยไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานเลย ชายหนุ่มได้สร้างความประทับใจให้คุณชางอีในเรื่องทัศนคติที่ดีของเขาจากการถามตอบเรื่องต่าง ๆ ที่คิดตรงกันเมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ซูมี่ก็ไปส่งอลันที่รถเหมือนดังเคย แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าตรงที่ว่าสาวน้อยรวบรวมความกล้าขอเบอร์ติดต่อและไลน์ส่วนตัวของเขาไว้ และอลันก็เต็มใจให้เพราะเห็นว่าเป็นน้องสาว เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อพี่ชายคนนี้ให้ช่วยเหลือได้1 สัปดา
หลายวันต่อมา...@ บ้านตระกูลหลินเช้าวันอาทิตย์วันแห่งการพักผ่อนสำหรับคนวัยทำงาน คุณชางอีเดินลงมาชั้นล่างเพื่อมานั่งทานอาหารเช้าพร้อมกับครอบครัว สมาชิกในครอบครัวเริ่มทยอยเดินลงมาจากชั้นบน จนสิบนาทีผ่านพ้นไปสมาชิกคนหนึ่งก็ยังไม่ปรากฏตัว“ซิงอี จ้าย หน่าร์” คุณชางอีถามเป็นภาษาจีนกับลูกสาวว่า ‘ซิงอีอยู่ไหน’“หว่อ ปู้ จือ เต้า” ซูมี่ตอบกลับคุณพ่อว่า ‘เธอก็ไม่รู้’ เหมือนกัน“น่าจะหลับอยู่ เดี๋ยวไปตามลูกให้ค่ะคุณพี่”คุณเพียงขวัญทำท่าลุกขึ้นเพื่อไปตามลูกชาย ทว่าถูกสามียั้งไว้ให้นั่งลงเหมือนเดิม จากนั้นจึงหันมาทางลูกสาวเหมือนต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง“ซูมี่คนสวยของพ่อ ไปตามน้องให้พ่อทีนะ” ซูมี่กลอกตามองบนก่อนจะพยักหน้ารับคำบัญชาของคุณพ่อเธอเดินจ้ำอ้าวจับราวบันไดขึ้นไปยังชั้นบนจนไปหยุดที่หน้าประตูห้องของน้องชายพร้อมยกกำปั้นหนึ่งข้างเคาะไปที่แผ่นไม้สักสี่เหลี่ยมก๊อก ก๊อก“ซิงอีตื่นยัง”ซูมี่แนบหูข้างหนึ่งกับประตูเพื่อพยายามฟังเสียงข้างในแต่ไร้เสียงตอบรับ เจ้าน้องชายคนนี้ทำอะไรกันอยู่กันนะ ปกติทุกวันอาทิตย์ซิงอีจะลงไปเสนอหน้าให้คุณพ่อเห็นเป็นคนแรกที่โต๊ะอาหารด้วยซ้ำซูมี่ตะโกนเรียกแม่บ้านใ
1 เดือนต่อมา @ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย เวลา 06.00 น.“นักศึกษาชั้นปีที่ 4 เชิญเข้าหอประชุมเลยครับ” ประธานสโมสรนักศึกษาประกาศเสียงผ่านโทรโข่งเพื่อกวาดต้อนนักศึกษาแต่ละคณะเข้าหอประชุมเพื่อเตรียมเข้าพิธีรับประกาศนียบัตรจบการศึกษาวันนี้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนมหาศาลจากต่างคณะมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้นัดหมาย ยังไม่นับรวมญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตป้ายแดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จำนวนผู้คนหลั่งไหลเข้ามาราวกับฝูงมด หากจะติดต่อหากันคงต้องบอกที่นัดหมายไว้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นคงพลัดหลงกันแน่ “ยัยมี่ทางนี้” ต้นข้าวชูมือขึ้นสูงเพื่อเรียกเพื่อนสาวที่กำลังเอามือถือแนบที่หูพลางกวาดสายตามองหาพวกเธอเมื่อซูมี่เห็นเป้าหมายจึงรีบเดินเบียดเสียดคนเข้าไปหาเพื่อนสาว “หวัดดีพวกแก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” “จริง มาเข้าใจรุ่นพี่ปีก่อนก็ตอนนี้แหละเนอะมีมี่” ต้นรักเอ่ย“พวกเราเข้าไปห้องพิธีข้างในกันเถอะ ตรงนี้คนมันแน่นฉันหายใจไม่ออกแล้ว” ต้นข้าวเอ่ยชวน สามสาวเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุมด้วยความทุลักทุเลกับชุดครุยที่ลากยาวติดพื้น ไหนจะรองเรื่องรองเท้าคัทชูที่สวมใส่กัดอีก ท
1 เดือนต่อมา@ คณะบริหารธุรกิจ“เย้! โปรเจคผ่านสักทีเว้ย!” แฝดสาวผู้พี่กระโดดโลดเต้นดีใจ“ดีใจเกินเหตุข้าว อย่าลืมสิว่ามีสอบอีกชุดใหญ่ไฟกะพริบ”แฝดผู้น้องย้ำเตือนเธอว่ายังเหลือโค้งสุดท้ายแห่งชีวิต ถ้าสอบไม่ผ่านก็เตรียมแหกโค้งปลิดชีพเรียนไม่จบไปได้เลย“เออว่ะ อย่าพูดสิฉันเศร้า” ต้นข้าวเสียงหงอยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่อยู่เหนือความเครียดและความกังวลใด ๆเพราะโลกของเธอช่างสดใสราวกับเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนตร์“คงจะมียัยมี่คนเดียวที่เบิกบานใจ” ต้นข้าวถึงกับหยิบปากกาขว้างไปที่หัวเหม่งของคนที่ถูกกล่าวถึง“โอ๊ย!ยัยข้าวเจ็บ” หญิงสาวที่โดนขว้างปากกาใส่หัวหันมาเรียกชื่อเพื่อนสาวฝาแฝด“มีความสุขเหลือเกินแม่สาวหมวย พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็เทเพื่อนเลยนะยะ” ต้นข้าวเอ่ยเชิงน้อยใจ“ฉันทิ้งพวกยูตรงไหน มา ๆ วันนี้มีแพลนไปไหนกัน ฉันไปด้วย”ซูมี่เอ่ยถามสองแฝดว่าวันนี้มีที่ไหนอยากไป เธอพร้อมจะไปด้วยเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ช่วงนี้อยู่กับพวกเธอน้อยกว่าเดิม“ชิ ถ้าฉันบอกว่าอยากไปดื่มเหล้า แกจะไปกับพวกฉันเหรอ” ต้นข้าวเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าซูมี่คงไม่ไปด้วยแน่“ไปสิ ดื่มเหล้านี่ของชอบเลย” หญิงสาว
3 สัปดาห์ต่อมาความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาวเริ่มสุกงอม หลายสัปดาห์ก่อนเขาและเธอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสถานะความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟนอลันตัดสินใจเปิดตัวซูมี่ต่อครอบครัวเขาและเธออย่างเป็นทางการโดยเชิญพวกท่านมาเป็นสักขีพยานช่วงทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม HTND ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเขาและเธอต่างพากันตกใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทว่าพวกท่านก็ไม่ได้ขัดที่ทั้งคู่จะคบหาดูใจกันพร้อมทั้งเอ่ยปากร่วมแสดงความยินดีไปในตัว ถือว่าทั้งคู่โชคดีที่ครอบครัวเปิดไฟเขียวให้คบหาดูใจกันได้ตามสะดวก ทางครอบครัวซูมี่ยังเอ่ยฝากฝังลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกับอลันไว้ด้วย ซึ่งเขารับปากสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีในวันนี้อลันขออนุญาตทางผู้ปกครองของซูมี่พาเธอไปเที่ยวหรือที่เรียกกันว่าชวนไปออกเดต หากเป็นคู่รักคู่อื่น ๆ คงจะพาไปดูหนัง กินข้าว ร้องคาราโอเกะ เดินเล่นในสวน แต่สำหรับพวกเขาซึ่งตัวติดกันอย่างกับหมากฝรั่ง สถานที่ที่เขาเดตกันก็มีเพียงที่เดียวที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวนั่นคือ คอนโดของชายหนุ่ม@ คอนโดของอลันเมื่อทั้งคู่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ววางสัมภาระไว้ที่โต๊ะเรียบร้อย ไม่ทันไรผู้ชายคลั่งรักก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดแฟนสาวจา
@ คอนโดของอลันเวลา 08.30 น.กริ๊งงงง!เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ตั้งเอาไว้โดยซูมี่ดังขึ้น เธอเอื้อมมือสุดแขนไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียงเพื่อปิดมันก่อนจะดันตัวเองจากเตียงแล้วลุกนั่งตัวตรงในสภาพที่ยังไม่ลืมตาตื่น“อยากนอนต่อจัง…ไม่ได้สิ เราอยู่คอนโดพี่อลันนี่นา”ซูมี่สะดุ้งตัวฟื้นคืนสติว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน ทว่ายังอยู่ที่คอนโดผู้ชายที่เธอน่าจะเรียกได้เต็มปากแล้วว่า…แฟนหนุ่มหญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วพับผ้าห่มอย่างประณีตตามหลักสูตรวิชาการโรงแรมที่เรียนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูทักทายยามเช้ากับชายหนุ่ม“อรุณสวัสดิ์ค่าพี่อลัน เอ…ยังไม่ตื่นเหรอ”ซูมี่กวาดตามองทั่วทิศเพื่อหาผู้ชายร่างสูง และพบว่าเป้าหมายยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอค่อย ๆ ย่องฝีเท้าให้เบาประดุจดังขนนกมาหยุดอยู่ที่โซฟาก่อนจะย่อตัวลงเอามือชันเข่าพลางโน้มตัวจ้องมองใบหน้าของอลัน“คนอะไร ขนาดหลับยังหล่อเลย”เธอยื่นนิ้วเรียวเล็กเอื้อมไปปัดปอยผมข้างหน้าของอลันที่บังตาไว้เพื่อจะได้เห็นความหล่อของแฟนตัวเองชัด ๆหมับ!ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมเต็มอิ่ม จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกจับโดยผู้ชายที่นอนอยู่ แถมเขายังดึงร่างเธอใ
สามปีก่อน (สมัยซูมี่อยู่ปี 1 และซิงอีอยู่ ม.6) @ บ้านตระกูลหลินเวลา 19.00 น.“กลับมาแล้วค่ะ / ครับ” เสียงเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายและสาววัยมหาวิทยาลัยแจ้งคนในบ้านให้ทราบว่าพวกเขาเดินทางกลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย“วันนี้เป็นไงกันบ้างเด็ก ๆ ” คุณเพียงขวัญเอ่ยถามลูกรักทั้งสอง “เหนื่อยครับคุณแม่ ผมขอตัวไปนอนเลยนะครับ” ซิงอีพูดจบก็รีบขึ้นบันไดเข้าห้องนอนตัวเองทันที“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยไล่หลังแต่ลูกชายไม่ตอบกลับอะไรเลย “เดี๋ยวซูมี่ไปดูน้องเองค่ะคุณแม่” ซูมี่รีบเดินขึ้นบันไดตามน้องชายตัวเองไปเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพลางเคาะประตูขออนุญาตเปิดเข้าไป ภาพที่เธอเห็นคือซิงอีล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย “ซิงอี ลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อนค่อยมานอน เชื้อโรคมันจะสะสม” “ไม่ไหวแล้วซูมี่ วันนี้ผมเหนื่อยมากขอนอนพักแป๊บ เดี๋ยวมีนัดเล่นเกมตอนดึกกับเพื่อนต่อ” แปะ! พี่สาวตีไปที่หลังน้องชายเสียงดังแปะในขณะที่เขานอนคว่ำหน้าอยู่“โอ๊ย! พี่ทำไรเนี่ย” จนเขาต้องหันหน้ามาคุยกับเธอ “หมั่นไส้ ห่วงเล่นเกมอยู่ได้ หนังสืออ่านมั่งไหม ปีนี้แกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ” “เออผมรู้แ
@ WithUs Café and Restaurantแอ๊ด...ประตูถูกเปิดอีกครั้งหลังจากสามสิบนาทีก่อนหน้าถูกปิดลง หญิงสาวที่นั่งรอใครบางคนหันไปในทิศทางที่ประตูเปิดออกแล้วเผยรอยยิ้มให้ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามา“ดีใจจัง พี่อลันกลับมาแล้ว”ขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็เดินปรี่เข้ามาสวมกอดผู้หญิงตรงหน้า“พี่คิดถึงเราจัง”เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้จึงดันตัวเขาออกทันที คนที่สวมกอดถึงกับทำหน้างง“ถามจริง นี่ใช่พี่อลันตัวจริงหรือเปล่าคะ” ซูมี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย“ซูมี่…เราพูดอย่างกับพี่มีฝาแฝดอีกคนไปได้” คำตอบของเขาจะสื่อว่าไม่มีใครจะตัวจริงไปกว่านี้อีกแล้ว“ปกติพี่อลันไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่นา ซูมี่แตะทีหรือกอดทีตะโกนโหวกเหวกตกใจทุกทีเลย”“มันเมื่อก่อนไหม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”“ไม่เหมือนเดิมยังไงคะ”“ก็เราเป็นแฟนของพี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”อลันกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น แถมยังพูดคำที่ซูมี่โคตรจะแพ้ใส่ไปในประโยคด้วย“ถ้าบอกยกเลิกตอนนี้ทันไหมคะ” ซูมี่ลองแกล้งพูดอำอลันเชิงขำขัน ทว่าเขาดันไม่รู้สึกขำด้วย“ลองดูสิ” อลันให้คำตอบสั้น ๆ พร้อมยักคิ้วให้“ได้ใช่ม้า”“เราก็ลองดูสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้ว่าพี่จะทำยังไงต่อกับเรา”อลันไม่
อลันคิ้วขมวดมองซูมี่ แววตาเขาแข็งกระด้าง เสียงลมหายใจที่เข้าออกทางจมูกแลดูติดขัด ริมฝีปากเม้มสนิทเหมือนข่มอารมณ์ไม่พอใจบางอย่างอยู่“ค่ะ เสียใจที่ไม่ใช่แฟนของซูมี่มายืนรออยู่ตรงนี้”“ให้พี่ไปเรียกเขาให้ไหมล่ะ”“ก็ดีนะคะ รบกวนด้วยค่ะ”เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น ตัวเขาที่ถูกพูดประชดยิ่งรู้สึกไม่พอใจเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มเริ่มกัดปากตัวเองพลางพยักหน้า“ดูรักกันมากเลยเนอะ”“ใช่ค่ะ รักมากอยากอยู่ใกล้เขาแทบบ้าเลย ขอตัวนะคะแฟนซูมี่คงจะรอดูหนังด้วยกันแย่แล้ว”ซูมี่เอ่ยบอกลาอลันแล้วเดินสวนทางกับเขาเพื่อกลับไปที่ห้องหมับ!ทว่ายังเดินไม่พ้นจากบริเวณนั้น ก็ถูกผู้ชายที่พึ่งสนทนากันเมื่อสักครู่จับแขนข้างหนึ่งของเธอไว้ไม่ให้เดินไปไหนต่อ“ปล่อยค่ะ”“จับนิดจับหน่อยไม่ได้เลยเหรอ เมื่อก่อนอยากใกล้ชิดพี่แทบตายนี่”“เรื่องอดีตซูมี่ไม่เก็บเอามาคิดหรอกค่ะ พี่อลันควรอยู่กับปัจจุบัน ปล่อยค่ะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะเข้าใจผิด”“ก็ดี ปล่อยให้เข้าใจแบบนี้แหละ” ซูมี่ส่ายหน้าให้อลันและพยายามปัดมือเขาออกจากแขนเธอให้ได้ “เลิกเล่นแบบเด็ก ๆ เถอะค่ะพี่อลัน ซูมี่เหนื่อยที่จะพูดกับพี่แล้ว”อลันเผยยิ้มที่มุมปากเมื่อเธอสื่อว
@ WithUs Café and Restaurant“พอใจยังคีย์” ซูมี่หันไปถามคีย์ที่นั่งข้างกัน เธอยื่นมือถือให้ดูรูปคู่ที่ถ่ายแล้วลงโพสต์แคปชันเปิดตัวแฟน“ดีมากซูมี่”“แล้วรักษาสัญญาเรื่องของซิงอีด้วยล่ะ”“ได้เลย ไม่มีปัญหา”พูดจบนายคีย์ก็เขยิบตัวเข้ามาใกล้ซูมี่ก่อนจะเลื่อนใบหน้ามาใกล้ชิดกับเธอ หญิงสาวพยายามเอี้ยวตัวหลบ“คีย์ใกล้ไปแล้ว เขยิบออกไปเดี๋ยวนี้” ซูมี่ดันตัวเขาให้ห่าง “ทำไมต้องหนี ซูมี่เป็นแฟนเราแล้ว”“มัน…เร็วไปไหม เราพึ่งรู้จักกันเองนะ”เธอตอบรับตกลงก็จริง แต่ทำไปเพื่อปกป้องน้องชายตัวเองจากอันตรายเท่านั้น ในเรื่องของความรู้สึกกับผู้ชายคนนี้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย“ก็เราอยากอยู่ใกล้ซูมี่นี่ แถม…ตัวซูมี่ยังหอมด้วย”คีย์ยื่นจมูกมาดอมดมตัวเธอ ดีที่ซูมี่ไหวตัวทันไม่เช่นนั้นแก้มของเธอคงชนกับจมูกของเขาแล้ว“ถ้าคีย์ยังทำแบบนี้ เราจะกลับบ้านแล้วนะ”“ก็ได้ไม่ทำแล้ว อยู่ดูหนังด้วยกันก่อนนะครับ” เขาหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็ยอมเพราะอยากให้เธออยู่ด้วย“ได้ ดูจบแล้วเราขอกลับบ้านนะ”“ได้เลย”ทั้งคู่เดินไปนั่งที่โซฟาพลางเปิดทีวีเลือกหนังดู คีย์ถามซูมี่ว่าจะดูเรื่องนี้กันไหมน่าดูเป็นหนังรัก เมื่อหญิงสาวหันไปมองตามที่ค
“คงไม่มีวันนั้นค่ะ”ซูมี่ยังยืนกรานในจุดยืนของตัวเองว่าเธอเลิกชอบอลันแล้ว“ไม่มีเหรอ” อลันทวนถามซูมี่อีกครั้ง“ค่ะ”“ไหนลองบอกพี่หน่อย เพราะอะไรเราถึงเลิกชอบพี่”อลันมองจ้องซูมี่แบบไม่ละสายตาเพื่อเค้นถามเหตุผลที่เลิกชอบเขา“พี่อลันให้ซูมี่อยู่ในฐานะน้องสาวมาตั้งแต่ต้นไม่ใช่เหรอคะ มันก็ถึงเวลาแล้วที่ซูมี่จะถอยแล้วเปิดใจให้คนอื่นบ้าง” “นั่นมันตอนนั้น...ไม่ใช่ตอนนี้” อลันรู้ตัวดีว่าเป็นคนพูดคำนั้นออกจากปากเอง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากให้เป็นในเมื่อก่อน ในตอนนี้เขาไม่ต้องการแบบนั้น“หมายความว่ายังไงคะ” ซูมี่เลิกคิ้วไม่เข้าใจที่อลันพูด“ก็พี่...”ตืด ตืดเสียงจากมือถือเจ้ากรรมดันมาขัดจังหวะเสียได้ ซูมี่ใช้จังหวะนั้นรีบลุกขึ้นจากตักอลันเพื่อรับสาย“สวัสดีค่ะ”หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าใครโทรมาเพราะหน้าจอขึ้นแต่เพียงหมายเลข“สวัสดีซูมี่ จำเราได้หรือเปล่า...คีย์ไง”เมื่อปลายสายเอ่ยชื่อทักทาย ซูมี่ถึงกับตกใจแต่ก็พยายามนิ่งให้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้เธออยู่กับอลันจะให้เขารู้เรื่องนี้ไม่ได้“จำได้ ได้เบอร์มาจากไหน” เธอยังเลี่ยงใช้สรรพนามที่บ่งบอกเพศสภาพที่คุยกันอยู่“เอาเป็นว่าหามาได้...และไม่ใช่จากซิ