“จูบเลย! จูบเลย!”
เสียงร่ำร้องจากบรรดาเพื่อนฝูงด้านล่างเวทีหลังพูดคุยกับบ่าวสาวจบทำให้ญาดายกไวน์ของตนขึ้นดื่มจนหมดแล้วขยับไปกระซิบกับเพื่อนสนิทใกล้ๆ
“พริกไปเข้าห้องน้ำนะ”
“ไหวแน่นะ แก้มไปด้วยไหม”
กุลนารีถามกลับเพราะอาการของเพื่อนค่อนข้างแสดงออกชัดเจนว่าเมาแล้ว
“ไปได้สบายมาก”
ญาดายิ้มหวานส่งให้แล้วรีบลุกขึ้นยืนตรงหันหลังขณะเดียวกับที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวขยับตัวเข้าใกล้กันมากขึ้น มองสบตากันหวานฉ่ำ ร่างบางพยายามตั้งตัวให้มั่นคงแล้วเดินห่างออกมาช้าๆ ท่ามกลางเสียงปรบมือโห่เฮของแขกเหรื่อ รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวจนต้องกะพริบตาถี่ไล่น้ำที่คลอขึ้นมา บังคับขาที่หนักอึ้งของตนให้ก้าวต่อ เพราะรู้ดีว่าร่างกายตัวเองค่อนข้างโอนเอน หากก็ยังเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์จากบริกรที่เดินผ่านขึ้นมาดื่มจนหมดซ้ำอีกแล้ววางแก้วคืนก่อนออกจากห้องจัดเลี้ยง
เมื่อพ้นประตูไปก็ใช้มือเท้าผนังๆ ค่อยๆ เดินต่อไปยังห้องน้ำ อยากหนีให้ไกลจากตรงนี้ด้วยเวลานี้เธอไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้แล้ว
ไหล่เล็กขยับเบาๆ พร้อมน้ำใสไหลลงอาบแก้ม นับตั้งแต่วันนี้การได้เฝ้ามองใครบางคนด้วยความสุขเล็กๆ ในหัวใจได้จบลงแล้ว ญาดาบอกตัวเอง ทั้งที่ไม่อยากร้องไห้ทว่าก็ไม่อาจห้ามน้ำตาได้
ใช่ว่าไม่รู้ไม่เห็นว่าคนที่เธอแอบรักมีแฟนและคบหากันอย่างจริงจัง ทว่าหญิงสาวก็รู้สึกยินดีกับคนทั้งสองมาตลอด ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเรื่องอกหักเป็นเรื่องธรรมดาแล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้พบเจอ เพราะชายหนุ่มคือคนเดียวที่เธอเฝ้ามองเสมอมา ญาดาจึงต้องเผชิญกับภาวะแห้วรับประทานอีกเป็นครั้งที่สองในที่ทำงาน เหมือนครั้งที่เรียนมหาวิทยาลัย
เธอพยายามเข้มแข็งแม้ในใจจะเจ็บแปลบทุกครั้งที่ได้เห็นคู่รักหวานชื่น ถึงจะไม่ได้อิจฉา แต่ก็อดเศร้าลึกอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะเธอไม่กล้า จึงต้องเป็นฝ่ายเก็บงำความรู้สึกอยู่เพียงในใจ ไม่อาจแสดงออกมาให้ใครรู้ได้
“ญาดา ไม่สบายเหรอ”
เสียงเรียกทุ้มดังขึ้นทำให้คนที่กำลังยืนก้มหน้าพิงผนังใกล้ทางเข้าห้องน้ำยกมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ แม้รู้ว่ามันคงทิ้งรอยคราบไว้ก็ตาม เหลือบมองคนที่ทักเล็กน้อยเพราะทั้งมึนทั้งเสียใจระคนกันจนแยกไม่ออก
“คุณพศิน”
หญิงสาวเอ่ยชื่อเจ้านายของตนด้วยเสียงที่พยายามให้ดูปกติ ทว่าเพียงแค่เห็นหน้าเธอคิ้วเข้มก็ขมวด เพราะได้เจอกันในงานก่อนหน้านี้จึงไม่จำเป็นต้องไหว้อีกฝ่ายซ้ำ
“คุณเมานี่ ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียว”
คนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำชายมามีสีหน้าเป็นห่วงแล้วมองสังเกตเธออย่างจริงจัง แต่ญาดาโบกไม้โบกมือสองข้างตรงหน้าตนเอง ตาปรือปรอย ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เมาเท่าไรค่ะ”
“ไม่คิดว่าคุณจะเป็นขาดื่ม?”
อีกฝ่ายยังดูสงสัย แล้วถามต่อ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า คุณดูเหมือน...”
“ปละ...เปล่าค่ะ ดิฉัน...ไม่ได้ร้องไห้นะคะ”
คนเมาที่เสียงไม่ปกติแล้วรีบบอกจนลิ้นแทบพันกัน ก่อนจะหาทางเลี่ยง
“ขอตัวเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตานะคะ”
เธอบอกแล้วรีบผลุบเข้าห้องน้ำไป คนที่ไม่เชื่อนักจึงเอ่ยตามหลัง
“ยังไงผมจะบอกให้กุลนารีมาดูคุณนะ”
หญิงสาวที่เข้าห้องน้ำไปแล้วไม่ได้ตอบ ทว่าชายหนุ่มมองตามชั่วครู่ก่อนจะกลับไปยังห้องจัดเลี้ยงเพื่อทำตามเลขาของตน เพราะดูท่าทางพนักงานสาวค่อนข้างน่าเป็นห่วง
ทั้งที่ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้ญาดาดีขึ้นเท่าไรนัก หญิงสาวยืนมองสภาพตัวเองที่ตาปรือปรอย หน้าแดงก่ำที่สะท้อนจากกระจกอย่างนึกสมเพชตัวเอง เธอไม่คิดว่าการอกหักมันจะแย่ขนาดนี้ อาจเพราะเก็บกดเอาไว้มานาน ในวันที่ได้เห็นคนที่แอบรักเข้าประตูวิวาห์ก็เหมือนถูกปิดตายประตูหัวใจของเธอลงอย่างจริงจังเช่นกัน
แม้ไม่เคยหวังให้คนสองคนเลิกกัน แต่เธอก็ขอทำใจไปอีกนานหน่อย ทว่าทั้งคู่กลับคบหากันเพียงปีเดียวและตกลงแต่งงานในที่สุด
น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนอีกครั้งเมื่อคิดไปถึงวันที่นิอรยื่นซองสีชมพูหวานให้เธอพร้อมบอกด้วยรอยยิ้มเขินอาย
‘งานแต่งพี่ เดือนหน้าจ้ะ’
เดือนเดียว! ดูจากวันที่ในการ์ดแล้วญาดามีเวลาเตรียมความรู้สึกตัวเองไม่ถึงสามสิบวันด้วยซ้ำ หญิงสาวเคยคิดว่าตนจะรับมือได้ แต่เปล่าเลย นับตั้งแต่ก้าวมาในงานใจเธอหนักอึ้งอยู่ตลอดเวลา ถึงจะเอ่ยคำยินดีกับคู่บ่าวสาวด้วยความจริงใจก็ตาม หากในใจของเธอกลับเบาโหวงราวกับบางสิ่งบางอย่างที่ยึดเหนี่ยวมานานหลายปีหลุดลอยหายไปจนต้องใช้ไวน์กดความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้อาการที่เหมือนมีคนเอาเข็มเล็กๆ มาทิ่ม เกิดบาดแผลที่มองไม่เห็นแต่เมื่อถูกบีบเลือดก็ล้นออกมาจนแดงฉานล้างออกได้หมด
เธอไม่อยากเจ็บแบบนี้เลย ต้องทำอย่างไรความปวดหน่วงในใจนี้ถึงจะเลือนหาย
มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้งแล้วเดินขาปัดป่ายออกจากห้องน้ำอย่างระมัดระวัง รู้ตัวว่าร่างกายถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำเกินกว่าปกติ หากก็มั่นใจว่าเธอยังดูแลตัวเองได้ เวลานี้เธอต้องการแค่หาทางหนีให้พ้นจากความหนึบปวดแปลบปลาบในอกเพียงนั้น
‘ฉันต้องทำยังไง ใครก็ได้บอกที’
ร่างบางโผเผจากหน้าห้องน้ำ เดินก้มหน้ากุมหัว โอนเอียงซ้ายทีขวาที แต่แล้วก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ความหนาแน่นใหญ่โตทำเอาญาดาผงะ
“อุ๊ย...”
หญิงสาวคิดว่าตัวเองต้องล้มก้นจ้ำเบ้าแน่นอนจึงหลับตาปี๋ ทว่าผิดคาด แขนของอีกฝ่ายโอบเอวเธอไว้จนร่างเล็กซวนซบเข้าหาอกแกร่งในชุดสูทเนี้ยบ หน้าผากมนชนอกชายหนุ่มเบาๆ ก่อนจะเงยมองเขา
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงหวานยานคางบอก ตาปรือพยายามเปิดมองแต่ความที่ยืนใกล้เกินไป หัวหนักอึ้งและเมามายจึงเห็นในระยะจำกัด ใบหน้าคมเอนออกห่างเพื่อจะก้มมองเธอ หากแต่มีบางอย่างที่สะดุดตาญาดาเสียก่อนเธอจึงไม่สนใจสิ่งอื่น
ปากได้รูปสีสดดูสวยน่าหลงใหลทั้งยังดึงดูดอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาที่หรี่ปรือมองปากที่ขยับตรงหน้าเพียงอย่างเดียวด้วยความเคลิบเคลิ้ม แทบไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดด้วยซ้ำ
“เมาขนาดนี้ได้ยังไงน่ะพริก”
หญิงสาวยิ้มหวานเคลื่อนตัวขึ้นหาสิ่งที่ดูเชิญชวนนักสำหรับตนเอง ไม่เคยเห็นปากผู้ชายน่าจูบขนาดนี้มาก่อนเลย ปากบนบาง ปากล่างหนากว่าได้รูปเหมาะเจาะพอดี แถมยังสีแดงได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นปากผู้ชาย
“พริก รู้ตัวไหมเนี่ย...อุบ”
‘อืม...กระด้างนิดหน่อยแต่อุ่นดีจัง’
ญาดาคิดในใจขณะแนบปากตนเองขึ้นหาปากใครคนนั้นก่อนจะปัดป่ายถูไถไปมาด้วยความพึงพอใจ
=====
เอ้า คิดว่าน่าจูบ ก็จูบซะเลยนะพริก ^^
ติดตามข่าวสารนิยายเรื่องใหม่ เมาท์ เมนต์ นะจ๊ะ
“โอ๊ย พริกเอ๊ย ไปจูบกับใครที่ไหนเนี่ย”หญิงสาวขยี้หัวตัวเองไม่หยุด แม้ว่าจะอาบน้ำมาหากาแฟดื่มก็ยังนึกหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ออก เธอน่าจะเงยหน้ามองเขาบ้างสิ แต่ทำไมทุกอย่างถึงได้เบลอไปหมดจำได้แค่ปากสีแดงสดได้รูปสวยเหมาะเหม็งชวนกลืนน้ำลายของอีกฝ่ายจะบ้าตาย!!คนตัวเล็กสบถในใจขณะนั่งชันเข่าบนโซฟากุมหัว พฤติกรรมอันน่าอับอายของตัวเองทำเอาไม่อาจนอนต่อได้ทั้งที่ปวดหัวหนักมาก ทว่ากาแฟก็ไม่สามารถช่วยให้เธอดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยทั้งที่นึกไม่ออกว่าคนที่เธอจูบและจูบเธอกลับอย่างลึกซึ้งเป็นใคร แต่ญาดากลับรู้สึกคุ้นเสียงของเขาตงิดๆ ทั้งที่สติในตอนนั้นแทบจะฟังชายหนุ่มไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ หากก็มั่นใจว่าต้องเป็นคนที่ตนรู้จักอย่างแน่นอนเพราะเขาเรียกชื่อเธอหญิงสาวครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงความคุ้นเคยน้อยนิดที่ติดอยู่ในหัว หากก็ไม่อาจระบุได้ชัดเจน นอกจากความสูงที่ต่างจากเธอมาก“โอย...ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง!”ญาดาบ่นก่อนจะดิ้นพล่านเงยหน้าวางหัวบนพนักโซฟามองเพดานด้วยดวงตาเลื่อนลอย แต่แล้วสิ่งหนึ่งก็แล่นเข้ามาเขารู้ว่าเธออยู่ที่นี่ผู้ชายคนนั้นบอกว่าจะมาส่งเธอ แล้วเธอก็ถูกพามาส่งถึงห้องชนิดไม่บุบสลาย ไม่ถูกพาเข้า
“นาย...”เธอพูดสั้นๆ แล้วพยายามนึกว่าจะพูดอะไร จึงขมวดคิ้วมุ่น เพียงชั่วเวลาแวบเดียวที่ได้เห็นหน้าพริษฐ์ก็ราวกับสมองว่างเปล่าชั่วขณะ เคยรู้สึกเหมือนกันว่าเจ้านายของตนดูคล้ายใครสักคน มายืนข้างพริษฐ์แบบนี้ก็กระจ่างแจ้ง“วินรู้จักญาดาเหรอ”เป็นพศินที่ถามคนข้างตัว เจ้าตัวก็ตอบแบบไม่เสียเวลาคิดใดๆ“เพื่อนสมัยมหา’ ลัยน่ะครับ”จากนั้นก็หันมายกยิ้มมุมปากแล้วทักญาดาอย่างจริงจัง ทว่าน้ำเสียงกลับเป็นในเชิงล้อ“ไงพริก ไม่เจอกันนาน ไม่โตขึ้นเลยนะ”พริษฐ์กวาดมองสาวตัวเล็กผมสั้นพอดีช่วงบ่าที่รวบไว้ลวกๆ เผยดวงหน้าใส กับเสื้อยืดแขนสั้น กางเกงขาสั้น ดูสบายๆ กลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนสาวน้อยอายุสักยี่สิบปีแล้วอดยิ้มกว้างไม่ได้ ทว่าเจ้าของดวงตากลมโตกลับมีสีหน้ามึนงงจ้องเขาด้วยแววตาเคลือบแคลงราวสงสัย ไม่สนใจคำแซวของเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงยักไหล่แล้วเหลือบมองหนุ่มอีกคนที่ขยับมายืนใกล้ๆ หญิงสาวด้วยความสนใจ สายตาหมอนั่นมองเขาในแบบที่ผู้ชายด้วยกันเห็นแล้วดูออกในทันทีหวงก้าง...“พี่พริกจะไปหาอะไรกินใช่ไหม เอานี่ไปสิ ซื้อมาเผื่อ จำได้ว่าพี่ชอบก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้านี้”ภาสกรยื่นถุงก๋วยเตี๋ยวมาให้ ด้วยความที่ม
เพราะอาการแฮงค์ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไร บวกกับความไม่สบายใจที่ยังเกาะกิน ญาดาจึงใช้เวลานอนแทบทั้งวันในวันเสาร์โดยไม่ออกไปไหนอีกกระทั่งเช้าวันถัดมาร่างบางในชุดกางเกงวอร์มขายาวเสื้อยืดยืนรอคิวน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ โดยมีถุงโจ๊กหิ้วอยู่ในมือด้วย แล้วอยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งขยับมาใกล้พร้อมกระซิบเบาๆ“นี่ ฝากเพิ่มปาท่องโก๋สามตัวกับน้ำเต้าหู้อีกถุงสิ”ญาดาขยับตัวถอยเล็กน้อยแล้วพอเห็นว่าเป็นใครก็พูดขึ้นเสียงเบาเช่นกันเพราะไม่อยากให้คนรอบๆ หันมาสนใจ“สั่งเองสิ”“เราจะไปซื้อโจ๊ก”“แล้วไง”“ฝากหน่อยนะ”อีกฝ่ายบอก พลางจับมือข้างที่ว่างของเธอขึ้นมายัดแบงค์ยี่สิบใส่ แล้วก็วางมือบนไหล่บางตบลงเบาๆ ราวฝากฝังพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะผละไป ไม่สนใจแม้เธอจะเรียกซ้ำ“เดี๋ยวสินายวิน”เธอไม่อยากทำตัวให้เป็นจุดสนใจนักจึงไม่กล้าเรียกเขาเสียงดัง เพราะรับรู้ได้จากกระแสของคนที่อยู่ใกล้ๆ ว่ามีการเหล่มอง ซึ่งบางคนอาจไม่พอใจกับการที่เพื่อนที่มาทีหลังฝากเธอซื้อก็เป็นได้ เท่ากับคนที่มาหลังเธอต้องเสียเวลารอเพิ่มอีกหน่อยกับการเตรียมของให้เธอ แม้จะไม่นานนักทว่ามันก็น่าเกรงใจอยู่ไม่น้อยหญิงสาวได้แต่เข่นเขี้ยวคนที่ฝากตนซื้อของอยู่ในใจ
“พริกก็รู้ว่าเราไม่อันตรายกับพริก”คนฟังเม้มปาก เธอรู้ว่าสิ่งที่พูดไปทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึกไม่น้อย เพราะเธอเรียกเขาแบบนี้เมื่อไร พริษฐ์จะหน้าเสียทุกที และพยายามยืนยันคำพูดเดิมๆ เหมือนเช่นตอนนี้ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าพริษฐ์เห็นเธอเป็นเพื่อนจริงๆ แต่ลึกในใจญาดายอมรับว่าเธอกลัวชายหนุ่มหน่อยๆ หากก็ไม่เคยพูดให้เขารู้ ทว่าเวลาอีกฝ่ายเข้าใกล้ปฏิกิริยาของเธอจะค่อนข้างชัดเจนคือรีบถอยห่าง จนชายหนุ่มยังเคยแซวว่า เธอคงเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ถอยหนีเขาแต่สิ่งที่ทำให้เธอยังพูดคุยกับพริษฐ์ ไม่ตัดความสัมพันธ์ฉันเพื่อนไปก็เพราะคำพูดของเขาในช่วงแรกที่เพิ่งรู้ว่าเข้าชมรมเดียวกัน‘คงมีแค่พริกที่เรานั่งกินข้าวด้วยได้แบบสบายใจ’การอยู่ชมรมเดียวกัน ทำให้พูดคุยเรื่องถ่ายภาพที่ชอบเหมือนกันได้ถูกคอ แล้วก็เป็นชายหนุ่มเองที่มักจะเข้ามาชวนเธอคุยเวลากินข้าวกลางวันก่อนเข้าชมรมด้วยกัน‘ทำไม’ในตอนนั้นเธอถามไปอย่างนั้นเอง เพราะกำลังอร่อยกับอาหารตรงหน้ามากกว่า‘ก็คนอื่นกินไปทำตาหวานใส่ไป บางคนชวนคุยเรื่องบนเตียง บางคนกินไปลูบต้นขาเราไป กินไม่อิ่มสักที’ญาดาจำได้ว่าเธอเงยหน้าขึ้นสบตาคู่คมสีดำขลับอึ้งๆ ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มให้อ
บนรถทัวร์ที่กำลังเคลื่อนออกจากมหาวิทยาลัย ญาดานั่งข้างฝ้ายเพื่อนผู้หญิงที่อยู่คนละคณะทว่ามาทำความรู้จักกันในชมรม หากก็สนิทกันพอสมควร สองสาวหันมองหน้ากันทันทีและขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเพลงที่รุ่นพี่ร้องประสานเสียงขึ้น“เสร็จล่ะมึงคราวนี้เสร็จล่ะมึง อยู่บ้านดีๆ ไม่ชอบ อยู่บ้านดีๆ ไม่ชอบ เสือกมารับน้องคราวนี้เสร็จล่ะมึง”รุ่นพี่พร้อมใจกันร้องวนอยู่ครู่ใหญ่ เพื่อนของเธอกลืนน้ำลาย ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ญาดาคิดว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนเธอก็คือ เพลงดูเป็นลางไม่ค่อยดีเท่าไรแน่นอนว่าเธอกำลังจะไปรับน้องกับชมรมที่ต่างจังหวัด แม้จะมีรับน้องภายในคณะไปแล้ว ทว่าชมรมก็มีการรับน้องด้วย ซึ่งรุ่นพี่บอกว่าเป็นการทำกิจกรรมสานสัมพันธ์พี่น้องในชมรมสนุกๆ กับได้ถ่ายรูปธรรมชาติตามสไตล์ชมรมถ่ายภาพ รุ่นน้องจึงต่างก็อยากเข้าร่วมเพราะอยากแสดงฝีมือและเหมือนได้ไปเที่ยวกลายๆมาถึงที่พักแห่งหนึ่งบริเวณแก่งกระจาน เพียงแค่รถจอดก็ได้ยินเสียงประกาศจากโทรโข่งดังขึ้นทันที“ลงมาเลยน้องๆ ลงมาเลย เข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง ชายสามแถว หญิงสองแถว ให้ไวเลยน้องให้ไว”ญาดากับเพื่อนรีบขยับตัวทันทีเมื่อคนอื่นต่างก็ลุกพรวดแล้วมุ่งหน้าไปยังประตูรถตามๆ ก
ช่วงกลางคืนแบ่งกลุ่มใหม่โชว์ความสามารถและเล่นเกม เป็นการสันทนาการสนุกๆ และความร่วมมือร่วมใจกันในทีม แม้จะไม่รู้จักกันมากนักหากเพื่อนในกลุ่มของญาดาก็ให้ความร่วมมือกันดีจนได้อันดับที่หนึ่งมา รางวัลเป็นของที่ระลึกจากรุ่นพี่ ซึ่งเธอได้ของจากเชนทร์“อย่าเพิ่งเปิดดูนะน้อง เดี๋ยวตกใจ”อีกฝ่ายบอกพร้อมยิ้มกว้างญาดาได้แต่ทำหน้ามึนงง เขาใส่มาในซองขนาดโปสการ์ด เธอจึงยังไม่ดูตามที่ชายหนุ่มบอกต่อมาเป็นการบายศรีผูกข้อมือรับน้องซึ่งนั่งกันเป็นวงกลม ญาดานั่งติดกับเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นผู้ชายที่ชนเธอก่อนหน้านี้ เพราะหน้าตาเขาค่อนข้างเด่นกว่าทุกคน สาวๆ หลายคนมองตามทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่ แต่อีกฝ่ายนั่งจนเข่าของเขามาชนกับเธอ ทำเอาญาดาถึงกับสะดุ้ง พยายามถอยห่างนิดๆ ทำให้ตัวเธอเหลื่อมออกมาจากวงกลมเล็กน้อย ไม่อยากนั่งเข่าชนกับเขาชายหนุ่มมองเธออย่างแปลกใจ คิ้วเข้มขมวดก่อนจะพูดขึ้น“ขยับเข้ามาอีกสิเธอ เดี๋ยวรุ่นพี่ก็มาถึงแล้ว”“ไม่อะ เจ็บเข่า”อีกฝ่ายยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น ญาดาจึงบอกเขาไปเพราะเกรงเขาจะคิดว่าเธอรังเกียจ“เราไม่ได้รังเกียจอะไรนายนะ แต่เข่านายชนเข่าเรา มันแข็ง เราเจ็บ”
ภาพที่ญาดาถ่ายได้แปะที่บอร์ดของชมรมหนึ่งภาพอย่างที่หญิงสาวคาดไม่ถึง ส่วนภาพที่เหลือเชนทร์ให้เธอทั้งหมด โดยรุ่นน้องคนที่ได้โชว์ภาพมีทั้งหมดสิบคนรวมเธอ หนึ่งในนั้นมีวิน หนุ่มหล่อขวัญใจสาวทั่วมหาวิทยาลัยด้วยนับตั้งแต่รับน้อง ญาดามีโอกาสได้พูดคุยกับเชนทร์มากขึ้น เพราะเขาเป็นรุ่นพี่ที่ยินดีช่วยเหลือและให้คำแนะนำน้องๆ โดยในชมรมมีการจัดอบรมบ่อยครั้งจากรุ่นพี่ ซึ่งไม่ได้บังคับรุ่นน้องให้เข้าร่วมทุกคน แต่ญาดาก็ไปทุกครั้งอย่างไม่เคยพลาด ตอนนี้เธอเริ่มเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วแต่ยังไม่พอซื้อกล้อง แต่เมื่อจำเป็นต้องใช้ในการอบรมเมื่อไร เชนทร์ก็จะให้ยืมอย่างใจดีอย่างเช่นวันนี้ แถมยังมีชีตปึกหนาเพิ่มมาด้วย“นี่ชีตวิชาที่พริกบอกว่าไม่ค่อยเข้าใจ ของพี่เอง พี่โน้ตอะไรสำคัญๆ ไว้ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้”ชายหนุ่มส่งมาให้ ทำเอาญาดามองชีตกับกล้องก่อนจะมองหน้าคนให้ด้วยสายตาเหมือนเห็นพระเอกขี่ม้าขาว“แหม ใจดีกับน้องพริกกว่าทุกคนอีกแล้วไอ้เชนทร์ กลัวเขาไม่รู้หรือไงวะ”“รู้อะไร”เชนทร์ถามกลับยิ้มๆ รับคำแซว แต่ก็ไม่ได้เถียงหรือปฏิเสธ“แน่ๆๆ ทำเป็นมึน”รุ่นพี่ที่สนิทกับชายหนุ่มกระแทกไหล่ ก่อนจะเดินเข้าชมรมไป เช
“พะ...”ป้าบ!คนตัวเล็กที่กระโจนเข้ามาหาพร้อมตะปบปากเขาเสียงดังทำเอาพริษฐ์ถึงกับงง แถมเธอยังโถมตัวใส่เขาแล้วดันให้ถอยแทบไม่เป็นกระบวน แม้แข็งแรงกว่าแต่ชายหนุ่มก็ยอมถอยตามอีกฝ่ายไปจนเกือบถึงมุมบันได“อะไรเนี่ยพริก”เมื่อญาดายอมปล่อยมือออกจากปากเขาก็ถามทันที รู้สึกชาราวกับเพิ่งถูกตบปากก็ไม่ปาน“วันนี้ไม่ต้องเข้าชมรมหรอก ไปที่อื่นเถอะ”“ไม่รู้จะไปไหน เบื่อๆ ว่าจะมาแอบงีบที่นี่สักหน่อย”พริษฐ์บอกพร้อมกับเดินไปข้างหน้าแต่ญาดาฉุดแขนเขาเอาไว้พร้อมพูดรัวเร็ว“จะไม่มีที่ไปได้ยังไง นายมีผู้หญิงตั้งกี่คน ไม่ไปกับใครสักคนเลยเหรอ”คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มต้องหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ“ในนั้นมีอะไรงั้นเหรอ”เขาเดาได้ในทันทีว่าภายในชมรมต้องมีอะไรผิดปกติไป เพราะที่นั่นเป็นส่วนที่สมาชิกสามารถเข้าออกได้ตลอดตามต้องการ แต่ญาดากลับไม่อยากให้เขาเข้าไปในตอนนี้“เรื่องที่เราไม่ควรยุ่งน่ะ”เธอตัดสินใจพูดไปดวงหน้าใสที่ผมยาวสลวยถูกรวบสูงไว้ด้านหลังทั้งหมดนั้นค่อนข้างแดงเล็กน้อย มีเหงื่อผุดตรงหน้าผาก ทำให้เขาเชื่อว่าในชมรมน่าจะมีสิ่งที่ไม่ควรเห็นจริงๆพริษฐ์กำลังขยับปากจะพูดปลายหางตาก็เห็นคนสองคนก้าวออกมาจ
“หมายความว่า...ต้องมีคนออก”อนงค์นางพึมพำเสียงเบา หน้าซีดเผือด นิอรเองก็หน้าเสียไปเช่นกันเมื่อพนิดาพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรญาดาใจหาย ขอบตาร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เพิ่งอาทิตย์แรกของเดือน ทุกคนในแผนกของเธอจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกหนึ่งเดือนเท่านั้น หญิงสาวปวดใจ เธอเห็นทุกคนทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่ ทว่า ทุกอย่างกลับจบลงแบบนี้ เปลือกตาบางปิดลงสะกดความสะเทือนใจของตัวเอง“เราต้องเลือก”พนิดาเสียงเบาลงไปอีกคำพูดที่ว่าผู้บริหารก็ลำบากใจของพริษฐ์แล่นเข้ามาในหัว ญาดาเปิดตาขึ้นมองเจ้านายและสองสาวรุ่นพี่ที่ต่างก็มีสีหน้าไม่ดีอย่างเจ็บปวด เธอทำไม่ได้ และรู้ว่าทั้งสามคนก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน สีหน้าอ่อนล้าราวกับแทบไม่ได้นอน และขอบตาค่อนข้างโทรมของพนิดาบอกได้อย่างดีนั่นทำให้ใจเธอกระหวัดไปถึงเพื่อนหนุ่ม อีกฝ่ายก็ดูไม่ต่างจากพี่สาวของเขาเลยในวันที่มาหาเธอ พริษฐ์คงเครียดน่าดูคิดแล้วญาดาก็รู้สึกราวกับตนเองเป็นฝ่ายผิดที่เอาแต่ใจและตัดขาดกับเพื่อนเพียงเพราะเขาคลายเครียดด้วยบุหรี่ แต่กระนั้นเธอก็ไม่อาจรับได้หากชายหนุ่มยังสูบมัน เขาบอกว่าไม่ติดก็จริงแต่ถ้าเกิดติดขึ้นมาล่ะบุหรี่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญ
เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายสะอึกสะอื้นจนตัวโยนแต่อย่างใด ทว่าน้ำตากลับไหลออกมาราวกับเปิดก๊อกน้ำ ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลงโดยพริษฐ์ น้ำตาเธอก็ไหลพราก ญาดาไม่คิดว่าตัวเองเสียใจด้วยซ้ำ แต่เธอร้องไห้ ร้องโดยไม่ต้องบีบเค้นใด ร้องราวกับนางเอกที่ต้องร้องไห้ให้หน้าสวย ห้ามเบะปาก เพราะหน้าของเธอยังนิ่ง มีเพียงน้ำใสจากสองดวงตาที่ไหลลงอาบแก้มไม่ขาดสายญาดายังจับต้นชนปลายกับความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก เธอรู้ว่าไม่อยากเสียเพื่อนอย่างพริษฐ์ไป แต่ก็รับไม่ได้กับตัวตนของชายหนุ่มเธอเกลียดบุหรี่ มันพรากคนที่เธอรักไปในตอนเด็กญาดามีทั้งปู่ย่าตายายครบพร้อม ครอบครัวเธออยู่บ้านของปู่ก่อนจะย้ายออกมาอยู่ตึกแถวที่พ่อซื้อ ปู่รักและเอ็นดูเธอมากเพราะเป็นหลานสาวคนเดียว พี่น้องของพ่อมีแต่ลูกชาย เรียกว่าอยากได้อะไรก็ประเคนให้ทุกอย่างเธอจึงติดปู่ที่สุด‘เหม็น หนูไม่ชอบ’หนูน้อยญาดาเด็กเกินกว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็เห็นปู่กับพ่อคีบมันติดปากตลอด พอเธอจะเข้าใกล้แล้วทำหน้ายู่ทั้งสองคนจึงยอมวางและดับมันทิ้ง กระนั้นหนูน้อยก็ยังได้กลิ่นมันจากลมหายใจของพวกท่าน ต่อมาปู่ก็เสียด้วยโรคมะเร็งปอดขณะที่ญาดาอายุสิบเอ็ดปีจึงเข้าใจว่าโรคน
ค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นการประชุมค่อนข้างหนักหน่วงยืดเยื้อ และเป็นคืนวันศุกร์สุดสัปดาห์ ญาดารู้ว่าทุกอย่างจบลงตอนตีสามเพราะได้รับข้อความจากพริษฐ์ เธอได้ยินเสียงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะหลับตาลงไปไม่ค่อยสนิทนัก อีกฝ่ายบอกว่าจะงีบที่บริษัทก่อนแล้วค่อยกลับตอนเช้าซึ่ง ชายหนุ่มมีห้องผู้บริหารสามารถพักผ่อนได้ เธอจึงไม่ห่วงนัก ทว่าเอาเข้าจริงแล้วพริษฐ์เพิ่งกลับมาถึงคอนโดตอนบ่ายวันถัดมา โดยไม่ลืมส่งข้อความบอกว่าคุยกับพศินนานไปหน่อยญาดาเห็นว่าอีกฝ่ายพักผ่อนน้อยจึงไม่ถามวุ่นวาย แม้จะซื้อทั้งอาหารเช้าและกลางวันเผื่อชายหนุ่มด้วยก็ตาม คิดว่าเก็บไว้อุ่นให้ตอนเย็นน่าจะได้ แต่แล้วเย็นวันนั้นพริษฐ์ก็บอกว่าต้องกลับบ้าน จากนั้นก็ไม่มีข้อความของเขามาอีกเลยกระทั่งเช้าวันใหม่อนงค์นางกับนิอรก็เงียบ แวบหนึ่งญาดาอยากถามกุลนารี ทว่าเกรงใจเพื่อน เลขาคือคนที่ต้องเชื่อใจได้ เก็บความลับของเจ้านายเป็น รู้ว่าอะไรเหมาะสม เธอไม่อยากใช้ความสนิทสนมทำให้อีกฝ่ายลำบากใจแล้วช่วงบ่ายแก่ก็มีข้อความของพริษฐ์‘อีกครึ่งชั่วโมงวินเข้าไปหานะครับ เพิ่งกลับมาถึงคอนโด’แม้จะสะกิดใจนิดหน่อยว่าทำไมต้องรอครึ่งชั่วโมง เพราะส่วนใหญ่ชายหนุ่มจะ
นับแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริษัทก็รู้สึกได้ถึงคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่ที่ใกล้ซัดสาดเข้าฝั่ง ทั้งที่ผู้คนเดินเข้ามาทำงานในหน้าที่ของตนเองอย่างปกติ ทว่าสีหน้ากับแววตาไม่เหมือนเดิม แม้กระทั่งบรรยากาศภายในแผนกของญาดาเองก็ค่อนข้างหม่นหมองไม่สดชื่น แต่ละคนต่างรู้ว่ากำลังจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลง ทว่าต่างก็ภาวนาขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกันภาวนาด้วยความหวังเพียงน้อยนิดแผนงานของแผนกเป็นไปตามเป้าหมายบ้าง ยังรอเวลาบ้าง อย่างเช่นงานในส่วนที่ญาดาดูแล เว็บไซต์เพิ่งลองเปิดใช้งานได้เพียงเดือนเดียวยังต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับการใช้งานของผู้มาอัปนิยายและผู้อ่าน ระบบการเติมงาน การใช้เงินในการซื้อ การจ่ายเงินให้กับนักเขียน ทั้งหมดไม่สามารถเห็นผลภายในหนึ่งเดือน ทว่าก็เกิดการซื้อแล้วเช่นกัน ซึ่งต้องมีการสรุปยอดรวมแจ้งนักเขียนก่อนจ่ายเงิน งานในส่วนนี้ญาดาต้องคุยกับฝ่ายบัญชีตลอดเวลา เล่นเอาปวดหัวเหมือนกัน ช่วงเขียนเสร็จใหม่ๆ และทดลองใช้ก็ต้องประชุมกับฝ่ายบัญชีถึงวิธีการต่างๆ ด้วย ยังดีที่พนิดาปรึกษากับทางบัญชีมาก่อนล่วงหน้าแล้วบ้างว่าควรทำอย่างไร และคุยกับเธอตั้งแต่ที่ให้ภาสกรเขียนเว็บแล้วการทำงานจึงไปในทิศทางที่ทั้
“เราไม่ได้เจอพี่เขาพร้อมกันบ่อยๆ อยู่แล้ว อีกอย่างก็ไม่มีใครรู้เรื่องของเราสักหน่อย จะไปหวานให้ใครดู”“งั้นก็บอกสิ ทำให้เห็นไปเลยว่าเราคบกัน วินยุ่งน้อยลงแล้ว ไปกินข้าวกลางวันพร้อมกับพริกได้แล้ว”คนได้ยินรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันใด ร่างบางขยับตัวอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยโดยง่าย สีหน้าครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด“เอาไว้ก่อนดีกว่า เรื่องของเรามันไม่ปกติเหมือนคู่อื่น”“แต่เราก็คบกันอยู่จริงๆ นี่”“พริกว่ามันยุ่งยาก”พริษฐ์ไม่เห็นถึงความยุ่งยากที่อีกฝ่ายบอก อีกอย่างเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องนั่งอธิบายความสัมพันธ์ทีละขั้นตอนกับใครที่ไหน แค่ทั้งคู่เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน เช่นกินข้าวกลางวันก็สามารถบอกทุกอย่างได้ ถึงตอนนั้นหากพี่ชายพี่สาวของเขา หรือคนอื่นสงสัยจะง่ายกว่าในการพูดว่าทั้งคู่คบหากัน เพราะอย่างไรทุกคนก็รู้ว่าเขากับเธอรู้จักกันอยู่แล้วส่วนเชนทร์เองก็จะเข้าใจว่าเขากับเธอพัฒนาความสัมพันธ์ เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง“คือ...พริกคิดว่าถ้ามีเรื่องของเรา คุณพศินกับคุณวุ้นอาจจะไม่สบายใจก็ได้นะ เพราะจะให้มองในแง่ดีทุกคนก็คงไม่ได้ ผู้บริหารกับพนักงาน ยังไงก็มีเรื่องให้เมาท์”เธอคิดหาเหตุผลมาอธิบายอย่างเต็มที่
วันศุกร์ในสามสัปดาห์ถัดมาญาดาก็ได้ไปกินข้าวกลางวันร่วมกับ พริษฐ์โดยที่เชนทร์เป็นคนนัด เพราะชายหนุ่มทั้งสองทำงานด้วยกัน เชนทร์จึงอยากรวมตัว หากก็มีนิอรร่วมวงด้วย“วินเป็นน้องชายคุณพศิน นี่เขาก็มาเป็นผู้บริหารเลยนะ พี่นี่ทำตัวไม่ถูกเลย ไอ้เรามันหัวหน้าแผนกเล็กๆ”เชนทร์พูดขำๆ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟนิอรเองก็เคยเจอน้องชายของพนิดาแล้ว เพราะชายหนุ่มมาดูเรื่องออกแบบเว็บให้บ่อยครั้ง เพื่อนสาวสามคน พนิดา อนงค์นางและนิอรคุยปรึกษาอัปเดตความคืบหน้ากันทุกวันจึงรู้ความเคลื่อนของงานแต่ละส่วนทั้งหมด“เล็กที่ไหน ผมเห็นเดินไปทางไหนใครก็ยกมือไหว้พี่เชนทร์”“อยู่มาจะสิบปีแล้ว พี่มันของดึกดำบรรพ์”หนุ่มรุ่นพี่ยังปล่อยมุกไม่จริงจังนัก ทุกคนในโต๊ะจึงยิ้มไปตามๆ กัน ระหว่างพูดคุยพริษฐ์เองก็ลอบสังเกตสีหน้าของญาดาไปด้วยแต่ไม่มากจนเกินไป เกรงว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าเขาจับผิด หากหญิงสาวยิ้มแย้มและคุยกับนิอรเสียมากกว่าจะคุยกับเชนทร์และเขา“สนิทกันดีจังเลยนะคะ เชนทร์กับรุ่นน้อง รู้ไหมคะคุณพริษฐ์ว่าตอนพริกเข้ามาทำงานใหม่ๆ ทุกคนในแผนกคิดว่าเชนทร์คบกับพริกทั้งนั้นเลย มารับไปกินข้าวตอนกลางวันทุกวันเชียว”นิอรเอ่ยขึ้นอย่างต้อ
“ผมว่าโอเคดีแล้วนะครับ”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งพิจารณางานของเธอในกระดาษ เปิดสามแผ่นกลับไปกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง‘ก็แหงล่ะ เธอแก้ตามที่เขาแนะทั้งหมดนี่นา’ญาดาเป็นคนทำงานที่ค่อนข้างเปิดใจ เธอพร้อมออกไอเดียและรับฟังไอเดียของคนอื่น หญิงสาวคิดว่าหากทำตามคำแนะนำหรือเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ก็คือการพัฒนาตัวเอง เพราะหากปิดกั้นไม่ลองทำก็ไม่รู้ว่าตนเองทำได้หรือไม่“อืม พี่ก็ชอบนะจ๊ะ พริกเข้าใจคอนเซปต์ของสำนักพิมพ์เราดีอยู่แล้ว รู้ว่าอะไรเหมาะกับเว็บเรา เป็นสไตล์ของเรา ขั้นตอนก็ดูไม่ซับซ้อนด้วย ไม่ยุ่งยาก”พนิดาพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง เห็นชัดว่าเจ้านายเธอพอใจอย่างมาก นั่นทำให้คนที่ช่วยดูหันมาแอบยักคิ้วให้เธอ ญาดาจึงกัดปากส่งสายตาดุกลับไปให้ ทว่าชายหนุ่มยิ้มกว้างรับอย่างไม่อนาทร“พริกให้ซันเขียนได้เลยนะจ๊ะ ยังไงพี่คงต้องกวนวินอีกหลังจากเว็บเสร็จ”ประโยคแรกพูดกับเธอญาดาจึงรับคำ ส่วนประโยคหลังหันไปบอกน้องชาย“ยินดีครับพี่”“วินเขามาดูเฟอร์นิเจอร์น่ะ ตอนนี้ก็งานหนักเลย ต้องปรับอะไรตั้งหลายอย่าง คุยกับพี่วี ประชุมกับผู้บริหาร กับฝ่ายต่างๆ ทุกวัน หัวหมุนเลยล่ะ”คนเป็นพี่สาวพูดแทนน้องชาย“นี่ถ้าคุณพ่อไม่เรียก
โทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ญาดาเหลือบมองเบอร์เห็นว่าเป็นพนิดาจึงรับด้วยเสียงสุภาพ“ค่ะคุณวุ้น”“พริก เดี๋ยวอีกสักครึ่งชั่วโมง เอาตัวหน้าเว็บที่พริกออกแบบเข้าไปรอในห้องพี่นะจ๊ะ เดี๋ยวพี่เข้าไป”ญาดาทำงานออกแบบของตนเองเสร็จในวันอังคารช่วงเช้าจึงแจ้งกับเจ้านายของตนไป เมื่อกลับเข้ามาทำงานอื่นในตอนบ่ายอีกฝ่ายก็โทรเข้ามาหา เพราะพนิดาบอกไว้แล้วว่าจะดูตอนบ่าย“ค่ะ”หลังรับคำสั่งหญิงสาวก็ปรินต์หน้าเว็บสองชุด เพื่อให้อีกฝ่ายสะดวกในการดูและของเธอเพื่อจดแก้ไข“พี่พริกหน้าเรื่องใหม่ได้สามสิบยกค่ะ”นัชชาเดินมาบอกเธอที่โต๊ะ จำนวนหน้าหนังสือที่สามารถตีพิมพ์ได้นั้นต้องหารด้วยสิบหกลงตัว ซึ่งหมายถึงการพับกระดาษแผ่นใหญ่ที่เรียกว่า ‘ยก’ ได้จำนวนสิบหกหน้ายก โดยขนาดของหนังสือนิยายจะเป็นสิบหกหน้ายกพิเศษ บางครั้งอาจใช้แปดครึ่งหนึ่งของสิบหกในการหารก็ได้เช่นกันญาดากำลังเย็บกระดาษแยกชุดแบบเว็บไซต์อยู่พยักหน้ารับแล้วบอก“นิ้งส่งไฟล์พีดีเอฟเข้าเมล์พี่อนงค์เลยนะ เดี๋ยวพี่แจ้งพี่อนงค์ให้”ญาดาไม่ขอดูซ้ำเพราะนัชชาส่งการจัดวางกับกราฟิกภายในเล่มส่วนแรกให้ดูแล้ว ที่เหลือก็รอแก้ไขตามที่ฝ่ายกองบรรณาธิการตรวจพิสูจน์อักษร
“งานไปถึงไหนแล้ว พริกไปทำต่อก็ได้นะ ในนี้วินจัดการเอง”“ได้แบบร่างแล้ว เริ่มจัดวางในคอมพ์อยู่”หญิงสาวตอบแล้วกำลังจะเลี่ยงไป ทว่าชายหนุ่มเรียกเอาไว้ก่อน“เดี๋ยวพริก”ชายหนุ่มหันมามองเธอแล้วยิ้มแห้ง“วินหุงข้าวไม่เป็น”ใบหน้าขาวหล่อเหลากับดวงตาคู่คมที่ราวกำลังส่งสายตาอ้อนให้ช่วยทำให้ญาดายิ้มขำ ก่อนจะเข้าไปช่วยจัดการหุงข้าวให้พริษฐ์เหลือบมองคนร่างบางขณะที่เขาเริ่มล้างผัก รู้สึกดีอย่างไรไม่รู้ที่เห็นคนตัวเล็กหยิบนั่นจับนี่อยู่ในครัวเดียวกันกับเขา ความจริงเขาพอใจในทุกวันที่มากินข้าวเย็นที่นี่และมีญาดานั่งเป็นเพื่อน“เรานี่เข้ากันได้ดีนะ วินทำกับข้าวได้ พริกก็หุงข้าวได้”“กับข้าวพริกก็ทำได้”ญาดาแย้งขึ้น ไม่ทันคิดลึกซึ้งในสิ่งที่ชายหนุ่มพูด แล้วก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเหมือนท้าทาย“งั้นวันอื่นแสดงฝีมือให้ชิมบ้างสิ”“วันนี้เลยก็ได้”คนที่เพิ่งกดหม้อข้าวเริ่มหุงหันมาบอกเสียงมั่นใจ“ไม่ยุ่งเหรอ”พริษฐ์หันมาถามอย่างไม่คาดคิด ญาดาจึงยักไหล่ ปากอิ่มยื่นนิดๆ“นั่งหน้าคอมพ์หลายชั่วโมงแล้ว เบื่อน่ะ”ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะผายมือเชื้อเชิญไปทางของสดที่ยังไม่ได้แบ่งเข้าตู้เย็นอย่างยินดี“งั้นเชิญครับ วินม