“ไม่คิดก่อนเลยเหรอ”
“ผมไม่อยากปฏิเสธพี่รอบที่สอง”
“จริงๆ ก็ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธพี่นะ”
เรื่องนั้นธามไทเชื่อสนิทใจ ครั้งแรกที่เจอเธอว่าสวยมากแล้ว แต่ตอนนี้กลับทวีคูณความงดงามมากขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่า เพราะแบบนี้เขาถึงไม่กล้าสบตากับเธอตรงๆ
“โอ๊ย! ปล่อยฉันนะ”
เสียงโวยวายของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้เฮสเทียหันไปมองอย่างสงสัย มองตามหล่อนขณะถูกผู้ชายซึ่งมีอาการมึนเมากระชากลากบริเวณหน้าไนต์คลับ หากเป็นคนอื่นเฮสเทียคงชั่งใจในการช่วยเหลือ แต่ผู้หญิงคนนั้นดันเป็นพนักงานในไนต์คลับของเพื่อนสนิท เห็นหน้าค่าตากันอยู่บ่อยๆ
ไว้เท่าความคิดเธอทิ้งบุหรี่ลงบนพื้น แล้วสับรองเท้าส้นสูงเดินเข้าไปหาสองคนนั้นทันที
หมับ!
“ใครวะ!”
“ถ้าเมาก็กลับไปนอน อย่ามาระรานคนอื่น” เธอเอ่ยผ่านน้ำเสียงเรียบนิ่ง กดข่มอีกฝ่ายโดยการจิกเล็บลงบนข้อมือของเขาอย่างแรง
“คะ…คุณเฮสเทียช่วยหนูด้วย ฮึก! เขาพยายามลวนลามหนูตั้งแต่ในคลับแล้ว” เด็กสาวร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเจ้านายทั้งน้ำตา ร่างกายสั่นเทาจากความกลัวที่อยู่ในอก
“ไม่รู้จักกันใช่มั้ย”
“มะ…ไม่ค่ะ”
เฮสเทียพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แล้วจะหันไปพูดกับคนเมาอีกครั้ง “ปล่อยเด็กคนนี้ซะ”
“มายุ่งอะไรด้วยวะอีนี่!”
ถ้อยคำหยาบคายขับกล่อมให้เฮสเทียปล่อยมือออกจากข้อมือของอีกฝ่าย ใช้ศอกสับเข้าที่สันกรามของเขาเต็มแรงจนเซถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าเสี้ยวซ้ายของผู้ถูกกระทำเกิดอาการชายิบ แล้วจึงแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด
“มะ…มึง!” ชายคนดังกล่าวเตรียมจะพุ่งเข้ามาเอาเรื่องเฮสเทีย แต่ทว่าธามไทกลับวิ่งเข้ามาใช้ตัวบังเธอเอาไว้ ส่งผลให้กีตาร์ของเขาถูกปะทะอย่างแรงจนได้ยินเสียงหักอยู่ภายในกระเป๋า
เฮสเทียกะพริบตาปริบๆ เมื่อถูกชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกปกป้อง ถ้าไม่นับลูกน้องของเธอก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนปกป้องมาก่อนเลย
จังหวะที่ธามไทมองหน้าเฮสเทียเกิดเสียอาการขึ้นมากะทันหัน ส่งผลให้เขาถูกชายขี้เมากระชากกระเป๋ากีตาร์แล้วเหวี่ยงหมัดเข้ามาที่ใบหน้าข้างซ้ายอย่างคนพาล
พลั่ก!
“อึก!” คนตัวสูงส่งเสียงร้องอยู่ในลำคอ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในโพรงปากจนต้องถ่มน้ำลายทิ้งลงบนพื้น ทักษะการต่อสู้ที่แทบไม่มีของชายหนุ่ม ทำให้เฮสเทียถึงกับส่ายหัวแล้วรีบดึงเขาออกมา ก่อนจะถูกทำร้ายไปมากกว่านี้
“การ์ดอยู่ไหน! มาเอาตัวมันไปไกลๆ ฉันเดี๋ยวนี้เลย” เฮสเทียตะโกนเรียกการ์ดรักษาความปลอดภัยอย่างหงุดหงิด ทั้งที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขนาดนี้แต่ไม่รู้หายหัวไปทำอะไรกันหมด
การ์ดรักษาความปลอดภัยวิ่งกรูเข้ามาหลังจากได้ยินเสียงวางอำนาจของเพื่อนสนิทเจ้านาย ยิ่งเห็นแววตาไม่สบอารมณ์ของเธอก็ยิ่งกลัว เพราะหน้าที่การงานเขาอาจจะสั่นคลอนได้
“ขอโทษครับ ในคลับมีคนเมาตีกัน”
“เอามันไปทิ้งไกลๆ”
“ครับๆ” ชายฉกรรจ์สามคนหิ้วปีกลูกค้าไร้มารยาทออกไปจากสายตาของเฮสเทียอย่างรวดเร็ว เมื่อสถานการณ์กลับสู่ความสงบเธอก็เอี้ยวหน้ามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง
“หนูขอบคุณคุณเฮสเทียมากๆ เลยนะคะที่ช่วยหนู”
“คราวหน้าก็ระวังตัวหน่อย คนเมามันทำอะไรไม่คิดหรอก”
“ค่ะ งั้นหนูขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”
เฮสเทียพยักหน้ารับไหว้หญิงสาวอายุน้อยกว่าอย่างขอไปที จากนั้นก็หันกลับมาสนใจคนข้างหลังพร้อมกับยกมือกอดอก ไม่ได้พูดอะไรกับเขาไปมากกว่านั้น
แววตาดุๆ ของเฮสเทียทำให้ธามไทรู้สึกตัวเล็กกว่าเธอขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่ต่างกับวันแรกที่ได้พบกับเธอโดยบังเอิญ ทั้งที่ตอนนี้เขาตัวสูงกว่าเธอตั้งหลายเซนติเมตร ไม่ใช่เด็กอายุสิบสี่เหมือนในอดีตแล้ว
“เจ็บมั้ย”
“ไม่ครับ”
“คราวหลังไม่ต้องปกป้องพี่ พี่ดูแลตัวเองได้”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ” ในเมื่อเธอเคยปกป้องเขามาแล้วหนึ่งครั้ง แล้วทำไมเขาจะปกป้องเธอบ้างไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้เขาโตพอที่จะปกป้องใครสักคนแล้ว
“เป็นเด็กดื้อเหรอเราน่ะ”
“พี่ก็เหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไง?” เฮสเทียขมวดคิ้วถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“ก็…พี่ยังใจดีกับคนอื่นไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”
ในอดีตเธอช่วยเหลือเขาทั้งที่ไม่รู้จักกัน ไว้ใจให้เขาขึ้นไปบนรถยนต์ของเธอ แม้ว่าเขาอาจจะเป็นพวกเดียวกับวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ได้ แต่เธอกลับไม่ลังเลที่จะเชื่อใจเขาเลย
วงคิ้วเหนือดวงตาคู่สวยจากขมวดมุ่นเปลี่ยนเป็นยกขึ้น “หือ…เคยเจอพี่มาก่อนเหรอ”
“ผมอาจจะจำผิดคน” ธามไทตอบเสียงเบา เพราะไม่อยากยัดเยียดให้เธอจำเขาได้ และดูเหมือนว่าเธอจะลืมเขาไปแล้วด้วยซ้ำ
“แต่เราดูเหมือนมั่นใจว่ารู้จักพี่เลยนะ…ไหนลองบอกพี่ว่าเราชื่ออะไร”
“…ธามครับ”
“ธาม…ธาม” หญิงสาวทวนชื่อของอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมากับตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปเชยปลายคางของเขาขึ้นเพื่อสำรวจใบหน้าหล่อเหลาชัดๆ อีกครั้ง “…ไม่น่าใช่หรอกมั้ง โตขนาดนี้แล้วเหรอ”
“…”
“ธามที่ว่าคือ…ธามไทรึเปล่า” หากเขาคือเด็กผู้ชายคนนั้นจริงก็คงจะบังเอิญมากเกินไป แต่ประโยคนั้นของเขาชักนำเธอเชื่อว่ามันต้องเป็นเรื่องจริง
ไม่ว่าจะธามไทตอนเด็กหรือตอนโตก็ยังใจเต้นแรงกับ ‘พี่สาวคนนี้’ เช่นเคย แค่เธอเรียกชื่อเต็มๆ ของเขาความดีใจก็แผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ
ฝนห่าใหญ่โหมกระหน่ำกระทบร่างของเด็กชายวัยสิบสี่ปีจนเปียกปอน ขณะถูกกลุ่มวัยรุ่นขี้ยารุมทำร้ายเพื่อไถเงิน แม้ว่าจะพยายามปัดป้อง แต่ด้วยความที่เขาตัวเล็กและเด็กกว่าก็ไม่สามารถต่อต้านการกระทำแย่ๆ คนพวกนั้นได้ไม่แน่ใจว่าเพราะชุดที่เขาสวมใส่เป็นของมีราคาหรือเปล่า มันถึงได้พยายามกระชากมันออกไปแรงๆ แต่เด็กชายก็ปัดออก“กูบอกให้เอาเงินมา ไม่ได้ยินรึไงวะ!” “...” เขาเงยหน้าสบตากับวัยรุ่นตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ซ้ำการเงียบยิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากกว่าเดิม“เฮ้ย! มึงหูหนวกรึไง”“…”“มันไม่ได้หูหนวกหรอก กูว่ามันเข้าใจแต่มันกวนตีน” ชายคนที่สองบอกเพื่อนตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับคอของเด็กชาย “ถ้ามึงไม่อยากตายก็รีบเอาเงินมาจะดีกว่า หน้าตาดูเหมือนลูกคนรวยขนาดนี้ เสือกบอกว่าไม่มีเงินได้ไงวะ”“กูไม่ให้”ผลัวะ!ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กชายถูกกำปั้นหนักเหวี่ยงเข้าใส่อย่างแรงจนสะบัด แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด นั่นยิ่งทำให้กลุ่มวัยรุ่นไม่สบอารมณ์ถึงขั้นผลักเด็กชายล้มลงไปบนพื้น แล้วรุมประเคนฝ่าเท้าให้กับเขาไม่รู้ว่าโชคชะตาต้องการเล่นตลกกับเขาหรือว่าอย่างไร ทั้งๆ ที่หนีออกมาจากความอุบาทว์ แต่กล
—————ปัง~ประตูห้องทำงานถูกเปิดอย่างไร้มารยาทจนเกิดเสียงดังสนั่น ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเก็บเอกสารสำคัญด้วยความเร่งรีบต้องหยุดการกระทำแล้วช้อนสายตาขึ้นมอง“ลืมพกมารยาทมาจากบ้านเหรอ”“ทำไมไม่รับสายผม” คนถูกแดกดันไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดนั้นเลยสักนิด ซ้ำยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“ฉันว่าเมื่อวานฉันพูดชัดเจนแล้วนะเดวิด”“ที่รัก...มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย”“…” เฮสเทียเงียบ เลือกใช้สายตาเย็นเยือกมองมือหนาที่จับเอวของเธอก่อนจะเลื่อนขึ้นไปมองเจ้าของมือนั้น“คุณหึงผมแบบนี้ ผมโคตรดีใจเลยรู้มั้ย”“เอาอวัยวะส่วนไหนคิดถึงเข้าใจว่าฉันหึง?”“ถ้าคุณไม่หึงก็คงไม่บอกเลิกผมหรอกใช่มั้ย”เบื้องหน้า ‘เดวิด’ คือคนรักของเธอที่คบหากันมาเกือบสามปี แต่เบื้องหลังเขาก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เฮสเทียเก็บไว้เพื่อหาผลประโยชน์ ตัวเขาก็ได้ผลประโยชน์จากการคบหากับเจ้าแม่อย่างเธอเช่นกัน แต่เฮสเทียไม่เคยรู้สึกพิเศษกับเขา และไม่เคยคิดจะเปิดใจให้กับผู้ชายคนนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อครอบครองเธอก็ตามทีหญิงสาวปัดมือหนาออกจากบั้นท้ายตัวเอง แล้วจึงพูด “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”“ไม่เอาน่าที่รัก” เดวิดพยายามรวบข้อมือเล็ก แล้
“ไปที่โต๊ะเหอะ ไอ้มาร์คมันโทรตามยิกๆ แล้ว”เฮสเทียชูโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืด เพราะสายเรียกของมาร์คัสให้เฟรย่าดูเป็นการจบบทสนทนานี้ ก่อนสองสาวเดินผ่านนักท่องราตรีขึ้นมายังชั้นสองของไนต์คลับด้วยกันกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอประกอบไปด้วย มาร์คัส คาลิกซ์ วิเวียน เฟรย่า และไวซ์ แต่บางคนมีเหตุจำเป็นก็เลยมาไม่ได้ ตอนนี้จึงขาดไปบ้างบางคน“มาช้าฉิบหาย ฉันจะกลับแล้วเนี่ย”“ก็แค่นิดหน่อยเองป้ะ บ่นไรนักไอ้มาร์ค”“ฉันคิดถึงลูกกับเมีย”“ดื่มก่อนสักสองแก้วแล้วค่อยกลับ” เฮสเทียหย่อนสะโพกนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ขณะที่เฟรย่าซึ่งเดินมาด้วยกันปลีกตัวไปนั่งข้างคาลิกซ์เพราะสงสัยมาตั้งแต่แรกว่าทำไมวันนี้บรรยากาศในไนต์คลับถึงเปลี่ยนไปจึงเอ่ยถามต่อ “ทำไมวันนี้มีดนตรีสด?”“ดนตรีสดมีทุกวันอังคารกับพฤหัสฯ”“อ้อ แล้วนั่นนักร้องใหม่เหรอ”“ใหม่ที่นี่ แต่เก่าที่อื่น เพิ่งดึงตัวมา” เขาอยากเปลี่ยนระบบภายในไนต์คลับของตัวเองใหม่ จึงซื้อตัวนักร้องผู้ชายคนนั้นมาจากอีกร้านหนึ่ง แถมยังเป็นนักร้องที่ดังในหมู่นักท่องราตรีสาวๆ มากอีกด้วย “เธอไม่สังเกตเหรอว่าคืนนี้ลูกค้าผู้หญิงเยอะมาก”เฮสเทียเหลือบมองลงไปยังเวทีด้านล่าง “ก็ไม่แปลกใจ หล
ต่อให้จะรวย จะสวย หรือจะแสนดีแค่ไหนก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธโดยไม่มีข้อยกเว้น และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนบอกว่าอยากทำความรู้จักกับเขา“ไม่ให้จริงเหรอพี่ธาม คุณเขาสวยมากเลยนะ”ธามไทเมินเฉยต่อเสียงของน้อยหน่า จับหูฟังอินเอียร์ใส่เข้าไปในหู แล้วหันไปให้สัญญาณเริ่มเพลงใหม่กับนักดนตรีอีกสองคนด้านหลัง ทำให้น้อยหน่าต้องล่าถอยกลับไปบอกข่าวกับเฮสเทียอย่างผิดหวัง“เพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายของผมในค่ำคืนนี้ มอบให้กับคนที่รอคนในหัวใจของตัวเองอยู่นะครับ”เสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นหลังจากชายหนุ่มพูดจบประโยค เขาหยิบเก้าอี้มานั่งกลางเวที ยกขาไขว่ห้างแล้ววางกีตาร์ตัวเก่งบนหน้าตักนิ้วเรียวสวยเกากีตาร์เป็นทำนองประสานกับเสียงคีย์บอร์ดของนักดนตรีอีกท่านหนึ่ง มองลงไปยังลูกค้าที่เริ่มโยกหัวไปตามทำนองเพลงริมฝีปากหนาขยับขับร้องเพลงอย่างไพเราะ เสียงของเขาสะกดให้ลูกค้าหญิงชายด้านล่างหยุดฟังแทบทุกโต๊ะ เช่นเดียวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งฟังอยู่ไกลๆ แม้ว่าตัวเธอนั้นจะถูกปฏิเสธมาหมาดๆ ก็ตาม“ในวันนี้เหลือแค่เพียงตัวฉัน เมื่อถึงคราวต้องห่างกันไม่พอเจอ กลิ่นดอกไม้พลันล่องลอยจางหาย วอนสายลมช่วยพัดหวนกลับคืนมา…” …“…รักฝังตรึงใจใ
“ไม่คิดก่อนเลยเหรอ”“ผมไม่อยากปฏิเสธพี่รอบที่สอง”“จริงๆ ก็ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธพี่นะ”เรื่องนั้นธามไทเชื่อสนิทใจ ครั้งแรกที่เจอเธอว่าสวยมากแล้ว แต่ตอนนี้กลับทวีคูณความงดงามมากขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่า เพราะแบบนี้เขาถึงไม่กล้าสบตากับเธอตรงๆ“โอ๊ย! ปล่อยฉันนะ”เสียงโวยวายของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้เฮสเทียหันไปมองอย่างสงสัย มองตามหล่อนขณะถูกผู้ชายซึ่งมีอาการมึนเมากระชากลากบริเวณหน้าไนต์คลับ หากเป็นคนอื่นเฮสเทียคงชั่งใจในการช่วยเหลือ แต่ผู้หญิงคนนั้นดันเป็นพนักงานในไนต์คลับของเพื่อนสนิท เห็นหน้าค่าตากันอยู่บ่อยๆไว้เท่าความคิดเธอทิ้งบุหรี่ลงบนพื้น แล้วสับรองเท้าส้นสูงเดินเข้าไปหาสองคนนั้นทันทีหมับ!“ใครวะ!”“ถ้าเมาก็กลับไปนอน อย่ามาระรานคนอื่น” เธอเอ่ยผ่านน้ำเสียงเรียบนิ่ง กดข่มอีกฝ่ายโดยการจิกเล็บลงบนข้อมือของเขาอย่างแรง“คะ…คุณเฮสเทียช่วยหนูด้วย ฮึก! เขาพยายามลวนลามหนูตั้งแต่ในคลับแล้ว” เด็กสาวร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเจ้านายทั้งน้ำตา ร่างกายสั่นเทาจากความกลัวที่อยู่ในอก“ไม่รู้จักกันใช่มั้ย”“มะ…ไม่ค่ะ”เฮสเทียพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แล้วจะหันไปพูดกับคนเมาอีกครั้ง “ปล่อยเด็กคนนี้ซะ”“มายุ่
ต่อให้จะรวย จะสวย หรือจะแสนดีแค่ไหนก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธโดยไม่มีข้อยกเว้น และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนบอกว่าอยากทำความรู้จักกับเขา“ไม่ให้จริงเหรอพี่ธาม คุณเขาสวยมากเลยนะ”ธามไทเมินเฉยต่อเสียงของน้อยหน่า จับหูฟังอินเอียร์ใส่เข้าไปในหู แล้วหันไปให้สัญญาณเริ่มเพลงใหม่กับนักดนตรีอีกสองคนด้านหลัง ทำให้น้อยหน่าต้องล่าถอยกลับไปบอกข่าวกับเฮสเทียอย่างผิดหวัง“เพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายของผมในค่ำคืนนี้ มอบให้กับคนที่รอคนในหัวใจของตัวเองอยู่นะครับ”เสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นหลังจากชายหนุ่มพูดจบประโยค เขาหยิบเก้าอี้มานั่งกลางเวที ยกขาไขว่ห้างแล้ววางกีตาร์ตัวเก่งบนหน้าตักนิ้วเรียวสวยเกากีตาร์เป็นทำนองประสานกับเสียงคีย์บอร์ดของนักดนตรีอีกท่านหนึ่ง มองลงไปยังลูกค้าที่เริ่มโยกหัวไปตามทำนองเพลงริมฝีปากหนาขยับขับร้องเพลงอย่างไพเราะ เสียงของเขาสะกดให้ลูกค้าหญิงชายด้านล่างหยุดฟังแทบทุกโต๊ะ เช่นเดียวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งฟังอยู่ไกลๆ แม้ว่าตัวเธอนั้นจะถูกปฏิเสธมาหมาดๆ ก็ตาม“ในวันนี้เหลือแค่เพียงตัวฉัน เมื่อถึงคราวต้องห่างกันไม่พอเจอ กลิ่นดอกไม้พลันล่องลอยจางหาย วอนสายลมช่วยพัดหวนกลับคืนมา…” …“…รักฝังตรึงใจใ
“ไปที่โต๊ะเหอะ ไอ้มาร์คมันโทรตามยิกๆ แล้ว”เฮสเทียชูโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืด เพราะสายเรียกของมาร์คัสให้เฟรย่าดูเป็นการจบบทสนทนานี้ ก่อนสองสาวเดินผ่านนักท่องราตรีขึ้นมายังชั้นสองของไนต์คลับด้วยกันกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอประกอบไปด้วย มาร์คัส คาลิกซ์ วิเวียน เฟรย่า และไวซ์ แต่บางคนมีเหตุจำเป็นก็เลยมาไม่ได้ ตอนนี้จึงขาดไปบ้างบางคน“มาช้าฉิบหาย ฉันจะกลับแล้วเนี่ย”“ก็แค่นิดหน่อยเองป้ะ บ่นไรนักไอ้มาร์ค”“ฉันคิดถึงลูกกับเมีย”“ดื่มก่อนสักสองแก้วแล้วค่อยกลับ” เฮสเทียหย่อนสะโพกนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ขณะที่เฟรย่าซึ่งเดินมาด้วยกันปลีกตัวไปนั่งข้างคาลิกซ์เพราะสงสัยมาตั้งแต่แรกว่าทำไมวันนี้บรรยากาศในไนต์คลับถึงเปลี่ยนไปจึงเอ่ยถามต่อ “ทำไมวันนี้มีดนตรีสด?”“ดนตรีสดมีทุกวันอังคารกับพฤหัสฯ”“อ้อ แล้วนั่นนักร้องใหม่เหรอ”“ใหม่ที่นี่ แต่เก่าที่อื่น เพิ่งดึงตัวมา” เขาอยากเปลี่ยนระบบภายในไนต์คลับของตัวเองใหม่ จึงซื้อตัวนักร้องผู้ชายคนนั้นมาจากอีกร้านหนึ่ง แถมยังเป็นนักร้องที่ดังในหมู่นักท่องราตรีสาวๆ มากอีกด้วย “เธอไม่สังเกตเหรอว่าคืนนี้ลูกค้าผู้หญิงเยอะมาก”เฮสเทียเหลือบมองลงไปยังเวทีด้านล่าง “ก็ไม่แปลกใจ หล
—————ปัง~ประตูห้องทำงานถูกเปิดอย่างไร้มารยาทจนเกิดเสียงดังสนั่น ทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังเก็บเอกสารสำคัญด้วยความเร่งรีบต้องหยุดการกระทำแล้วช้อนสายตาขึ้นมอง“ลืมพกมารยาทมาจากบ้านเหรอ”“ทำไมไม่รับสายผม” คนถูกแดกดันไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดนั้นเลยสักนิด ซ้ำยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“ฉันว่าเมื่อวานฉันพูดชัดเจนแล้วนะเดวิด”“ที่รัก...มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย”“…” เฮสเทียเงียบ เลือกใช้สายตาเย็นเยือกมองมือหนาที่จับเอวของเธอก่อนจะเลื่อนขึ้นไปมองเจ้าของมือนั้น“คุณหึงผมแบบนี้ ผมโคตรดีใจเลยรู้มั้ย”“เอาอวัยวะส่วนไหนคิดถึงเข้าใจว่าฉันหึง?”“ถ้าคุณไม่หึงก็คงไม่บอกเลิกผมหรอกใช่มั้ย”เบื้องหน้า ‘เดวิด’ คือคนรักของเธอที่คบหากันมาเกือบสามปี แต่เบื้องหลังเขาก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เฮสเทียเก็บไว้เพื่อหาผลประโยชน์ ตัวเขาก็ได้ผลประโยชน์จากการคบหากับเจ้าแม่อย่างเธอเช่นกัน แต่เฮสเทียไม่เคยรู้สึกพิเศษกับเขา และไม่เคยคิดจะเปิดใจให้กับผู้ชายคนนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อครอบครองเธอก็ตามทีหญิงสาวปัดมือหนาออกจากบั้นท้ายตัวเอง แล้วจึงพูด “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”“ไม่เอาน่าที่รัก” เดวิดพยายามรวบข้อมือเล็ก แล้
ฝนห่าใหญ่โหมกระหน่ำกระทบร่างของเด็กชายวัยสิบสี่ปีจนเปียกปอน ขณะถูกกลุ่มวัยรุ่นขี้ยารุมทำร้ายเพื่อไถเงิน แม้ว่าจะพยายามปัดป้อง แต่ด้วยความที่เขาตัวเล็กและเด็กกว่าก็ไม่สามารถต่อต้านการกระทำแย่ๆ คนพวกนั้นได้ไม่แน่ใจว่าเพราะชุดที่เขาสวมใส่เป็นของมีราคาหรือเปล่า มันถึงได้พยายามกระชากมันออกไปแรงๆ แต่เด็กชายก็ปัดออก“กูบอกให้เอาเงินมา ไม่ได้ยินรึไงวะ!” “...” เขาเงยหน้าสบตากับวัยรุ่นตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ซ้ำการเงียบยิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากกว่าเดิม“เฮ้ย! มึงหูหนวกรึไง”“…”“มันไม่ได้หูหนวกหรอก กูว่ามันเข้าใจแต่มันกวนตีน” ชายคนที่สองบอกเพื่อนตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับคอของเด็กชาย “ถ้ามึงไม่อยากตายก็รีบเอาเงินมาจะดีกว่า หน้าตาดูเหมือนลูกคนรวยขนาดนี้ เสือกบอกว่าไม่มีเงินได้ไงวะ”“กูไม่ให้”ผลัวะ!ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กชายถูกกำปั้นหนักเหวี่ยงเข้าใส่อย่างแรงจนสะบัด แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด นั่นยิ่งทำให้กลุ่มวัยรุ่นไม่สบอารมณ์ถึงขั้นผลักเด็กชายล้มลงไปบนพื้น แล้วรุมประเคนฝ่าเท้าให้กับเขาไม่รู้ว่าโชคชะตาต้องการเล่นตลกกับเขาหรือว่าอย่างไร ทั้งๆ ที่หนีออกมาจากความอุบาทว์ แต่กล