ประสาทสัมผัสที่เปลี่ยนไป
ปีนี้เป็นปีคริสต์ศักราชสองพันห้าสิบ ดาวเคราะห์ดวงนี้ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยเฉพาะประเทศทีแอลที่เพศหลัก เพศรอง และระบบชนชั้นยังคงฝังรากลึกอยู่
นอกจากเพศชายหญิง อัลฟ่า เบต้า และโอเมก้าแล้ว ยังมีเพศรองแยกย่อยออกไปอีกตามการค้นพบของหมอและเหล่านักวิทยาศาสตร์ แต่สุดท้ายเพศย่อยๆ เหล่านั้นก็มีน้อยซะจนมีบรรจุไว้ในหนังสือเรียนแค่เพียงสองหน้าเท่านั้น และแทบไม่มีใครได้พูดถึงมันอีกเลย
อัลฟ่ายังคงเป็นเพศที่มีจำนวนน้อยและมีอำนาจมากที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่พลังกดข่มที่มีมาตั้งแต่กำเนิด หากยังรวมถึงอำนาจของตระกูลที่ถูกฝังรากลึกมาตั้งแต่ระบบการปกครองแบบกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้อัลฟ่ามีอำนาจมากทั้งในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจ
ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ และดูเหมือนจะย่ำแย่มากยิ่งขึ้น
ตราบใดที่ระบบเส้นสายและการผูกขาดสินค้าบางอย่างยังไม่หมดไป ปัญหาเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่
ดังนั้นส่วนใหญ่แล้ว อาชีพที่อัลฟ่ามักทำจะเป็นพวกตำแหน่งระดับสูงในแวดวงทหาร ตำรวจ นักการเมือง หรือไม่ก็เป็นพวกนักลงทุน และเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ไปเลย
โอเมก้าที่มีจำนวนน้อยอีกเช่นกัน มักจะทำอาชีพที่เกี่ยวกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์และอารมณ์สุนทรีย์ ทั้งแวดวงบันเทิง งานศิลปะ หรือจะเป็นพวกงานบริการต่างๆ ก็มีเช่นกัน หากแต่อีกครึ่งหนึ่งมักเลือกทำงานที่สามารถทำที่บ้านได้ เพื่อที่จะไม่เป็นจุดสนใจและก่อให้เกิดปัญหามากจนเกินไป
ในขณะที่เบต้านั้น มีอาชีพที่หลากหลายมากที่สุด และผู้มีมันสมองส่วนมากมักจะเข้าร่วมกับศูนย์วิจัยต่างๆ ของหน่วยงานรัฐ ที่มีกระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ หรือการรบ
ข้อสอบก็เป็นหนึ่งในเบต้าหัวกะทิที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศได้ และผ่านการฝึกงานสร้างผลงานการวิจัยเด่นๆ ไว้หลายชิ้น ทำให้ผ่านการสัมภาษณ์งานเข้ามาอยู่ในศูนย์วิจัยเอ็กวายแซด แผนกเอชเอชซีได้สำเร็จ
ศูนย์วิจัยนี้ตั้งอยู่ที่ชายขอบเมืองหลวงแห่งประเทศทีแอล อยู่ในเขตทหารที่มีรัศมีกว้างใหญ่หลายกิโลเมตรและมีภูเขาล้อมรอบถึงสามด้าน
การจะเดินทางเข้ามายังศูนย์วิจัยได้ ต้องผ่านด่านตรวจข้างหน้า และขับรถเข้ามาอีกสามกิโลเมตร
แผนกที่เขาอยู่เป็นเพียงแผนกเล็กๆ สำหรับนักวิจัยหน้าใหม่ที่มีจินตนาการล้นเหลือ โดยฝ่ายที่เขาประจำอยู่คือฝ่ายที่เน้นการวิเคราะห์วิจัยชิ้นส่วนอาวุธและธาตุใหม่ๆ
บางครั้งก็ได้ช่วยงานฝ่ายอื่น และนานๆ ทีก็อาจมีเหตุให้โดนส่งตัวไปช่วยงานข้ามแผนกได้
ข้อสอบที่ผลักประตูกระจกเข้าไป ก็รีบจ้ำไปยังโต๊ะทำงานของตนที่ถูกวางไว้ด้วยคอมพิวเตอร์พกพาเพียงตัวเดียวและเอกสารนิดหน่อย เพราะอุปกรณ์ของใช้ส่วนใหญ่ของเขาล้วนอยู่ในห้องทดลองที่อยู่ชั้นสี่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขามักจะไปสิงสถิตอยู่เป็นระยะเวลาเกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของการทำงาน
“ข้อสอบ หายไปหนะ...”
นักสืบ เพื่อนร่วมงานที่เป็นอัลฟ่าเพียงหนึ่งเดียวในนี้ที่ยกมือขึ้นทักทาย ถึงกับรีบเก็บเสียงตัวเองแทบไม่ทัน เมื่อพบว่าเพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้างานในตอนเช้าเดินผ่านหน้าเขาไปอย่างล่องลอย โดยไม่ได้สังเกตหรือคิดที่จะหยุดทักทายเขาเลยสักนิด
แต่ก็นะ... เขาชินกับนิสัยไม่ค่อยชอบเข้าสังคมของหมอนี่แล้วแหละ เขามีประโยชน์เฉพาะเวลาอีกฝ่ายมีเรื่องสงสัยเท่านั้น ส่วนเรื่องทั่วๆ ไป อย่าได้หวังว่าจะได้เอาไปพูดคุยกับหมอนั่นเลย
เอ... แต่ว่าวันนี้ข้อสอบดูขาวขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่านะ ปกติก็ตัวขาวเหมือนคนไม่เคยออกแดดอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งขาวซีดเข้าไปใหญ่ สีผิวอย่างกับกระดาษฟอกขาว
“นายนี่ไม่คิดจะเข็ดเลยนะ” เบต้าที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามกันแซวขึ้น
“ต้องมีสักวันที่เขาเห็นฉันบ้างแหละน่า”
จริงๆ ก็มีหลายวันที่ข้อสอบทักตอบเขาอยู่นะ แค่มันไม่ใช่วันนี้เท่านั้นเอง
“นายเป็นอัลฟ่าแท้หรือเปล่าเนี่ย หัดใช้เสน่ห์ของตัวเองให้มีประโยชน์ซะบ้าง มัวแต่ทำตัวเป็นเบต้าแบบพวกเรา แล้วจะเปลี่ยนอะไรได้”
“ช่างมันเถอะน่า ฉันไม่ได้จะจีบสักหน่อย แค่อยากทักทายคุยด้วยตามประสาเพื่อนร่วมงานเฉยๆ”
“อ้อ อยากเสือกเรื่องที่เขาไม่มาทำงานว่างั้น”
“ไอ้สัด คุยกับนายนี่น่าปวดหัว ไปเม้ากับคนอื่นดีกว่า”
แล้วอัลฟ่าสายเม้าก็ลุกจากโต๊ะ หนีไปรวมกลุ่มกับเหล่าพนักงานสาวอีกสามคน ซึ่งกำลังจับกลุ่มพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกันอยู่
ที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจกับการที่ข้อสอบหายตัวไป ก็เพราะเรื่องที่พวกเธอกำลังเม้ามอยกันอยู่นี่แหละ
“เธอว่าเขาคุยเรื่องอะไรกันน่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่เห็นกำหนดการการประชุมเลย หรือจะเป็นวาระการประชุมด่วนก็ไม่รู้”
“แต่ทำไมต้องมาประชุมที่นี่ด้วยล่ะ ตำแหน่งสูงขนาดนี้ เรียกเจ้านายเราไปประชุมด้วยก็จบแล้ว”
“เขาอยากจะมาเยี่ยมชมแผนกของเราหรือเปล่า”
“เยี่ยมชมอะไรกัน ที่ฝ่ายเราก็มีแค่ฉันนี่แหละที่สวยที่สุด สงสัยจะอยากมาดูฉัน”
“แหวะ” อีกสองสาวทำหน้าอ้วกใส่แทบไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคหลงตัวเองนั้น
“เขาจะมาจับพวกที่คอยเม้าเจ้านายอยู่ต่างหากล่ะ” เสียงขรึมๆ ของนักสืบที่แทรกขึ้นหลังจากแอบฟังอยู่พักใหญ่ๆ ทำให้วงสนทนาแทบแตกกระเจิง
“อุ๊ย นักสืบนี่เอง ตกใจหมด นึกว่าเจ้านายมา”
“เมื่อกี้ยังไม่มา แต่ตอนนี้ออกมาแล้ว”
ยังไม่ทันที่อัลฟ่าหนุ่มจะพูดจบดี เสียงเปิดประตูและบรรยากาศของห้องที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้พวกเธอรีบกระจายตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้จะไม่มีกระแสความกดข่มแผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่ของผู้ที่เดินออกจากห้องทำงานของหัวหน้าแผนกมา แต่ออร่าและบุคลิกที่ต่างไปจากคนปกติทั่วไปของเขา ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองตรงๆ ไม่เว้นแม้แต่อัลฟ่าด้วยกันเอง
มีเพียงเบต้าหนุ่มอย่างข้อสอบเท่านั้นที่ได้กลิ่นคล้ายๆ กับที่เขาได้กลิ่นตรงโถงทางเดิน จนต้องหันไปมอง
คนที่หัวหน้าแผนกกำลังเดินไปส่งที่ลิฟต์นั้น มีรูปร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับอัลฟ่า หน้าตาเคร่งขรึม สายตาค่อนข้างดุ เข้ากับริมฝีปากที่ดูเหมือนกำลังหยามเหยียดคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สันกรามแกร่งขยับเล็กน้อยตามการพูดคุยกับคนที่เขามาประชุมด้วย ส่งผลให้ลูกกระเดือกที่คอเด่นชัดขึ้นมา
ชุดที่สวมใส่อยู่คือชุดนายพลแบบแขนสั้นที่ไม่ใช่ชุดพิธีการ เผยให้เห็นกล้ามแขนแกร่งทั้งท่อนแขน ไล่ไปยังมือเรียวที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดเด่นชัดเมื่อขยับส่งแฟ้มเอกสารให้ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังได้รับไว้
ผู้ชายคนนี้นับว่ามีเสน่ห์ของบุรุษเพศอย่างล้นเหลือ
ถึงแม้จะเป็นการมองเพียงเสี้ยววินาที แต่ภาพของเขาก็สลักลงในความทรงจำของเด็กหนุ่มได้อย่างง่ายดาย... เห็นชัดแม้กระทั่งเส้นผมขนาดสั้นที่ร่วงติดอยู่ตรงอกเสื้อฝั่งซ้าย
ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไป โดยไม่สนใจเหลือบแลมาทางเหล่านักวิจัยเลยสักนิด
อึก!
ความพะอืดพะอมที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอทำเอาชายหนุ่มแทบจะทนเคี้ยวข้าวต่อไปไม่ไหว เขาฝืนกลืนอาหารในปากลงไปจนหมด ก่อนที่จะดื่มน้ำตามอึกใหญ่
ให้ตายสิ แม้แต่น้ำเปล่าที่ควรจะไม่มีรสชาติอะไร ก็ยังฝืดเฝื่อนเหมือนกระดาษ!
“ป้าอ้วน ผมขอกล่องหน่อยนะ”
“เอาสิ หยิบเอาตามสบายเลยลูก” ป้าแม่ค้าบอกขณะที่มือก็กำลังวุ่นอยู่กับการผัดข้าวให้ลูกค้าคนอื่นอยู่
“ครับ”
หลังจากที่จัดการกับลูกค้าเสร็จ เธอก็หันมาคุยกับชายหนุ่มที่กวาดอาหารที่เหลืออยู่เกินครึ่งจานเข้ากล่องพลาสติกใสไปเรียบร้อย
“ทำไมวันนี้กินไม่หมดล่ะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ตัวดูซีดๆ นะ”
“ผมสบายดีครับ แค่ไม่ค่อยอยากอาหาร”
เขาก็เห็นว่าเขาตัวซีดลงอยู่เหมือนกัน สงสัยว่าเมื่อวานจะเสียเลือดเยอะไปหน่อย ตอนที่กลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านตอนเที่ยง รอยแผลที่ถูกกระสุนยิงถึงแม้จะถูกเย็บไว้อย่างเรียบร้อยและไม่รู้สึกเจ็บอะไร แต่ก็ทำเอาเขาแอบขยับตัวลำบากอยู่เหมือนกัน
“เป็นผู้ชาย กินให้เยอะๆ หน่อย ตัวผอมเกินไปแล้ว”
ลุงใหญ่ สามีของป้าอ้วน ที่ตัวใหญ่สมชื่อ แถมยังมีรูปลักษณ์เหมือนหมีควายจนบางทีก็โดนเรียกว่าลุงหมี เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา ก่อนจะยื่นขวดซีอิ๊วขาวที่แว๊บออกไปซื้อมาให้ป้าอ้วน
ซึ่งคนที่ถูกให้คำแนะนำก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ กลับไป
ปกติเขาเป็นคนที่กินเยอะมาก เพราะต้องใช้สมองเยอะเลยหิวแทบจะตลอดเวลา แต่วันนี้ดันกินอะไรก็รสชาติฝืดเฝื่อนเหมือนกระดาษไปหมดนี่สิ แถมกลิ่นอาหารก็ไม่หอมอย่างที่เคย ทั้งที่รสมือป้าอ้วนนั้นคงที่มาตลอด
“นี่ครับป้า” ข้อสอบยื่นเงินสดให้ เพราะรู้ว่าป้าชอบรับแต่เงินสดเพื่อเลี่ยงภาษี “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไอ้หนุ่ม ให้เงินผิดแล้ว ขาดไปอีกสิบคอยน์”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงดุๆ ของลุงใหญ่ หนุ่มเนิร์ดที่เพิ่งลุกขึ้นจากโต๊ะถึงกับหยุดชะงักอย่างตกใจ ลนลานรีบหยิบเงินในกระเป๋าเพิ่ม
ป้าบ!
“ฮ่าๆๆ ข้าล้อเล่น ไอ้หนุ่มนี่ก็เชื่อคนง่ายเหลือเกินนะ”
คนโดนแกล้งลูบไหล่ที่โดนตบมาอย่างแรงป้อยๆ ดูดแก้มอย่างเซ็งๆ เมื่อรู้ตัวว่าโดนแกล้งอีกแล้ว
ทั้งที่คอยเตรียมตัวรับการโดนแกล้งจากลุงใหญ่อยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่เคยจะตามลุงแกทันสักที
หลังจากเดินออกมาจากร้านอาหารใต้ตึกของป้าอ้วน ข้อสอบก็แวะซื้อเจลาโต้รสพีนัทบัตเตอร์กับรสกาแฟ ของโปรดที่เขาชอบกินเป็นประจำ
“แหวะ” แต่เลียไปได้หนึ่งทีก็แทบจะคายทิ้ง
ลิ้นกับจมูกเขาต้องมีอะไรผิดไปแน่ๆ
สุดท้ายเลยได้แต่โยนทิ้งไปทั้งโคน ด้วยไม่อาจฝืนทานต่อได้
ตกดึก...
ในอพาร์ตเม้นต์ห้องขนาดพอดีสำหรับหนึ่งคนอยู่ ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีที่จู่ๆ ก็นอนไม่หลับจนเวลาล่วงเลยผ่านไปยันตีหนึ่ง ตัดสินใจผลักเตียงนอนขนาดควีนไซต์เข้าไปเกือบชิดติดขอบผนัง โดยแทบไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด
เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นจากการที่คนกินง่ายหลับง่ายอย่างข้อสอบ เกิดนอนไม่หลับขึ้นมา ทั้งที่เอาผ้าอีกผืนไปแขวนทับผ้าม่าน หรือพยายามปิดทุกซอกทุกมุมในห้องที่อาจมีแสงข้างนอกลอดผ่านเข้ามาได้ก็แล้ว จนห้องแทบจะมืดสนิท เขาก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี
และไม่รู้ว่าทำไมสายตาของเขาถึงมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในห้องได้อย่างชัดเจนทั้งที่มันควรจะมืดสนิทแท้ๆ
หลังจากพยายามทุกวิถีทางอยู่เนิ่นนาน จนแทบจะเข้าไปนอนในห้องน้ำ ชายหนุ่มก็นึกถึงคำพูดของสัปเหร่อที่ชื่อว่าชาแมนขึ้นมาได้
‘อย่าลืมเอาโลงศพกลับไปด้วยล่ะ’
หรือเขาต้องลองนอนในโลงศพ?
แต่ดึกขนาดนี้แล้ว จะไปหาโลงศพมาจากไหน แล้วถ้าจ้างคนขนขึ้นมาที่ห้องของเขาคงจะแปลกพิลึก ชาวบ้านชาวช่องได้สงสัยกันหมด
“ฮึบ”
ดันเตียงเสร็จ ก็เอาผ้านวมหนาสองผืนมาปูรองพื้นห้องที่อยู่ระหว่างเตียงกับผนัง ก่อนจะแทรกตัวลงไปนอนยังพื้นที่แคบๆ นั้น พยายามจำลองให้เหมือนกับโลงศพมากที่สุด โดยไม่ลืมที่จะย้ายตุ๊กตาน้องเต่าตัวโปรดมาไว้ข้างบนหัวนอน
นอนคลุมโปงไปก็คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไป
สิ่งที่ยืนยันว่าเขาได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ คงจะเป็นร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของเขา ทั้งเรื่องที่แข็งแรงขึ้นจนยกของหนักมือเดียวได้สบาย หรือเรื่องที่จู่ๆ ลิ้นก็รับรสผิดแผกไป
แต่มันน่าหดหู่ตรงที่ว่าการฟื้นคืนชีพของเขา มันดันไม่มีระบบหรือพรวิเศษนี่สิ ไม่ได้ตายแล้วเกิดใหม่ในชีวิตที่ดีขึ้น หรือตายแล้วได้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตแต่อย่างใด
และเขาก็ไม่ได้ท่องไปในโลกหลังความตายเลยสักนิด ไม่แน่ใจว่าวิญญาณได้ออกจากร่างไปบ้างหรือเปล่าถึงได้ฟื้นช้าซะจนโดนจับใส่โลงศพ
ขณะที่ทำงานในช่วงบ่าย หลังจากโล่งใจที่ไม่ถูกเจ้านายตำหนิอะไรมาก เขาก็เช็คดูข่าวของเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปด้วย
ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด
สถานการณ์คนบ้าไล่กราดยิงหรือทำร้ายคนบริสุทธิ์นั้นมีบ่อยในช่วงกลียุคแบบนี้ซะจนคนเริ่มไม่ค่อยจะให้ความสนใจ เพราะสุดท้ายตำรวจก็จะเข้าไปช่วยระงับสถานการณ์ได้อย่างคล่องแคล่วและฉับไวตลอด แม้จะมีผู้เสียชีวิตไปบ้างก็ตาม
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีรายชื่อผู้เสียชีวิตอยู่ในรายงานข่าว และไม่มีชื่อของเขา
สิ่งที่พลเมืองให้ความสนใจกว่าข่าวพวกนี้คือเรื่องสงครามระหว่างมนุษยชาติและอมนุษย์จากดาวดวงอื่น รวมถึงสงครามภายใน ซึ่งเป็นสงครามทางการทูตระหว่างประเทศที่ค่อนข้างจะร้อนแรงด้วยไม่มีใครยอมเสียผลประโยชน์
ทำให้อาชีพทหารกลายเป็นอาชีพที่ทรงอำนาจมากที่สุดในปัจจุบัน
และอาชีพนักวิจัยนักวิเคราะห์ก็กลับมาเฟื่องฟูเช่นกัน เพราะเป็นกำลังหลักสำคัญให้กับเหล่าทหารหาญทั้งหลาย
กลางดึกคืนเดือนมืดคืนหนึ่งที่แทบจะไม่มีแสงจันทร์ส่องมาถึงพื้นผิวดาว
บริเวณสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดฮิตสำหรับประชาชนในเขตซีซ่า
แม้จะดึกดื่นเพียงใด แต่ความกว้างใหญ่และซอกมุมมากมายของสถานที่พักใจแห่งนี้ ล้วนเป็นสวรรค์ชั้นดีของคนที่เลิกงานดึก คนที่ชอบพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นยามดึก หรือแม้กระทั่งเหล่าคู่รักที่ชื่นชอบความตื่นเต้นของกิจกรรมรักกลางแจ้งกลางป่ากลางดง
โชคดีที่ประเทศนี้ยังมีกฎหมายห้ามการดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ จึงไม่มีเหล่าขี้เมามามั่วสุมกัน
ชายร่างใหญ่สง่างามที่หากมองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าคืออัลฟ่า กำลังเดินทอดน่องไปยังทางออกของสวนสาธารณะแห่งนี้
เขากำสิ่งของชิ้นจิ๋วที่ได้มาจากคนที่เพิ่งนัดเจอแน่นจนเส้นเลือดปูดเต็มหลังมือ ก่อนจะเก็บมันลงไปในกระเป๋ากางเกงของตน โดยไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานมาเลยสักนิด
...อันตรายจากสัตว์สองขาที่ตามกลิ่นมาจนพบกับเหยื่ออันโอชะ
ร่างที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าห่างไปเพียงแค่หนึ่งเมตรโดยไร้ซึ่งจิตสังหาร ทำให้อัลฟ่าหนุ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะตั้งท่าเตรียมต่อสู้ตามสัญชาตญาณของตน
แต่ร่างกายแกร่งกลับไม่ยอมรับฟังคำสั่งของเจ้าของ มันหยุดนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกด ปล่อยให้ร่างแปลกหน้าเข้ามาประชิดตัวได้อย่างง่ายดาย
ก่อนที่เขี้ยวแหลมคมขนาดเล็กสองซี่จะฝังลงที่คอของผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น...
3ผู้บริจาคเลือด พรึ่บ แสงไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดับลงพร้อมกัน ส่งผลให้ห้องทั้งห้องมืดสนิทลงในทันใด มีเพียงแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์เท่านั้นที่ยังสว่างไสวอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็มีเหตุการณ์ไฟตกอยู่เช่นกัน แต่เพียงครู่เดียวไฟก็ติดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าของห้องเปิดประตูออกไปชะเง้อมองดูข้างนอก ก่อนจะพบว่าโถงทางเดินและอาคารอื่นก็ไฟดับเหมือนกัน ปกติแล้วทางตึกมีระบบไฟสำรองให้ตลอด ที่ไฟดับนานขนาดนี้แสดงว่ารอบเมื่อกี้เป็นการใช้ไฟสำรองจนหมดเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีการดับไฟเพื่อปรับปรุงระบบหรือซ่อมแซมอะไรสักอย่าง แต่เขาดันไม่เห็นประกาศนี่สิ Exam is coming: บ้านพวกนายไฟดับปะวะ ×เอ็กซ์×: เออ ดับ แต่เขาก็แจ้งนานแล้วนะ Exam is coming: อ้าวเหรอ ดับถึงกี่โมงวะ ×เอ็กซ์×: ถึงเช้าโน่นแหละ นอนไม่ลงว่ะ ร้อน 49ก็มีหัวใจ: วอร์ปะล่ะ ลางานหนึ่งวัน งดทัก: +1 ปอนด์แฟนมิ้งค์: +++ Exam is coming: ขอผ่านว่ะ ไม่มีอารมณ์ กลุ่มแชทที่ข้อสอบพิมพ์ถามลงไปคือกลุ่มของเพื่อนสมัยปริ
4ดูดเลือดครั้งที่สอง “หลบจ้า หลบ” “กระเทียมหนึ่งพวงสามสิบ สองพวงอม เอ้ย กินกำลังพอดีจ้า เอาไปเลยห้าสิบพอ” “เนื้อจ้าเนื้อ เนื้อสดๆ อ้าว พ่อหนุ่ม มาดูเนื้อมั้ย หรือจะดูเอ็น แต่ต้องไปดูร้านโน้นนะ ที่คนขายหล่อๆ น่ะ” “ขอบคุณครับป้าใจ มาดูเอ็นได้ทางนี้เลย เครื่องในก็มีเพียบ ตับไตไส้พุง หรือจะเอาหัวใจผมไปก็ได้นะ” “ทางนี้จ้าทางนี้ ซื้อเยอะแถมเยอะ ซื้อน้อยก็แถมเยอะอีกเหมือนกัน แจกจ้าแจก อยากกลับบ้านแล้ว ป่านนี้ไอ้แก่ที่บ้านแอบไปหาเมียน้อยแล้ว” โครม! “อุ้ย ตาเถร” “บัดสีบัดตาเซิ้ง” “บัดเถลิง!” คนแทบทั้งตลาดตบมุกพร้อมๆ กัน ให้กับคุณยายคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์รถเข็นผักชนกับคน และใช้คำได้แบบผิดๆ ไม่ใช่แค่พูดผิดธรรมดา แต่ใช้ผิดความหมายไปเลย เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจและความครึกครื้นของตลาดสดแห่งนี้ ทำให้ข้อสอบที่ออกมาเดินหาซื้อของที่น่าจะพอกินได้ รู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด เพราะส่วนใหญ่แล้วเขามักจะเข้าแต่ซูเปอร์มาเก็ต แต่พอเจอเหตุการณ์ถูกคนบ้ายิงเข้าไป เขาก็ไม่กล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ห้างแห่งนั้นอีกเลย
5ถุงเลือดส่วนตัว บรรยากาศอันร่มรื่นเงียบสงบของวัดขนาดเล็ก ช่างจรรโลงใจเป็นที่สุด หลังจากนอนกับพื้นและในตู้เสื้อผ้ามาครึ่งเดือน เขาก็ได้แวะไปตรวจสอบและคอนเฟิร์มว่าโลงศพที่สั่งทำเป็นที่ถูกใจ ได้ฟังก์ชันครบถ้วนตามต้องการ จากนั้นก็จ่ายเงินส่วนที่เหลือและเปลี่ยนที่อยู่ในการจัดส่งให้เขานำไปส่งในค่ายทหารแทน ไหนๆ วันนี้ก็ได้หยุดงานแล้ว เขาก็เลยแวะมาวัดที่อยู่ข้างๆ ร้านโลงศพเสียหน่อย ของที่บ้านก็ไม่มีอะไรให้ต้องเก็บเยอะ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าหากทำโปรเจกต์ลับนั่นเสร็จแล้ว จะโดนไล่ออกกลับมาอยู่ที่พักเดิมหรือเปล่า ก็เลยจะเอาไปแต่ของใช้จำเป็นเท่านั้น หากถามว่าผู้พันอาชวินจะรู้มั้ยว่าเขาเป็นคนที่แอบดูดเลือดอีกฝ่ายไป... เขามั่นใจว่าไม่ เพราะปฏิกิริยาของอัลฟ่าตนนั้นเมื่อตอนเจอกันวันก่อนดูปกติดีทุกอย่าง ดูเหมือนคนที่เคยเจอเขาครั้งเดียวตอนตกจากระเบียงห้อง แต่ถามว่าเจ้าของเลือดหอมหวานนั่นรู้สึกระแคะระคายอะไรบ้างมั้ย เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ก็ได้แต่พยายามทำตัวปกติ เพราะยังไงเขาก็คงไม่ได้เจอเจ้านายคนใหม่บ่อยนัก ชั้นลบหนึ่งกับชั้นบนส
6หาเหยื่อใหม่ ทำไมวันนี้มีแต่คนมองเขาเยอะแปลกๆ หรือเพราะเลือดคุณภาพดีเมื่อคืน ทำให้เขาดูแข็งแรงขึ้น ดูหล่อขึ้น? ตั้งแต่ข้อสอบเดินเข้ามาในอาคารทำงาน ไล่ตั้งแต่ชั้นหนึ่งลงไปยันชั้นลบหนึ่งแล้ว ที่ใครต่อใครต่างก็มองมาทางเขา ไม่รู้ว่ามองด้วยเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่การมองเหยียดหรือมองในแง่ร้ายแน่ๆ “นายไม่ได้สายตาสั้นหรอกเหรอ” คำทักทายจากเพื่อนร่วมห้องทำงานเดียวกันวันนี้แปลกไปกว่าทุกที ทำให้ชายหนุ่มรู้สาเหตุทันที เอ้า! เขาลืมใส่แว่นเสียสนิท แต่ถึงไม่ได้ใส่แว่น ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้กลับงดงามสดใสชัดเจนไปซะหมด มิน่าตอนเช้าตอนเขาตื่นขึ้นมาในโลงศพถึงได้ลืมควานหาแว่นมาใส่ตามความเคยชิน ก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันชัดเจนซะขนาดนี้ เขาก็นึกว่าตัวเองใส่แว่นอยู่น่ะสิ “ขี้เกียจใส่แว่นน่ะ” ตอบกลับไปแบบกลางๆ ให้อีกฝ่ายไปเดาเอาเองว่าเขาใส่คอนแทคเลนส์อยู่หรือเป็นคนสายตาปกติที่ใส่แว่นเล่นๆ กันแน่ ไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนเขาทำแว่นหล่นทิ้งไว้ไหน เพราะหลังจากดื่มเลือดเสร็จ เขาก็แวะไปที่อาคารศูนย์วิจัยต่อ กว่าจะได้กลับบ้านมานอนก็ตีสองแล
7กรีดเลือดเสนอตัว “นี่ครับ อาหารที่พี่สั่ง” พนักงานร้านข้าวต้มโต้รุ่งหยิบจานอาหารจำนวนมากบนถาด วางลงบนโต๊ะที่มีผู้ชายนั่งกันอยู่สองคน “ขอสั่งยำสามกรอบ กับไชโป๊ผัดไข่เพิ่มด้วยนะ” “คุณจะกินเพิ่มอีกเหรอครับ” เพื่อนร่วมโต๊ะถึงกับหันขวับไปถามคนที่สั่งอาหารเพิ่ม ทั้งที่บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยยำไข่เค็ม ผัดผักบุ้ง ผัดหอยลาย หมูมะนาว ใบเหลียงผัดไข่ ยำกุนเชียง และปลาราดพริกแล้ว “ฉันสั่งมาให้เธอ” “แต่ผมไม่หิว” “ไหนบอกมาหาของกินไง” ของกินที่เขาหมายถึงน่ะ คือเลือดต่างหากเล่า “...” ข้อสอบบุ้ยปากอย่างเซ็งๆ โดนหลอกยังไม่พอ ต้องโดนพามาเจอกับอาหารที่เขาไม่ได้กลิ่น แถมยังกินไม่ได้อีก นี่มันจะบังคับกันเกินไปแล้ว! “อะ กินเยอะๆ” นอกจากจะไม่เข้าใจลูกน้องของตนแล้ว ยังตักกับข้าวใส่ถ้วยข้าวต้มกุ๊ยเล็กๆ จนล้นทะลักอีก “คุณมีความคิดเห็นยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้บ้างครับ” นักวิจัยหนุ่มเขี่ยข้าวต้มไปมา “ไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ” ปึก! “ใช่มะ ผมก็คิดแบบ
8รสนิยมประหลาด อาชวินมองสัตว์ตัวจ้อยที่กำลังหาทางบินหนีออกจากห้องทำงานด้วยสีหน้าสงบ แต่ข้างในจิตใจนั้นเหลวเป๋วสิ้นดี ใจอ่อนยวบยาบไปหมดเมื่อได้เห็นสัตว์ขนปุกปุย แถมยังตัวเล็กจิ๋วแบบที่ตนชอบนักชอบหนา ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนว่าเขามีรสนิยมชอบสัตว์ตัวเล็ก และไม่คิดที่จะเลี้ยงแมวป่า เสือ หรือสิงโตเหมือนญาติคนอื่นๆ แต่ต่อให้เขาจะคลั่งไคล้และแอบเล่นกับลูกแมว นก หนูแฮมสเตอร์มามากแค่ไหน เจ้าค้างคาวตรงหน้ากลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในใจ มาแรงแซงทางโค้งบดเบียดสัตว์อื่นหล่นตุ้บไปอย่างง่ายดาย ไม่ต้องอาศัยพละกำลังอันมากล้นของอัลฟ่าเพื่อพยายามกดพลังของผีดูดเลือดอีกต่อไป เพราะเขาสามารถใช้เพียงอุ้งมือเดียวรวบสองเท้าของค้างคาว จับห้อยหัว หิ้วไปมาได้อย่างสะดวกสบาย “เป็นค้างคาวไปตลอดเลยก็ดีนะ” “จี๊ดๆๆๆ” เสียงประท้วงของค้างคาวดังขึ้น “โอ้ ยังฟังรู้เรื่องอยู่สินะ” เพียงขยับตัวนิดเดียว กรงนกขนาดใหญ่อันว่างเปล่าที่ถูกตั้งอยู่ในห้องมาเนิ่นนานก็ถูกเติมเต็มไปด้วยร่างของค้างคาวที่พยายามจะพุ่งหนี แต่ก็ไม่ทันประตูกรงที่ถู
9กลับสู่จุดเริ่มต้น “ถ้าช่วย แล้วผมจะได้อะไร” “...” “เลือด ผมจะไปหากินที่ไหนก็ได้ เงิน ผมก็มีพอใช้อยู่แล้ว” “เธอคิดว่าเธออยู่ในจุดที่ต่อรองได้อย่างงั้นเหรอ?” คนที่หลงลืมไปว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกรู้ความลับเข้า เริ่มวิตกกังวล “นี่คุณคิดจะแบล็กเมล์ผมหรือไง” อาชวินไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นเดินโทงๆ ไปหยิบเสื้อผ้าขนาดเล็กที่สุดในตู้มาโยนลงตรงหน้าคนที่ผิวกายทำให้เขารู้สึกไม่มีสมาธิจะคุยด้วยเท่าไหร่ จากนั้นก็เดินไปหยิบกุญแจมาปลดโซ่ที่ล็อกข้อเท้าอีกฝ่ายออก คนที่จู่ๆ ถูกปล่อยตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รีบคว้าเสื้อผ้ามาสวมปกปิดเรือนร่างของตนอย่างรวดเร็ว “เอาเถอะ ฉันอยากบังคับคนที่ไม่ยินยอมหรอกนะ” คนฟังแอบรู้สึกเฟลอยู่หน่อยๆ โธ่เอ๊ย ไม่น่าอวดเก่งเลยเรา ดันถามถึงของแลกเปลี่ยน แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่สนใจ ไม่เอาด้วยสักอย่าง รู้สึกเสียศักดิ์ศรี ที่เอ่ยปากจะทำให้ แล้วอีกฝ่ายดันไม่เอา ข้อสอบไม่อยากจะยอมรับเลยว่า ถึงแม้เขาจะมีตัวเลือกอื่นๆ อีกมากมาย แต่การได้ดูดเลือดผู้พันเสียหลายครั้ง มันทำให้เขาติดใจและ
10ตับๆ ตับๆ บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างเคร่งเครียด “เขาจะปักหลักอยู่ที่นี่ถาวรเลยเหรอ” “มีแววว่าจะใช่ว่ะ” เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นเบาๆ จากเหล่าทหารในชั้นลบหนึ่ง ถึงแม้จะย้ายมาทำงานอีกที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยคือเสียงพูดคุยถึงเรื่องคนอื่นอย่างคนคันปาก ไม่เว้นแม้กระทั่งจากปากของทหารหาญตัวใหญ่ยักษ์ ผ่านเหตุการณ์อันน่าอัปยศอดสูของการเผยร่างค้างคาวหกเต้าและเรือนร่างเปลือยเปล่าให้พันตรีอาชวินได้เห็นมาก็หลายวันแล้ว แต่ไม่มีวันไหนที่เจ้านายจะกลับไปทำงานยังห้องทำงานชั้นบนสุดของตน วันๆ เอาแต่นั่งในห้องทำงานที่ชั้นลบหนึ่ง จนข้อสอบรู้สึกเหมือนมีเจ้ากรรมนายเวรมาตามเฝ้า “อะแฮ่มๆ ฉันมีเรื่องจะแจ้ง” และแน่นอนว่านาที เลขาหน้าห้องก็ต้องคอยเดินไปเดินกลับระหว่างชั้นล่างสุดและบนสุดอยู่บ่อยๆ เพราะความเอาแต่ใจของเจ้านายตน โอเมก้าหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้กล่าวประกาศ “วันนี้ท่านผู้พันจะพาทุกคนไปเลี้ยงอาหารเย็น ใครมีธุระอะไรให้ยกเลิกซะ” “โอ้โห ลาภปาก” “เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรเหรอ”
บทส่งท้าย แม้จะเป็นแฟนกันแล้ว แต่คนบ้างานก็ยังคงบ้างานต่อไป ดีหน่อย ที่ถึงแม้จะมีไปประชุมต่างเขตจนต้องกลับบ้านดึกดื่นเป็นบางวัน แต่อาชวินก็ไม่เคยไปค้างที่อื่น และไม่หอบเอางานกลับมาทำที่บ้าน ข้อสอบที่นับวันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเป็นแม่บ้านเข้าไปทุกที ได้แต่นั่งกอดตุ๊กตาน้องเต่า เป็นนักเลงคีย์บอร์ดในเรดดิตและสอดส่องหาของแต่งบ้านต่อไป ถึงแม้จะทำงานกันคนละอาคาร แต่ยามเลิกงาน ข้อสอบกับอาชวินมักจะเจอกันอยู่เสมอ ไม่ที่บ้านของเขา ก็บ้านของอีกคน เดินไปมาหาสู่กันจนอาชวินขอให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านสองชั้นของตนแทน เลยได้ถือโอกาสย้ายของทุกอย่างออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ที่อยู่นอกเขตทหาร จะได้ปล่อยเช่าซะ พอย้ายของมา ก็เลยได้ตกแต่งบ้านอย่างจริงจังเสียที บ้านที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นตอนนี้ เลยมีของตกแต่งเพิ่มขึ้นมา ทำให้ดูเป็นเหมือนบ้านมากขึ้น นอกจากนี้บ้านของอาชวินยังมีห้องนอนที่ชั้นหนึ่งเยื้องออกไปทางข้างหลัง สะดวกให้ตัวเลขอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก วันนี้อาชวินก็บินไปทำงานที่ต่างเขตแต่เช้ามืด และน่าจะกลับมาถึงเร็วๆ
22คำเตือนสุดท้าย บรรยากาศกำลังได้ที่ แต่ดันถูกตัวป่วนสองตัวมาขัดเสียยับ อาชวินมองชาแมนกับรุจีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านได้อย่างถูกจังหวะสุดๆ โดยที่ตนยังจับมือคนตัวเล็กกว่าไว้อยู่ “นายไม่ได้เตือนข้อสอบไว้เหรอ” แวมไพร์สาวสวยที่เดินนวยนาดมานั่งยังโซฟาตัวที่นักสืบเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน หันไปถามแวมไพร์สัปเหร่อที่เลือกยืนพิงโต๊ะหน้าทีวี “เตือนแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ฟัง” ชาแมนตอบ ข้อสอบพยายามดึงมือออกจากอุ้งมืออุ่นสบาย เพราะถูกจับจ้องมาจากแวมไพร์ทั้งสองตนจนชักจะเขินอยู่หน่อยๆ “เตือนถูกจุดหรือเปล่า” “ก็เตือนเรื่องเหยื่อจะถูกดูดเลือดจนป่วยตาย” “นายคิดว่าคนอย่างผู้พันจะตายได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” “เออ จริงด้วย” แวมไพร์รุ่นน้องได้แต่หันไปมองคนโน้นคนนี้ซุบซิบกันไปมาโดยไม่สนเลยว่าคนที่ถูกนินทาจะนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ “ข้อสอบ ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักหน่อยสิ” รุจีว่า “ไม่เอาแบบคราวก่อนแล้วนะครับ” นักวิจัยหนุ่มหมายถึงตอนที่ถูกจับหิ้ววิ่งด้วยความเร็วสูงซะจนคลื่นไส้ “คุยที่นี่แหละ ข้อสอบไม่ม
21ต้องการคนปกป้อง แม้เจ้าค้างคาวจะกระพือปีกขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลาและขยับเบี่ยงตัวอย่างตกใจตามเสียงเรียกของอาชวิน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นกระสุนล็อกเป้า เทคโนโลยีพิเศษที่สามารถเปลี่ยนทิศทางตามเป้าหมายได้ถึงสองครั้งติด เป็นเทคโนโลยีที่มีราคาแพงมาก หาได้จากในฐานทัพเท่านั้น และถูกควบคุมไม่ให้มีขายในตลาดใต้ดิน “ข้อสอบ!” ผู้พันหนุ่มร้องอย่างตกใจ นาทีที่เห็นร่างจิ๋วถูกยิงจนตกลงมากับพื้น เป็นชั่วเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน แต่สติและสัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เขารีบเก็บค้างคาวน้อยที่นอนสลบไสลลงในกระเป๋าเป้ วิ่งหาที่ซ่อนจากกระสุนสุดแสนจะอันตรายนั่น ชายหนุ่มหาที่หลบได้ก็ลอบประเมินสถานการณ์ในใจ หากศัตรูมาคนเดียวก็คุ้มที่จะเสี่ยงจัดการซะให้เรียบร้อย ดีกว่าเขาเป็นฝ่ายถูกตามล่าฝ่ายเดียวจนไม่มีเวลาปฐมพยาบาลให้ข้อสอบ สายตาคมหยิบแว่นมองในที่มืดที่ถูกออกแบบมาให้ดูคล้ายแว่นตาธรรมดาขึ้นสวม ลอบสังเกตดูการเคลื่อนไหวรอบกาย หากทว่ามีกลิ่นหอมหวานโชยออกมาจากในกระเป๋าสะพาย เหมือนกลิ่นโอเมก้ากำลังฮีต... กลิ่นเดียวกับที่เข
20ผู้ช่วยเหลือ หลังจากซักถามลักษณะภูมิประเทศที่เกิดเหตุและช่วงเวลาคร่าวๆ ที่ตัวเลขเห็นในนิมิต ข้อสอบก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุจะเกิดในคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้กันแน่ สิ่งที่เขาทำได้คือต้องออกไปหาผู้พันให้เจอโดยเร็วที่สุด “อ้าว คุณข้อสอบจะไปไหนน่ะ” นาทีถามคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังไม่ทันจะข้ามพ้นวงกบประตู และรีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เลยได้แต่ยืนเกาหัวอย่างงงๆ ตอนแรกนักวิจัยหนุ่มกะจะแวะมาเอากระเป๋าเป้เพื่อใส่อุปกรณ์ยังชีพต่างๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนแปลงร่างเป็นค้างคาวเพื่อบินตามหาน่าจะสะดวกกว่า เลยเดินออกไปคุยโทรศัพท์เงียบๆ ไหว้วานให้ชาแมนมาเฝ้ายามผลัดที่สามช่วงใกล้รุ่งเช้าแทนเขา จากนั้นแวมไพร์หนุ่มก็อาศัยมุมมืดของป่า แปลงร่างเป็นแวมไพร์ตัวกระจ้อยที่ไม่รู้จะมีแรงบินได้ไกลแค่ไหน บินตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อไปสู่ภูมิประเทศแบบป่าชายเลน โชคดีที่ป่าชายเลนมีความยาวเพียงแค่ห้ากิโลเมตรและมีอยู่เพียงฝั่งเดียวของพื้นที่ที่ใช้ในการทำภารกิจ ทำให้ข้อสอบสามารถสโคปพื้นท
19อีกขั้นของความสัมพันธ์ บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ที่ก้าวเดินไปด้วยกันมีแต่ความเงียบสงบ หลังจากที่อาชวินโผล่มาช่วยพาข้อสอบออกจากสถานการณ์อันแปลกประหลาดตอนนั้น พวกเขาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีก สุดท้ายคนที่ทนความเงียบไม่ไหว ก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อน “ผมไม่ขอบคุณคุณหรอกนะ” เพราะผู้พันทำให้เขาต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ “ไม่ดีใจเหรอที่ได้รู้จักแวมไพร์ตนอื่นเพิ่ม” ข้อสอบหันขวับไปมองคนพูดหยอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แล้วคุณจะรู้สึกดีใจมั้ยล่ะครับถ้าเจอคนอุ้มแล้วพาวิ่งไปด้วยความเร็วสูงแบบนั้น” นักวิจัยหนุ่มแหวใส่ “เหวอออ” ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อร่างกายลอยขึ้นมาอยู่เหนือพื้น “อุ้มแบบนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงเจือรอยขำ ทำให้คนที่กอดคออีกฝ่ายแน่นเพราะกลัวตก จัดการทุบไหล่กว้างของอัลฟ่าหนุ่มเข้าให้หนึ่งป้าบ “คุณนี่มัน...” กวนตีนกว่าที่คิด “อารมณ์ดีได้หรือยัง” ลมหายใจร้อนที่เป่ารดแก้มเย็น ทำให้ข้อสอบที่เผลอสบตาผู้พันครู่หนึ่งต้องเบนหน้าหลบ ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงไปมากกว่านี้ “ไม่ใช่อุ้
18มนุษย์ก็แค่ของเล่น คนที่นอนมาตลอดทางค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากรู้สึกได้ถึงรถตู้หรูเจ็ดที่นั่งที่จอดนิ่งสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป พอขยับตัวก็รู้สึกได้ถึงเสื้อโค้ทที่ไหลลงไปกองอยู่บนตัก หันไปทางขวาก็เห็นคนที่นั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดทางกำลังเก็บแท็ปเล็ตที่เพิ่งปิดลงใส่กระเป๋า ตั้งแต่ขึ้นรถที่มีเพียงเขา ผู้พัน และคนขับรถมา ผู้พันอาชวินก็ไม่ซักถามอะไรสักคำ เอาแต่บอกให้เขานอนพักผ่อนให้เต็มที่ คนที่เตรียมใจว่าจะโดนดุเลยได้แต่แกล้งหลับตาอย่างงงๆ จนสุดท้ายก็เผลอหลับไปเอง หลับยาวจนมาตื่นเอาตอนนี้ “ขอบคุณครับ” ข้อสอบยื่นเสื้อโค้ทคืนให้กับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของ หัวใจอุ่นวาบนิดหน่อยกับความห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทั้งตอนที่ฝากนาทีเอายามาให้ และตอนนี้ “วันนี้ก็พักผ่อนซะเยอะๆ ล่ะ พรุ่งนี้ไปฝึกแค่ช่วงเช้าชั่วโมงเดียวพอ” จริงๆ อาชวินไม่อยากให้ข้อสอบมาฝึกต่อเลยด้วยซ้ำ แต่การจะให้คนตัวเล็กอยู่ใกล้ๆ กับเขาได้ ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น “เดี๋ยวก่อน” ผู้พันหนุ่มจับข้อมือ รั้งร่างของคนที่กำลังจะเปิด
17คนเนื้อหอม หากเด็กตรงหน้าอายุมากกว่านี้ล่ะก็... คนอื่นคงนึกว่ามีสาวหนีตามเขามาแน่ “ทำไมหนูถึงมาที่นี่ล่ะ” หลังจากที่เรียกเด็กหญิงวัยเก้าขวบนามว่าตัวเลขเข้ามาในบ้าน เพื่อป้องกันการครหานินทาจากเหล่าเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้อสอบก็เริ่มเปิดประเด็นทันที “หนูหิวค่ะ” พรืดดด แขนที่กำลังกอดอกอยู่อย่างคนจริงจังเลื่อนไถลไปบนโต๊ะหน้าโซฟาตามอาการเซของตน ทำไมเขาต้องเจอแต่คนที่ชอบไม่ตอบคำถามเขาก็ไม่รู้ เห็นกิริยาท่าทางของเด็กคนนี้แล้ว นึกถึงใครบางคนขึ้นมาตงิดๆ ถ้าบอกว่าเป็นพ่อลูกกันเขาคงจะเชื่อได้ง่ายๆ สุดท้ายนักวิจัยหนุ่มเลยต้องกระเตงตัวเลขไปฝากท้องที่ร้านป้าอ้วน ซึ่งอยู่นอกเขตทหาร “อ้าว ข้อสอบ หายไปไหนตั้งนาน นึกว่าจะลืมร้านป้าไปเสียแล้ว” แม่ครัวร้านอาหารตามสั่งที่กำลังควงตะหลิวโชว์ลีลาการผัดคะน้าน้ำมันหอยอยู่ ร้องทักดังลั่น “แล้วนี่เด็กที่ไหน น้องสาวเหรอ น่ารักน่าชังน่าเอ็นดูจริงเชียว” “ครับ” ตอบรับอย่างขี้เกียจอธิบาย ก่อนจะหันไปบอกเด็กที่แต่งตัวสีขาวดำเหมือนเดิมซึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างหลัง “อยากกินอ
16เสพติดความเย็น ท่ามกลางแสงสลัวของสุสานร้างกลางป่า ที่มีลมโชยและเสียงอีการ้องคลอเป็นระยะๆ มีร่างเปลือยเปล่าสองร่างเกาะเกี่ยวกันอย่างเร่าร้อนบนโลงศพ ความรู้สึกคับแน่นของการถูกสองนิ้วใหญ่ชำแรกเข้ามาในช่องทางเบื้องหลัง ดึงข้อสอบลงมาจากห้วงความฝันที่ล่องลอยอยู่จากการเล้าโลมอันช่ำชองของคนแก่กว่า อัลฟ่าหนุ่มค่อยๆ ขยับมือที่ชโลมไว้ด้วยเจลหล่อลื่นเข้าออกเพื่อเตรียมความพร้อมของคนที่ยังไม่เคยมาก่อน ปากทางสีชมพูสวยที่บานเข้าออกตามการขยับนิ้วของเขา มันช่างดึงดูดซะจนอยากจะจับแก่นกายยัดลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่หน้าตาเหยเกของร่างข้างใต้ ทำให้ผู้พันหนุ่มได้แต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เขาพรมจูบตามเปลือกตา ขมับ ข้างแก้ม จูบริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูดซับความอึดอัดของอีกฝ่ายมาไว้กับตัว จากสองนิ้วก็เพิ่มเป็นสาม มืออีกข้างจับเข้าที่แก่นกายขนาดใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่าของเขา เพื่อช่วยเพิ่มความหฤหรรษ์ให้คนที่กำลังจะต้องทนรับความเป็นจริงในอีกไม่กี่อึดใจ เมื่อนิ้วมือแกร่งหลุดออกมา ปลายลำของเขาก็ถูไถเบาๆ บนปากทางรักสีหวาน คนที่ถูกเล้าโลมจนเสียวซ่านอยากจะ
15แก้ทาง คราวนี้ข้อสอบมั่นใจในมนต์สะกดที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของตัวเองมาก ดวงตาอันแดงก่ำในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทนกลิ่นเลือดไม่ไหว แต่เป็นการที่เขาฝึกฝนตัวเองจนสามารถควบคุมการสะกดจิตได้ สีหน้าและท่าทางของผู้พันตัวโตพลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เหมือนกับครั้งแรกๆ ที่เขาสะกดอีกฝ่ายซะจนอยู่หมัด ฝ่ามือซีดขยับโบกไปมาหน้าดวงตาคมเข้ม ก่อนจะจับมือซ้ายที่สวมถุงมือสีขาวอยู่ยกขึ้นลงเหมือนเล่นกับตุ๊กตา ไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อต้านของร่างใหญ่ให้เห็น “หึ อัลฟ่าหรือจะสู้แวมไพร์” คนที่ใจพองโตกับความรู้สึกของการกลับมาเป็นผู้ล่าอีกครั้ง ใช้มือทั้งสองกดบ่ากว้างของคนที่นั่งอยู่ไว้แน่น เขี้ยวเล็กสองซี่ที่โผล่ขึ้นมาฝังลงไปบนลำคอแกร่งที่ยังคงเผยให้เห็นเส้นเลือดสวยไม่ต่างจากเดิม ของเหลวสีแดงที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนานแพร่กระจายความอุ่นวาบลงสู่หลอดอาหาร ระเบิดรสชาติกลมกล่อมซาบซ่านในปากจนถึงคอ กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งร่างให้เปิดออก หลังจากดื่มไปในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ข้อสอบก็หยุดยั้งตัวเองได้อย่างเฉียบขาดอย่างแวมไพร์มืออาชีพ ไอ้อยากน่ะก็อยากอยู่หรอ