“สอง” ตาลุงรีบยันตัวลุกขึ้นและวิ่งออกไปจากตรงนี้ โดยแกวิ่งเข้าตรอกซอกซอยที่ลับตาคนและมืดมากไป ส่วนพี่โลคาเพียงแค่มองตามไม่ได้จะมีท่าทีจะวิ่งตามเลยสักนิด
“หนึ่ง” เสียงไซเรนและเสียงเบรกของรถมาหยุดอยู่ตรงหน้าของพวกเราสองคน แสงวิบวับสาดส่องเข้าตาฉันจนต้องยกมือขึ้นมาอังบังแสงของรถตำตรวจไว้ เหล่าตำตรวจในชุดเครื่องแบบจัดเต็มลงมาจากรถอย่างไว และวิ่งเข้าไปคุยอะไรกับพี่โลคาสักอย่าง ที่ฉันไม่ได้ยินและไม่สามารถอ่านปากได้
เพราะคุณตำตรวจพูดไวมาก ไม่นานพี่โลคาก็พยักหน้าไปทางเดียวกับที่ตาลุงนั้นวิ่งหนีหายไป เหล่าตำตรวจอีกสองคนก็รีบวิ่งไปทางนั้นทันที เหลือเพียงแค่ฉันกับพี่โลคาและตำรวจอีกนายที่กำลังแบกร่างตาลุงอีกคนที่หลับไม่ได้สติอยู่ขึ้นหลังรถกระบะไป
“เอ่อ...คือ ขอบคุณที่ช่วยหนูนะคะพี่โลคา” ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่บนรถของพี่โลคาได้สักพักแล้ว เพราะตอนแรกพี่เขาต้องไปคุยอะไรสักอย่างกับคุณตำตรวจ น่าจะให้ปากคำละมั้ง พี่เขาเลยใช้ภาษากายโดยการพยักหน้าให้ฉันไปขึ้นรถรอก่อน แน่นอนว่าฉันก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายทันที
จนเมื่อกี้นี้แหละที่พี่เขาเพิ่งจะขึ้นรถมา ฉันเลยเอ่ยขอบคุณเข้าออกไปด้วยใจที่เต้นระรัว
“…” พี่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่กลับส่งมือถือของพี่เขามาให้ฉันแทน นี่อย่าบอกนะว่า...กรี๊ดดด พี่เขาจะขอเบอร์ฉันใช่ไหม ฉันจึงรีบรับมือถือของพี่เขาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายกับคนบ้า
“เอ่อ...” แต่พอก้มมองลงไปที่มือถือเท่านั้นแหละก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก นั่นก็เป็นเพราะว่าพี่เขาไม่ได้จะขอเบอร์ฉัน แต่พี่เขากลับเข้าแอปแผนที่เอาไว้ ซึ่งหมายความว่าพี่เขาจะให้ฉันปักมุดไงว่าจะให้ไปส่งที่ไหน T^T หน้าแตกกกกกกก!!! ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจคิดว่าพี่เขาจะขอเบอร์ขอไลน์ แต่ที่ไหนได้ ฮึ่ยย!!
“นี่ค่ะ” ฉันจำใจยื่นมือถือส่งกลับไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ส่วนพี่เขาเพียงแค่ปรายตามองฉันแค่แว็บเดียว แว็บเดียวเท่านั้นก็หันกลับไปสตาร์ตรถ และขับออกไปจากพื้นที่ตรงนี้ทันทีเลย
ตลอดหลายนาทีไม่มีเสียงพูดคุยกันในรถแม้แต่คำเดียว เสียงเพลงก็ไม่มี มีเพียงเสียงแอร์รถที่กำลังทำงานอยู่ และกลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อน ๆ ของพี่เขาเท่านั้น ที่ฉันกำลังนั่งดมด้วยความหอมอย่างกับคนโรคจิต
“ละ...แล้วยัยด้าละคะพี่โลคา” ฉันเป็นคนร่าเริงและเป็นคนคุยเก่งมาก แต่พอต้องมาอยู่กับคนที่แอบชอบมันก็กลับคิดอะไรไม่ออกว่าจะชวนคุยอะไรดี เชื่อเลยว่าหลายคนก็คงเคยเป็นกัน ที่แบบว่าอยู่กับคนอื่นคุยจ้อ แต่พออยู่กับคนที่แอบชอบมาเป็นปี ๆ กลับนึกเรื่องที่จะคุยไม่ออก
“กลับไปแล้ว”
“อ่อค่ะ” เพราะความตื่นเต้นเกินเหตุและไม่คิดว่าพี่เขาจะตอบกลับมา ตอนแรกฉันทำใจแล้วนะว่าพี่เขาคงเงียบไม่ตอบ แต่พอเหตุการณ์กลับตาลปัตรแบบนี้มันเลยยิ่งทำให้ฉันประมาทจนเผลอจบบทสนทนาดื้อ ๆ ไปเลย ทั้งที่มีโอกาสคุยมากกว่านี้แล้วแท้ ๆ ยัยเลเน่ ยัยบ้า!
แน่นอนว่าทุกอย่างกลับมาเงียบอีกครั้ง...
แต่แล้วฉันก็คิดอะไรบางอย่างออก ในเมื่อตอนนี้เราอยู่กันสองคน ฟ้าคงมีตาเปิดโอกาสนี้ให้ฉันได้ลองสารภาพความในใจที่เก็บมานานหลายปีแน่
ใช่แล้ว! ฉันต้องสารภาพรักกับพี่เขาสิ แต่...ฉันก็อายเหมือนกันนะ เอาไงดี ใกล้จะถึงบ้านแล้วซะด้วยสิ
นี่มันโอกาสเดียวของแกเลยนะยัยเลเน่ แกคิดเหรอว่าจะมีโอกาสอื่นที่จะทำให้ฉันกับพี่เขามาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
“พี่โลคาคะ”
“…”
“คือว่า หนูชอบพี่ค่ะ!” ฉัน พูด ออก ไป แล้ว!!! กรี๊ด หลังจากพูดจบฉันก็นั่งบิดไปมาด้วยความเขินอาย พร้อมกับหันหน้ามองไปทางอื่นอย่างเขิน ๆ
จนผ่านไปหลายวินาที...พี่เขาก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม
“ผมไม่ได้ชอบคุณ” เพล้ง! ไม่ใช่เสียงแก้วที่ไหนแตก แต่เป็นเสียงหน้าฉันเนี่ยที่แตก T^T ฮือ ทำไมกันล่ะ! ฉันก็ออกจะสวยและน่ารัก นิสัยดีดุจนางฟ้ามาเกิด ทำไมพี่เขาถึงไม่ชอบฉันกัน!
“แต่พี่โลคาคะ...”
“ถึงบ้านคุณแล้ว” ฉันกำลังจะหันไปบอกพี่เขาว่าฉันแอบชอบมานานมากแค่ไหน แต่แล้วก็โดนคนข้าง ๆ เอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมกับรถที่หยุดจอดสนิท บ้าที่สุด!
“ต่อให้พี่ไม่ชอบหนู แต่หนูชอบพี่ค่ะ! ไม่ว่ายังไงหนูก็จะทำให้พี่ชอบหนูให้ได้! ขอบคุณนะคะที่มาส่งหนู” ฉันพูดด้วยความรวดเร็วและโมโหนิดหน่อย พร้อมกับเปิดประตูรถออกไป และไม่ลืมที่จะพูดขอบคุณพี่เขา
“เดี๋ยว” ในขณะที่ฉันกำลังจะปิดประตูรถด้วยความโมโหที่โดนขัดใจ เสียงทุ้มของพี่โลคาก็พูดขึ้น จากอารมณ์โมโหในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นว่าตอนนี้ฉันกำลังยืนยิ้มหน้าบานแทน นี่อย่าบอกนะว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจมาตกลงคบกับฉันอะ ตาย ๆ ฉันขอเวลาเตรียมใจแป๊บ กรี๊ดด >////<
“ถ้าคุณไม่มีเงินซื้อชุดนักศึกษาใหม่ คุณก็ควรหาตัวที่มันยาวและไม่รัดรูปมาใส่แทนนะ” นั่นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ฉันได้เคยยิน แน่นอนว่าฉันยืนนิ่งจิตใจหลุดลอย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าพี่เขาได้ขับรถออกไปตอนไหนแล้ว นอกจากจะไม่ได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ยังจะได้คำด่าแบบนุ่มนวลอ้อมโลกนั่นมาอีก
นี่พี่เขาหาว่าฉันไม่มีเงินซื้อชุดนักศึกษาใหม่งั้นเหรอ! แล้วชุดฉันมันทำไมกัน ก็ไม่ได้รัดรูปขนาดนั้นนี่ ก็แค่พอดีตัวและกระโปรงทรงเอที่สั้นนิดหน่อยแค่นั้นเอง ยาวสิบหก มีผ่าหน้าแค่นี้เอง ไม่เห็นจะโป๊ตรงไหนเลย! ดูอากาศเมืองไทยด้วย ร้อนจะตายชัก ใครเขาจะไปใส่ยาว ๆ กันล่ะ
“หนูไม่ยอมแพ้แน่! หนูจะต้องทำให้พี่หลงหนูจนหัวปักหัวปำให้ได้ คอยดูสิ!”
มหาวิทยาลัยอาร์เธอร์โรงอาหารเย็น คณะวิทยาศาสตร์ ภาคอินเตอร์ แท่นแท๊นน!!! แน่นอนว่าฉันไม่ยอมแพ้หรอกย่ะ ฉันแอบชอบพี่เขามาตั้งกี่ปีแล้ว ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าพี่เขาหยิ่งมากแค่ไหน ถ้าผู้ชายด้วยกันมองคงคิดว่าพี่เขาขี้เก๊กแน่นอน (อันนี้คือฉันได้ยินจากกลุ่มแก๊งพวกผู้ชายคุยกันนะ)พี่เขาน่ะฮอตจะตาย แถมยังฉลาดเป็นกรด สาวในมหา’ลัยต่างพากันปลื้มพี่เขากันจะตาย นอกจากจะหล่อ ฉลาด แล้วยังมีดีกรีเป็นลูกของเจ้าของมหา’ลัยแห่งนี้อีกและที่ฉันบอกว่าไม่ยอมแพ้ก็เพราะฉันมาทานอาหารที่โรงอาหารเย็นของพวกคณะพี่เขานะสิ เวลานี้เป็นเวลาที่พวกพี่เขาพักแล้วนี่นา จากที่ฉันไปดังด้นสืบมา แต่เอ๋...ทำไมฉันถึงไม่เห็นวี่แววของพี่เขาเลยนะ“อยู่ไหนของพี่เขา” ฉันบ่นพร้อมกับสายตายังคงทำงาน กรอกลูกตาไปมาเพื่อมองหาเป้าหมายที่ฉันจะจู่โจม“เอ๊ะ นั่นไง!” เมื่อเจอเป้าหมายแล้วฉันก็จัดการก้าวขาเล็ก ๆ ของตัวเองตรงดิ่งไปยังพี่โลคาอย่างไว เหมือนโชคชะตาจะเป็นใจเพราะว่าพี่เขานั่งอยู่คนเดียว ถึงแม้พี่เขาจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเพราะพี่เขากำลังเล่นมือถืออยู่ก็เถอะ แต่ฉันก็จำได้ว่าต้องเป็นพี่เขาอย่างแน่นอน ไม่เสียแรงเลยจริง ๆ ที่แอบชอบ
เลเน่ Talk หลังจากที่ฉันจะต้องทนนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับไอ้พี่แบล็คจนพี่โลคาเดินออกไปตอนไหนก็ไม่รู้แล้ว อีพี่มันยังมีหน้ามาทิ้งฉันไว้คนเดียวแล้วออกไปกับผู้หญิงคนที่ฉันเจอเมื่อบ่ายนั้นอีก นอกจากจะทำให้ฉันไม่ได้ไปนั่งกับพี่โลคาแล้วยังมีหน้ามาไล่ฉันกลับคณะอีกด้วยนะ นี่ถ้าไม่ติดว่าอาจารย์เรียกประชุมคณะของฉันนะ ป่านนี้ฉันก็คงไปนั่งรอเจอพี่เขาแล้ว ว่าแต่ทำไมอาจารย์ถึงได้มานัดประชุมที่นี่ละเนี่ย ก็ที่นี่มันเป็นโดมใหญ่มาก ทั้งที่เด็กปีสองอย่างฉันก็ไม่ได้มีจำนวนคนที่เยอะอะไรขนาดจะต้องมาประชุมที่โดมนะ “ยัยเน่มานี่เร็ว!” เพื่อนร่วมห้องของฉัน ‘ยัยพิ้ง’ โบกมือไปมา พร้อมกับกวักมือเรียกฉันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแป้นคล้ายกับคนบ้า ฉันกับยัยนี่ก็สนิทกันพอสมควร แต่ก็ไม่ได้สนิทเหมือนที่ฉันสนิทกับยัยด้านะ ประมาณแบบว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องงี้อะ พอจบคลาสก็คือแยกกันจบอะไรแบบนี้ ทำไมยัยนี่ดูทำหน้าดีใจเกินเบอร์มาก เธอถูกหวยหรือไงถึงได้ยิ้มหน้าแป้นซะขนาดนั้น “มีอะไรอะยัยพิ้ง ฉันเห็นแกยิ้มจนเกือบจะเห็นฟันครบ 33 ซี่ละนะ” ฉันเอ่ยแซวมันไป “32 ซี่ย่ะ ยัยบ
“กำลังจะกลับพอดีเลย ว่าแต่แกอะยังไม่กลับเหรอ?” ฉันถามมัน แต่สายตาของฉันก็เอาแต่แอบมองพี่โลคา เฮ้อ...ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจฉันเลย ฮึ่ย!“เนี่ยกำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน ฉันอุตส่าห์บอกพี่โลคาแล้วนะว่าไม่ต้องมายืนรอส่งฉันก็ได้ แต่พี่เขาไม่ยอมนะสิ แกคงไม่ได้โกรธอะไรฉันหรอกใช่ไหม ฉันกลัวแกจะคิดมากอะ” ยัยด้าพูดกระซิบกับฉันเบา ๆ เพื่อไม่ให้พี่โลคาได้ยินบทสนทนาของเรา ส่วนฉันก็เกิดอาการมึนงงที่อยู่ดี ๆ ยัยด้าก็มาพูดแบบนี้ ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้คิดโกรธอะไรเธอเลยแม้แต่น้อยเธอคงกลัวฉันโกรธละมั้งเนี่ยถึงได้ออกตัวขนาดนี้ ช่างเป็นเพื่อนที่น่ารักจริง ๆ ฉันนี่ถึงกับโกรธแกไม่ลงเลยละยัยด้าเอ๊ย!“จะบ้าหรือไงแก! ฉันจะโกรธแกได้ไงเล่า ฉันรู้ว่าแกกับพี่เขาสนิทกันขนาดไหน แถมแกยังพยายามช่วยฉันจีบพี่โลคาอีก อย่าคิดมากเลย” ฉันบอกปัดเธอด้วยท่าทางขำขันเล็กน้อย ยัยด้ามักจะชอบช่วยเหลือฉันเรื่องจีบพี่โลคาเสมอ ตั้งแต่ที่ฉันฝึกทำขนมแล้วก็วานให้เธอเอาไปให้พี่เขาแล้ว ถึงพี่เขาจะไม่อะไรกับมันก็เถอะฉันอุตส่าห์เขียนความในใจผ่านกระดาษแล้วแท้ ๆ แต่พอเจอฉันนะก็ขี้เก๊กทำเป็นไม่มองฉันเหมือนเดิม จนฉันมารู้ทีหลังว่าพี่โลคาไม่ชอบขนม ก็ตอ
“ขอบคุณที่มาส่งหนูนะคะ” ฉันยกมือขึ้นไหว้พี่โลคาอย่างเป็นกุลสตรีและมีมารยาทมากที่สุด ส่วนอีกฝ่ายก็ทำหน้านิ่งส่งมาให้ฉันแทน แถมยังไม่สนใจที่จะหันมามองฉันแม้แต่น้อย ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ มีแต่ภาพที่ฉันเห็นว่าพี่เขาขับรถออกไปแล้ว เชอะ! หยิ่งชะมัดโลคา Talk ผมวนรถจอดตรงที่ลับตาคน ก่อนจะนั่งมองเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าเลเน่อะไรนั่น เมื่อเห็นว่าเธอเข้าไปในบ้านของตัวเองแล้วผมจึงสตาร์ตรถออกไปจากตรงนี้ วันนี้ผมมีนัดกับไอ้แบล็คที่ผับ อันที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก แต่วันนี้ผมต้องเตรียมใจโดนไอ้แบล็คล้อผมแน่ เพราะดันมียัยเด็กแสบนั่นมาทำให้ผมต้องมาไม่ตรงเวลาแบบนี้แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะไม่แน่ถ้าไปถึงแล้วไอ้แบล็คมันอาจจะยังไม่โผล่มาก็ได้ ไอ้นี่มันเคยตรงต่อเวลาที่ไหน ถึงแม้ภายนอกผมกับมันจะดูแตกต่างกันและไม่น่าเป็นเพื่อนกันได้ แต่ใครจะหารู้ไม่ว่าผมกับมันก็ไม่ได้ต่างอะไรนักหรอก แต่เพราะลุคของผมที่แสดงออกมามันเลยทำให้ดูต่างกันเฉย ๆอันที่จริงแล้วนิสัยของผมกับมันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกครับ แค่ผมไม่ได้แสดงออกมาให้ใครเห็นเหมือนมันก็แค่นั้นWip198 Bar ผมส่งกุญแจรถให้กับ
“แต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบออกมานะลูก อย่าปล่อยให้พี่แบล็คเขารอนานนะลูก มันไม่งาม” โว๊ยไอ้พี่บ้านั้นจะมาทำมะเขืออะไรวะ หงุดหงิดดดดดดด ฉันรีบจัดการแต่งหน้าทำผมอย่างว่องไวเท่าที่จะไวได้ ไม่งั้นฉันจะต้องโดนแม่แหกอกแน่ ๆ“เสร็จหรือยังยัยเน่!” นั้นไงล่ะ เสียงโมโหของแม่ดังขึ้นเบา ๆ ที่หน้าประตูห้อง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแม่ฉันกำลังหงุดหงิดแล้ว“เสร็จแล้วจ้า ๆ” ฉันวิ่งไปเปิดประตู พร้อมกับยืนยิ้มให้กับคนเป็นแม่ที่กำลังทำหน้าพร้อมจะฆ่าฉันได้ทุกเมื่อ ฮือ“ไว ๆ เลยยัยตัวดี แล้วไหนกระเป๋าล่ะ” เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย ว่าจบฉันก็รีบไปขนกระเป๋าที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมาทีละใบไว้หน้าห้อง จากนั้นแม่ก็ตะโกนหาตาลื่นที่เป็นพ่อบ้านของบ้านฉันให้มาขนกระเป๋าไปไว้ที่รถของไอ้พี่แบล็ค“ช้าจังวะ” นอกจากจะทำน้ำเสียงเบื่อหน่ายแล้วพี่เขายังทำหน้าหน้าตาบอกบุญไม่รับอีกด้วย อีรอบนี้ไม่พ้นโดนคุณป้าบังคับมาแน่ ๆ นี่แม่ฉันคงต้องไปคุยอะไรกับคุณป้าแน่ ๆ ถึงได้บังคับให้พี่เขามารับฉันแต่เช้าแบบนี้เนี่ย“แล้วใครใช้ให้มานั่งรอละวะ” ฉันบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ พอที่จะไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน“มึงว่าไงนะ?” ฉันรีบส่งยิ้มไปให้ไอ้พี่แบล็คเ
และที่ฉันกลัวไม่ใช่อะไร นอกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองที่จะต้องพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรเล่า! ที่ฉันฝึกมามันสูญเปล่ามาก เพราะว่า ฉัน-จำ-อะไร-ไม่-ได้-เลย! ความกลัวนำพาสมองฉันว่างเปล่ามากตอนนี้“เลิกพูดสักที ฉันก็เริ่มจะกลัวพอ ๆ กับแกแล้วนะโว้ย!” ฉันหันหลังไปด่ามันเบา ๆ ไม่งั้นคนอื่นได้มองฉันกับมันอย่างน่าสมเพชแน่นอนที่ดันโง่ภาษา“ก็ฉันกลัวนี่แก” ยัง มันยังไม่หยุดอีก“งั้นแกไปก่อนเลยพูดมากนัก!” ฉันรีบเดินสลับที่กับมัน ซึ่งเป็นจังหวะประจวบเหมาะพอดีที่คิวต่อไปจะเป็นคิวของฉันพอดี และแน่นอนว่ามันก็ช่วยไม่ได้เพราะยัยพิ้งถูกเรียกเข้าไปถามคำถามแล้ว มันมองฉันด้วยสายตาอาฆาตแค้นมาก แต่ฉันไม่สนใจหรอกย่ะ ฮิฮิเยาะเย้ยมันได้ไม่นานหรอก มันก็แลบลิ้นส่งมาให้ฉันเมื่อแฟนของมันที่เรียนคณะวิทย์รีบวิ่งเข้ามาตอบคำถามแทนมัน และช่วยมันพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ จนในที่สุดมันก็เดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไป“ซวยแน่ฉัน ไม่น่าไปแกล้งมันเลย!” ฉันบ่นกับตัวเองแล้วก็พยายามก้าวขาช้า ๆ ไปหาพี่เจ้าหน้าที่ ถ้าฉันไม่แกล้งมันป่านนี้มันคงให้แฟนมันมาช่วยฉันแล้ว“Hello” ฉันพ่นคำทักทายอย่างสุภาพที่ฉันพอจะรู้ออกไป พร้อมกับยื่นเอกสารที
โรงแรม Double Tree by Hilton Hotel Boston “แกฉันขอโทษน้าเพื่อนรัก” ยัยพิ้งพูดด้วยสีหน้าเศร้า พร้อมกับยกมือขึ้นถูไปมาในลักษณะท่าไหว้ ฉันได้แต่มองมันด้วยความเอื้อมระอา และแสดงสีหน้าออกไปอย่างชัดเจนว่าโมโหมันมาก ไม่ให้ฉันโมโหได้อย่างไร ก็เราสองคนตกลงกันแล้วที่จะจองห้องร่วมกัน แต่ผลสุดท้ายยัยนี่ดันมาบอกกับฉันว่าจะต้องไปนอนห้องเดียวกับแฟนตัวเองเฉย เฮ้อ เอาเหอะ คนโสดแบบฉันก็ต้องถูกเทแบบนี้แหละ ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงไม่ไปนอนกับยัยด้า ก็เพราะว่าอย่างแรกเลยคือฉันกับยัยด้าอยู่กันคนละคณะ ถึงเราจะสนิทกันก็จริง แต่เราสองคนก็มีเพื่อนร่วมห้องร่วมสาขาที่แตกต่างกันอยู่ดี เพราะงั้นยัยด้านางก็มีเพื่อนร่วมห้องของนางแล้วไงล่ะ แถมโรงแรมที่อาจารย์ทำการจองให้ห้องก็ใหญ่และกว้างมาก คือมันไม่ควรพักคนเดียวอะ แต่ตอนนี้คือฉันจะต้องอยู่คนเดียวภายในห้องใหญ่แบบนี้ เชื่อว่าทุกคนจะต้องเป็นแบบฉันแน่ ๆ ที่มานอนต่างถิ่นและแน่นอนว่าจะต้องมี...เรื่องผีเข้ามาเกี่ยว! ห้องกว้างขนาดนี้ฉันก็กลัวนะโว้ย แง้ “เห็นผัวดีกว่าเพื่อน!” ฉันพูดจบก็กลอกตาขึ้นบนพร้อมกับคว่
Rrrr Rrrr rrr ระหว่างที่ผมกำลังนั่งตรวจงานวิจัยเพลิน ๆ เสียงเรียกเข้าของมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของผมให้ต้องหันไปมองชื่อที่กำลังโชว์ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา ผมกดรับสายแล้วเอ่ยด้วยคำสุภาพออกไป “ครับแม่” คนที่โทรเข้ามาก็คือแม่ของผมเองครับ ผมเงยหน้ามองเวลาที่บ่งบอกว่ามืดแล้ว แต่ที่ประเทศไทยยังคงเช้าอยู่สินะ แม่ผมท่านเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลชื่อดังและเปิดมายาวนานหลายรุ่นแล้ว ไม่มีใครไม่รู้จักโรงพยาบาลของแม่ผมหรอกครับ “เป็นไงบ้างครับ ถึงที่พักหรือยังลูก?” “ถึงแล้วครับแม่ แม่ทานอะไรหรือยังครับ” ด้วยความที่ท่านเป็นถึงเจ้าของโรงพยาบาล ก็ต้องพ่วงมาด้วยกับความไม่มีเวลาให้ตัวเอง แม่ผมอุทิศตัวในการบริหารโรงพยาบาลนั้นมาก มากซะจนท่านไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือทานอาหารให้ตรงเวลาเลยสักมื้อ “ทานแล้วครับ นี่ใครเป็นแม่ใครเป็นลูกกันแน่ฮึ” ผมอมยิ้มกับความขี้เล่นของแม่ตัวเอง ถึงผมจะไม่ค่อยได้เจอท่านสักเท่าไหร่เพราะออกมาอยู่คนเดียวนานแล้ว แต่ผมก็อดคิดถึงเวลาที่ท่านน่ารักแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ ถึงผมจะเคยบอกว่าที่ออกมาอย
“พี่หิวไหมคะ เดี๋ยวเน่จะได้ไปจัดโต๊ะให้” ฉันเดินเข้าช่วยพี่โลคาถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ถือเสื้อนอกไว้ในมือตัวเอง พลางถามคนตรงหน้าที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเหนื่อย ๆพี่โลคาตอนนี้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแทนแม่พี่เขาแล้ว พ่วงด้วยดูแลมหา’ลัยแยกอีก แต่ดีที่การดูแลมหา’ลัยไม่ได้ลำบากมากนัก เพราะการเป็นอธิการบดีไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลทุกวันเหมือนกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่งานหนักอะไรพี่โลคาของฉันไม่ได้จบปริญาโทเท่านั้น แต่พี่โลคาใฝ่เรียนจนจบเด็กเตอร์เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเองได้ในอายุที่ยังน้อย ส่วนฉันจบตรีได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว T^T“ครับ มานี่ก่อนเร็ว” ฉันเดินเข้าไปหาพี่โลคาด้วยสีหน้ายิ้ม ทุกครั้งที่พี่เขากลับมักจะอ้อนแบบนี้ตลอด ฉันรู้ดีว่าพี่เขาจะทำอะไร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาพี่เขาก็มักจะทำแบบนี้เสมอเวลาที่กลับมาบ้านหรือว่าจะออกไปทำงานฟอด~ “หายเหนื่อยเลยครับ” ปากหวานตลอด ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่ายิ่งอยู่กับพี่โลคานานขึ้นพี่โลคาก็มักจะทำอะไรที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะชอบชมฉัน ชอบเซอร์ไพรส์ทุกครั้งที่เป็นวันเกิดหรือวันครบรอบ เอาเป็นว่าพี่เขาโรแมนติกมากขึ้นเรื่อย ๆ เ
“รับผิดชอบยัยหนูด้วยการหมั้นไงละครับ” หมั้นอย่างนั้นเหรอ! “หา! หมะ...หมั้นเหรอคะ!” ฉันมองแม่พี่โลคากับพี่โลคาสลับกันไปมาด้วยความตกใจ “เรียนจบเมื่อไหร่แม่สัญญาว่าจะรีบจัดงานแต่งงานให้ไวที่สุดเลย เพราะงั้นหนูเลเน่รีบเรียนให้จบไว ๆ นะลูก ส่วนเรื่องมหา’ลัยถ้าหนูอยากกลับมาเรียนที่เดิมก็ไม่เป็นปัญหา แม่จะไปคุยกับพ่อพี่เขาให้เอง” เรื่องหมั้นฉันยังตกใจไม่หาย นี่มาเรื่องเรียนจบแล้วแต่งงานอีก ให้ตายเถอะ “เอ่อ...คือว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ หนูคงต้องขอคุยกับแม่ก่อนค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยความนอบน้อม เรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แถมวันนี้แม่ฉันก็ไม่ได้มานั่งฟังด้วย เพราะงั้นฉันต้องไปเล่าให้แม่ฟังก่อน “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับพราวเองจ้ะ” ฉันยิ้มให้แม่พี่โลคา แต่ภายในใจก็รู้สึกกังวลกลัวว่าแม่ฉันจะไม่ยอม เอาจริงแล้วฉันดีใจมากที่จะได้หมั้นกับพี่โลคา แต่แค่กลัวว่าที่พี่เขาทำแบบนี้มันจะเป็นเพราะโดนบังคับให้ทำหรือเปล่า พี่เขาเต็มใจใช่ไหม...เวลา 13.23 น. “พี่โลคาแน่ใจแล้วเหรอคะว่าอยากจะหมั้นกับเน่จริ
ผลั๊ก! เสียงกระชากเปิดประตูของฉันดังขึ้น เรียกความสนใจให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ตรงโซฟาต่างหันมามองที่ฉันเป็นทางเดียว ฉันพยายามใช้มือลูบผมที่กำลังยุ่งให้ดูเรียบร้อยขึ้นแล้วเดินไปยกมือไหว้แม่พี่โลคาด้วยท่าทางเกร็ง แม่พี่โลคาเองก็พยักหน้ารับไหว้ฉันเหมือนกัน “หนะ...หนูอธิบายได้นะคะ ท่านกำลังเข้าใจผิด” ฉันพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก รีบเดินไปทางแม่พี่โลคาเพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ไปในทางที่ดี แม้ฉันจะต้องโกหกท่านก็เถอะ แต่เพื่ออนาคตพี่เขาแล้วฉันจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เห็นเต็มสองตาขนาดนี้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก” แม่พี่โลคาพูดในขณะที่สายตายังคงจ้องหน้าลูกชายตัวเองด้วยความโมโห “ท่านคะ! เป็นความผิดหนูเองค่ะ คือ...คือหนูอะ...อ่อยพี่เขาค่ะ! หนูสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ฉันวิ่งเข้าไปนั่งกอดขาแม่พี่โลคาพลางพูดรัวพูดมั่วไปหมด คิดอะไรได้ก็พูดเพื่อให้พี่โลคาไม่ซวย “ยัยหนู!/หนูเลเน่!” ฉันมองทั้งสองคนด้วยความงุนงง เนื่องจากทั้งสองต่างพากันเข้ามาจับฉันให้ยืนขึ้น “เลเน่ ทำไมหนูทำแบบนี้ละลูก” ฉันมึนเ
“อ๊า” ฉันนอนหอบหายใจเมื่อตัวเองได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา ฉันรู้สึกโล่งตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะกลับมาเกร็งอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่โลคาขยับตัวลงมานั่งติดกับส่วนนั้นของฉัน “พะ...พี่โลคา” ฉันพูดด้วยเสียงหอบหมายจะห้ามพี่เขา แต่ทำไมเหมือนกับว่าตรงส่วนนั้นมันขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมได้ล่ะ แถมมัยยังกระตุกขยับไปมาเล็กน้อยอีกด้วย “รู้ตัวไหมเวลาที่ยัยหนูนอนพูดด้วยสีหน้าแบบนั้นมันทำให้พี่มีอารมณ์มากขึ้นแค่ไหน” พี่โลคาชักรูดส่วนนั้นของตัวเองพลางมองหน้าฉันไปด้วย ไม่นานพี่โลคาก็ใช้แขนมาค้ำยันลงที่ข้างหูฉัน อีกมือก็จัดการจับเจ้าส่วนนั้นของพี่โลคามาถูที่น้องสาวสุดหวงของฉันไปด้วย “อือ ดะ...เดี๋ยวสิคะ” แม้ฉันจะร้องห้ามแต่ขาทั้งสองข้างของตัวเองกลับขยับออกห่างเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สิ่งนั้นถูไถได้ง่ายขึ้น “ชอบเหรอครับ” พี่โลคายิ้มมุมปาก พลางก้มหน้าจ้องมองฉันที่กำลังใช้มือปิดปากตัวเองไว้เพราะไม่อยากส่งเสียงน่าเกลียดออกมา แต่ภายในใจจริง ๆ ก็กำลังก่นด่าตัวเองด้วยที่ดันไปขยับขาออกเพื่อรับสัมผัสอย่างน่าอับอาย “ส
“ปล่อย” ฉันพูดด้วยเสียงนิ่งและจริงจังเพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าฉันไม่ได้พูดเล่น ส่วนพี่โลคานางก็เลิกยุกยิกกับฉันเลยเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มจะไม่มีท่าทีเล่นแล้ว “ยัยหนู...” พี่โลคากอดเอวฉันจากทางด้านหลังไว้หลวม ๆ พลางเกยคางไว้บนไหล่ของฉัน จากนั้นนางก็เริ่มเรียกฉันแบบที่ชอบเรียกด้วยเสียงอ้อน “ออกไป เน่ขอร้อง” เสียงของฉันเริ่มจะสั่นเครือแล้ว ความรู้สึกของฉันมันเริ่มจะไม่เชื่อฟังตัวฉันซะแล้ว ยอมรับเลยว่าวันนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก แต่มันเป็นความสุขที่ฉันจะต้องเก็บเอาไว้ภายใต้จิตใจของฉัน ฉันพยายามแสดงออกให้พี่เขาเห็นมากที่สุดว่าฉันไม่ต้องการกลับไปยุ่งกับพี่เขาแล้ว “อย่าไล่พี่ ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” ฉันจุกกับคำพูดของพี่เขาจนตัวเองนั่งนิ่งเงียบไป ไม่รักงั้นเหรอ เหอะ! ถ้าฉันไม่รักพี่เขาฉันก็คงไม่ยอมให้ตัวเองมาทรมานแบบนี้หรอก “…” พี่โลคาจับฉันให้นั่งหมุนตัวหันไปตรงหน้าพี่เขา เราสองคนต่างมองตากันด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกคนคิดอย่างไรกับเรา ใบหน้าพี่เขาเริ่มเลื่อนเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ “คิดถึง” พี่
กลับไปก็ต้องรีบไปทำควิซอีก เพื่อเก็บคะแนนตรงนี้ให้เป็นคะแนนช่วยเวลาที่คะแนนสอบออกมาได้ไม่ดีอะไรแบบนี้ วิชานี้เป็นวิชาที่ยากมากพอสมควรเลยคอนโดเลเน่ พอฉันเปิดประตูเข้าไป จมูกก็ได้กลิ่นหอมออกมาจากทางห้องครัว ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าใครเข้ามาในห้องของฉันถ้าไม่ใช่พี่โลคา ส่วนที่นางเข้ามาได้อย่างไรอันนี้ฉันคงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว คงจะใช้อำนาจอีกนั่นแหละ “กลับมาแล้วเหรอครับ หิวไหม?” พี่โลคาหันกลับมามองฉันที่เดินตามกลิ่นหอมยั่วยวนนี้เข้ามาในห้องครัว ฉันแอบตกใจและแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นพี่โลคาในมุมที่ใส่ชุดแบบนี้ พี่เขาสวมผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีชมพูของฉันอยู่นะสิ อยากขำนะแต่ต้องเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ก่อน “ใครอนุญาตให้พี่เข้ามาทำอาหารในนี้กันคะ” ฉันยืนกอดอกพูดกับพี่เขาด้วยน้ำเสียงเข้มแบบที่พี่เขาเคยทำใส่ฉัน “พี่อนุญาตตัวเอง ไปนั่งรอก่อนจะเสร็จแล้ว” คนหน้ามึนพูดจบก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อโดยไม่สนใจเลยว่าฉันยืนจ้องตาเขม็ง สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้ออกมานั่งเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อทำควิซแทน “ยากจัง” ฉันนั่งทำควิซมาได้สักพักแล้วแต่ก็ยังไม่เ
“เห็นว่ามุงดูคนหล่อกันค่ะ” คนหล่องั้นเหรอ...หรือว่า!! “ขอบคุณมากค่ะ” ฉันพูดขอบคุณรุ่นน้องเสร็จก็รีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุด ทางเข้ามหา’ลัยไม่ได้มีแค่ทางเข้าเดียว ฉันไปเข้าอีกทางก็ได้ ส่วนคนหล่อที่รุ่นน้องพวกนั้นพูดก็คงไม่พ้น “ยัยหนู!” นั่นไงล่ะ เป็นพี่โลคาจริง ๆ ด้วย ฉันหันกลับไปมองก็พบว่ามีหลายสายตาต่างจับจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาแบบว่า...ริษยา ส่วนพี่โลคาก็หมายจะวิ่งเข้ามาหาฉัน แต่ดันติดฝูงคนตรงนั้นจนทำให้พี่เขาไม่สามารถตามฉันมาได้ “เกือบไปแล้ว” ฉันใช้มือทั้งสองข้างก้มจับเข่าพลางหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ประตูอีกด้านที่สามารถเข้ามหา’ลัยได้ก็คือประตูหลังที่อยู่ติดอีกถนน มันไกลจากประตูหน้าพอสมควร แค่เดินธรรมดาก็เหนื่อยแล้วกว่าจะใช้เวลามาถึง แต่นี่ฉันดันวิ่งมา แน่นอนว่าฉันเหนื่อยแทบจะล้มตัวลงไปนอนหายใจเลย “น้องเน่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ฉันที่กำลังก้มตัวหอบหายใจอยู่ ก็มีมือของใครบางคนมาแตะลงที่ไหล่ของฉัน ฉันจึงเอียงคอขึ้นไปมองก็พบว่าเป็นพี่บลูนั้นเอง “ไม่เป็นอะไรค่ะ” ฉันขยับตัวออกห่างจากพี่บลูจนมือที่เขาแตะไว้ในตอนแรกเลื่อนออกไป
“ปล่อยนะ!” ฉันพยายามดิ้นไปมาเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมกอดที่คุ้นเคย ฉันไม่อยากหวนคิดถึงมันอีก “หนีพี่มาทำไม ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” พี่โลคากอดฉันแน่นขึ้น แถมยังใช้มือขึ้นมาลูบผมฉันเบา ๆ อีก มันยิ่งทำให้ฉัน “ฮึก” ฉันกำเสื้อของพี่โลคาแน่น และกำมันด้วยความแรงที่ฉันกำลังเจ็บปวดอยู่ภายในใจตัวเอง พร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พี่โลคาก็ยังคงลูบผมฉันอยู่อย่างนั้น “ขอโทษนะ” พี่โลคาเอ่ยขอโทษออกมา พี่เขาไม่ผิดเลย พี่เขาจะมาขอโทษฉันทำไมฉัน “ฮึก พะ...พี่จะมาขอโทษหนะ...หนูทำไม” ฉันพูดด้วยเสียงอู้อี้และสะอึกร้องไห้ไปด้วย “ขอโทษที่วันนั้นพี่ไม่ได้อยู่ช่วยยัยหนู ขอโทษที่ปล่อยให้คนในครอบครัวมาทำร้ายยัยหนูไงครับ พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้เลยว่ายัยหนูของพี่จะเก็บเรื่องนั้นไว้คนเดียวตลอด คงเจ็บมากเลยใช่ไหม” พี่โลคาดันตัวฉันออกเล็กน้อย และพี่เขาก็ก้มลงมามองฉันที่กำลังร้องไห้อยู่ “มะ...ไม่ ฮึก พี่ไม่ได้ผิดเลย” ฉันส่ายหน้าไปมาพร้อมกับน้ำตาที่กำลังรินไหล พลางเงยหน้ามองพี่เขาด้วยสายตาจริงใจว่าฉันไม่โกรธหรือโทษพี่เขาเลยสักนิด
เลเน่ Talk “ขอบคุณที่มาส่งนะคะพี่บลู” ฉันก้มตัวลงไปไหว้รุ่นพี่ที่คณะของตัวเอง พี่เขาก็ยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับคำขอบคุณจากฉัน นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ที่มหา’ลัยต่างใจดีกับฉันเกือบทุกคนเลย เป็นคณะที่อบอุ่นพอตัวเลย อีกอย่างฉันเข้ามาเรียนกลางคันด้วย ถ้าเป็นที่อื่นเขาคงไม่รับ แต่ฉันมีคนจัดการให้พร้อมก็เลยไม่เป็นปัญหาอะไร “ไม่เป็นไรครับ น้องเน่ก็รู้ว่าพี่เต็มใจมากแค่ไหน” ฉันทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไป พี่บลูเป็นรู่นพี่ที่คณะของฉัน และยังเป็นนักศึกษาที่ได้ฉายาว่าเจ้าชู้ตัวพ่อ พี่เขาตามจีบฉันตั้งแต่เข้าเรียนวันแรก จนถึงวันนี้นางก็ยังคงตามจีบฉันไม่เลิก ทั้งที่ฉันบอกไปหลายรอบละนะว่าฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้พี่เขาหยุดตามตอแยฉันได้เลย และที่วันนี้พี่เขามาส่งฉันได้ก็เพราะได้รุ่นพี่อีกคนมาช่วยเป็นกำลังเสริม ฉันก็เลยต้องเลยตามเลยไป “งั้นเน่ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบฉันก็ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบเพราะเดี๋ยวมันจะยาว ฉันจึงรีบเดินไว ๆ เข้าตึกคอนโดของใครก็ไม่รู้แทน ฉันไม่ได้ให้พี่เข