เช้าวันต่อมา
ฉันยกมือทักทายเพื่อนร่วมชั้นเรียนสองสามคนที่เดินผ่าน แล้วกวาดตามองหาที่นั่งที่ยังว่าง จากนั้นก็นั่งลงรออาจารย์เข้าสอน นักศึกษาทยอยเข้าห้องมาเรื่อย ๆ หนึ่งในนั้นมีไวท์และกลุ่มเพื่อนของเขาเดินเข้ามา ส่งเสียงเอะอะโวยวาย พูดคุยกันเสียงดัง ขณะเดินผ่านจุดที่ฉันนั่ง ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็หยุดเดินแล้วหันมาทักทายฉัน
“สวัสดีจ้ะปาย วันนี้ยังน่ารักเหมือนเดิมนะจ๊ะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อนใส่ อีตานี่ชีกอกับมนุษย์ทุกคนที่เป็นผู้หญิง ฉันจำชื่อเขาไม่ได้แต่มักเรียกในใจว่านายหม้อ เพราะมันหม้อไปทั่วห้องจนหูดำหมด ขณะที่ฉันกำลังเอ่ยปากตอกกลับก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้น
“น่ารักตายละ ตาก็โปน เตี้ยก็เตี้ย”
ตาโปนบ้านมันสิ!
ฉันกำหมัดไว้ใต้โต๊ะ พยายามไม่สนใจเสียงสัมภเวสี ภาวนาให้ผู้ชายกลุ่มนี้รีบ ๆ เดินผ่านไปสักที หรืออาจารย์รีบเข้าห้องมาสอนเร็ว ๆ
“ว่าไปไอ้ไวท์ เขาเรียกตากลมโตเว้ย” ฉันได้ยินอีตาหม้อสวนกลับ “น่ารักจะตายตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ ปากนิดจมูกหน่อย ตาโตเหมือนตุ๊กตา น่าทะนุถนอมสุด ๆ”
“หึ ชอบแบบนี้เหรอไอ้ยักษ์ ระวังเถอะ ภาพที่เห็นมันจะหลอกตา”
“เออ กูชอบ นี่ก็จีบตั้งนานละไม่ติดสักที คนน่ารักใจแข็งว่ะ”
พออีตาหม้อพูดจบ ผู้ชายหลายคนส่งเสียงล้อเลียน เฮฮาสนุกสนาน
แต่ขอโทษเถอะ! มายืนคุยกันหัวโด่ตรงที่ฉันนั่ง นินทาฉันระยะเผาขนทำเหมือนฉันไม่ได้อยู่ตรงนี้ อีตาพวกนี้มันป่าเถื่อนโคตร ๆ นิสัยหยาบกระด้าง โดยเฉพาะไอ้บ้าไวท์นั่น!
ฉันสบถในใจยาวเหยียด และก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนจนด่าตะเพิดให้ อาจารย์ก็เดินเข้าห้องมาพอดี ฝูงผู้ชายป่าเถื่อนจึงพากันเดินผ่านไปนั่งด้านหลัง
3 ชั่วโมงผ่านไป
ฉันคว้ากระเป๋าเป้มาสะพายหลัง เตรียมจะออกห้องเพราะหมดคาบเรียน เสียงเรียกดังขึ้น”
“ปาย”
ฉันหันไปมองเป็นเพื่อนร่วมคณะที่ชื่อเจน เจนเป็นผู้หญิงตัวสูงเพียวเหมือนนางแบบ ผิวสีน้ำผึ้ง หน้าตาคมขำออกไทย ๆ ฉันทำหน้าแปลกใจที่เจนเรียก เพราะปกติเราไม่ค่อยได้สุงสิงกันเท่าไร เอาจริง ๆ คือฉันนี่แหละไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ถึงแม้จะเรียนปีสองไม่ใช่น้องใหม่ปีหนึ่งที่ยังหาเพื่อนไม่ได้ จนป่านนี้เพื่อนฉันที่สนิทมาก ๆ ก็มีแค่ไมค์แถมยังเรียนคนละมหาวิทยาลัย ส่วนเพื่อนร่วมคณะก็แค่ทักทายกันปกติ มีคุยกันบ้างเวลามีงาน
ที่ฉันหาเพื่อนยากเพราะชีวิตวัยรุ่นมีคุณพ่อคนที่สองอย่างพี่เชนคอยคุม แถมยังมีแฟนอย่างไมค์ จะไปเที่ยวที่ไหนก็จะต้องไปกับกลุ่มพี่เชน หรือไมค์ ไปไหนตามลำพังนี่แทบนับครั้งได้
“ว่าไงเจน มีอะไร”
“คือว่า...เอ่อ” เจนทำอึกอัก ฉันเลยขมวดคิ้วเข้าให้บ่งบอกว่ารอฟัง “วันนี้วันเกิดเราเลยอยากชวนไปฉลองที่ร้านน่ะ ร้านดังข้างมหา’ ลัยไง ยังไง...ปายก็ไปด้วยกันนะ”
“อ๋อ วันนี้วันเกิดเจน” ฉันพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ เจนก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ไปเถอะ ถือว่าเจนขอ ไปแป๊บเดียวก็ได้”
ฉันมองท่าทางคะยั้นคะยอของเจนก็นึกแปลกใจเล็กน้อย จึงอยากรู้ว่าที่ชวนไปงานวันเกิดนั้นมีจุดประสงค์อะไรเลยตัดสินใจไป
“โอเค เราไปก็ได้ กี่โมงล่ะ”
เจนยิ้มกว้าง สีหน้าดีอกดีใจ
“เจอกันสามทุ่มหน้าร้านนะ เจนจะรอ”
“อือ ได้ ๆ ไว้เจอกัน”
21.00 PM
ฉันลงจากรถสปอร์ตสีดำของพี่เชน ก่อนที่จะเดินผละไปพี่เชนก็เลื่อนกระจกรถลงไม่วายเอ่ยกำชับ
“ห้ามอยู่จนดึกดื่น ห้าทุ่มต้องให้ถึงบ้าน เข้าใจ๊? ”
ฉันหันไปต่อกรกับพี่เชน ยกมือขึ้นกอดอกที่ไม่ค่อยจะมี
“แล้วพี่เชนล่ะจะกลับกี่โมง? ”
“ยุ่ง เรื่องของผู้ใหญ่ แต่แกอ่ะต้องกลับบ้านให้ตรงเวลา”
“อ้าว! ไม่แฟร์นี่” ฉันทำตาคว่ำใส่
“ตกลงจะไปไม่ไปล่ะ ไม่ไปก็ขึ้นรถ กลับบ้าน” พี่เชนขู่เสียงเข้ม “นี่อนุญาตให้เที่ยวแล้วยังจะเอาอะไรอีก จะมากลับดึก ๆ ดื่น ๆ โดยไม่มีพี่คุมไม่ได้ เข้าใจไหมอันตราย แล้วดูแต่งตัวสิ ชุดบ้าอะไรเปลือยไหล่ขนาดนี้....”
“หยุด ๆ ๆ ๆ ถ้าจะเทศนา ลงจากรถมาเลยค่ะท่านเจ้าอาวาส อิฉันจะนั่งพับเพียบฟัง มา ๆ ๆ” ฉันกวักมือยิก ๆ เป็นเชิงประชดประชัน พี่เชนถึงหยุดพล่าม ถลึงตามองเป็นเชิงฝากไว้ก่อนเถอะ ก่อนจะเลื่อนกระจกรถขึ้นแล้วขับจากไป
“เฮอะ ทีตัวเองล่ะ ที่แต่งตัวหล่อผิดปกติก็แอบนัดสาวไว้ละว้า สงสัยคงไม่กลับบ้านละคืนนี้” ฉันบ่นตามหลังพี่เชน พอสาวสวยนุ่งสั้นเสมอหูน่ะชอบมองเชียวละ ทีน้องนุ้งใส่แค่เดรสเกาะอกยาวเสมอเข่านี่บ่นระหว่างทางจนหูจะชา
ในร้านคนเริ่มพลุกพล่าน มีทั้งนักศึกษากลุ่มใหญ่ และคู่รัก หลังสี่ทุ่มคนก็คงจะเยอะกว่านี้อีก ฉันคิดขณะเดินไป เห็นเจนกับเพื่อนในคณะอีกคนที่ชื่อมิวมายืนรอฉันก่อนแล้ว ทั้งสองแต่งตัวสวยเซ็กซี่สไตล์วัยรุ่น ฉันล้วงของขวัญกล่องเล็ก ๆ ผูกโบว์น่ารักในกระเป๋าถือส่งให้เจน“อ่ะ สุขสันต์วันเกิด”“ขอบใจนะปาย ป่ะ ๆ เข้าไปข้างในกันเจนจองโต๊ะไว้แล้ว” เจนทำท่าชี้ไม้ชี้มือไปด้านในที่เป็นโซนวีไอพีเจนถือโอกาสดึงแขนฉันอย่างสนิทสนม ฉันเลิกคิ้วแปลกใจแต่ก็ยอมให้เจนลากเข้าไปข้างใน เดินไปจนถึงมุมหนึ่งของร้าน เป็นโซนวีไอพีมีกระจกใสกั้นไว้เป็นห้อง ๆ ที่นั่งส่วนตัวและกว้างขวาง ฉันมองรอบข้าง ในโซนนี้มีแค่ ฉัน เจนและเพื่อนอีกคนที่ชื่อมิวฉันก็ไม่ได้ถามว่าเจนชวนใครมาบ้าง แต่ถ้าถึงขนาดจองที่นั่งในโซนวีไอพีแบบนี้สงสัยแขกคงจะเยอะไม่น้อยนั่งสักชั่วโมงแล้วเผ่นดีกว่า ฉันไม่ชอบสุงสิงกับคนแปลกหน้าเท่าไร ยิ่งคนเยอะยิ่งไม่ชอบ“ไม่เคยเห็นปายแต่งตัวแบบนี้ ดูสวยเซ็กซี่ดีนะ” จู่ ๆ มิวก็เอ่ยขึ้น ฉันก้มมองตัวเองนิดหน่อย วันนี้ฉันใส่เดรสเปิดไหล่สีดำยาวเสมอเข่า ชุดนี้ฉันเลือกใส่เพราะดูเรียบ ๆ ไม่โป๊มาก ใบหน้าก็แต่งเติมบาง ๆ เอาให้ไม่น่
ฉันมองไปตามเสียงเรียกก็เห็นไวท์กับเพื่อนเขาที่ชื่อยักษ์หรือนายหน้าหม้อ ด้านหลังมีผู้ชายอีกสามคนที่ฉันจำชื่อไม่ได้เดินตามมา วันนี้ไวท์แต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์ยี่ห้อหรู ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ของแพงเหมือนคืนที่ฉันเจอเขา เจนหันไปสั่งเครื่องดื่ม มิวโบกมือทักทายกลุ่มไวท์อย่างร่าเริง ทุกคนส่งเสียงเฮฮา คงมีแต่ฉันที่นั่งเงียบ ๆ ยิ้มรับเมื่อมีใครเอ่ยทักทายเพื่อนผู้หญิงที่เจนชวนมาก็พากันมาครบ เจนเอ่ยแนะนำตัวให้รู้จักสองสาวที่แต่งตัวเซ็กซี่เปิดหน้าเว้าหลังชื่อ เปิ้ล กับ เมย์ พอคนมาครบก็นั่งประจำที่กัน สรุปมีผู้หญิงห้าคน ผู้ชายห้าคน โต๊ะวีไอพีจึงดูแน่น เต็มพอดิบพอดี เสียงเพลงที่ทางร้านเปิดเริ่มดังขึ้น หลายคนเริ่มโยกไปตามสียงเพลง เจนยกมือเฮฮาสนุกสนาน บอกว่ากินได้ไม่อั้นเธอเลี้ยงเต็มที่ เสียงชนแก้วจึงดังขึ้นกระหึ่ม พอเหล้าเข้าปาก หลายคนเริ่มอยู่ไม่สุข พากันพูดคุยกันสนุกสนาน บรรยากาศดูสนิทสนมกันมากขึ้นจะว่าซวยหรือยังไงที่พอฉันเงยหน้าขึ้นกำลังจะยกแก้วขึ้นชนกับเพื่อน ๆ พอเป็นพิธีก็เห็นใบหน้าหล่อเหลา ขาวกระจ่างใสภายใต้แสงไฟอยู่ด้านตรงข้าม โซฟาที่เรานั่งเป็นแบบยาว ผู้หญิงนั่งอีกฝั่ง ผู้ชายอีกฝ
ไวท์บดเบียดริมฝีปากฉันอย่างเอาแต่ใจ เขาใช้มือสอดท้ายทอยฉัน ประคองใบหน้าฉันให้แหงนเงยคอยรับสัมผัสจาบจ้วงที่เขาบรรจงป้อนให้ ฉันหูอื้อตาลาย ใจหวิว ๆ รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจตัวเอง มันเต้นรัวอย่างรุนแรง สองมือเคลื่อนไปวางทาบอกเขาอย่างไม่รู้ตัวพอรู้สึกตัวดันขย้ำเสื้อเขาแน่นอีก!“อื้อ! ...”ฉันส่งเสียงอู้อี้ประท้วง สองมือก็ทุบหน้าอกไวท์เป็นเชิงบอกให้ปล่อย แต่ดูเหมือนรสจูบกลับหนักหน่วงมากกว่าเดิม เขาบดขยี้ริมฝีปากฉันจนเห่อร้อน ก่อนที่ปลายลิ้นจะรุกรานเข้ามาด้านใน...นี่เป็นครั้งที่สองที่ไวท์จูบฉัน แต่มันไม่ชินเข้าใจไหมละ...ลิ้น ของผู้ชาย มันเข้ามาในปากฉัน ฉันนึกอย่างตื่นกลัวให้ตายเถอะ เกิดมาเพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้ ฉันไม่เคยจูบกับใครนะเว้ย!ฉันตัวแข็งทื่อรู้สึกเหมือนวิญญาณออกจากร่าง เผยอปากปล่อยให้เขาแทรกเรียวลิ้นเข้ามา ไวท์ดูดดื่ม กลืนกินทุกอย่างที่เป็นฉัน ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร ฉันที่เผลอตัวปล่อยใจไปกับสัมผัสแปลกใหม่ ก็ปล่อยให้ไวท์นำทาง เขาส่งลิ้นมาพัวพันเกี่ยวกระหวัดอย่างหยอกล้อจนฉันอยากลิ้มลอง สุดท้ายก็ตอบสนองกลับดูดดื่มกลืนกินเขาอย่างเงอะงะเหมือนคนไม่มีประสบการณ์ เสียงเราจูบกันดังอึกอ
ผมดึงปายแล้ววิ่งย้อนกลับไปทางผับ ทางนั้นคนมากพวกมันคงไม่กล้าทำอะไร ไอ้พวกเด็กเกรียนร้องตะโกนโหวกเหวกพลางวิ่งตามมา ผมพาปายหลบหลีกพวกมัน จนเข้าข้างซอยตรงไปทางหลังร้านผมดึงปายแอบตรงมุมอับแล้วจับปายซุกอกไว้ ปายหายใจหอบในอ้อมอกผม เสียงฝีเท้าวิ่งผ่านไป ผ่านไปหลายสิบนาที จนผมแน่ใจว่าพวกมันจะไม่ย้อนกลับมาอีกก็ดึงปายออกจากอก ปายเงยหน้าขึ้นมองผมหน้าซีดปากสั่น“พวกมันไปหรือยังไวท์”“พวกมันไปแล้ว” ผมบอกปายน้ำเสียงรำคาญ ก่อนปล่อยปายออกจากอ้อมกอด “ทีแบบนี้ทำกลัว แล้วเดินหนีออกมาทำไม”“ขอโทษ....” ปายบอกเสียงอ่อน น้ำเสียงฟังรู้สึกผิด ผมส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนจะฉวยข้อมือปายให้เดินตามมา“จะ..จะพาฉันไปไหน”“ก็ไปส่งบ้านไง” ผมหยุดเดิน หันมามอง “หรือจะไปต่อคอนโดฯ เราก็ได้นะ”“ฝันไปเถอะ! ” ปายสวนขึ้นทันควัน มองผมตาคว่ำผมหัวเราะหึหึ ก่อนจะตั้งหน้าเดินต่อจุดมุ่งหมายคือลานจอดรถข้างผับEnd Talk.ฉันมองฝ่ามือที่ถูกคนตรงหน้าจับไว้แล้วมองแผ่นหลังกว้างที่เดินนำหน้าก็ให้ความรู้สึกแปลก ๆ เพราะความอายผสมความโกรธที่ถูกปล้นจูบฉันจึงเดินหนีออกมาโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเขา สุดท้ายก็เจอดีจนเกือบโดนพวกขี้เมาหัวเกรียนฉ
ฉันเงียบ มองแก้มขาว ๆ ของเขาแล้วอึ้ง คือจะให้หอมแก้ม?“เร็วสิ” ไวท์เร่ง เอียงแก้มค้างไว้ ฉันสูดหายใจลึก เอาก็เอาวะ จูบยังเคยมาแล้วคิดได้อย่างนั้นจึง...จุ๊บ!ฉันผงกหัวขึ้นไปจนริมฝีปากชนกับแก้มเขาก่อนผละออกอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองตอนนี้มันชา ๆ และร้อนผ่าวไปหมดหมดกันภาพลักษณ์กุลสตรีที่ดี....หรือมันอาจจะหมดตั้งแต่ฉันจูบตอบไวท์ไปก่อนหน้าก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้อายโคตร ๆไวท์หันหน้ามามองฉันแล้วยิ้มจนฉันตาพร่าไปหมด หัวใจน้อย ๆ มันเต้นแรง แรงจนฉันกระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้นด้วยกลัวมันจะดังจนไวท์ได้ยิน“นี่มันจูบแก้ม...หอมมันต้องแบบนี้”แล้วไวท์ก็ก้มหน้ามาหอมแก้มขวาฉันเสียงดังฟอด!แล้วต่อด้วยแก้มซ้ายฟอด!“จำเอาไว้แล้วคราวหน้าต้องทำให้ถูกต้องนะครับ”ยังมีคราวหน้าอีกเรอะ!ไวท์ลุกขึ้นยืนเต็มตัว ก่อนจะเดินออกห้องไป ฉันยังคงนอนนิ่ง ในหัวดังวิ้ง สติหลุดไปเป็นที่เรียบร้อยจนไม่ได้ยินเสียงประตูที่ปิดลงเนิ่นนาน...จนฉันดึงสติกลับมาได้ เสียงรถที่จอดหน้าบ้านก็ขับเคลื่อนไปไกล ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือกุมแก้มตัวเองสองข้าง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มไม่รู้ตัววันจันทร์ฉันนั่งกินราดหน้ากับเจน และมิว หลังจาก
White Talkผมมองปายที่เดินออกจากโรงอาหารไป นึกถึงสีหน้าตอนเธอเห็นผมเดินมากับลุลา แล้วรู้สึกดีแปลก ๆ เพราะแววตาที่ปายมองมามันดูสับสน สีหน้าปายดูไม่ดีเลย หากคิดเข้าข้างตัวเองก็คือปายชอบผม...ถ้าไม่ชอบเธอคงไม่ยอมให้ผมจูบ หรือจูบผมตอบพอนึกแบบนี้ก็เหมือนตัวเองชนะยังไงไม่รู้สิ"มองอะไรคะพี่ไวท์" เสียงคนข้าง ๆ ผมดังขึ้น ฉุดผมตื่นจากภวังค์ ลุลาเป็นดาวมหา’ ลัยปีนี้ เรียนนิเทศศาสตร์ หลายคนคิดว่าผมกับลุลาเปิดตัวคบกัน ความจริงแล้วลุลาเป็นน้องผมต่างหากพ่อผมแยกทางกับแม่ตอนผมยังเด็ก แม่จากไปทั้งที่มีน้องผมอยู่ในท้อง เรื่องนี้ผมก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่ปี ส่วนพ่อ ผมไม่ได้บอกเรื่องของลุลาและก็ไม่อยากให้รู้ เรื่องของพ่อกับแม่ผมมันไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอยู่แล้ว ต่างคนต่างมีครอบครัวใหม่ ลุลาก็ใช้นามสกุลของแม่ ถึงแม้หน้าตาเราจะคล้ายกันแต่ก็ไม่มีใครนึกว่าเราจะเป็นพี่น้องกันเพราะเราใช้คนละนามสกุล ลุลามาเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกับผมก็เพราะแม่อยากให้น้องมาอยู่ใกล้ ๆ ผม ให้ผมได้ดูแล ซึ่งผมก็เต็มใจลุลาชวนผมมากินข้าวในโรงอาหาร เธออยากกินราดหน้าชื่อดังของคณะผม ในฐานะพี่ชายผมจึงตามมาดูแลน้อง แต่พอเจอปายและดูเหมื
ฉันลุกออกจากเตียงนอน วิ่งไปตรงหน้ากระจก หวีผมเผ้าให้เรียบร้อย มองชุดนอนแขนยาวขายาวลายคิตตี้ที่ตัวสวมอยู่พอคิดจะเปลี่ยนคงไม่ทัน เอาเถอะ...ไปทั้งอย่างนี้ก็ได้ฉันคว้าจักรยานที่จอดในบ้านก่อนออกแรงปั่น จุดมุ่งหมายคือหน้าหมู่บ้าน ไม่กี่นาทีฉันก็มาถึงหน้าป้อมยาม เห็นไวท์กอดอกยืนรอตัวก็พิงรถสปอร์ตสีแดงคนละคันกับรถวันก่อน เขายังอยู่ในชุดช็อปตัวเดิมฉันหันไปทักทายพี่ยาม ก่อนบอกพี่ยามว่าผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนฉันเอง พี่ยามถึงพยักหน้า แล้วเดินเข้าป้อมยามไปไวท์เห็นฉันก็เดินตรงมา ก่อนบอก"ไป ขึ้นรถ"หา อะไรนะ...ฉันมองเขาทำหน้างุนงง จนเขาต้องพูดย้ำ"ขึ้นรถ ไปกับเรา เร็ว" ไม่พูดเปล่าคว้ามือฉันไปกุมก่อนออกแรงดึง"ดะ.. เดี๋ยวสิ รถฉันล่ะ""ฝากไว้ตรงป้อมยามนี่แหละ ไปไม่นาน เดี๋ยวมาส่ง"ฉันได้แต่ปล่อยให้เขาดึงแขนจนมาถึงรถที่เขาจอดรอ ไวท์เปิดประตูฉันก็เข้าไปนั่งอย่างงง ๆเขาเดินอ้อมมานั่งตรงคนขับ แล้วรถก็พุ่งทะยานออกไปคอนโดฯ Vฉันมองคอนโดฯ หรูที่ตั้งตระหง่านตรงหน้า คอนโดฯ ในย่านท่องเที่ยวครบวงจร ราคาแพงหูฉี่ที่พี่เชนเคยพาฉันเข้าไปดูเพราะตั้งใจว่าจะซื้อ แต่พอรู้ราคาแปดหลักก็ต้องยอมถอย ขนาดพี่เชนยังไม่มีปั
“ฮั่นแน่ เกรี้ยวกราดแบบนี้หึงไวท์ละสิ”“เฮอะ” ฉันแค่นเสียงใส่ สะบัดหน้าไปอีกทาง “หลงตัวเองชะมัด”“อ้าว ก็มีดีให้หลง” ไวท์ลอยหน้าลอยตาตอบ“เถียงกับคนหลงตัวเองยังไงก็ไม่ชนะหรอก” ฉันแดกดัน ก่อนดิ้นเป็นเชิงบอกให้ไวท์ปล่อยฉันออกจากตัก “แล้วจะปล่อยได้ยัง คนมีพ่อมีแม่นะ ทำอะไรรุ่มร่ามเดี๋ยวเถอะ”“เฮ้ย คบกันมันก็ต้องแบบนี้แหละ” ไวท์กลับกอดฉันแน่นขึ้น ก่อนจะหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ “ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินเอง”ชินกะผีสิ! ฉันมองเขาตาคว่ำ“มันอึดอัดเข้าใจป่ะ ปล่อย! ” ฉันดิ้นอีกครั้ง ถีบเท้าไปมา“หยุดดิ้นนะปาย...” จู่ ๆ ไวท์ก็บอกเสียงแหบพร่า ฉันชะงักกึก ทำไมถึงทำเสียงสั่นเครือขนาดนั้น หรือฉันนั่งนานไปเขาเลยเป็นเหน็บชา?“นายเป็นอะไร” ฉันขยับตัวอีกครั้ง พยายามหันไปมองหน้าเขา“เชี่ย! ” ไวท์สบถ พร้อมกับกัดฟันดังกรอด ฉันเริ่มตกใจทำตัวไม่ถูก ได้แต่ทำตัวแข็งไม่ดิ้นกระดุกกระดิก“นิ่ง ๆ ปาย...ห้ามขยับ ถ้าไม่อยากให้มันตื่น”ฉันเบิกตาโต อะไรตื่น? สมองประมวลผลเพียงครู่ อายุฉันก็ไม่ใช่เด็ก ๆ เพศศึกษาก็เคยเรียน ชายหญิงอยู่ใกล้ชิดกันตามลำพัง บรรยากาศเป็นใจ มันจะเป็นอะไรไปได้ นอกจาก....ไวท์จูเนียร์!!White:Talkผมเริ่มเห
สะพานบุญโขกู้สุ่ย บ้านแพมบกไวท์พาฉันมาที่สะพานไม้ไผ่ แหล่งท่องเที่ยวอีกทีหนึ่งของแม่ฮ่องสอน ห่างไกลจากตัวเมืองประมาณสิบกิโลเมตร ตลอดการเดินทางลำบากมาก ทั้งชันและแคบ โชคดีที่ไม่ใช่ฤดูฝน ถนนเลยพอให้รถสปอร์ตขับผ่านไปได้ แต่กว่าจะถึงที่หมายฉันแอบสงสารรถคันหรูที่ตอนนี้มันคงจะคลุกฝุ่นจนหมอง เมื่อรถจอดฉันหันไปมองเขาอย่างแปลกใจที่เขารู้จักสถานที่แบบนี้ด้วย นึกว่าเด็กเมืองกรุงอย่างเขาจะพาฉันไปในเมือง เที่ยวห้างสรรพสินค้า ดูหนังอะไรแบบนี้“มองอะไรปาย”“รู้จักที่แบบนี้ด้วยเหรอ เมื่อก่อนเคยมาเที่ยว? ”“ไม่เคย นี่มาครั้งแรก และไม่เคยมาแม่ฮ่องสอนด้วย”“หืม...”“สมัยนี้มันยุคสี่จีนะยายบ๊อง แค่ค้นหาสถานที่เที่ยวจังหวัดนั่นนี่มันก็เจอแล้ว จีพีเอสก็มี มาไม่ถูกก็ไม่รู้จะพูดยังไง”ไวท์พูดจบก็ยกมือขึ้นเขกหัวฉันเบา ๆ ฉันย่นจมูกใส่ ก็คนมันไม่ทันได้นึกถึงนี่ แม่ฮ่องสอนก็มีหลายอำเภอ ฉันยังเที่ยวไม่ทั่วเลย ก็เลยแปลกใจที่เขารู้จักที่นี่เราสองคนลงจากรถ สะพานบุญโขกู้สุ่ยตั้งอยู่หน้าหมู่บ้านแพมบก บริเวณทางเข้ามีร้านค้าชุมชนตั้งอยู่ ขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ไวท์เดินเข้าไปซื้อน้ำเปล่ามาสองขวด ก่อนยื่นให้ฉันหนึ่งขว
ฉันยืนมองคนงานพากันยกลังส้มขึ้นรถบรรทุกของลูกค้าที่มาซื้อถึงในสวน ตั้งแต่กลับจากกรุงเทพฯ งานที่รออยู่ก็ล้นมือ ประกอบกับเป็นช่วงที่คนงานลางานเพื่อกลับไปทำนา คนงานในสวนจึงมีไม่พอ ทั้งวันฉันต้องดูแลงานในสวน แล้วก็ต้องไปจัดการงานในรีสอร์ตอีกต่อหนึ่ง โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก ก็ไม่รู้ทำไมแม่ถึงได้ปิดบังฉันว่าไม่มีปัญหาอะไร งานที่สวนปกติ ทั้งที่ฉันกลับมาเห็นมันไม่ใช่ที่แม่บอกเลย คนงานไม่พอ งานล้นมือ ไม่อยากจะคิดถ้าฉันไม่กลับมาด้วย แม่จะต้องหัวหมุนดูแลคนเดียวไม่มีเวลาพักผ่อนแน่ ๆ“เรียบร้อยหรือยังจ๊ะปาย” แม่เดินมามือข้างนึงถือขวดน้ำก่อนจะยื่นให้ฉัน“ขอบคุณค่ะ” ฉันยื่นมือมารับ แล้วเปิดฝายกน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย พอดื่มจนพอใจก็ตอบคำถามแม่ “อีกล็อตหนึ่งก็ครบแล้วค่ะ ปายจะเช็คอีกรอบหนึ่งก็เสร็จ”“เหนื่อยไหม กลับมาก็ไม่ได้พักเลย”“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ แต่ก่อนปายก็ช่วยแม่นี่ งานในสวนปายคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กแม่ก็รู้ สบายมากค่ะ”“ขอบใจนะลูก หมดรอบนี้ก็คงจะได้พักแล้วล่ะ แล้วนี่ก็มาเกือบอาทิตย์แล้วยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย เพื่อนฝูงก็พากันถามหา วันก่อนแม่เจอตั้มที่ตลาดยังถา
ผมเปิดประตูห้องก่อนก้าวเข้าไป ห้องตกแต่งโทนเรียบง่าย เครื่องเรือนหรูหรามีระดับ แต่ผมกลับไม่ชอบมัน มาค้างหนึ่งเดือนแค่ครั้งสองครั้ง ไม่สนว่าผู้ชายคนนั้นจะว่ายังไง ปกติถ้าไม่ยุ่งอยู่กับงานสังสรรค์ ติดอีหนู ผู้ชายคนนั้นก็ไม่นึกถึงผมหรอก เราต่างคนต่างอยู่มานานแล้ว ผมอยากจะไปค้างกับแม่ ย้ายไปอยู่ด้วยแต่ก็กลัวทำให้แม่เดือดร้อนจากผู้ชายบ้าอำนาจผมล้มตัวลงนอนบนเตียง กางแขนกางขาเหม่อมองเพดาน สุดท้ายเพราะยังไม่สร่างเมาดีก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง..เช้าวันต่อมา“เออ ดี! โผล่หัวมากลางดึก เช้ามาก็ไป เห็นบ้านฉันเป็นโรงแรมหรือยังไง”น้ำเสียงกระแทกแดกดันดังขึ้นทันทีที่ผมกำลังจะเดินผ่าน ผู้ชายคนนั้นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ แต่ตอนนี้หันมามองผมด้วยสีหน้าบึ้งตึง“ผมมีธุระ”ผมตอบแค่นั้นก่อนทำท่าจะก้าวขาเดินต่อ“เฮอะ! หน้าอย่างแกมีธุระด้วย”“พ่อมีอะไรจะพูดก็รีบพูดมาดีกว่า ผมจะรีบไป”“เย็นนี้กลับมาด้วย ฉันจะพาแกไปทำความรู้จักคุณมานพ ท่านเป็นรัฐมนตรีฯ เย็นนี้เป็นวันเกิดท่าน”“ทำไมผมต้องไป ผมไม่รู้จักท่านเสียหน่อย เชิญพ่อไปคนเดียวเถอะ”“แกต้องไป! ฉันจะพาแกไปรู้จักลูกสาวคนเดียวของท่าน”“อ๋อ กะให้ผมไปดูตัว ทำ
“ก็พี่ไม่บอกว่าปายไปไหน”พี่เชนมองผมด้วยหางตา สุดท้ายก็ยอมเอ่ยปาก“ปายกลับบ้าน”บอกแค่นี้? แล้วผมจะตรัสรู้เรอะ! ผมสบถในใจส่วนฉากหน้าก็ฉีกยิ้ม ทำตัวเป็นน้องเขยที่ดี ไม่โต้เถียง“บ้าน? บ้านที่ไหน พี่บอกเส้นทางให้ผมที”“มึงจะตามน้องกูไป”“ครับ ผมจริงจัง ผมจะไปหาปาย ผมจะเข้าไปคุยกับแม่ปายว่าเรียนจบเราจะแต่งงานกัน เราจะ....”“พอ! มึงพล่ามอะไรของมึงวะ! เฮอะ แดกเหล้าจนเหม็นหึ่ง เมาหนักนะมึง คุยไปถึงเรื่องอนาคตแต่งการแต่งงาน ถามพี่อย่างกูสักคำไหม”“ผมแต่งกับปายไม่ได้แต่งกับพี่นี่”“ถุย! เห็นแก่ที่มึงเมาเหมือนหมา กูไม่เอาเรื่องเอาความอะไรมึงก็แล้วกัน ปายกลับแม่ฮ่องสอน นอกนั้นมึงไปตามหาเอาเอง ไป ๆ กูตอบคำถามแล้วก็ไสหัวไป มึงจะง้อ จะจีบอะไรอย่าลากกูไปยุ่ง ทีหลังอย่ามาถามเรื่องปายกะกู กูไม่ได้ขัดขวางมึง แต่ก็ไม่ได้ชอบมึงถึงขนาดยินดีที่มึงคบกับน้องกู”ผมฟังพี่เชนพล่าม พี่แกมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด ก่อนจะเดินหมุนตัวเข้าร้านไปตุบ!ไอ้พันรบเดินมาถึงตัวผมเมื่อไรไม่รู้ มันตบบ่าผมดังตุบ“พี่เมียมึงเหรอ”เสียงไอ้บอมถาม มันเดินมาหยุดข้างผม“เออ”“หน้าคุ้น ๆ”“อยู่มหา’ ลัยเดียวกับเราไง” ผมตอบไอ้รบ “เรียนทัน
White Talksหลายวันผ่านไปโครม!ผมเตะเก้าอี้ที่มันขวางทางจนปลิวไปอยู่แทบเท้าไอ้พันรบ วันนี้ผมมานั่งกินเหล้าที่ผับของมัน ส่วนไอ้บอมกับไอ้เวียร์มันบอกจะตามมาดึก ๆ ผมหันไปมองเก้าอี้ที่นอนตะแคงอย่างเฉยชา เดินไปถึงโต๊ะแล้วนั่งลงก่อนยกแก้วที่มันชงไว้ขึ้นมาดื่มฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ไหลผ่านคอยิ่งทำให้ผมร้อน หงุดหงิด กระสับกระส่ายปึก!ผมวางแก้วเหล้าอย่างแรงเป็นการระบายอารมณ์“มึงเป็นอะไรไอ้ไวท์”มันมองผม แล้วถาม“ไม่รู้”ผมตอบแค่นั้นก่อนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มต่อ ไอ้รบเป็นคนไม่ค่อยพูดมันเงียบ ๆ มึน ๆ พอเห็นผมไม่บอกมันก็แดกเหล้าต่อ เราสองคนยกแก้วเหล้าขึ้นเงียบ ๆ คนในร้านยังไม่มีเพราะยังเป็นช่วงหัวค่ำ จะมีก็แต่เจ้าของร้านอย่างมันที่บ้ามาแดกเหล้าเป็นเพื่อนผมตั้งแต่หัววันนี่แหละไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร พอเงยหน้าขึ้นจากแก้วเหล้าคนก็แออัดเต็มร้าน เสียงเพลงดังกระหึ่ม ไอ้รบลุกขึ้นบอกว่าจะไปดูลูกน้องหลังร้านหน่อย ผมโบกมือไล่มันไปก่อนนั่งกินเหล้าเงียบ ๆ มีผู้หญิงสองสามคนที่เดินโฉบไปโฉบมา ท่าทางเชื้อเชิญผม ผมแค่ยิ้มก่อนกลับไปสนใจเหล้าในแก้วต่อไม่มีอารมณ์ สวยแค่ไหนก็เถอะ ผมอยากเจอปายแค่นั้นใช่ หลายวันมานี่ปายไม่
“ไวท์โอเคนะ มีอะไรระบายให้ปายฟังได้”“โอเคสิ ตอนนี้ไวท์โอเค ขอแค่มีปายอยู่ข้าง ๆ ไวท์ก็พอ”“อะไรกัน แล้วถ้าวันไหนฉันไม่อยู่ข้างนายล่ะ” ฉันพูดขึ้นเล่น ๆ แต่ไวท์กลับเงียบไปอึดใจก่อนตอบกลับ“ไม่มีวันนั้น เพราะไวท์จะไม่ยอมให้ปายทิ้งไวท์แน่ ๆ ปายก็รู้ว่าชีวิตไวท์มีคนที่สำคัญกับไวท์แค่ไม่กี่คนและปายเป็นหนึ่งในนั้น”ฉันฟังเสียงเขาที่ดูเข้มขึ้นก็รู้สึกแปลก ๆ จะว่าดีใจมันก็ไม่เชิง คำพูดของไวท์มันฟังดูเหมือนเขายึดติดกับฉันมากเกินไป และมันไม่ดีเท่าไร...เราไม่ควรจะเอาชีวิตกันและกันมาผูกติดกันมากเกินไป“เอ่อ...เอาเป็นว่าตอนนี้ปายกำลังดูใจ พิจารณาไวท์ ให้โอกาสไวท์อยู่ ไวท์คงรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้อยู่ในช่วงที่ปายกำลังให้โอกาส”ฉันอดย้ำความสัมพันธ์ของเราไม่ได้“รู้ครับ และไวท์จะไม่ทำให้ปายหลุดลอยไปอีกแล้ว” เสียงไวท์ตอบกลับมาจริงจังและแฝงไปด้วยความหมายบางอย่างที่ฉันทำเป็นมองข้าม รู้อยู่หรอกว่าเขาแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ฉันเป็นคนไม่ใช่สิ่งของ ฉันไม่ใช่ของใคร ฉันก็คือฉัน แต่ถ้าพูดตรงไปฉันก็กลัวว่าเขาจะโมโหอะไรขึ้นมาอีก คงต้องค่อย ๆ คุย แบ่งความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ฉันเป็นแค่แฟนของเขาน้ำเสียงไวท์สั่นนิด ๆ ฉันจึ
เช้าวันต่อมาฉันตื่นอีกทีก็เจ็ดโมงเช้า พอลุกขึ้นมองตัวเองในชุดของเมื่อวานก็ทำหน้าย่น เหม็นเหงื่อตัวเอง จึงเดินหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ เสียงโทรศัพท์มือถือดังแทบจะทันทีที่ปิดประตูห้องน้ำ ฉันจึงไม่ออกไปรับคิดว่าอาบน้ำเสร็จค่อยโทร.กลับพอเสร็จธุระส่วนตัว ฉันจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู สายแรกเป็นของไมค์...อีกสายเป็นของไวท์ฉันเลือกโทร.กลับหาไมค์ก่อน ไม่นานไมค์ก็รับสาย“ปาย! เมื่อวานมีอะไรกัน”ฉันยื่นโทรศัพท์ออกห่างหู เสียงไมค์ดังแว้ดจนแสบแก้วหูไปหมด“แกจะร้องลั่นหาพระแสงอะไรฮะ แล้วทำไมรู้? ”“ก็บนโลกออนไลน์เขาแชร์กันเป็นพันแล้วยะ...ที่มันดังน่ะเพราะผู้ชายของแกนะรู้เปล่า”“ผู้ชายของฉัน? ”“เออสิ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าไวท์เป็นลูกชายคนเดียวของนักการเมืองชื่อดัง บ้านเขาน่ะรวยมาก แกเรียนที่เดียวกับเขาไม่คุ้นนามสกุลเขาเลยหรือ นามสกุล...”“คนละไวท์หรือเปล่า” ฉันบอกอย่างไม่ค่อยเชื่อ หรือมันก็อาจจริงก็ได้ เพราะฟังนามสกุลที่ไมค์บอกก็เป็นนามสกุลไวท์จริง ฉันแค่รู้ว่าไวท์เป็นลูกหลานคนรวย ดูจากคอนโดฯ บ้านพักตากอากาศที่ไป หรือรถที่ขับ เพียงแต่ฉันไม่ได้สนใจลึกขนาดนั้นว่าเขาเป็นลูกใครหลานใคร เมื่อก่อนเราต่างคนต่างอย
พอฉันเดินเข้าบ้านก็เห็นแม่นั่งรอตรงโซฟา พี่เชนที่คุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียดเดินลงบันไดมา ก่อนจะหยุดตรงหน้าฉัน พอกดวางสายก็พูดขึ้น“ปาย นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมไอ้ไวน์เข้าโรงพยาบาล มันบอกว่าปายพาแฟนไปอัดมัน”ฉันเดินผ่านพี่เชนมานั่งลงข้างแม่“เอาล่ะ ปายจะเล่าทีเดียวนะ พี่เชนจะเชื่อน้องหรือเพื่อนตัวเองก็พิจารณาเอา ส่วนแม่หนูสาบานว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริง ไม่โกหกพกลมสักนิดเดียว”แล้วฉันก็เล่าตั้งแต่แม่บอกให้ฉันไปเดินเล่นกับพี่ไวน์ จู่ ๆ พี่ไวน์ก็ตาขวางทำตัวรุ่มร่ามกับฉัน แสดงท่าทางเป็นเจ้าของทั้งที่มันไม่ใช่ ฉันถามแม่ว่าที่พาไปร้านอาหารก็เพราะมีแผนจะพาฉันไปดูตัวหวังจับคู่ให้ลูกชายเพื่อนใช่ไหม แม่ที่นั่งฟังฉันเล่าจนจบ ก็พูดขึ้น“ใช่ แม่ติดต่อกับอุ่นมาได้เกือบเดือนมีคุยกันเรื่องอนาคตของลูก ๆ เราสนิทกันมากจนมีความคิดที่จะดองกัน แล้วอีกอย่าง ไวน์ก็เป็นเพื่อนเชน แม่เคยสอบถามเชน นิสัยใจคอไวน์ก็ไม่เลว สุภาพ อ่อนโยน เรียนเก่ง”“แล้วนี่มันสมัยไหนแล้วคะ!” ฉันอดตัดพ้อด้วยความน้อยใจไม่ได้ ความคิดที่จะจับคู่ฉันกับลูกชายเพื่อนทำให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเลยจริง ๆ ความรู้สึ
ไวท์พุ่งปราดเข้ามา ฉวยจังหวะที่พี่ไวน์ตะลึงดึงฉันออก พอพ้นอ้อมกอดพี่ไวน์ฉันรีบหลบอยู่ด้านหลังมือจิกหลังไวท์แน่น“น้องปาย! กลับมาหาพี่!”เสียงพี่ไวน์ตะคอกอย่างโกรธจัด ฉันขยุ้มหลังเสื้อไวท์ รู้สึกกลัวจนตัวสั่น“บ้าหรือเปล่าวะ ปายเป็นเมียกูจะไปหามึงทำไม”“ไม่จริง ปายเป็นคู่หมั้นกู มึงนั่นแหละมาเสือกทำไม เรื่องของผัวเมีย”ฉันทนไม่ไหวยื่นหน้าไปด่าไอ้พี่ไวน์ทันที“มโนแล้ว ปายไม่ได้เป็นอะไรกับพี่!”“เมียเหรอ กล้าพูดนะ ขอเอาเลือดปากมึงออกบ้างเถอะ....”ไวท์คำรามก่อนพุ่งไปชกอีกฝ่ายดังเปรี้ยง! เพราะทางนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวจึงล้มไปกองที่พื้นอย่างหมดท่า และพอจะลุกขึ้นมาไวท์ก็เข้าไปคร่อมก่อนประเคนหมัดไม่ยั้งผลัวะ!เสียงกำปั้นกระทบเนื้อทำให้ฉันส่งเสียงร้องห้ามอย่างตกใจ ความจริงอยากจะให้ไวท์อัดไอ้คนขี้โมเมจนสลบเหมือดอยู่หรอก แต่เพราะนี่เป็นร้านอาหาร ตอนนี้มีลูกค้าสองคนที่กำลังจะกลับยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปหรืออัดคลิป แล้วแม่ฉันและน้าอุ่นก็ยังอยู่ในร้าน“ไวท์! หยุด พอแล้ว!”เสียงไอ้พี่ไวน์ร้องแหกปากดังลั่นพลางปัดกำปั้นท่าทางดูไม่ได้ ใบหน้า จมูกเริ่มมีเลือดออก ฉันจึงร้องห้ามอีกครั้ง ไวท์ยังคงชกอีกฝ่าย ฉัน