มุมมองของอลัน ☻
@ HTND Hotel, Bangkok
12 ปีแล้วสินะ ที่ผมไม่ได้กลับมาบ้านเกิดตัวเอง หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยในไทยคุณพ่อก็ส่งให้ผมไปเรียนต่อปริญญาโทสายตรงทางด้านการโรงแรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทันที ไม่มีแม้แต่เวลาบอกลาเพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือเด็กตัวน้อย ทุกอย่างเป็นเรื่องกะทันหันและไม่ได้มีสัญญาณบอกไว้ล่วงหน้า ทว่าก่อนที่จะไปจากที่นี่ผมได้ฝากซองจดหมายเล็ก ๆ ผ่านทางคุณพ่อช่วยมอบให้คุณอาหลินเพื่อส่งถึงเด็กตัวน้อย ใจความในจดหมายเขียนข้อความไม่ถึงหนึ่งย่อหน้ากระดาษ โดยผมเขียนอธิบายทำนองว่าจะไม่ได้เจอเธอหลังจากนี้ แต่ก็ทิ้งท้ายเพื่อไม่ให้เด็กน้อยรู้สึกตกใจ
‘พี่ไปแป๊บเดียว เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมานะ’
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเธอจะลืมผมไปแล้วหรือยัง แล้วจดหมายฉบับนั้นส่งถึงมือเธอหรือเปล่า ไม่ว่ายังไงผมก็พร้อมที่จะไปเจอเธอเร็ว ๆ นี้ในรอบ 12 ปี หลังจากเคลียร์ตารางงานสำคัญ 'การประชุมผู้ถือหุ้น' ในบ่ายวันนี้ และผมย้ำนักย้ำหนากับคุณพ่อให้ช่วยบอกคุณอาหลินว่าอย่าพึ่งบอกเรื่องนี้กับเธอเป็นอันขาด ผมมีของฝากน่ารัก ๆ ไปเซอร์ไพรส์เธอและหวังว่าเธอจะชอบมัน
ตื๊ด...ตื๊ด...
เบอร์ปริศนาโทรเข้ามาที่มือถือของผม จริง ๆ ผมไม่ชอบรับเบอร์แปลกสักเท่าไหร่ หมู่นี้มิจฉาชีพชุกชุมแสวงหาเงินบนความทุกข์ของคนอื่น แต่ดูท่าจะโทรมาไม่เลิก งั้นลองรับสายหน่อยก็แล้วกัน
“เหวย อลันใช่ไหมลูก” อันดับแรกเขาคือใคร...ถึงรู้ชื่อเล่นของผมและเรียกผมว่าลูกอีกต่างหาก
“ครับ จากไหนครับ”
“อาเอง อาหลินไง”
อ้าวคุณอานี่เอง จริงสิผมไม่เคยมีเบอร์เขาในเครื่องเลย สงสัยได้มาจากคุณพ่อแน่ ๆ
“สวัสดีครับคุณอา ผมขอโทษที่ไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ของคุณอาครับ”
“ไม่เป็นไรเลย อาก็พึ่งได้เบอร์อลันมาจากคุณอคิณเหมือนกัน จะรบกวนอลันสักเรื่องได้ไหมลูก”
“ได้ครับคุณอา เรื่องอะไรเหรอครับ”
“จำน้องได้ไหม...ซูมี่น่ะ พอดีน้องได้ยินข่าวว่าอลันกลับมาจากสวิตฯ แกก็เลยมาหาอลันที่โรงแรมและโทรหาอาเมื่อกี้ว่าอยากได้เบอร์เลขาเพื่อหาทางติดต่อกับอลัน แต่อาดันไปเผลอพูดทำนองรู้ว่าอลันจะกลับมาก่อนตั้งนานแล้ว น้องก็เลยงอนวางสายไปเลย ฝากช่วยดูแลซูมี่ให้อาหน่อยนะ”
คำพูดของคุณอาหลินทำให้ผมรู้สึกดีใจมาก ๆ ที่เธอยังไม่ลืมผม แถมมาหาผมด้วยตัวเองก่อนที่ผมจะไปเซอร์ไพรส์เธอเสียอีก ถ้านับอายุที่ห่างกับผม 12 ปี ตอนนี้เธอน่าจะอายุ 20 ปีแล้ว อยากจะเห็นหน้าเด็กน้อยเสียแล้วสิ
“ได้ครับคุณอา เดี๋ยวผมดูแลน้องให้เองครับ”
พูดจบผมก็วางสายคุณอาหลินไปแล้วรีบลงไปตามหาเธอที่ชั้นล่างของโรงแรม เดาว่าเธอไม่น่าจะไปไหนไกลจากแถวบริเวณล็อบบี้
ผมกวาดสายตามองไปยังด้านล่างจากชั้นสองของโรงแรม จนไปสะดุดตาพนักงานกลุ่มหนึ่งที่ยืนคุยล้อมวงกัน หนึ่งในนั้นคือคุณปุ้ยซึ่งผมนั้นรู้จักดีเพราะประชุมงานร่วมกันบ่อย ส่วนเด็ก ๆ ในทีมหลายคนก็พอเคยเห็นผ่านตามาบ้างจากประวัติสมัครงานที่ส่งมาให้ผมพิจารณาทุกครั้ง แม้ว่าผมจะอยู่ที่ต่างประเทศก็เถอะ แต่ว่า...มีผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลอ่อนไว้หน้าม้าคนหนึ่งในกลุ่มที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้า พยายามมองแต่ก็เห็นหน้าเธอไม่ชัดว่าคือใคร เดี๋ยวสิ...ผมกำลังตามหาน้องอยู่ ทำไมต้องไปสนใจกลุ่มพนักงานด้วย
พึ่งนึกออกว่าส่วนใหญ่คนนอกที่เข้ามาต้องติดต่อขอข้อมูลจากทางประชาสัมพันธ์ก่อนเป็นจุดแรก ผมจึงเดินไปถามพนักงานตรงนั้นว่ามีใครมาขอพบผมบ้างไหม และพนักงานหญิงคนหนึ่งบอกผมว่ามีผู้หญิงนักศึกษามหาวิทยาลัยมาขอพบ แต่พนักงานไม่ให้เข้าพบเพราะเธอไม่ได้ทำนัดไว้ คิดว่าต้องใช่ซูมี่แน่ ๆ ผมก็ไม่ได้ดุอะไรพนักงานไปเรื่องไม่ให้เธอทำนัด เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องคอยคัดบุคคลจากภายนอก ผมเลยได้แค่ถามไปเพิ่มว่าคนที่มาหาลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร เชื่อไหมว่าคำตอบที่พนักงานคนนั้นบอกทำให้ผมเกิดภาพย้อนไปตอนกำลังมองผู้หญิงผมสีน้ำตาลยืนคุยอยู่กับพนักงานคนอื่นเมื่อสักครู่ ถ้าคนนั้นคือซูมี่จริง ๆ แล้วทำไมเธอต้องไปยืนคุยตรงนั้นด้วย ฉะนั้นผมต้องรู้ให้ได้ว่าใช่เธอหรือไม่
“คุณปุ้ยทีมแผนกอาหารและเครื่องดื่มจะไปแสตนบายที่ห้องจัดเลี้ยงตอนกี่โมงครับ” ผมยกหูโทรหาผู้จัดการแผนกอาหารและเครื่องดื่มทันที
“สวัสดีค่ะคุณอลัน ทีมจะไปแสตนบายตอนบ่ายสองค่ะ คุณอลันมีอะไรให้ปุ้ยช่วยไหมคะ”
“สักบ่ายสองกว่า ๆ ผมจะลงไปดูความเรียบร้อยที่ห้องจัดเลี้ยงนะครับ”
“โอ้จะลำบากคุณอลันหรือเปล่าคะ พวกปุ้ยจัดการกันได้นะคะ”
“ไม่ลำบากครับ ถือว่าผมได้ไปทักทายพนักงานด้วย”
“รับทราบค่ะคุณอลัน”
เมื่อผมคุยกับคุณปุ้ยเสร็จ ก็โทรหาเลขาส่วนตัวต่อ
“คุณมีนครับ ช่วยเตรียมแฟ้มข้อมูลประวัติพนักงานทุกคนในแผนกอาหารและเครื่องดื่มให้หน่อยครับ แล้วเอามาให้ผมที่ห้องจัดเลี้ยงสัก บ่ายสองสิบนาที”
เอาล่ะทุกอย่างถูกวางไว้หมดแล้ว เหลือเพียงแต่เช็กให้แน่ใจว่าเธอคนนั้นใช่ซูมี่ไหม แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเธอ
เวลา 14.10 น.
ถึงเวลาที่ผมต้องเดินไปที่ห้องจัดเลี้ยงเพื่อตรวจความเรียบร้อยและเห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลยืนคุยกับนายศักดิ์อยู่ไกล ๆ พร้อมใส่ชุดยูนิฟอร์มเป็นพนักงานเสิร์ฟเสียด้วย เดี๋ยวก่อนแต่เธอยังเรียนไม่จบไม่ใช่เหรอ...อย่าบอกว่าปลอมตัวมานะ และกล้ามากที่ดูแลรับผิดชอบแขกโซน VIP
ขณะที่ผมพยายามมองเธออยู่ เลขามีนก็ถือแฟ้มข้อมูลมาพอดี ผมจึงเริ่มตรวจความเรียบร้อยตั้งแต่ตอนนั้นโดยเริ่มจากทีมแรกก่อน ทั้งเรื่องการจัดวางเครื่องดื่มและการแต่งกายเรียบร้อยดีถือว่าผ่านหมด เรามาดูกันทีมที่สองเครื่องดื่มถูกจัดเรียงไว้สวยงาม ส่วนพนักงานแต่งกายไร้ที่ติทุกคนที่ตรวจไปแล้ว
จนกระทั่งผมมาหยุดยืนตรงหน้าคนสุดท้ายสาวน้อยผมสีน้ำตาล เมื่อสายตาผมประสานกับเธอผมพยายามทำตัวนิ่งไว้อยู่แม้ว่าเธอจะส่งยิ้มให้ผมก็ตาม ก่อนเริ่มจะมองใบหน้าโดยภาพรวมแล้วก้มลงมองป้ายชื่อที่ติดไว้ ‘น้ำผึ้ง’ ผมแทบเกือบหลุดยิ้มแต่พยายามกันเอาไว้สุดฤทธิ์ ตอนนี้รู้แล้วว่ายังไงก็ใช่เธอ เล่นตั้งชื่อตรงตัวขนาดนั้น ซูมี่ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือน้ำผึ้งนั่นแหละ เด็กดื้อคงคิดว่าตบตาหลอกผมได้สินะ สงสัยต้องหาอะไรแกล้งเด็กคนนี้เสียแล้ว
ผมเรียกเลขามาขอดูรายชื่อพนักงานในแฟ้ม บทนี้เล่นใหญ่พอสมควร ทั้งทำสีหน้าตึงดึงเสียงใส่คุณปุ้ยผู้จัดการฯ ไปด้วย ทำนองว่ารับเด็กฝึกงานเข้ามาทำงานแทนพนักงานที่ดูแลรับผิดชอบโซน VIP ได้อย่างไร และเป็นไปตามคาดว่าเด็กดื้อต้องโต้ตอบกลับมาในทำนองไม่พอใจที่จะโดนย้ายไปอยู่ทีมแรก มันเหมือนเป็นการดูถูกฝีมือเธอ จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจให้คิดแบบนั้นหรอก ต้องบอกว่าแอบห่วงเสียด้วยซ้ำที่เธอต้องไปรับมือกับพวก VIP ซึ่งแขกบางคนแสนจะเรื่องเยอะ เอาใจยากสุด ๆ ในเมื่อเธอคิดว่าตัวเองทำได้ ก็ปล่อยให้ลองทำไป ผมจะคอยดู อยู่ห่าง ๆ ก็แล้วกัน
เวลา 15.00 น.
แขกเริ่มทยอยเข้ามานั่งที่โต๊ะแทบจะเต็มทุกที่นั่ง ผมเดินเข้าไปยิ้มทักทายและพูดคุยกับแขกหลายคน ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะโซน VIP ที่ใกล้กับซูมี่มากที่สุด
ผมลองเรียกเธอเพื่อมาวัดความรู้การรินเครื่องดื่มไวน์และแชมเปญเสียหน่อย เพราะผมไปรู้มาว่าซูมี่เรียนสาขาวิชาเดียวกันกับผมสมัยที่เรียนปริญญาตรีแถมมหาวิทยาลัยเดียวกันอีก โจทย์ของผมคือต้องการดื่มไวน์แดง แต่ยื่นแก้วแชมเปญให้เธอไป ก็แอบรู้สึกประหลาดใจที่เธอไม่เลือกหยิบแก้วที่ผมยื่นให้เลย ต้องเดินไปถามเหตุผลเสียหน่อยว่าทำไมไม่รับแก้วที่ผมให้ ซูมี่ให้เหตุผลกลับมาแบบครบองค์ความรู้เรื่องการเลือกใช้แก้วสำหรับเครื่องดื่มที่ต่างชนิดกัน ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าเธอแสนเก่งและฉลาด...เก่งมาตั้งแต่ตอบคณิตคิดไวกับผมเมื่อตอนอายุ 8 ขวบแล้ว
ซูมี่บริการเครื่องดื่มให้ทางผมแล้วก็เดินไปบริการให้แขกโต๊ะอื่นต่อ ดูท่าน่าจะทำได้ดี ไม่น่าต้องห่วงอะไร จนกระทั่ง...
ซัน เพื่อนที่ผม (ไม่ค่อยอยาก) สนิทเดินเข้าไปหาเธอแล้วคุยอะไรบางอย่างที่ดูไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ ทุกคนในแวดวงไฮโซรู้กันดีว่าซันเป็นคนนิสัยอย่างไร เขาเจ้าชู้คบผู้หญิงแทบไม่ซ้ำหน้า เอาง่าย ๆ ไว้ใจไม่ได้เลย
ผมตัดสินใจเดินไปหาซูมี่ แต่ก็ช้าไปเพียงเสี้ยววินาที ซันฉวยโอกาสสัมผัสปลายมือตอนที่ซูมี่ยื่นแก้วไวน์ให้ ผมแทบอยากจะด่าตัวเองที่ดูแลน้องได้ไม่ดีพอตามที่คุณอาหลินขอไว้ จะปล่อยให้มันเกินมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจึงเดินเข้าไปทำท่าทักทายซันเพื่อให้เขาเดินออกมาจากตรงนั้น แต่เขาก็ยังกล้ามาขอเบอร์กับไลน์ของซูมี่กับผมอีก อยากจะบอกว่านี่ก็ไม่มีข้อมูลเหมือนกัน แค่ถึงมีก็ไม่มีทางให้คนอย่างเขาเป็นอันขาด! ไม่สิ...ผู้ชาย ทุกคนก็ไม่ให้ทั้งนั้น จะว่าผมหวงน้องของผมก็ได้
เมื่อผมไล่ซันไปที่โต๊ะได้แล้วก็เหลือเพียงผมกับซูมี่ที่ยืนข้างกัน ใจอยากจะถามเธอเหลือเกินว่าเป็นอะไรหรือเปล่า โอเคไหม แต่ทำไม่ได้ก็เธอยังปลอมตัวเป็นพนักงานคนที่ผมไม่รู้จักอยู่นี่ไง เพราะงั้นผมก็ต้องตีบทเล่นกลับบ้างทำให้เหมือนเป็นเจ้านายตำหนิลูกน้องโดยไม่เข้าข้างเธอเลยแม้แต่น้อย เลือกที่จะเข้าข้างแขก
‘คุณแค่เสิร์ฟเครื่องดื่มก็พอ ไม่ต้องทำหน้าที่เสิร์ฟขนมจีบให้แขกครับ’
นี่คือประโยคที่ผมพูดใส่เธอไป พนันเลยว่าเธอน่าจะไม่ยอมพูดกับผมไปหลายวันนับจากวันนี้
ช่วงเวลารับประทานอาหารจบลง และอีก 1 ชั่วโมงจะเข้าสู่การประชุมผู้ถือหุ้น ในเวลาที่ยังว่างนี้ผมว่าจะไปหาซูมี่เสียหน่อยเพราะน่าจะต้องทักทายและเฉลยตัวกันอย่างเป็นทางการได้แล้ว ผมเห็นเธอเดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยงแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ ผมจะรอเธอหน้าห้องน้ำเนี่ยแหละ แต่ก็ยืนออกมาห่างจากประตูพอสมควรกลัวคนจะเข้าใจผิดว่าผมเป็นพวกถ้ำมอง
ไม่นานนักเธอก็เดินออกมาประจันหน้ากับผมพอดี แต่สีหน้าเธอไม่ยิ้มแย้มทักทายให้เลย แถมยังไม่เอ่ยคำพูดสวัสดีให้ผมได้ยินเสียงสักคำ นอกจากจะเดินตัดผ่านตัวผมไปเสียดื้อ ๆ จนผมต้องพูดบางอย่างให้เธอหยุดเดิน
“ได้ลองทำงานจริงสนุกไหม เด็กดื้อ”
เธอหยุดเดินและหันตัวกลับมาหาผม รู้ไหมว่าตอนนั้นผมเห็นภาพซ้อนสองภาพด้วยกัน ภาพแรกคือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อายุ 8 ขวบ และอีกภาพคือหญิงสาววัยรุ่น อายุ 20 ปี เมื่อทั้งสองภาพมาประกบรวมกันก็กลายเป็น ซูมี่ 100% ไม่ได้เจอกันตั้ง 12 ปี เด็กดื้อที่ช่างถามและช่างสังเกตคนนั้นโตเป็นสาวได้ขนาดนี้แล้วเหรอ สวยจนผมเกือบจำไม่ได้ แล้วแบบนี้พี่ชายอย่างผมจะดูแลน้องสาวคนนี้ให้ห่างจากพวกผู้ชายที่มาขายขนมจีบยังไงไหวนะ
ซูมี่หันมาสบตาอลันหลังจากได้ยิน คำว่า ‘เด็กดื้อ’ ที่เขาเอ่ยมาเมื่อสักครู่ นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ถูกเรียกแบบนี้จากปากของผู้ชายคนหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าเขารู้แล้วว่าเธอคือซูมี่ ทว่ารู้ตั้งแต่ตอนไหนกันนะ“สนุกดีค่ะคุณอลัน ขอตัวก่อนนะคะ” แทนที่จะทักเรียกเขาว่าพี่ เธอดันเลือกที่จะเรียกเขาด้วยสรรพนามอื่นที่ดูห่างเหินและกำลังเดินจากไปหมับ!อลันเดินเข้าไปจับแขนซูมี่พร้อมไปยืนกั้นขวางทางข้างหน้าเพื่อไม่ให้เธอเดินหนี“พี่รู้ว่าเรากำลังไม่พอใจพี่อยู่ ไปคุยกับพี่ที่ห้องทำงานก่อน”“น้ำผึ้งมีงานที่ต้องทำต่อค่ะ โปรดกรุณาปล่อยด้วย” ซูมี่พยายามสะบัดแขนออกจากมืออันแข็งแกร่งของอลันที่จับไว้ราวกับเอากาวมาเชื่อมติด“ไม่ จนกว่าซูมี่จะฟังพี่และหยุดแทนตัวเองว่าน้ำผึ้งได้แล้ว”อลันใช้เสียงเข้มพูดกับซูมี่พร้อมบอกให้เธอเลิกเรียกชื่อจอมปลอมนั่นเสียที“ก็ชื่อน้ำผึ้งจริง ๆ นะคะ” ซูมี่เลือกที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขา“พี่ขอร้องนะ ไปคุยกันดี ๆ อีก 30 นาทีพี่จะมีประชุมต่อแล้ว”อลันพยายามพูดจาดี ๆ เพื่อให้ซูมี่ยอมเชื่อฟังพี่ชายคนนี้สักครั้ง ซึ่งเธอ ก็ยอมโอนอ่อนให้ อาจเห็นว่าเขากำลังมีประชุมงานที่สำคัญจึงไม่อยากให้ เ
@ HTND Hotel, Bangkokเวลา 18.00 น.อลันตัดสินใจพาซูมี่กลับมาทานข้าวที่โรงแรมของตัวเอง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ก่อนจะเดินทางมาถึงเขาได้โทรแจ้งเลขาให้ช่วยบอกพ่อครัวเตรียมอาหารชุดใหญ่ไว้สำหรับ 2 คนเป็นที่เรียบร้อย และในเมนูอาหารต้องมีชุดติ่มซำถาดใหญ่ไว้พร้อมเสิร์ฟด้วยเมื่อรถได้เทียบจอดที่ลานจอดรถ VIP ทั้งคู่ก้าวเท้าลงจากรถและเดินมุ่งตรงไปยังห้องรับรองที่ถูกจัดเตรียมไว้ เมื่อประตูห้องฯ เปิดออกก็พบกับเมนูอาหารเรียงรายมากกว่า 10 เมนูบนโต๊ะกลมหมุนลายหินอ่อน หญิงสาวกวาดสายตามองอาหารด้วยแววตาเป็นประกาย จนพี่ชายคนข้าง ๆ หันไปยิ้มถาม“เมนูอาหารพอจะถูกใจเราไหม”“ถูกใจมากเลยค่ะ เราจะกินกันหมดไหมคะพี่อลัน” ซูมี่เอ่ยถาม“ไม่หมดก็ห่อกลับบ้านได้นะ เผื่อเมนูไหนคนที่บ้านอยากทานด้วย เอาล่ะมากินกันเถอะ”อลันลากเก้าอี้ออกให้ซูมี่นั่งก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกัน เขาเริ่มจากหยิบขนมจีบและฮะเก๋าสุดเลิฟให้เธอลองชิมเสียก่อน พอซูมี่เอาเข้าปากถึงกับร้องอุทานว่าอร่อยมาก ขนาดแม่ครัวที่บ้านยังทำให้ทานไม่ได้แบบนี้เลย พี่ชายแสนดีสุดแสนจะดีใจ หากรู้ว่าเธอชอบขนาดนี้คงไม่เสียเวลาพาไปกินไกลที่ไหนอีกแล้ว ทั้
ต่อให้อลันพยายามจะพูดให้ซูมี่เข้าใจความรู้สึกที่เขามีต่อเธออย่างไร ซูมี่ก็เลือกที่จะไม่ฟัง สรุปง่าย ๆ ก็คือดื้อนั่นเองแต่ถือว่าอลันมีความใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่มากพอที่สามารถแยกแยะระหว่างเรื่องความรู้สึกกับเรื่องที่ต้องดูแลน้องสาวจอมดื้อออกจากกันได้ เขาขับรถไปส่งเธอกลับบ้าน ระหว่างเดินทางบรรยากาศในรถยิ่งกว่าป่าช้า หากมีเสียงหมาหอนแทรกขึ้นมาน่าจะอุ่นใจกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้@ บ้านครอบครัวตระกูลหลินเมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านซูมี่ คุณแม่ของซูมี่ก็ออกมารับลูกสาวกลอยใจเข้าบ้าน อลันยกมือไหว้สวัสดีคุณอาเพียงขวัญที่ไม่ได้เจอกันนาน เธอได้พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบเล็กน้อยกับอลันก่อนจะเชิญเข้าไปนั่งพักในบ้าน แต่อลันขอปฏิเสธอย่างสุภาพเพราะดึกแล้วจึงไม่อยากรบกวนเวลาของครอบครัวซูมี่ เขาจึงกล่าวลาและขอตัว ทว่าก่อนเดินกลับไปขึ้นรถคุณเพียงขวัญบอกลูกสาวตัวแสบให้ไปส่งพี่ชายที่หน้าบ้านก่อนซูมี่ทำตามคำสั่งคุณแม่ เธอเดินตามหลังอลันมาติด ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ จนอลันรู้สึกว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะมองหน้ากันไม่ติดแล้ว จึงเอ่ยพูดเล็กน้อยเพื่อให้บรรยากาศมันดีขึ้น“พี่กลับก่อนนะ เดินเข้าบ้านดี ๆล่ะ”หมับ!
3 วันผ่านไป...@ ห้องเรียน ตึกคณะบริหารธุรกิจตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น จนถึงตอนนี้ซูมี่กับอลันก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย หญิงสาวเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างตึกเรียนเหมือนกำลังคิดทบทวนในสิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดว่ามันได้ผลดีหรือผลเสียกันแน่ การที่เธอมาทวงสัญญาตามที่ให้ไว้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย หากคิดในมุมของซูมี่ก็เพราะอลันให้คำสัญญาไม่ใช่หรอกเหรอจึงกลายเป็นการสร้างความหวังให้กับเธอเช่นนี้ ตั้ง 12 ปีเชียวนะที่ผู้หญิงคนหนึ่งรอผู้ชายคนนั้นอย่างไม่รู้จุดหมาย เธอไม่ยอมเปิดใจให้ผู้ชายคนไหนเข้ามาศึกษาดูใจเลยสักคน เพราะเธอรอแค่เขาเท่านั้น...“สะกิดมันหน่อยยัยรัก วิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วมั้ง” ต้นข้าวบอกน้องสาวฝาแฝดของตัวเองให้สะกิดเรียกซูมี่ที่นั่งข้างกัน“มีมี่เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นนั่งเหม่อมาเป็นชั่วโมงแล้ว” ต้นรักหันไปถาม“ไม่มีอะไรต้นรัก ซูมี่แค่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ซูมี่หันมายิ้มให้เพื่อนสนิทตัวเอง“ไอ้ที่ว่าเรื่อยเปื่อยมีเรื่องของผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วยไหม” ต้นข้าวเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยท่าทีสงสัย“มีบ้าง แต่ไม่มาก”“โกหก!”ฝาแฝดส่งเสียงพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกหล่อนเป็นเพื่อนเธอม
จากวันนั้นที่ซูมี่พยายามหาทางไปเจออลัน ทั้งคู่ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อลันพาเธอไปส่งถึงบ้านด้วยความเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยหลังจากที่สอนการบ้านเสร็จ ในคืนนั้นตระกูลหลินอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาพอดิบพอดี ในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังจะรับประทานอาหารเย็น คุณชางอีจึงชวนอลันทานข้าวด้วยกันที่บ้านก่อนกลับ ซึ่งอลันก็พยายามพูดว่าไม่เป็นไรด้วยความเกร็งใจผู้ใหญ่ แต่หญิงสาวตัวแสบดันลากแขนเขาให้ไปนั่งเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ข้างเธอ ซึ่งอันที่จริงแล้วที่นั่งตรงนั้นเป็นของซิงอี แต่น้องชายตัวดีดันมาทีหลังจึงโดนแย่งที่นั่งและให้ไปนั่งข้างคุณแม่แทน บทสนทนาภายในโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยหัวข้อสนุกสนานและเบาสมองโดยไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานเลย ชายหนุ่มได้สร้างความประทับใจให้คุณชางอีในเรื่องทัศนคติที่ดีของเขาจากการถามตอบเรื่องต่าง ๆ ที่คิดตรงกันเมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ซูมี่ก็ไปส่งอลันที่รถเหมือนดังเคย แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าตรงที่ว่าสาวน้อยรวบรวมความกล้าขอเบอร์ติดต่อและไลน์ส่วนตัวของเขาไว้ และอลันก็เต็มใจให้เพราะเห็นว่าเป็นน้องสาว เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อพี่ชายคนนี้ให้ช่วยเหลือได้1 สัปดา
หลายวันต่อมา...@ บ้านตระกูลหลินเช้าวันอาทิตย์วันแห่งการพักผ่อนสำหรับคนวัยทำงาน คุณชางอีเดินลงมาชั้นล่างเพื่อมานั่งทานอาหารเช้าพร้อมกับครอบครัว สมาชิกในครอบครัวเริ่มทยอยเดินลงมาจากชั้นบน จนสิบนาทีผ่านพ้นไปสมาชิกคนหนึ่งก็ยังไม่ปรากฏตัว“ซิงอี จ้าย หน่าร์” คุณชางอีถามเป็นภาษาจีนกับลูกสาวว่า ‘ซิงอีอยู่ไหน’“หว่อ ปู้ จือ เต้า” ซูมี่ตอบกลับคุณพ่อว่า ‘เธอก็ไม่รู้’ เหมือนกัน“น่าจะหลับอยู่ เดี๋ยวไปตามลูกให้ค่ะคุณพี่”คุณเพียงขวัญทำท่าลุกขึ้นเพื่อไปตามลูกชาย ทว่าถูกสามียั้งไว้ให้นั่งลงเหมือนเดิม จากนั้นจึงหันมาทางลูกสาวเหมือนต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง“ซูมี่คนสวยของพ่อ ไปตามน้องให้พ่อทีนะ” ซูมี่กลอกตามองบนก่อนจะพยักหน้ารับคำบัญชาของคุณพ่อเธอเดินจ้ำอ้าวจับราวบันไดขึ้นไปยังชั้นบนจนไปหยุดที่หน้าประตูห้องของน้องชายพร้อมยกกำปั้นหนึ่งข้างเคาะไปที่แผ่นไม้สักสี่เหลี่ยมก๊อก ก๊อก“ซิงอีตื่นยัง”ซูมี่แนบหูข้างหนึ่งกับประตูเพื่อพยายามฟังเสียงข้างในแต่ไร้เสียงตอบรับ เจ้าน้องชายคนนี้ทำอะไรกันอยู่กันนะ ปกติทุกวันอาทิตย์ซิงอีจะลงไปเสนอหน้าให้คุณพ่อเห็นเป็นคนแรกที่โต๊ะอาหารด้วยซ้ำซูมี่ตะโกนเรียกแม่บ้านใ
1 สัปดาห์ต่อมาหลังจากที่ครอบครัวของอลันและครอบครัวของซูมี่ไปเที่ยวพักผ่อนกันเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ทุกคนต่างดูมีความสุขชื่นมื่นเหมือนได้เอาความเหน็ดเหนื่อยออกจากการทำงานและการเรียนซูมี่เริ่มกล้าที่จะคุยกับอลันผ่านข้อความแชตบ่อยขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งข้อความไปรบกวนเขาตลอดเวลาเพราะรู้ว่าเขาต้องทำงานและกำลังจะมีข่าวดีในวันพรุ่งนี้อลันจะเข้าพิธีการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการบริษัท (CEO) ขึ้นแท่นแทนคุณอคิณที่กำลังจะเกษียณอายุโดยงานจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ช่วงค่ำ ซูมี่ได้แต่คอยให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ อันที่จริงเธออยากจะมีส่วนร่วมภายในงานที่จะจัดด้วย ถึงกับร้องขออลันปลอมตัวเป็นเด็กเสิร์ฟในโรงแรมอีกครั้ง แต่เขายั้งเธอไว้พร้อมกับสอนว่าไม่ควรทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงอีก ขอแค่เธอมาร่วมงานในฐานะแขกเขาก็ดีใจแล้ววันต่อมา เวลา 20.00 น.@ HTND Hotel, Bangkokบรรยากาศหวนคืนเหมือน 12 ปีก่อนอีกครั้ง แขกทั้งหลายทยอยเดินเข้างานกันหนาแน่น ไม่มีแขกเพียงคนไทยเท่านั้น ยังมีชาวต่างชาติอีกหลายสัญชาติมาร่วมแสดงความยินดีกับ CEO คนใหม่อลันปรากฏตัวในชุดสูทสีดำเข้ม ทรงผมด้านหน้าถูกเซตขึ้นเปิดโชว์โหงวเฮ้งของผู้นำรุ่นใหม่ นอกจากหน้
หลายวันต่อมา@ HTND Hotel, Bangkok“คุณอลันคะ ทางมิสเตอร์จอห์นสันเลื่อนวันจัดงานที่เซี่ยงไฮ้มาไวขึ้นค่ะ”เลขามีนยื่นข้อมูลในแท็บเล็ตให้เจ้านายดู เขาอ่านจับใจความได้ว่างานถูกเลื่อนเข้ามาจัดภายในเดือนหน้าซึ่งเหลืออีกแค่หนึ่งสัปดาห์ในการเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศ“คุณมีนลองประสานให้หน่อยครับ อยากทราบเหตุผลว่าทำไมถึงเลื่อนเข้ามาจัดไวขึ้น”“รับทราบค่ะ”อลันมักจะมีชีพจรรองเท้าต้องเดินทางไปไหนมาไหนตลอดเวลา เขาพึ่งกลับมาไทยได้ไม่ถึงเดือนก็ต้องเตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง แถมครั้งนี้ก็ไปนานเป็นเดือน ๆ เสียด้วย ขนาดเขาพึ่งได้รับตำแหน่ง CEO มายังตารางแน่นถึงเพียงนี้ แล้วต่อไปเขาจะมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองบ้างหรือเปล่า“คุณอลันอยากดื่มเครื่องดื่มอะไรไหมคะ” เลขาเอ่ยถามเจ้านายเมื่อเห็นสีหน้าเจ้านายที่อิดโรยจากการทำงานมาทั้งวัน“ขอแค่น้ำเปล่าเย็น ๆ สักแก้วพอครับ”“ได้ค่ะ เดี๋ยวมีนรีบไปเอามาให้ค่ะ” พูดจบเธอก็รีบเดินออกไปปล่อยให้เจ้านายอยู่คนเดียวภายในห้องอลันลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน มานอนเอนหลังที่โซฟาเพื่อผ่อนคลายก่อนจะหยิบมือถือมาไถดูอะไรเล่นไปพลาง ๆ แต่ไถอย่างไรก็ไม่รู้ดันไปเข้าห้องแชตระหว่างเข
1 เดือนต่อมา @ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย เวลา 06.00 น.“นักศึกษาชั้นปีที่ 4 เชิญเข้าหอประชุมเลยครับ” ประธานสโมสรนักศึกษาประกาศเสียงผ่านโทรโข่งเพื่อกวาดต้อนนักศึกษาแต่ละคณะเข้าหอประชุมเพื่อเตรียมเข้าพิธีรับประกาศนียบัตรจบการศึกษาวันนี้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนมหาศาลจากต่างคณะมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้นัดหมาย ยังไม่นับรวมญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตป้ายแดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จำนวนผู้คนหลั่งไหลเข้ามาราวกับฝูงมด หากจะติดต่อหากันคงต้องบอกที่นัดหมายไว้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นคงพลัดหลงกันแน่ “ยัยมี่ทางนี้” ต้นข้าวชูมือขึ้นสูงเพื่อเรียกเพื่อนสาวที่กำลังเอามือถือแนบที่หูพลางกวาดสายตามองหาพวกเธอเมื่อซูมี่เห็นเป้าหมายจึงรีบเดินเบียดเสียดคนเข้าไปหาเพื่อนสาว “หวัดดีพวกแก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” “จริง มาเข้าใจรุ่นพี่ปีก่อนก็ตอนนี้แหละเนอะมีมี่” ต้นรักเอ่ย“พวกเราเข้าไปห้องพิธีข้างในกันเถอะ ตรงนี้คนมันแน่นฉันหายใจไม่ออกแล้ว” ต้นข้าวเอ่ยชวน สามสาวเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุมด้วยความทุลักทุเลกับชุดครุยที่ลากยาวติดพื้น ไหนจะรองเรื่องรองเท้าคัทชูที่สวมใส่กัดอีก ท
1 เดือนต่อมา@ คณะบริหารธุรกิจ“เย้! โปรเจคผ่านสักทีเว้ย!” แฝดสาวผู้พี่กระโดดโลดเต้นดีใจ“ดีใจเกินเหตุข้าว อย่าลืมสิว่ามีสอบอีกชุดใหญ่ไฟกะพริบ”แฝดผู้น้องย้ำเตือนเธอว่ายังเหลือโค้งสุดท้ายแห่งชีวิต ถ้าสอบไม่ผ่านก็เตรียมแหกโค้งปลิดชีพเรียนไม่จบไปได้เลย“เออว่ะ อย่าพูดสิฉันเศร้า” ต้นข้าวเสียงหงอยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่อยู่เหนือความเครียดและความกังวลใด ๆเพราะโลกของเธอช่างสดใสราวกับเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนตร์“คงจะมียัยมี่คนเดียวที่เบิกบานใจ” ต้นข้าวถึงกับหยิบปากกาขว้างไปที่หัวเหม่งของคนที่ถูกกล่าวถึง“โอ๊ย!ยัยข้าวเจ็บ” หญิงสาวที่โดนขว้างปากกาใส่หัวหันมาเรียกชื่อเพื่อนสาวฝาแฝด“มีความสุขเหลือเกินแม่สาวหมวย พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็เทเพื่อนเลยนะยะ” ต้นข้าวเอ่ยเชิงน้อยใจ“ฉันทิ้งพวกยูตรงไหน มา ๆ วันนี้มีแพลนไปไหนกัน ฉันไปด้วย”ซูมี่เอ่ยถามสองแฝดว่าวันนี้มีที่ไหนอยากไป เธอพร้อมจะไปด้วยเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ช่วงนี้อยู่กับพวกเธอน้อยกว่าเดิม“ชิ ถ้าฉันบอกว่าอยากไปดื่มเหล้า แกจะไปกับพวกฉันเหรอ” ต้นข้าวเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าซูมี่คงไม่ไปด้วยแน่“ไปสิ ดื่มเหล้านี่ของชอบเลย” หญิงสาว
3 สัปดาห์ต่อมาความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาวเริ่มสุกงอม หลายสัปดาห์ก่อนเขาและเธอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสถานะความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟนอลันตัดสินใจเปิดตัวซูมี่ต่อครอบครัวเขาและเธออย่างเป็นทางการโดยเชิญพวกท่านมาเป็นสักขีพยานช่วงทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม HTND ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเขาและเธอต่างพากันตกใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทว่าพวกท่านก็ไม่ได้ขัดที่ทั้งคู่จะคบหาดูใจกันพร้อมทั้งเอ่ยปากร่วมแสดงความยินดีไปในตัว ถือว่าทั้งคู่โชคดีที่ครอบครัวเปิดไฟเขียวให้คบหาดูใจกันได้ตามสะดวก ทางครอบครัวซูมี่ยังเอ่ยฝากฝังลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกับอลันไว้ด้วย ซึ่งเขารับปากสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีในวันนี้อลันขออนุญาตทางผู้ปกครองของซูมี่พาเธอไปเที่ยวหรือที่เรียกกันว่าชวนไปออกเดต หากเป็นคู่รักคู่อื่น ๆ คงจะพาไปดูหนัง กินข้าว ร้องคาราโอเกะ เดินเล่นในสวน แต่สำหรับพวกเขาซึ่งตัวติดกันอย่างกับหมากฝรั่ง สถานที่ที่เขาเดตกันก็มีเพียงที่เดียวที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวนั่นคือ คอนโดของชายหนุ่ม@ คอนโดของอลันเมื่อทั้งคู่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ววางสัมภาระไว้ที่โต๊ะเรียบร้อย ไม่ทันไรผู้ชายคลั่งรักก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดแฟนสาวจา
@ คอนโดของอลันเวลา 08.30 น.กริ๊งงงง!เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ตั้งเอาไว้โดยซูมี่ดังขึ้น เธอเอื้อมมือสุดแขนไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียงเพื่อปิดมันก่อนจะดันตัวเองจากเตียงแล้วลุกนั่งตัวตรงในสภาพที่ยังไม่ลืมตาตื่น“อยากนอนต่อจัง…ไม่ได้สิ เราอยู่คอนโดพี่อลันนี่นา”ซูมี่สะดุ้งตัวฟื้นคืนสติว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน ทว่ายังอยู่ที่คอนโดผู้ชายที่เธอน่าจะเรียกได้เต็มปากแล้วว่า…แฟนหนุ่มหญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วพับผ้าห่มอย่างประณีตตามหลักสูตรวิชาการโรงแรมที่เรียนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูทักทายยามเช้ากับชายหนุ่ม“อรุณสวัสดิ์ค่าพี่อลัน เอ…ยังไม่ตื่นเหรอ”ซูมี่กวาดตามองทั่วทิศเพื่อหาผู้ชายร่างสูง และพบว่าเป้าหมายยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอค่อย ๆ ย่องฝีเท้าให้เบาประดุจดังขนนกมาหยุดอยู่ที่โซฟาก่อนจะย่อตัวลงเอามือชันเข่าพลางโน้มตัวจ้องมองใบหน้าของอลัน“คนอะไร ขนาดหลับยังหล่อเลย”เธอยื่นนิ้วเรียวเล็กเอื้อมไปปัดปอยผมข้างหน้าของอลันที่บังตาไว้เพื่อจะได้เห็นความหล่อของแฟนตัวเองชัด ๆหมับ!ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมเต็มอิ่ม จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกจับโดยผู้ชายที่นอนอยู่ แถมเขายังดึงร่างเธอใ
สามปีก่อน (สมัยซูมี่อยู่ปี 1 และซิงอีอยู่ ม.6) @ บ้านตระกูลหลินเวลา 19.00 น.“กลับมาแล้วค่ะ / ครับ” เสียงเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายและสาววัยมหาวิทยาลัยแจ้งคนในบ้านให้ทราบว่าพวกเขาเดินทางกลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย“วันนี้เป็นไงกันบ้างเด็ก ๆ ” คุณเพียงขวัญเอ่ยถามลูกรักทั้งสอง “เหนื่อยครับคุณแม่ ผมขอตัวไปนอนเลยนะครับ” ซิงอีพูดจบก็รีบขึ้นบันไดเข้าห้องนอนตัวเองทันที“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยไล่หลังแต่ลูกชายไม่ตอบกลับอะไรเลย “เดี๋ยวซูมี่ไปดูน้องเองค่ะคุณแม่” ซูมี่รีบเดินขึ้นบันไดตามน้องชายตัวเองไปเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพลางเคาะประตูขออนุญาตเปิดเข้าไป ภาพที่เธอเห็นคือซิงอีล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย “ซิงอี ลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อนค่อยมานอน เชื้อโรคมันจะสะสม” “ไม่ไหวแล้วซูมี่ วันนี้ผมเหนื่อยมากขอนอนพักแป๊บ เดี๋ยวมีนัดเล่นเกมตอนดึกกับเพื่อนต่อ” แปะ! พี่สาวตีไปที่หลังน้องชายเสียงดังแปะในขณะที่เขานอนคว่ำหน้าอยู่“โอ๊ย! พี่ทำไรเนี่ย” จนเขาต้องหันหน้ามาคุยกับเธอ “หมั่นไส้ ห่วงเล่นเกมอยู่ได้ หนังสืออ่านมั่งไหม ปีนี้แกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ” “เออผมรู้แ
@ WithUs Café and Restaurantแอ๊ด...ประตูถูกเปิดอีกครั้งหลังจากสามสิบนาทีก่อนหน้าถูกปิดลง หญิงสาวที่นั่งรอใครบางคนหันไปในทิศทางที่ประตูเปิดออกแล้วเผยรอยยิ้มให้ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามา“ดีใจจัง พี่อลันกลับมาแล้ว”ขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็เดินปรี่เข้ามาสวมกอดผู้หญิงตรงหน้า“พี่คิดถึงเราจัง”เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้จึงดันตัวเขาออกทันที คนที่สวมกอดถึงกับทำหน้างง“ถามจริง นี่ใช่พี่อลันตัวจริงหรือเปล่าคะ” ซูมี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย“ซูมี่…เราพูดอย่างกับพี่มีฝาแฝดอีกคนไปได้” คำตอบของเขาจะสื่อว่าไม่มีใครจะตัวจริงไปกว่านี้อีกแล้ว“ปกติพี่อลันไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่นา ซูมี่แตะทีหรือกอดทีตะโกนโหวกเหวกตกใจทุกทีเลย”“มันเมื่อก่อนไหม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”“ไม่เหมือนเดิมยังไงคะ”“ก็เราเป็นแฟนของพี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”อลันกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น แถมยังพูดคำที่ซูมี่โคตรจะแพ้ใส่ไปในประโยคด้วย“ถ้าบอกยกเลิกตอนนี้ทันไหมคะ” ซูมี่ลองแกล้งพูดอำอลันเชิงขำขัน ทว่าเขาดันไม่รู้สึกขำด้วย“ลองดูสิ” อลันให้คำตอบสั้น ๆ พร้อมยักคิ้วให้“ได้ใช่ม้า”“เราก็ลองดูสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้ว่าพี่จะทำยังไงต่อกับเรา”อลันไม่
อลันคิ้วขมวดมองซูมี่ แววตาเขาแข็งกระด้าง เสียงลมหายใจที่เข้าออกทางจมูกแลดูติดขัด ริมฝีปากเม้มสนิทเหมือนข่มอารมณ์ไม่พอใจบางอย่างอยู่“ค่ะ เสียใจที่ไม่ใช่แฟนของซูมี่มายืนรออยู่ตรงนี้”“ให้พี่ไปเรียกเขาให้ไหมล่ะ”“ก็ดีนะคะ รบกวนด้วยค่ะ”เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาแบบนั้น ตัวเขาที่ถูกพูดประชดยิ่งรู้สึกไม่พอใจเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มเริ่มกัดปากตัวเองพลางพยักหน้า“ดูรักกันมากเลยเนอะ”“ใช่ค่ะ รักมากอยากอยู่ใกล้เขาแทบบ้าเลย ขอตัวนะคะแฟนซูมี่คงจะรอดูหนังด้วยกันแย่แล้ว”ซูมี่เอ่ยบอกลาอลันแล้วเดินสวนทางกับเขาเพื่อกลับไปที่ห้องหมับ!ทว่ายังเดินไม่พ้นจากบริเวณนั้น ก็ถูกผู้ชายที่พึ่งสนทนากันเมื่อสักครู่จับแขนข้างหนึ่งของเธอไว้ไม่ให้เดินไปไหนต่อ“ปล่อยค่ะ”“จับนิดจับหน่อยไม่ได้เลยเหรอ เมื่อก่อนอยากใกล้ชิดพี่แทบตายนี่”“เรื่องอดีตซูมี่ไม่เก็บเอามาคิดหรอกค่ะ พี่อลันควรอยู่กับปัจจุบัน ปล่อยค่ะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นจะเข้าใจผิด”“ก็ดี ปล่อยให้เข้าใจแบบนี้แหละ” ซูมี่ส่ายหน้าให้อลันและพยายามปัดมือเขาออกจากแขนเธอให้ได้ “เลิกเล่นแบบเด็ก ๆ เถอะค่ะพี่อลัน ซูมี่เหนื่อยที่จะพูดกับพี่แล้ว”อลันเผยยิ้มที่มุมปากเมื่อเธอสื่อว
@ WithUs Café and Restaurant“พอใจยังคีย์” ซูมี่หันไปถามคีย์ที่นั่งข้างกัน เธอยื่นมือถือให้ดูรูปคู่ที่ถ่ายแล้วลงโพสต์แคปชันเปิดตัวแฟน“ดีมากซูมี่”“แล้วรักษาสัญญาเรื่องของซิงอีด้วยล่ะ”“ได้เลย ไม่มีปัญหา”พูดจบนายคีย์ก็เขยิบตัวเข้ามาใกล้ซูมี่ก่อนจะเลื่อนใบหน้ามาใกล้ชิดกับเธอ หญิงสาวพยายามเอี้ยวตัวหลบ“คีย์ใกล้ไปแล้ว เขยิบออกไปเดี๋ยวนี้” ซูมี่ดันตัวเขาให้ห่าง “ทำไมต้องหนี ซูมี่เป็นแฟนเราแล้ว”“มัน…เร็วไปไหม เราพึ่งรู้จักกันเองนะ”เธอตอบรับตกลงก็จริง แต่ทำไปเพื่อปกป้องน้องชายตัวเองจากอันตรายเท่านั้น ในเรื่องของความรู้สึกกับผู้ชายคนนี้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย“ก็เราอยากอยู่ใกล้ซูมี่นี่ แถม…ตัวซูมี่ยังหอมด้วย”คีย์ยื่นจมูกมาดอมดมตัวเธอ ดีที่ซูมี่ไหวตัวทันไม่เช่นนั้นแก้มของเธอคงชนกับจมูกของเขาแล้ว“ถ้าคีย์ยังทำแบบนี้ เราจะกลับบ้านแล้วนะ”“ก็ได้ไม่ทำแล้ว อยู่ดูหนังด้วยกันก่อนนะครับ” เขาหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็ยอมเพราะอยากให้เธออยู่ด้วย“ได้ ดูจบแล้วเราขอกลับบ้านนะ”“ได้เลย”ทั้งคู่เดินไปนั่งที่โซฟาพลางเปิดทีวีเลือกหนังดู คีย์ถามซูมี่ว่าจะดูเรื่องนี้กันไหมน่าดูเป็นหนังรัก เมื่อหญิงสาวหันไปมองตามที่ค
“คงไม่มีวันนั้นค่ะ”ซูมี่ยังยืนกรานในจุดยืนของตัวเองว่าเธอเลิกชอบอลันแล้ว“ไม่มีเหรอ” อลันทวนถามซูมี่อีกครั้ง“ค่ะ”“ไหนลองบอกพี่หน่อย เพราะอะไรเราถึงเลิกชอบพี่”อลันมองจ้องซูมี่แบบไม่ละสายตาเพื่อเค้นถามเหตุผลที่เลิกชอบเขา“พี่อลันให้ซูมี่อยู่ในฐานะน้องสาวมาตั้งแต่ต้นไม่ใช่เหรอคะ มันก็ถึงเวลาแล้วที่ซูมี่จะถอยแล้วเปิดใจให้คนอื่นบ้าง” “นั่นมันตอนนั้น...ไม่ใช่ตอนนี้” อลันรู้ตัวดีว่าเป็นคนพูดคำนั้นออกจากปากเอง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากให้เป็นในเมื่อก่อน ในตอนนี้เขาไม่ต้องการแบบนั้น“หมายความว่ายังไงคะ” ซูมี่เลิกคิ้วไม่เข้าใจที่อลันพูด“ก็พี่...”ตืด ตืดเสียงจากมือถือเจ้ากรรมดันมาขัดจังหวะเสียได้ ซูมี่ใช้จังหวะนั้นรีบลุกขึ้นจากตักอลันเพื่อรับสาย“สวัสดีค่ะ”หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าใครโทรมาเพราะหน้าจอขึ้นแต่เพียงหมายเลข“สวัสดีซูมี่ จำเราได้หรือเปล่า...คีย์ไง”เมื่อปลายสายเอ่ยชื่อทักทาย ซูมี่ถึงกับตกใจแต่ก็พยายามนิ่งให้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้เธออยู่กับอลันจะให้เขารู้เรื่องนี้ไม่ได้“จำได้ ได้เบอร์มาจากไหน” เธอยังเลี่ยงใช้สรรพนามที่บ่งบอกเพศสภาพที่คุยกันอยู่“เอาเป็นว่าหามาได้...และไม่ใช่จากซิ