บทนำ
จุดเริ่มต้น 25 ปีก่อน “ไม่ได้! ไม่ว่ายังไงทั้งสองก็จะรักกันไม่ได้” เสียงกร้าวดุดันดังขึ้น ภายในห้องโถงใหญ่ของบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ บ้านสีขาว มีรั้วรอบขอบชิด มีสนามหญ้าและสระว่ายน้ำภายในรั้วบ้าน บ่งบอกว่าเป็นบ้านที่มีฐานะค่อนข้างดี และต้องการความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังกร้าวดุดันนั้นมาจากชายวัยเกือบชราอายุราวๆ 50ปี ผมสั้นเกรียนทรงข้าราชการนายตำรวจผู้ใกล้เกษียณอย่างเขา ‘ชัยยศ’ ผมดอกสีเลาที่บ่งบอกช่วงวัย ใบหน้าเหี่ยวเฉาตามวัย เขาพูดด้วยสีหน้าโกรธ และตะโกนคัดค้านออกมา เมื่อลูกสาวคนเดียวของบ้านอย่าง ‘วีณา’ เดินเข้ามาสารภาพกับเขาตรงๆ ว่าเธอมีความรัก เธอมีคนรักและมีแฟน เขาจะไม่บังคับหรือกีดกันเธอเลย ถ้าหากคนรักของเธอ ไม่ใช่...มาเฟีย เขาเป็นตำรวจที่ขึ้นชื่อ มีชื่อเสียงด้านความซื่อตรงและรักความยุติธรรม รักความถูกต้อง จึงไม่อาจจะทำใจยอมรับมาเฟีย พวกทำธุรกิจสีดำและสีเทาได้ลง “แต่พ่อคะ พวกเรารักกัน” วีณาแย้งผู้เป็นพ่อ เธอตัดสินใจบอกเรื่องความรักของเขาและเธอ เธอไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไปและเธอคิดว่า พ่อของเธอรักเธอมากพอที่จะคิดว่า ถึงเขาจะเป็นมาเฟีย แต่เขาก็ดูแลลูกสาวของพ่อได้ “รักกัน แต่มันกินไม่ได้! ฉันเป็นตำรวจ แล้วลูกสาวของฉันจะแต่งงานกับมาเฟียไม่ได้” ชัยยศยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง เขาจะไม่โอนอ่อนให้ลูกสาวที่เขาตามใจมาตลอดอีกแล้ว เขายอมลูกสาวได้ทุกเรื่อง เลี้ยงดูอย่างดี ตั้งแต่ภรรยาป่วยตายไปเมื่อหลายปีก่อน มีเพียงเรื่องนี้ที่เขานั้นยอมให้ไม่ได้ “แต่ยศตำรวจพ่อ ชื่อเสียงพ่อมันก็กินไม่ได้!” วีณาโต้แย้งกลับอย่างไม่ยอม เธอพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินขึ้นชั้นบนไป ชัยยศ เดินมาหยุดที่ห้องห้องหนึ่ง ห้องที่เขาเอาไว้นั่งเล่น นั่งสมาธิ ห้องที่มีรูปและกระดูกของภรรยาสุดที่รักตั้งอยู่ เขายืนหยุดอยู่หน้ารูปภรรยา “พี่จะทำยังไงดี...บอกพี่ทีสินัดดา” เขาเอ่ยกับรูปภรรยา แม้จะไม่ได้คำตอบกลับมาแต่เขาก็อยากหาทางออกให้กับเรื่องนี้โดยที่ไม่ทำร้ายจิตใจใครเลย แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ลูกสาวคนเดียวเข้าไปพัวพันอยู่กับสังคมเหล่านั้น เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หากยังปล่อยให้ลูกสาวยังอยู่ที่นี่ เหล่ามาเฟียก็ยังคงตามไม่เลิกไปตลอด มันคงจะมีแค่วิธีนั้นเท่านั้น… ก็อก ก็อก ก๊อก ชัยยศเคาะประตูห้องของวีณา แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับ หรือเสียงอนุญาตให้เข้าห้องเหมือนเช่นที่เธอเคยทำ เพราะเวลานี้ เขารู้ดีว่าลูกสาวยังคงโกรธเขาเรื่องของเธอและคนรัก “พ่อขอเข้าไปคุยหน่อย” เขาเอ่ยบอก แต่ก็ยังไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา มีเพียงแค่เสียงปลดกลอนประตูห้อง เป็นเชิงอนุญาตให้เข้ามาเท่านั้น “พ่อรู้ว่า เรารักกัน” เขาเริ่มเรื่อง วีณายังคงนั่งฟังนิ่งบนเตียงหนา ใบหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ “แต่พ่อไม่อยากให้เราไปเสี่ยงอยู่ในสังคมแบบนั้น สังคมที่ฆ่ากันได้เป็นว่าเล่น สังคมที่ทำแต่ธุรกิจผิดกฎหมาย พ่อเป็นตำรวจ พ่อไม่อยากจับลูกเขยและลูกสาวตัวเองเวลาทำผิด หากมีหลาน แล้วพ่อกับแม่มันถูกจับหรือถูกฆ่าจะเป็นยังไง พ่อจะบอกหลานว่ายังไง” เขาอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ “เรารักกัน เขาดูแลลูกได้ ลูกมั่นใจ” วีณาเอ่ย “แต่พ่อไม่มั่นใจ!” เขาตอบกลับแบบทันที “ลูกจะไม่เป็นอะไร...” “ไปเรียนต่างประเทศซะ!” ชัยยศเอ่ยขึ้นในที่สุด วีณาตกใจในคำพูดของผู้เป็นพ่อ พ่อของเธอจะให้เธอไปจากที่นี่ ไปอยู่ที่อื่น ไปจากประเทศไทย เพียงเพราะไม่อยากให้เธอแต่งงานกับแฟนของเธอ ก่อนหน้านี้ก่อนที่เธอจะรู้จักกับ ‘ธันวา’ เธอขอไปเรียนต่างประเทศ พ่อเธอกลับปฏิเสธมาตลอด เหตุผลเพียงเพราะว่ามันไกลหูไกลตาเขา แต่ทำไมมาตอนนี้ถึงผลักไสไล่ส่งเธอได้ง่ายดายนัก “พ่อ...” วีณาน้ำตาคลอเบ้า มองผู้เป็นพ่อด้วยแววตาผิดหวัง คิดว่าพ่อไม่รักเธอ ไม่ยอมเห็นเธอมีความสุข ไม่ให้โอกาสเธอได้เลือกชีวิตรักของตัวเอง “ไปอยู่ต่างประเทศซะ ไปเรียนอยู่ที่นั่น ที่นี่มันอันตราย แล้วพ่อจะไปเยี่ยมบ่อยๆ พอพ่อเกษียณพ่อก็จะไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน” เขาตัดสินใจบอกลูก เขามีเหตุผลของเขา เธอก็มีเหตุผลของเธอ เพียงแค่เหตุผลของทั้งสองมันไม่ได้ไปในทำนองเดียวกันแค่นั้นเอง “ลูกไม่ไป!” วีณาปฏิเสธทั้งน้ำตา “ไปเรียนสัก 2-3ปี หาก2-3ปีนี้ แฟนของแกยังไม่แต่งงานใหม่ แล้วมีรักมั่นคง พ่อจะยอมให้แต่งงานกัน” เขาบอกกับวีณา “จ…จริงเหรอคะ” วีณาทำเสียงดีใจ เธอเริ่มมีความหวัง เธอมั่นใจว่าถ้าเธอบอกให้เขารอ เขารอแน่นอน “จริง! แต่มีเงื่อนไข...” “เงื่อนไขอะไรคะ” วีณาหวั่นใจในเงื่อนไขของพ่อ มันต้องเป็นเงื่อนไขที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ “แกต้องห้ามบอกเรื่องนี้กับมัน ห้ามติดต่อกัน” “ทำไมละคะ ทำไมไม่ให้บอก ไม่บอกเขาจะรู้เหรอคะ เขาก็คิดว่าหนูทิ้งเขาไปน่ะสิ” วีณาเริ่มทำหน้าเสีย “ถ้าบอกมัน มันก็ต้องรอ แต่ถ้าไม่บอก มันไม่รู้ ถ้ามันรักแกจริงๆ มันจะต้องรอของมันได้ด้วยความมั่นคงในความรักของมันเอง พ่อจะพิสูจน์มันด้วย ว่ามันรักแกจริงๆ หรือเปล่า” เขาอธิบายให้ลูกสาวฟัง ทำเอาวีณานั่งเงียบครุ่นคิดอย่างหนัก จนกระทั่งเธอตัดสินใจได้ “ก็ได้ค่ะ ลูกตกลง! ลูกมั่นใจในตัวเขา พ่อเป็นตำรวจพูดแล้วห้ามคืนคำนะ” วีณาย้ำกับผู้เป็นพ่อ “ไม่คืน! ไปเก็บข้าวของ เตรียมออกเดินทางพรุ่งนี้ พ่อจองตั๋วให้แล้ว” พูดจบเขาก็เดินออกห้องไป ชัยยศเดินออกจากห้องวีณาด้วยใบหน้าเจ็บปวด น้ำตาลูกผู้ชายอาบสองแก้ม เขาต้องตัดสินใจห่างจากลูก เพื่อความปลอดภัยของลูกสาว เขาจะไม่ยอมเสียเธอไปเหมือนแม่ของเธออีกแล้ว แม้จะต้องปวดใจและทรมาน แต่นี่มันคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว... 1 สัปดาห์ ต่อมา หลังจากที่ชัยยศส่งลูกสาวไปต่างประเทศอย่างเงียบๆ แล้ว เขาก็กลับมาจัดการทำหลุมฝังศพขึ้นมายังที่ดินว่างเปล่าที่เขาซื้อไว้ เอาไว้ฝังเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งของภรรยา และเขาก็ตั้งใจไว้ว่า หากเขาตายไป ก็จะให้เอาเถ้ามาไว้ที่นี่เช่นเดียวกัน เขาทำหลุมศพขึ้นมาหนึ่งหลุมข้างๆ กับหลุมของนัดดา ติดรูปของวีณา และชื่อของเธอไว้ มันคือหลุมฝังศพปลอม ที่เขาตั้งใจทำขึ้น เพื่อหลอกเหล่ามาเฟียว่า วีณาตายไปแล้ว ฆ่าตัวตายไปแล้ว เขาน้ำตาไหลออกมา ไม่ใช่เสียใจที่วีณาตาย แต่เขานึกเสียใจที่ต้องทำเรื่องเช่นนี้ เพราะความที่เขาไม่อยากให้ลูกสาวเขาต้องเป็นอันตรายและอาจจะตายในภายภาคหน้า สักพักมีรถคันสีดำแล่นมาจอดยังพื้นที่ใกล้เคียง ธันวาก้าวเดินลงจากรถ มีบอดี้การ์ดและลูกน้องหลายสิบคนเดินตามมา ธันวายกมือขึ้นห้าม เป็นคำสั่งว่าไม่ต้องตามเขามา เขาจะเข้าไปเพียงคนเดียว แม้ว่าจะยังไม่รู้เรื่องราวอะไร รู้แค่เพียงว่า วันนี้ชัยยศพ่อของสาวคนรักนัดเขามา เขาคิดว่าคงนัดมาคุยเรื่องวีณา และก็เป็นเรื่องวีณาจริงๆ ธันวาเดินเข้าไปใกล้ๆ ช้าๆ หัวใจแกร่งเต้นโครมคราม ความหวาดกลัวในใจ ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดแต่ก็คงไม่ทันเสียแล้ว เพราะเมื่อเขาก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างชัยยศที่สายตาทอดยาวไปยังหลุมศพเบื้องหน้า โดยไม่หันมามองเขาแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ สายตาของธันวาจดจ้องมองไปยังหลุมศพเบื้องหน้าตามสายตาชัยยศ หัวใจแทบหยุดเต้น จุกอยู่ในอก เมื่อเห็นรูปและชื่อหน้าหลุมศพนั้น “ทะ…ทำไม...ตั้งแต่เมื่อไร เพราะอะไร...” ธันวาเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ คล้ายว่าเสียงของเขาถูกพัดหายไปกับสายลม “ยัยณามาบอกฉัน...เรื่องของเธอกับยัยณา” เขาเอ่ยตอบ น้ำเสียงเรียบเบา แต่สายตายังคงจ้องไปยังหลุมศพ “ฉันปฏิเสธ! เพราะฉันคือตำรวจ...” เขาเล่าต่อ “เธอคือมาเฟีย ยัยณาคงเสียใจมาก เช้ามาก็ผูกคอตัวเองตายอยู่ในห้อง...หากฉันไม่ห้าม หากฉันยอมรับ…” ชัยยศเอ่ยพร้อมน้ำตา เขาไม่ได้ร้องไห้เพราะต้องแสดงละครให้ธันวาเห็น แต่เขาเสียใจที่ต้องโกหกแบบนี้ “ฮือออ วีณา!!” ธันวาร้องไห้โฮออกมา ชัยยศนึกสงสารผู้ชายคนนี้จับใจ นึกคิดในใจ เขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่นะที่ทำแบบนี้… หลายเดือนต่อมา ชัยยศในวัยเกษียณมาทำความสะอาดหลุมศพทั้งสอง อย่างเช่นทุกๆ วัน เขาโทรหาวีณา ลูกสาวของเขาในทันทีที่จะบอกข่าวบางอย่าง “เอ้ออ เป็นไงบ้างล่ะอยู่ที่โน่น” เขาพูดขึ้นทันทีที่ปลายสายกดรับ ‘สบายดีค่ะพ่อ พ่อทำอะไรอยู่ เกษียณแล้วนี่นา’ “พ่อก็หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย” ‘มาหาลูกได้แล้ว ว่างก็มาเลย’ วีณาอ้อน เธออยู่ที่โน่นคนเดียว รู้สึกเหงา แต่ก็อยู่ได้ “เดี๋ยวพ่อไป เอ่อ...พ่อมีเรื่องจะบอก...” ชัยยศตัดสินใจเอ่ยขึ้น เขาคิดอยู่หลายวัน จะบอกดีไหม หากบอกแล้ววีณาเผลอทำอะไรไป โดยที่เขาไม่ได้อยู่ด้วยจะทำยังไง แต่เขาคิดว่าลูกของเขาคงไม่ทำแบบนั้น เธอไม่ใช่คนอ่อนแอ หากรู้เรื่องอาจจะเปลี่ยนเป็นเกลียดชังก็ได้ ‘อะไรคะ อย่าบอกนะว่า...จะมาอยู่กับลูกแล้ว’ วีณาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ไม่ใช่ๆ พ่อจะบอกว่า ธันวา…แต่งงานแล้วนะ...” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด แล้วเงียบเสียงฟังปลายสาย ‘...’ เสียงปลายสายเงียบไป ไม่มีแม้เสียงสดใสเหมือนเช่นเมื่อสักครู่ “วีณา...” ชัยยศเอ่ยเรียกลูกสาว เขาเองก็ใจคอไม่ค่อยดี ‘เมื่อไรคะ’ เสียงหวานนิ่งเรียบถามออกมา “เมื่ออาทิตย์ก่อนกับลูกสาวมาเฟียด้วยกัน” ชัยยศบอก ‘เขาไม่ได้รักลูกจริงๆ สินะ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รอ..’ วีณาเอ่ยเสียงเบารำพึงกับตัวเอง ชัยยศรู้ดี ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่อย่างที่ลูกสาวเขาคิด จริงๆ แล้วธันวาตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่ครอบครัวเลือกให้ทั้งๆ ที่ไม่ได้รัก เขาจะไม่แต่งหากรู้ว่าวีณายังมีชีวิตอยู่ แต่ที่เขาแต่งเพราะในใจของเขา คนรักของเขาไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ชัยยศไม่สามารถบอกความจริงให้ลูกสาวเขาได้ เขามาไกลเกินกว่าจะบอกความจริงทั้งหมดแล้ว ปล่อยให้ธันวาเริ่มต้นชีวิตใหม่ และปล่อยให้ลูกสาวเขาได้เริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่เหมือนกัน และเขาก็จะปล่อยให้ความลับของเขาตายไปกับเขาด้วยเช่นกัน...เขาโดนตกหรือเธอตกสระ25 ปีต่อมา...“ค่ะคุณแม่ แฟร์ถึงสนามบินแล้ว กำลังไปโรงแรมค่ะ”‘ถึงโรงแรมแล้วบอกด้วยนะแฟร์ แม่เป็นห่วง ทำไมถึงไม่ให้แม่กลับไปด้วยนะ’ เสียงจากปลายสายพูดออกด้วยความเป็นห่วงลูกสาววีณา อยากจะกลับมาประเทศไทยด้วย เพราะลูกสาวไม่เคยกลับมาประเทศไทยคนเดียวเลยสักครั้ง เธอจึงรู้สึกเป็นห่วง แม้ว่าบ้านของเธอจะเคยอยู่ประเทศไทย แต่เธอก็ยังไม่เคยกลับมาสักครั้งหลังจากที่พ่อของเธอไปอยู่ด้วยและได้เสียชีวิตลงที่นั่น เธออยากจะกลับมาดูบ้านและที่ดินของพ่อเธอ ก็ยังไม่ได้กลับมาสักที จนตอนนี้เธอมีลูกสาวโตอายุ23 ปีแล้ว“ค่ะ คุณแม่” แฟร์รี่กดวางสายเมื่อพูดจบแฟร์รี่ (คัง ฟารีดา) หรือ คังแฟร์รี่ หญิงสาวลูกครึ่งไทย-เกาหลี วัย 23ปี หน้าตาสะสวย จมูกโด่ง ปากบางได้รูปสีชมพูระเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ผมน้ำตาลลอนยาว ผิวขาวใสอมชมพู น่ารักสดใส หุ่นเซ็กซี่ ตัวสูงตามมาตรฐานนางแบบ สวมเสื้อยืดรัดรูปสีขาว ทับไว้ข้างในกางเกงยีนส์สีซีดขายาว สวมรองเท้าส้นสูงสีขาว อวดหุ่นดีได้มาตรฐาน เพราะเธอทำอาชีพนางแบบ สาเหตุที่เธอกลับมาประเทศไทยอย่างกระทันหัน ก็เพราะเธอรับงานถ่ายแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังในประเทศไทยที่กำ
สัญญามัดมือชก“เหลือถ่ายอีกกี่ชุด” เสียงของมิวนิคดังขึ้นถามทีมงานและตากล้อง“รีบถ่ายให้เสร็จ แล้วไปพบฉันที่ห้องทำงานคุณแม่” เขาหันไปพูดกับแฟร์รี่ที่ยืนตัวเปียก ทีมงานรีบจัดการพาแฟร์รี่ไปเปลี่ยนชุดแต่งหน้าทำผมใหม่ ถ่ายชุดที่เหลือ“พี่คะ คนเมื่อกี้คือใครเหรอคะ” แฟร์รี่ถามทีมงานที่เหมือนจะเป็นนักศึกษาฝึกงานด้วยความสงสัย“คุณมิวนิคค่ะ นั่นแหละค่ะคุณมิวนิค” เสียงของเชอรี่ดังขึ้น“พี่เชอรี่..”“ใจพี่นี่ร่วงไปอยู่ตาตุ่มเลยนะ ที่อยู่ๆ คุณมิวนิคก็เดินเข้าไปช่วยน้องแฟร์รี่ ปกติเขาหวงตัวมากค่ะ ถึงคุณมิวนิคจะทรงเจ้าชู้ก็จริง แต่เขาหวงตัวมากเลยนะ” เชอรี่เริ่มเม้าส์มอยในขณะที่กำลังแต่งหน้าเป่าผมให้นางแบบสาว“หวงตัวเหรอคะ” แฟร์รี่ทวนคำพูดของเชอรี่เบาๆ จะหวงตัวได้ยังไงในเมื่อเขาดึงรั้งเธอไว้ไม่ให้ออกจากอกเขาด้วยซ้ำ“ใช่ค่ะ หวงตัว ไม่ให้ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้เท่าเหตุการณ์เมื่อกี้เลยนะคะ พี่จะเล่าอย่างวันนั้นนะ มีนางแบบโนเนมคนหนึ่ง รับงานมาถ่าย ถ่ายสักพักเริ่มอ่อยคุณมิวนิค นอกจากคุณมิวนิคจะไม่สนใจแล้ว เลิกจ้างนางแบบคนนี้ไปเลย” เชอรี่เล่ายาว“ห๊ะ! ตกงานเลยเหรอคะ แล้วนี่แฟร์จะตกงานไหมคะเนี่ย” แฟร์รี่รู้สึก
หลงตัวเองแฟร์รี่พร้อมกระเป๋าเดินทางหยุดยืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลังหนึ่ง ที่สภาพเบื้องหน้าเสื่อมทรุดโทรมลงไปมาก ตัวบ้านพุพัง ไม่เหลือเค้าโครงที่จะสามารถอาศัยอยู่ได้เลย“เห้อออ บ้านคุณตาก็อยู่ไม่ได้เลย ต้องไปอยู่โรงแรมก่อนแล้วช่วงนี้” แฟร์รี่คิดในใจแล้วก็ลากกระเป๋าเดินออกไปเรียกรถเพื่อไปโรงแรมครืดดด ครืดดด“ฮัลโหลค่ะ คุณแม่” แฟร์รี่ รับสายโทรเข้าของผู้เป็นแม่ เมื่อเธอเข้าพักในโรงแรมใกล้ๆ บริษัท MN jelwelly ที่ทำงานแห่งใหม่ที่เธอหลงกลถูกหลอกให้เซ็นสัญญา แต่เธอก็โทษใครไม่ได้ เพราะผิดที่เธอเอง ที่ไม่อ่านให้ดีก่อนที่จะเซ็นลงไป‘กลับวันไหนลูกสาว’ วีณาถามขึ้น แฟร์รี่อ้ำอึ้งไม่รู้จะต้องตอบแบบไหนดี“เอ่ออ..”‘มีอะไรหรือเปล่า บอกแม่ได้นะ เรามีกันอยู่แค่นี้ ห้ามมีความลับต่อกัน’ วีณาพูดออกมา เธอรู้ว่าลูกสาวของเธอเป็นคนอย่างไร“แฟร์เซ็นสัญญาทำงานให้บริษัทไปแล้วค่ะ” แฟร์รี่เริ่มบอก แต่ยังคงบอกไม่ทั้งหมด‘ดีเลย ลูกชอบใช่ไหม โอเคหรือเปล่า ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม’ วีณารัวคำถาม เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ลูกสาวไม่กล้าบอก“แฟร์โอเค แต่ระยะเวลาในสัญญาปีหนึ่งเลยค่ะ แฟร์ต้องอยู่ไทยอีก1ปี” ในที่สุดแฟร์รี่ก็ต
คนขี้หวง“น้องแฟร์รี่มาแล้ววว” เสียงของเชอรี่ ดังขึ้นเมื่อแฟร์รี่ก้าวเข้ามาในห้องแต่งตัว เพื่อเตรียมแต่งหน้าทำผมใส่ชุดถ่ายงานเซ็ตสุดท้าย“ขอตารางงานวันนี้หน่อยค่ะพี่เชอรี่” แฟร์รี่เอ่ยขึ้น ก่อนจะนั่งลงเพื่อรอช่างแต่งหน้า“ตารางวันนี้ เป็นเซ็ตสุดท้ายของน้องแฟร์รี่นะคะ คุณมิวนิคแจ้งมา เราไปทำอะไรให้คุณมิวนิคไม่พอใจหรือเปล่า ทำไมสั่งพักงานไม่ให้ถ่ายชุดอื่นๆ” เชอรี่ถามด้วยความสงสัย“ไม่ได้ทำอะไรนะพี่ ตั้งแต่วันนั้นที่ตกสระ แล้วชุดอื่นเป็นแบบไหนคะ น่ารักไหม แฟร์เสียดายจัง” คนตัวเล็กรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายชุดของบริษัทนี้ เพราะเธอรับงานมาก็เพราะชอบสไตล์การออกแบบ“ที่เหลือที่คุณมิวนิคไม่ให้ถ่ายก็คือชุดว่ายน้ำวาบหวิว ที่ไม่ใช่แบบน่ารักๆ เหมือนวันนั้น” เชอรี่อธิบาย แล้วมองมาที่แฟร์รี่ ดวงตาของเชอรี่เริ่มเปล่งประกาย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางค์เริ่มอมยิ้มเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้“พี่มองหน้าแฟร์แล้วยิ้มทำไม” แฟร์รี่ถาม เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาเริ่มยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัย“พี่ว่าคุณมิวนิคต้องหวงน้องแฟร์แน่ๆ เพราะชุดที่เหลือเป็นชุดเซ็กซี่นุ่งน้อยห่มน้อยทั้งนั้นเลย” เชอรี่พูดพร้อมกับเอามือปิดปากหั
พาไปบ้าน“ตามิว!” เสียงของรัญดาเรียกสติ ให้มิวนิคกลับมา เมื่อเขากำลังมองไปทางห้องแต่งตัวของนางแบบ เพื่อรอคนตัวเล็กที่เขาสั่งให้ไปเปลี่ยนชุดออกมา เขาจะพาไปดูบ้านที่จะให้เธอเข้าพักมิวนิคดึงสติตัวเองกลับมาตามเสียงเรียก พบว่าเป็นแม่ของเขา ใบหน้านิ่งเฉย สายตาคมดุมองไปที่คนเป็นแม่“ผมไม่ชอบการกระทำของแม่ที่ขัดใจผม” เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่แม่ของเขาจะได้พูดอะไร“แม่ทำอะไร แม่ไม่ได้ทำอะไรน้องกี้เลย แม่แค่อยากให้น้องสวยๆ ใส่ชุดแม่แล้วสวยมากแกก็เห็น” รัญดาอธิบายให้ลูกฟัง“กี้สวย ใส่แล้วสวย...” มิวนิคพูดทวนคำพูดของแม่“ใช่ไหม เห็นไหมล่ะ น้องสวยแล้วแกจะมาโมโหอะไร ไม่ชอบเหรอที่คนอื่นมองน้องสวย” รัญดาเข้าใจผิดเข้าไปอีก“จะใส่สวยหรือไม่สวยก็ไม่เกี่ยวกับผม ที่ผมไม่โอเค ก็เพราะผมสั่งนางแบบของผมไว้แล้วว่าห้ามใส่ชุดนี้ แต่แม่ขัดคำสั่งของผม” มิวนิคบอกออกไปตรงๆ แม่ของเขาจะได้หายเข้าใจผิด คิดไปเองเสียทีว่า เขาหวง เขาชอบมาร์กี้คนที่แม่หามาให้ สำหรับมาร์กี้เขารู้สึกได้แค่น้องสาวเท่านั้น“อ้าว แล้วที่แกโมโห หงุดหงิดให้แม่เมื่อกี้ มันเพราะอะไร เพราะใครถ้าไม่ใช่หนูกี้” รัญดาเอ่ยถาม“นางแบบของผม!” เขาตอบห้วนๆ แล้วเดิ
มาเฟียเขิน TW Club สาวสวยหุ่นดี ในชุดมินิเดรสรัดรูป สีขาวมุกเลื่อมทำให้ผิวขาวอมชมพูดูมีออร่ามากขึ้น ผมยาวดัดลอนสีน้ำตาลอ่อนเหมือนสาวเกาหลี ดวงตากลมใสสีน้ำตาลอ่อนระยิบระยับเมื่อต้องแสงไฟ สวมส้นสูงสีขาว เดินเข้ามาในคลับคนเดียว ความสวยสไตล์เกาหลีเรียกสายตาเกือบทุกคู่จ้องมาที่เธอเป็นจุดเดียว แฟร์รี่เดินไปนั่งที่เก้าอี้บาร์ ที่มีบาร์เทนเดอร์คอยชงเหล้าเสิร์ฟอยู่ “วิสกี้...” แฟร์รี่สั่งสั้นๆ “เอ่อ...ขอผมนั่งด้วยได้ไหมครับ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลังเธอ ทำให้เธอหันไปตามเสียง แต่ไม่ได้ตอบกลับอะไรออกไป ชายหนุ่มไม่รอให้เธออนุญาต เขานั่งบนเก้าอี้ข้างเธออย่างถือวิสาสะ “ไม่ทราบว่าคุณคนสวยชื่ออะไรครับ” เขาเอ่ยถามในขณะที่แฟร์รี่ยกวิสกี้ขึ้นดื่ม “เอ่อ แฟร์รี่ค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียบเรียบ แล้วหันกลับไปสนใจวิสกี้ต่อ “แฟร์รี่ ที่แปลว่า นางฟ้าเหรอครับ ชื่อนางฟ้า เหมาะกับหน้าตามากเลย” ชายหนุ่มยังคงพยายามชวนคุยต่อ “เอ่อ คุณมาคนเดียวเหรอคะ” แฟร์รี่ถาม ไม่ใช่ว่าเธอเกิดสนใจคนที่มานั่งด้วย แต่เธอถามเพราะอยากรู้ เผื่อว่าถ้ามีคนที่เขามาด้วย จะได้ให้เขารีบกลับไปหาคนนั้นเสียทีดีกว่าที่จะมานั่งถ
จูบแรก “พี่แฟร์คะ เราไปดื่มกันต่อเถอะ ปล่อยหนุ่มๆ ไว้นี่แหละ เราไปฉลองที่เราได้รู้จักกันสองคนตามประสาสาวๆ ดีกว่า” มูนเอ่ยชวนแฟร์รี่ “ก็ดีนะ เมื่อกี้พี่ยังไม่ทันได้ดื่มอะไรเลย” แฟร์รี่บอกแล้วลุกขึ้นยื่นมือไปจูงน้องสาวตัวเล็กเตรียมเดินออกไป “อย่าพากันดื้อ” เสียงของมิวนิคดังขึ้นตามหลังสาวๆ “รู้แล้วค่าา” มูนลากเสียงยาวตอบกลับเหมือนประชดเพื่อนพี่ชายที่ดุเบาๆ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ห่วงเธอ แต่ห่วงแฟร์รี่ผู้หญิงข้างๆ เธอ แฟร์รี่และมูนลงมานั่งฟังเพลง ดื่มเหล้าเบาๆ ที่โต๊ะชั้นล่างโซนข้างเวที ซึ่งเป็นที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก ดื่มเริ่มได้ที่แฟร์รี่เริ่มหน้าแดง ก็มีชายหนุ่มโต๊ะข้างๆ เข้ามาคุยด้วย “สวัสดีครับ ขอชนแก้วได้ไหมเอ่ย” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นด้านหลังโต๊ะของสองสาว แฟร์รี่หันไปมองเห็นเป็นชายแปลกหน้าที่หน้าตาพอใช้ได้ แฟร์รี่ก้มลงมองแก้วเหล้าที่ยื่นมาตรงหน้าของแฟร์รี่ หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรยกแก้วตัวเองชนนิดหน่อยแล้วดื่ม ไม่ใช่ครั้งเดียวแต่ชายหนุ่มยื่นมาบ่อย จนทั้งสองสาวรู้สึกเริ่มมึนขึ้นมา “ชื่ออะไรกันบ้างครับเนี่ย สาวๆ” ชายหนุ่มคนหนึ่งในโต๊ะข้างๆ เริ่มบทสนทนา “ชื่อมูนค่ะ ส่ว
พี่ขอนะ(nc) “คุณตามแฟร์ขึ้นมาทำไมคะ” แฟร์รี่หันไปแว้ดใส่ชายหนุ่มที่เดินตามขึ้นบันไดมาชั้นสอง “ตามเธอที่ไหนกัน ฉันก็จะเข้าห้องของฉัน” เขาไม่พูดเปล่า ชี้นิ้วไปทางประตูห้องด้านหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของเธอ “คุณคิดอะไรกับฉันหรือเปล่าเนี่ย รู้สึกเหมือนคุณจะตามฉันตลอดเลย” แฟร์รี่ถามเขา เดินเซถลาสะดุดกับพื้นต่างระดับหน้าประตูห้องนอน จนเกือบจะล้มลงแต่วงแขนแกร่งของเขาคว้ารอบเอวเธอไว้ได้ทันเสียก่อน “เธอนี่ก็ยังหลงตัวเอง คิดไปเองได้ตลอดเลยนะ” เขาพูดขึ้นในขณะที่ยังโอบรอบเอวเขาไว้ “เอ๊ะ! คุณนี่!” แฟร์รี่หันมาตั้งใจจะขอบคุณเขา แต่กลับต้องทำน้ำเสียงหงุดหงิดใส่เขาแทน ที่เขาต่อว่าเธอ “หรือไม่จริง” มิวนิคยังถามกลับ “ไม่จริงค่ะ ปล่อย!” แฟร์รี่สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเขา เขาจึงจงใจปล่อยวงแขนทำให้ร่างบางร่วงพื้นจนก้นจ้ำเบ้า “โอ้ย! เจ็บ~” คนตัวเล็กบ่น พร้อมกับส่งสายตาค้อนๆ มาทางเขาที่ยืนยิ้มกริ่มแกล้งเธอได้สำเร็จ “เมาแล้วยังจะอวดเก่งอีก แสดงว่ายังเมาไม่มากสินะ” เขาบอก พร้อมกับเดินเข้าห้องของตัวเองไป ปล่อยเธอทิ้งไว้ตรงนั้นให้คนเก่งลุกเดินเข้าห้องตัวเองไปเอง “คนบ้า” แฟร์รี่บ่นออดแ
ต้อนรับเข้าสู่ สมาคมพ่อบ้าน หลังจากที่วินเซ่และแบล็คเกอร์ได้แต่งงานกันไปแล้ว 3 เดือน “ห้ามใส่ชุดที่โป๊เกินไป ชุดว่ายน้ำก็ห้ามใส่ บิกินี่ ทูพีช วันพีช อะไรก็ห้ามทั้งนั้นเข้าใจไหม” เสียงของมิวนิคสั่งกำชับแฟนสาว น้ำเสียงจริงจัง สั่งไว้เมื่อแฟร์รี่กำลังจะลงจากรถไปถ่ายแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าของรัญดาในวันนี้ ความจริงแล้ววันนี้ไม่มีถ่ายงาน แต่เขาขอร้องให้แม่บอกแฟร์รี่ว่าให้มาถ่ายงานให้แม่หน่อย เป็นตรีมชุดแต่งงานแบบริมทะเลที่แม่ออกแบบ เพราะเขาตั้งใจจะขอแฟร์รี่แต่งงาน “แต่...แบรนด์ของคุณน้าเป็นชุดว่ายน้ำนะคะ” แฟร์รี่ตอบเขา ชุดของรัญดาส่วนมากเป็นชุดว่ายน้ำ และที่แฟร์รี่ถ่ายๆ มาก็ชุดว่ายน้ำมีทั้งแบบน่ารัก ทั้งเซ็กซี่ และทั้งวาบหวิว “เออจริงว่ะ ไม่รู้แหละ เลือกชุดที่ไม่โป๊ เดี๋ยวเฮียบอกเชอรี่ไว้อีกที ว่าถ้าโป๊ห้ามให้หนูใส่” มิวนิคบอก เขากดต่อสายหาเชอรี่ ที่ตอนนี้มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับแฟร์รี่แล้ว สั่งงานเรียบร้อยเขาก็ส่งคนตัวเล็กขึ้นไปชั้นบนของบริษัทแม่เขา “โอเคค่ะ แฟร์ไปทำงานก่อนนะ” “เสร็จแล้วรออยู่นี่กับแม่ เดี๋ยวเฮียมารับ ห้ามกลับก่อน ห้ามหนีเที่ยวที่ไหนเด็ดขาด” เขากำชับ “
ของเขาคนเดียว คนเดียวเท่านั้น มิวนิคอาบน้ำแต่งตัว ด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำ วันนี้เขาตั้งใจจะไปเช็คของที่โกดัง เพื่่อรับสินค้าล็อตใหม่ที่เพิ่งส่งมาถึงกับพวกมังกรและซันที่ไปรออยู่ที่โกดังแล้ว ก่อนออกจากห้องเขาหันไปหาคนตัวเล็กที่นอนหลับใหลอยู่บนที่นอนนุ่ม จึงอดใจไม่ไหว เดินไปก้มกดริมฝีปากหนาลงบนหน้าผากนวล ไล่ลงจมูก เปลือกตาบางและจุมพิตที่ปากบางอมชมพูอ่อนอย่างนุ่มนวล แต่แม้จะนุ่มนวลแค่ไหนการกระทำนั้นก็ยังปลุกให้หญิงสาวบนที่นอนตื่นได้อยู่ดี “อื้อออ” แฟร์รี่งัวเงียลืมตาตื่นมองใบหน้าคมที่กำลังก้มมาใกล้ใบหน้าหวาน “ตื่นแล้วเหรอ ไอดื้อ” “ตื่นแล้ว เฮียจะไปไหนอ่ะ” คนตัวเล็กถามชายหนุ่ม ก่อนจะยกแขนเรียวขึ้นโอบรอบคอหนาไว้ “เฮียจะไปเช็คของที่โกดังกับพวกไอ้ซันกับไอ้มังกร” “จะกลับตอนไหน” “ยังไม่รู้เลย หนูไม่ต้องรอนะ สั่งอะไรมาทานเลย เฮียอาจจะกลับดึกหน่อย” ชายหนุ่มบอกเธอ แกมสั่งไว้ “ได้ค่ะ รีบกลับมานะ แฟร์เหงา” “ห้ามหนีเที่ยวรู้ไหม ห้ามดื้อ บ้านแม่ บริษัทแม่ก็ไม่ต้องไป รอเฮียกลับมาก่อนค่อยไป” เขาสั่ง “ถ้าพี่เชอรี่มารับก็ไปไม่ได้เหรอ” “ไม่ได้ อันตราย รอไปพร้
ขอเอาแลกเบอร์โทร มิวนิคพาแฟร์รี่มายืนหยุดที่หน้าตึกแห่งหนึ่งใกล้กับบริษัทของเขา ตึกหรูหรา10 ชั้นกลางเมือง ภายในตึกเงียบเหมือนกับว่าไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ มีเพียงลูกน้องของมิวนิคหลายสิบคนเท่านั้นที่ยืนอยู่โดยรอบ “บริษัทของเฮียเหรอคะ ทำไมเงียบจัง ไม่เห็นมีพนักงานเลย” แฟร์รี่เอ่ยถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่บริษัท ที่นี่เป็นบ้าน” เขาตอบ พร้อมกับดันหญิงสาวให้เดินเข้าไปด้านใน “บ้านเหรอคะ บ้านใคร แล้วเฮียพาแฟร์มาที่นี่ทำไม” “บ้านของเรา เฮียซื้อไว้ให้หนูอยู่ จะได้อยู่ใกล้ๆ บริษัท” “ค่ะ แล้วอยู่ชั้นไหนคะ เฮียซื้อห้องชั้นไหน ไม่เห็นจะมีคนอยู่เลย” แฟร์รี่ถามพร้อมกับมองเข้าไปด้านในตึก “ทุกชั้น!” มิวนิคพูดหน้าตาย “ห๊ะ? เมื่อกี้เฮียว่าอะไรนะ” “ก็ทุกชั้น บ้านเราอ่ะทุกชั้น” “อย่าบอกนะ ว่าเฮียซื้อทั้งตึกเลยอ่ะ” “ตามนั้นแหละ” มิวนิคพูดแบบไม่รู้สีกรู้สาเดือดร้อนอะไร แล้วเดินนำเข้าตึกไปสำรวจความเรียบร้อย “เฮียบ้าไปแล้วใช่ไหมเนี่ย ซื้อทั้งตึก เงินเยอะเหรอคะ” ร่างบางวิ่งตามพร้อมกับพูดบ่นอุบอิบไปด้วย “อือ เงินเยอะ เหลือใช้ อยู่กับเฮียช่วยเฮียใช้ด้วยนะ” ชายหนุ่มหันมาพูดและส่งยิ้มเท่ๆ ให้กับ
แต่งงานกับเฮียไหม? รถสีขาวปรอทแล่นออกจากโกดัง พุ่งทะยานไปบนถนนโล่งด้วยความเร็ว ภายในรถเงียบสนิทไม่มีแม้แต่ใครพูดสักคำ แฟร์รี่เงียบเพราะยังรู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มิวนิคเงียบเพราะเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง หลายครั้งหลายหนที่แฟร์รี่อยู่ห่างเขาแล้วเขาไม่สามารถดูแลเธอได้ ขนาดเขาให้เธออยู่บ้านอย่างเดียวก็ยังไม่วายที่จะโดนลอบทำร้าย เขาจะทำอย่างไรให้เธออยู่กับเขาตลอดเวลา และจะทำยังไงให้เธอได้ปลอดภัย “แฟร์...” มิวนิคเรียกชื่อคนข้างๆ เบาๆ “คะ?” “แต่งงานกันไหม?” มิวนิคถามเอาดื้อๆ ทำเอาคนฟังและคนได้ยินอย่างองศาที่ขับรถอยู่ชะงักกึกไปพักหนึ่ง เจ้านายเขาจะสุดโต่งอะไรขนาดนั้น ขอแต่งงานกับสาวง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ “อะ...เอ่อ” แฟร์รี่ตกใจเล็กน้อย อ้ำๆ อึ้งๆ แบบ งงๆ กับสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่เคยถูกขอแต่งงาน และการขอแต่งงานที่เธอเคยเห็น เคยรู้จักมันไม่เหมือนแบบนี้ เขาต้องขอแบบโรแมนติกไม่ใช่หรือ เลยทำให้เธอไม่รู้จะต้องตอบเขายังไง “ไม่แต่งกับเฮียเหรอ” มิวนิคถามย้ำ เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ยอมตอบ องศาลอบมองทั้งคู่ผ่านกระจกแวบหนึ่ง ‘จะตอบได้ยังไงก่อนครับเจ้านาย ใครเขาสอนให้ถามผู้หญิงแบบน
บทลงโทษของเพื่อนใหม่ “ใช่ ฉันเอง” รัญดาเปลี่ยนสรรพนามที่เคยใช้แทนตัวเธอกับหญิงสาวตรงหน้าที่เธอเคยเอ็นดูเหมือนลูก เหมือนหลานคนหนึ่ง แต่มาวันนี้เด็กคนนี้กลับกำลังจะทำร้ายคนในครอบครัวเธอ “คุณน้ามาได้ยังไง...” มาร์กี้ยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่ารัญดาจะอยู่และมาที่นี่ “ทำไม? แปลกใจมากเหรอที่เห็นฉันอยู่ที่นี่” “กี้...” มาร์กี้ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดีให้ฟังขึ้น จะบอกว่ามาช่วยแฟร์รี่ก็คงไม่ทัน สถานการณ์ที่แฟร์รี่ถูกจับมัดและมีเธอกับลูกน้องยืนล้อมเต็มไปหมดมันบ่งบอกว่าเธอคือ คนสั่งการ “ไม่ต้องหาคำแก้ตัวหรอก เพราะฉันได้ยินหมดแล้ว ตอนแรกก็กะว่าจะรอตามิวมาจัดการเอง แต่ได้ยินเสียงปืนเมื่อกี้ กับรอยเลือดที่ปากน้องแฟร์ ฉันคงไม่ต้องถามอะไรแล้วมั้งว่าใครเป็นคนทำ ฉันคงต้องถามว่า เธออยากจะตายแบบไหน ที่กล้ามาทำร้ายคนในครอบครัวฉัน!” รัญดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก ทำเอาคนฟังขนลุกไปทั่วทั้งตัว “คนในครอบครัว?” มาร์กี้ถามออกมาเบาๆ เหมือนยังไม่เชื่อหูตัวเอง “ก็คงไม่ต้องบอกว่าเป็นอะไรกับลูกชายฉัน ถึงเข้ามาเป็นคนในครอบครัวฉันได้!” “ไม่! ไม่จริงอ่ะ ไหนค
ไม่เลือกเธอ “อะไรนะคะคุณน้า คุณน้าเซ็นสัญญา กับ ยัยฟะ...เอ้ย นางแบบชื่อแฟร์รี่ ให้เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ RD เหรอคะ” เสียงแหลมเล็กของมาร์กี้ถามรัญดา เมื่อรู้เรื่องว่ารัญดาเปลี่ยนนางแบบเซ็นสัญญาพรีเซนเตอร์แบรนด์เสื้อผ้าที่รัญดาออกแบบเป็นแฟร์รี่คู่แข่งแทนที่จะเป็นตัวเธอ “ใช่จ้ะ หนูมาร์กี้มีปัญหาอะไรไหมจ๊ะ” รัญดาถามมาร์กี้กลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายตกใจ คงมั่นใจว่าต้องเป็นตัวเอง ก่อนหน้านี้เธอเอ็นดูอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้แทนแฟร์รี่ที่เธอไม่ชอบ แต่ตอนนี้เธอรู้พฤติกรรมหลายๆ อย่างของเธอจากองศา ลูกน้องคนสนิทของมิวนิคแล้ว จึงเห็นสมควรว่าเธอคนนี้ยังเด็กเกินไป ยังไม่เหมาะที่จะเป็นภรรยาของมิวนิค อีกอย่างตอนนี้เธอเองเข้าใจอะไรในตัวแฟร์รี่หมดแล้ว “เอ่อ กี้คิดว่า...” “อ่อ สำหรับหนูกี้ใช่ไหมจ๊ะ น้าให้หนูกี้ไปถ่ายให้อีกแบรนด์หนึ่ง เป็นแบรนด์ของเพื่อนน้าเอง” รัญดาบอกมาร์กี้ แล้วเตรียมจะเดินออกไป แต่มาร์กี้ไม่ต้องการแบบนั้น เธออยากถ่ายของแม่มิวนิค อยากสนิท อยากให้แม่ของเขาเชียร์เธอให้ได้ใกล้ชิดกับมิวนิค เพื่อนของพี่ชายที่เธอแอบชอบมาตั้งแต่เด็กๆ “คะ...ค่ะ” มาร์กี้รับคำอย่างจำใจ ในใจแอบโกรธและเสียดายที่
ไม่ถึงบ้าน คลับ TW เสียงเพลงเปิดกระหึ่มดังทั่วทั้งคลับ ผู้คนมากมายทั้งนั่งดื่มสบายๆ ทั้งยืนเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกเบาๆ ไปกับเสียงเพลง ท่ามกลางผู้คนมากมายไม่ว่าคนจะเยอะแค่ไหน แต่มิวนิคที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะเพื่อดูแลหญิงสาวคนสำคัญทั้งสอง แม่และเมียของเขาอยู่ห่างๆ ท่ามกลางวงล้อมของคนมากมาย สาวในชุดมินิเดรสเกาะอกเกือบหลุด ชุดรัดรูปสีขาวไข่มุกเลื่อม สะท้อนแสง ผมสั้นประบ่า ลอนสวยสีน้ำตาลอ่อน รับกับใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย แบบฉบับสาวเกาหลี แต่งตัวค่อนข้างน้อยกว่าผู้หญิงคนอื่น กลับดูเด่นมีออร่าที่สุดในคลับ หรืออาจจะเป็นเพราะเธอคือเมียเขา ตั้งแต่ได้เธอเป็นเมีย ผู้หญิงคนไหนก็ไม่เคยสวยในสายตาเขาอีกเลย “น้องแฟร์ๆ มาเต้นๆๆ ลูก” รัญดาตะโกนชวนแฟร์รี่เต้นแข่งกับเสียงเพลงที่ดังมาก “คุณน้าเต้นก่อนเลยค่ะ แฟร์ยังไม่กล้า น้องคะพี่ขอเหล้าเพิ่ม” แฟร์รี่ตอบรัญดา ก่อนหันไปสั่งเหล้าอีก เธอยังรู้สึกเขินอายที่จะเต้นเพราะคลับที่นี่ไม่เหมือนที่เกาหลี เธอจึงต้องใช้ความเมาเป็นที่เสริมความกล้าและความมั่นใจให้ตัวเอง เมื่อเริ่มมึนเมาได้ที่แล้ว แฟร์รี่ลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปหารัญดาที่เต้นโยกย้ายอยู่กลางคล
คำขอโทษที่จริงใจ “ทำไมปฏิเสธเฮีย ไม่รักเฮียบ้างเหรอ ไม่สงสารกันเลยเหรอหือ?” มิวนิคเอ่ยถามพร้อมกับยกมือสองข้างกุมแก้มป่องๆ ไว้ “ยังไม่ไป ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปนี่คะ” แฟร์รี่พูดพร้อมกับส่งยิ้มทั้งน้ำตาให้กับเขา “ยังไม่ไป แปลว่าไม่ไปวันนี้ ไปวันอื่นเหรอ รออะไรครับ” เขาถามเสียงเพราะ ทำเอาแฟร์รี่ที่ไม่ค่อยได้ยินเกิดขนลุกขนพองทันที “แฟร์เป็นห่วงแม่” “ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแฟร์ แม่อยู่ได้ แม่ชอบความสงบร่มเย็นที่นี่ และกำลังสนุกกับการรีโนเวทบ้านของตาทีละเล็ก ทีละน้อย” เสียงของวีณาดังขึ้นด้านหลังของคนตัวเล็ก “แต่แม่ต้องอยู่คนเดียว” แฟร์รี่พูดด้วยความเป็นห่วง “คนเดียวที่ไหน ป้าจีก็อยู่ข้างๆ บ้าน ก้อยลูกสาวป้าจีก็อยู่ด้วย ไม่ต้องห่วง” วีณาอธิบายให้ลูกสาวฟัง จะได้ไม่ต้องห่วงว่าเธอจะอยู่คนเดียว เธอมีเพื่อนบ้าน ที่เป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นของชัยยศ ที่เป็นพ่อของวีณา ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด “อยู่ได้จริงๆ นะแม่” แฟร์รี่ลุกขึ้นจากเปลเดินไปจับมือทั้งสองของแม่อย่างเป็นห่วง “แม่อยู่ได้ กลับไปกับพี่เขา ไปทำหน้าที่ตัวเองให้เสร็จ ให้จบสัญญา อย่าเป็นคนที่ชอบผิดสัญญาไม่ว่าจะสัญญาเรื่องอะไรท
เด็กมีปัญหาขาดความอบอุ่น ครืดดดดด ครืดดดดด เสียงมือถือเครื่องสีดำสั่นสะเทือนกับพื้นโต๊ะทำงาน มิวนิคละสายตาจะเอกสารมองมือถือที่สั่นไม่หยุดเพราะมีสายเรียกเข้าจาก แม่ของเขา ชายหนุ่มกดรับสายทันที เพราะแม่อาจจะแจ้งเรื่องที่อยู่ของแฟร์รี่ “ฮัลโหลครับคุณหญิง” ชายหนุ่มรับสายด้วยเสียงทะเล้นอย่างอารมณ์ดี คิดว่าจะได้รับข่าวดีวันนี้ ‘เรียกแบบนี้ ฉันวางสาย!’ รัญดาตอบกลับอย่างไวไม่สบอารมณ์ “โอ๋ๆๆ ล้อเล่น” ‘เรียกแบบนั้นมันดูแก่ ไม่ชอบ’ “ล้อเล่นน่าา” ชายหนุ่มรีบโอ๋แม่ ‘จะโทรมาแจ้งข่าว เล่นแบบนี้ไม่ต้องเอาละ’ “อย่าใจร้าย ถ้าใจร้าย ง้อแฟร์ได้จะไม่ให้ไปเป็นนางแบบชุดให้นะ” มิวนิคพูดขู่แม่ของเขา เพราะตอนนี้เขารู้ว่าแม่ของเขากำลังต้องการแฟร์รี่เป็นนางแบบมาก งานที่แฟร์ถ่ายไว้ให้ คอลเล็กชั่นนั้นขายดีที่สุดกว่าคอลเล็กชั่นอื่น ‘แกอย่ามาขู่ฉัน ไม่มีสิทธิ์ต่อรอง ชีวิตแกอยู่ในมือฉันนะ ถ้าฉันไม่บอกแกจะไม่มีทางได้เจอน้องแฟร์แน่นอน’ รัญดาขู่กลับ “เคๆ เราดีกันเถอะ บอกมาๆ” มิวนิครบเร้า ‘ก็ได้ จะยอมครั้งเดียว’ “คร้าบ บอกมาสักที” ‘แฟร์รี่และแม่ของเธอตอนนี้ อยู่ที่...’ รัญดาเว้นวรรคไว้แค่น