หาเหยื่อใหม่
ทำไมวันนี้มีแต่คนมองเขาเยอะแปลกๆ
หรือเพราะเลือดคุณภาพดีเมื่อคืน ทำให้เขาดูแข็งแรงขึ้น ดูหล่อขึ้น?
ตั้งแต่ข้อสอบเดินเข้ามาในอาคารทำงาน ไล่ตั้งแต่ชั้นหนึ่งลงไปยันชั้นลบหนึ่งแล้ว ที่ใครต่อใครต่างก็มองมาทางเขา ไม่รู้ว่ามองด้วยเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่การมองเหยียดหรือมองในแง่ร้ายแน่ๆ
“นายไม่ได้สายตาสั้นหรอกเหรอ”
คำทักทายจากเพื่อนร่วมห้องทำงานเดียวกันวันนี้แปลกไปกว่าทุกที ทำให้ชายหนุ่มรู้สาเหตุทันที
เอ้า! เขาลืมใส่แว่นเสียสนิท
แต่ถึงไม่ได้ใส่แว่น ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้กลับงดงามสดใสชัดเจนไปซะหมด มิน่าตอนเช้าตอนเขาตื่นขึ้นมาในโลงศพถึงได้ลืมควานหาแว่นมาใส่ตามความเคยชิน
ก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันชัดเจนซะขนาดนี้ เขาก็นึกว่าตัวเองใส่แว่นอยู่น่ะสิ
“ขี้เกียจใส่แว่นน่ะ” ตอบกลับไปแบบกลางๆ ให้อีกฝ่ายไปเดาเอาเองว่าเขาใส่คอนแทคเลนส์อยู่หรือเป็นคนสายตาปกติที่ใส่แว่นเล่นๆ กันแน่
ไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนเขาทำแว่นหล่นทิ้งไว้ไหน เพราะหลังจากดื่มเลือดเสร็จ เขาก็แวะไปที่อาคารศูนย์วิจัยต่อ กว่าจะได้กลับบ้านมานอนก็ตีสองแล้ว
ส่วนผลการวิเคราะห์เลือดเมื่อหลายวันก่อนน่ะเหรอ ก็...อืม เอาเป็นว่ายังสรุปอะไรไม่ได้ก็แล้วกัน ต้องรอผลตรวจดีเอ็นเอก่อน
“คุณข้อสอบ ท่านผู้พันเรียกพบครับ”
ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไรออกไป เลขาโอเมก้าขี้สงสัยก็โผล่เข้ามาเสียก่อน
ทำไมเขาถึงหาว่าอีกฝ่ายขี้สงสัยน่ะเหรอ?
เจอหน้ากันทีไร ก็ถามเอาๆ จนคนที่ไม่ค่อยอยากพูดกับคนอื่นแบบเขาโดนซักจนจะสะอาดหมดแล้ว
ทีอยู่กับเจ้านายไม่เห็นจะพูดอะไร ทีอยู่กับเขานี่ทั้งคุยทั้งถามไม่หยุดจนปวดหูไปหมด
“วันนี้คุณข้อสอบไม่ใส่แว่นแล้วหน้าตาดูเปลี่ยนไปเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ” นาทีชวนคุยขณะที่ทั้งคู่กำลังขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด
“...”
“อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมว่าแบบนี้ก็ดี ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ”
คนที่จู่ๆ ก็โดนชมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่ได้เขินแต่อย่างใด กลับงงคนที่ก่อนหน้านี้ดูไม่ค่อยจะชอบหน้าเขาเสียมากกว่า
ถามแบบจับผิดมาตั้งนาน วันนี้ดันมาแปลก กินอะไรผิดสำแดงมาหรือไง
“ถึงกับอึ้งไปเลย นี่ผมชมจริงๆ นะ”
“ขอบคุณครับ”
หรือว่าเขากำลังโดนโอเมก้าจีบ?
ถึงแม้สมัยก่อนจะโดนลูกค้าที่ร้านสะดวกซื้อแซวเล่นอยู่บ่อยๆ แต่ยังไม่เคยเจอใครมาจีบแบบจริงๆ จังๆ สักที
ข้อสอบเลิกสนใจคนที่ชวนคุยอะไรแปลกๆ เพราะสงสัยเรื่องสายตาของตัวเองมากกว่า
เป็นไปได้ไหมว่าพอเขาได้ดื่มเลือดคนครบสามครั้ง ค่าสายตาจึงกลับมาเป็นศูนย์
“เชิญครับ” นาทีผายมือไปทางประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดออกกว้าง เมื่อพวกเขาเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุด หน้าของทำงานของผู้พัน
“อ้าว คุณไม่เข้าไปด้วยเหรอ”
คราวนี้คนพูดเยอะเพียงแค่ยิ้มให้อย่างสุภาพ ก่อนจะปิดประตูลงต่อหน้าต่อตา ทิ้งนักวิจัยหนุ่มให้อยู่เพียงลำพังกับเจ้านายของตน
ห้องทำงานยังเหมือนเดิมทุกอย่าง มีเพียงกล้องวงจรปิดที่เพิ่มมากขึ้น
อืม... แล้วคนที่เพิ่งถูกเขาดูดเลือดไปเมื่อคืนก็ดูตัวซีดลงนิดหน่อย
คงไม่ตายง่ายๆ หรอกมั้ง
“สวัสดีครับ”
ข้อสอบยกมือไหว้คนที่อายุมากกว่าตามมารยาท ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับและผายมือให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของตน
“แว่นตาของเธอใช่มั้ย” เจ้าของห้องพยักพเยิดไปยังแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมทรงแฟชั่นที่วางอยู่บนแท็ปเล็ต
“ไม่ใช่ครับ”
ฉิบหายแล้วไง นึกว่าลืมแว่นตาไว้ที่บ้านตัวเอง ที่ไหนได้กลับลืมไว้ที่บ้านของท่านผู้พัน!
ต้องเป็นตอนที่เขาพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายแน่ๆ
นึกย้อนไปแล้วก็ยังหงุดหงิดไม่หาย เมื่อคืนเขาลบความจำเหยื่อเสร็จ กำลังจะจากไปดีๆ อยู่แล้วเชียว กลับถูกอีกฝ่ายกระชากข้อมืออย่างแรงจนเผลอล้มไปนอนพังพาบเกยตักหนา แถมยังโดนตีก้นเสียแรงอีก
มันน่าเจ็บใจตรงนี้แหละ ตีก้นเชียวนะ! ครูเขายังไม่เคยตีเขาแบบนี้เลย
“แล้วทำไมวันนี้ไม่ใส่แว่น”
ชายหนุ่มที่โดนซักไซ้ขยับตัวอย่างอึดอัดกับบรรยากาศที่เริ่มกดดันแปลกๆ
เหมือนนักโทษกำลังโดนสอบปากคำเลย
“ผมไม่ได้สายตาสั้น แว่นที่ผมใส่ก็เป็นแว่นแฟชั่นเฉยๆ”
โชคดีที่ประสบการณ์ทำงานพาร์ทไทม์อันล้นหลาม ทำให้เขาโกหกได้อย่างลื่นไหล แต่ก็แอบเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน ถึงแม้คนปกติจะไม่รับรู้ถึงฟีโรโมนของอัลฟ่า แต่ความกดดันของคนที่คุมลูกน้องมาเป็นร้อยเป็นพันนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เหงื่อแทบแตก ตัวเกือบสั่น
“อ้อ... ฉันคงเข้าใจผิดไปเอง”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงฟังดูไม่เชื่อเลยสักนิด นิ้วชี้กับนิ้วโป้งที่ดูใหญ่ยาวกว่านิ้วมือของนักวิจัยหนุ่มค่อนข้างมากหนีบแว่นตาที่วางอยู่ขึ้นมามองเพียงเล็กน้อย
ฟึ่บ
ก่อนจะโยนผ่านหน้าของข้อสอบ พุ่งลงไปยังถังขยะขนาดเล็กที่อยู่ข้างประตูอย่างแม่นยำ
เฮ้ย! แว่นตานั่นเขาตัดมาตั้งแพงนะ เกือบเท่าหนึ่งในสามของเงินเดือนเลย
“เอาล่ะ งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว เธอกลับไปได้”
“อ้าว” คนที่กำหมัดแน่นถึงกับร้องอุทาน ไหนว่าจะเรียกมาคุยเรื่องงานไง
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจความในใจของเขา เพราะพูดต่อว่า
“เดี๋ยวอีกสองวันจะมีประชุมความคืบหน้าตามที่แจ้งไว้ ส่วนเรื่องงาน ถ้ามีอะไรก็ติดต่อทางอีเมลหรือโทรมาได้ตลอด หรือจะขึ้นมาหาฉันบ่อยๆ ก็ได้”
ท้ายประโยคทอดเสียง แถมสายตายังดูลุ่มลึกแปลกๆ หากแต่คนฟังกลับไม่รับรู้แต่ประการใด
หึ เกรงว่าถ้าผมขึ้นมาหาคุณบ่อยๆ เลือดคุณจะหมดตัวซะก่อนน่ะสิ ท่านผู้พัน
“ครับ”
ข้อสอบเพียงตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปแบบคนปกติ ไม่ได้เป็นค้างคาวหนีออกทางหน้าต่างแบบครั้งก่อน
โดยไม่ลืมเมียงมองไปยังถังขยะเป็นครั้งสุดท้ายอย่างเสียดาย
ปึง!
ไม่ได้การล่ะ
ข้อสอบตบโต๊ะที่ร้านอาหารตามสั่งเสียงดังเมื่อความคิดตกผลึก
“ว้าย หี้แหก”
ป้าอ้วนสะดุ้งตัวโยน ตะหลิวกระเด็นตกพื้น มือยกขึ้นมาลูบหน้าอกปลอบขวัญตัวเอง
“ขอโทษครับป้า” คนที่แวะมาเอาของที่บ้านเก่า และมาสั่งอาหารของป้าอ้วนไปแจกน้องหมา รีบเอ่ยออกมา ไม่นึกว่าการกระทำของเขาจะทำให้อีกฝ่ายตกใจได้ขนาดนี้
“มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จานะ อย่าเพิ่งทำลายข้าวของ” ลุงใหญ่ที่กำลังล้างจานอยู่ถึงกับโผล่หน้าออกมาพูดด้วย
“ครับๆๆ”
ได้แต่พยักหน้ารัวๆ เป็นไก่จิก ไม่กล้าขยับตัวหยิบจับอะไรอีก โชคดีที่เขาไม่เผลอใช้พละกำลังของแวมไพร์จนทำโต๊ะหัก
เมื่อกี้เขากำลังคิดเรื่องของผู้พันอาชวินอยู่ และเขาก็คิดได้ว่าท่านผู้พันจะต้องระแคะระคายอะไรแน่ๆ ถึงได้ติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม แถมยังเรียกเขาไปถามเรื่องแว่นโดยที่ไม่มีเรื่องสำคัญเรื่องอื่นอีก
ทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนี้ ทำไมเขาถึงโง่อย่างงี้นะ
สงสัยเขาต้องหักห้ามใจจากเลือดอันแสนพิเศษ ไปหาถุงเลือดเดินได้คนอื่นแทน
ได้พักในเขตบ้านพักทหารก็ดีเหมือนกัน ตัวเลือกเยอะแยะ มันต้องมีเลือดที่อร่อยเหมือนที่เขาเคยกินบ้างแหละน่า
โดยไม่รอช้า หลังจากทำธุระที่บ้านเก่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในยามค่ำคืน เขาก็เดินออกจากบ้านในเขตทหารของตนไปตามถนนที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากเสาไฟทันใด
เพียงเดินออกจากซอยได้ไม่นาน ก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ตีกันไปหมด แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เขาก็ยังไม่เจอกลิ่นเลือดที่หอมเย้ายวนชวนดื่มเหมือนเลือดของอัลฟ่าคนนั้น
สุดท้ายข้อสอบก็เลยสุ่มๆ เลือกบ้านหลังหนึ่งที่มีขนาดเหมือนบ้านของเขา ไม่ใช่บ้านสองชั้นและมีพื้นที่สำหรับสวนรอบบ้านแบบบ้านของผู้พัน
อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าเหยื่อในคราวนี้จะเป็นเพียงทหารธรรมดาๆ ไม่นำปัญหามาให้กับเขา
กลิ่นเลือดจากบ้านหลังนี้มีเพียงกลิ่นเดียว ทำให้แวมไพร์หนุ่มรู้ว่าไม่มีคนอื่นอาศัยอยู่ในบ้านด้วย
แต่ขณะที่กำลังจะเปิดประตูบ้านเข้าไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านหลังซึ่งอยู่ติดกัน ก็ดึงดูดความสนใจไปได้อย่างชะงัก
เหล่าผู้ชายร่างใหญ่โตหลายคนกำลังวิ่งเข้าไปยังบ้านหลังนั้น นอกจากนี้ยังมีผู้ชายคนอื่นกำลังทยอยตามมาช้าๆ
ชายร่างผอมในฮู้ดดี้สีแดง (แต่คนละตัวกับครั้งก่อน) ทนความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ไหว ตัดสินใจเดินไปยังบ้านข้างๆ แทน
น่าแปลกที่ถึงแม้เขาจะเดินไปแบบโต้งๆ ไม่ได้พรางตัวใดๆ ก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับเขาเลยสักนิด
ทุกคนต่างมุ่งเข้าไปในบ้านที่ประตูถูกเปิดโล่งไว้ พุ่งไปยังคนที่มีกลิ่นเลือดเหมือนกลิ่นน้ำหอมที่ค่อนข้างจะฉุนเกินไปหน่อย ไม่ตรงกับรสนิยมของข้อสอบ
ถ้าเดาไม่ผิด การที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้มีอยู่กรณีเดียวเท่านั้นคือมีโอเมก้ากำลังฮีตและส่งกลิ่นฟีโรโมนฟุ้งกระจายไปทั่ว
ไม่น่าเชื่อว่าในค่ายทหารที่ควรจะมีการป้องกันไม่ให้โอเมก้าฮีตอย่างเคร่งครัด จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้
แวมไพร์หนุ่มเดินไปหยุดอยู่ข้างนอกหน้าต่างห้องห้องหนึ่งที่มีเสียงดังลอดออกมาชัดเจน
“อ๊า แรงอีก แรงกว่านี้”
เสียงครางกระเส่าดังมาจากร่างชายหนุ่มที่เกือบจะเปลือยเปล่า ผู้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงควีนไซต์ เสื้อผ้าบนร่างถูกดึงทึ้งฉีกกระจายจากแรงของตนและชายหนุ่มร่างใหญ่โตอีกคน
ปั่บๆๆ
เสียงกระทบของเนื้อสดดังลั่นห้องไปหมด
ถึงแม้จะไม่ได้กลิ่นฟีโรโมน แต่กลิ่นคาวโลกีย์ของน้ำกามก็ฟุ้งกระจายเต็มห้องจนคนที่แอบมองอยู่เกือบสำลัก มันปนกับกลิ่นเลือดฉุนๆ จนทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียน
“อมของกูนี่”
“อ๊อก”
ไม่เพียงเท่านั้น ร่างของชายหนุ่มที่เข้ามาในห้องอีกคนก็รูดซิปกางเกงและจับแก่นกายอันใหญ่โตยัดเข้าไปในปากเล็กจนมิดด้าม เล่นเอาเจ้าของปากจุกไปหมด
“ร่านนักนะมึง” ชายคนแรกกระแทกแรงขึ้นเมื่อเห็นคนที่กำลังฮีตเต็มใจอมให้กับชายอีกคนอย่างช่ำชอง จนเตียงสั่นสะเทือนไปหมด
หนังโป๊ก็เคยดูมาบ้าง แต่ไม่นึกว่าจะได้ดูหนังสดแบบนี้
คนถ้ำมองกำขอบหน้าต่างแน่นจนเห็นเส้นเลือดบนมือชัดเจน
“ดี... ลึกมาก ตอดอีก ซี้ดดด ฉันชอบ”
แต่ขณะที่กำลังลุ้นอยู่กับฉากเข้าด้ายเข้าเข็ม โลกของข้อสอบพลันมืดสนิทด้วยมือใหญ่ของใครบางคน
พลั่ก!
แขนของผู้บุกรุกถูกจับ ร่างทั้งร่างถูกเหวี่ยงผ่านอากาศจนกระแทกพื้นอย่างง่ายดายและรวดเร็วด้วยความแข็งแกร่งของแวมไพร์
“อะ อ้าว”
พอมองร่างที่กำลังนั่งลูบเอวตัวเองอยู่บนพื้น ชายหนุ่มก็ต้องตกใจ เพราะคนที่เขาเพิ่งประทุษร้ายไปเมื่อครู่คือเจ้านายของเขาเอง
“เป็นอะไรมั้ยครับ ท่านผู้พัน”
หวังว่าเลือดในตัวจะยังปกติดีนะ...
หากคนที่ได้รับความเป็นห่วงเป็นใยรู้ความในใจที่แท้จริง คงจะเจ็บปวดน่าดู
อาชวินในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลอยู่บ้านสบายๆ ขับเน้นให้เห็นกล้ามเนื้อทั้งท่อนแขนและท่อนขา ยอมรับความช่วยเหลือจากมือเล็กที่ยื่นมาช่วยพยุง
“ผมเผลอไปหน่อยน่ะครับ นึกว่าเป็นพวกคนไม่ดี แหะๆ”
สงสัยผู้พันจะยังงงแน่ๆ ว่าทำไมเบต้ารูปร่างธรรมดาๆ ถึงมีแรงจนจับอัลฟ่าทุ่มได้ เลยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ข้อสอบหันกลับไปสนใจที่เหตุการณ์ข้างในบ้านต่อ
ดูเหมือนว่าชายคนแรกจะยังไม่ได้เสร็จสมดังใจหมาย เพราะถูกขัดจังหวะจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ได้กลิ่นฮีตและเริ่มทยอยเข้ามาในห้อง แต่ละคนล้วนขาดสติยั้งคิด ต่างอยากจะเข้าไปมีอะไรกับโอเมก้าหนุ่มจนเริ่มเกิดการต่อสู้กันขึ้น
ทุกอย่างมันวุ่นวายจนสายตาของคนถ้ำมองยังโฟกัสไม่ถูก รู้ตัวอีกทีโอเมก้าหนุ่มที่กำลังขาดของแบบสุดๆ ก็เป็นฝ่ายจับไอ้นั่นยัดเข้าไปช่องสวาทของตนถึงสองแท่ง
เขมือบทีเดียวสองอันเลยเนี่ยนะ!
เร่าร้อนมากคุณน้าาา
ได้เห็นฉากแบบนี้เต็มสองตา แวมไพร์หนุ่มถึงกับช็อก ขาแข็งก้าวไม่ออก
อาชวินที่เห็นร่างเล็กกว่ายืนเป็นบื้อใบ้ไปแล้ว เลยจัดการอุ้มคนตัวแข็งขึ้นพาดบ่า พาเดินหนีออกไปจากหนังสดนี้
กว่าข้อสอบจะได้สติกลับมาอีกครั้ง พวกเขาก็อยู่ห่างจากบ้านหลังนั้นมาไกลแล้ว
“ปล่อยผมลงเถอะครับ”
เพียงแค่เอ่ยบอก อัลฟ่าตัวโตก็ปล่อยเขาลงอย่างง่ายดาย
“ได้สติก็ดีแล้ว”
“ทำไมคุณถึงไม่รัตเหมือนอัลฟ่าคนอื่นล่ะครับ”
ร่างทั้งสองเดินเคียงข้างกันริมถนนในยามค่ำคืน ถึงแม้จะอยู่ใกล้กันค่อนข้างนานกว่าปกติ แต่ข้อสอบก็สามารถทนความเย้ายวนของกลิ่นเลือดได้ เนื่องจากเขาเพิ่งดูดเลือดอีกฝ่ายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“เป็นพรสวรรค์ที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลน่ะ”
เท่าที่ข้อสอบทราบ ตระกูลธาดาศิริกุลของผู้พันอาชวิน เป็นตระกูลที่มีประวัติมายาวนานตั้งแต่สมัยประเทศทีแอลเพิ่งเริ่มมีการบันทึกประวัติศาสตร์ของตน แต่เดิมชื่อว่าตระกูลทาดา มีบทบาทสำคัญทางด้านขุนนางและการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งของสายเลือด ที่มักจะให้กำเนิดอัลฟ่าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ทุกคนล้วนเกิดมาเป็นอัลฟ่า
ปัจจุบันตระกูลนี้มีบทบาทค่อนข้างเยอะทางด้านบัญชาการรบ และมีธุรกิจผลิตอาวุธสำหรับการสู้รบกับดาวอื่น เป็นคู่ค้าสำคัญกับรัฐบาลทีเอลและรัฐบาลหลายๆ ประเทศ
ความที่มีลูกหลานในตระกูลทำงานอยู่ฝ่ายยุทธศาสตร์การรบ ไม่ได้ทำให้งานวิจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเขตทหารรั่วไหลออกไปสู่ธุรกิจตระกูลแต่อย่างใด เพราะอาวุธของภาคเอกชนและรัฐบาลต่างใช้เทคโนโลยีของใครของมัน
มีบ้างที่ถูกสงสัยและใส่ร้ายป้ายสีจากเหล่านักข่าว แต่ตระกูลธาดาศิริกุลก็กำราบทุกอย่างไว้ได้เสมอ
“อย่างงี้นี่เอง” พยักหน้าหงึกๆ จนผมสีน้ำตาลเข้มพลิ้วไหว เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ส่องประกายสีทองสวยท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืน “เอ๊ะ แต่ความลับแบบนี้คุณเอามาบอกผมได้เหรอ”
รอยยิ้มผุดขึ้นน้อยๆ บนใบหน้าที่มักจะเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
“เธอเชื่อด้วยเหรอ”
“อ้าว”
“มีที่ไหนเล่าเรื่องพรรค์นั้น ฉันก็แค่ฝึกฝนตัวเองมาตั้งแต่เด็กก็เท่านั้นเอง”
“โธ่ หลอกกันได้ลงคอ”
ฮึ่ย เกลียดจริง ไอ้พวกคนที่หลอกคนอื่นได้หน้าตายเนี่ย ต่อไปนี้เขาจะไว้ใจใครได้บ้าง
หมดอารมณ์จะคุยต่อ เด็กน้อยในคราบนักวิจัยหนุ่มเลยเดินหนีออกมาอย่างเซ็งๆ
“จะไปไหน”
“ไปหาของกินครับ”
ตอบโดยไม่ทันได้คิดเพราะเจ็บใจที่ตัวเองไม่ทันคนสักที โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ได้ยินถึงกับขบกรามแน่นให้กับคำพูดนั้น
7กรีดเลือดเสนอตัว “นี่ครับ อาหารที่พี่สั่ง” พนักงานร้านข้าวต้มโต้รุ่งหยิบจานอาหารจำนวนมากบนถาด วางลงบนโต๊ะที่มีผู้ชายนั่งกันอยู่สองคน “ขอสั่งยำสามกรอบ กับไชโป๊ผัดไข่เพิ่มด้วยนะ” “คุณจะกินเพิ่มอีกเหรอครับ” เพื่อนร่วมโต๊ะถึงกับหันขวับไปถามคนที่สั่งอาหารเพิ่ม ทั้งที่บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยยำไข่เค็ม ผัดผักบุ้ง ผัดหอยลาย หมูมะนาว ใบเหลียงผัดไข่ ยำกุนเชียง และปลาราดพริกแล้ว “ฉันสั่งมาให้เธอ” “แต่ผมไม่หิว” “ไหนบอกมาหาของกินไง” ของกินที่เขาหมายถึงน่ะ คือเลือดต่างหากเล่า “...” ข้อสอบบุ้ยปากอย่างเซ็งๆ โดนหลอกยังไม่พอ ต้องโดนพามาเจอกับอาหารที่เขาไม่ได้กลิ่น แถมยังกินไม่ได้อีก นี่มันจะบังคับกันเกินไปแล้ว! “อะ กินเยอะๆ” นอกจากจะไม่เข้าใจลูกน้องของตนแล้ว ยังตักกับข้าวใส่ถ้วยข้าวต้มกุ๊ยเล็กๆ จนล้นทะลักอีก “คุณมีความคิดเห็นยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้บ้างครับ” นักวิจัยหนุ่มเขี่ยข้าวต้มไปมา “ไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ” ปึก! “ใช่มะ ผมก็คิดแบบ
8รสนิยมประหลาด อาชวินมองสัตว์ตัวจ้อยที่กำลังหาทางบินหนีออกจากห้องทำงานด้วยสีหน้าสงบ แต่ข้างในจิตใจนั้นเหลวเป๋วสิ้นดี ใจอ่อนยวบยาบไปหมดเมื่อได้เห็นสัตว์ขนปุกปุย แถมยังตัวเล็กจิ๋วแบบที่ตนชอบนักชอบหนา ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนว่าเขามีรสนิยมชอบสัตว์ตัวเล็ก และไม่คิดที่จะเลี้ยงแมวป่า เสือ หรือสิงโตเหมือนญาติคนอื่นๆ แต่ต่อให้เขาจะคลั่งไคล้และแอบเล่นกับลูกแมว นก หนูแฮมสเตอร์มามากแค่ไหน เจ้าค้างคาวตรงหน้ากลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในใจ มาแรงแซงทางโค้งบดเบียดสัตว์อื่นหล่นตุ้บไปอย่างง่ายดาย ไม่ต้องอาศัยพละกำลังอันมากล้นของอัลฟ่าเพื่อพยายามกดพลังของผีดูดเลือดอีกต่อไป เพราะเขาสามารถใช้เพียงอุ้งมือเดียวรวบสองเท้าของค้างคาว จับห้อยหัว หิ้วไปมาได้อย่างสะดวกสบาย “เป็นค้างคาวไปตลอดเลยก็ดีนะ” “จี๊ดๆๆๆ” เสียงประท้วงของค้างคาวดังขึ้น “โอ้ ยังฟังรู้เรื่องอยู่สินะ” เพียงขยับตัวนิดเดียว กรงนกขนาดใหญ่อันว่างเปล่าที่ถูกตั้งอยู่ในห้องมาเนิ่นนานก็ถูกเติมเต็มไปด้วยร่างของค้างคาวที่พยายามจะพุ่งหนี แต่ก็ไม่ทันประตูกรงที่ถู
9กลับสู่จุดเริ่มต้น “ถ้าช่วย แล้วผมจะได้อะไร” “...” “เลือด ผมจะไปหากินที่ไหนก็ได้ เงิน ผมก็มีพอใช้อยู่แล้ว” “เธอคิดว่าเธออยู่ในจุดที่ต่อรองได้อย่างงั้นเหรอ?” คนที่หลงลืมไปว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกรู้ความลับเข้า เริ่มวิตกกังวล “นี่คุณคิดจะแบล็กเมล์ผมหรือไง” อาชวินไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นเดินโทงๆ ไปหยิบเสื้อผ้าขนาดเล็กที่สุดในตู้มาโยนลงตรงหน้าคนที่ผิวกายทำให้เขารู้สึกไม่มีสมาธิจะคุยด้วยเท่าไหร่ จากนั้นก็เดินไปหยิบกุญแจมาปลดโซ่ที่ล็อกข้อเท้าอีกฝ่ายออก คนที่จู่ๆ ถูกปล่อยตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รีบคว้าเสื้อผ้ามาสวมปกปิดเรือนร่างของตนอย่างรวดเร็ว “เอาเถอะ ฉันอยากบังคับคนที่ไม่ยินยอมหรอกนะ” คนฟังแอบรู้สึกเฟลอยู่หน่อยๆ โธ่เอ๊ย ไม่น่าอวดเก่งเลยเรา ดันถามถึงของแลกเปลี่ยน แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่สนใจ ไม่เอาด้วยสักอย่าง รู้สึกเสียศักดิ์ศรี ที่เอ่ยปากจะทำให้ แล้วอีกฝ่ายดันไม่เอา ข้อสอบไม่อยากจะยอมรับเลยว่า ถึงแม้เขาจะมีตัวเลือกอื่นๆ อีกมากมาย แต่การได้ดูดเลือดผู้พันเสียหลายครั้ง มันทำให้เขาติดใจและ
10ตับๆ ตับๆ บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างเคร่งเครียด “เขาจะปักหลักอยู่ที่นี่ถาวรเลยเหรอ” “มีแววว่าจะใช่ว่ะ” เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นเบาๆ จากเหล่าทหารในชั้นลบหนึ่ง ถึงแม้จะย้ายมาทำงานอีกที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยคือเสียงพูดคุยถึงเรื่องคนอื่นอย่างคนคันปาก ไม่เว้นแม้กระทั่งจากปากของทหารหาญตัวใหญ่ยักษ์ ผ่านเหตุการณ์อันน่าอัปยศอดสูของการเผยร่างค้างคาวหกเต้าและเรือนร่างเปลือยเปล่าให้พันตรีอาชวินได้เห็นมาก็หลายวันแล้ว แต่ไม่มีวันไหนที่เจ้านายจะกลับไปทำงานยังห้องทำงานชั้นบนสุดของตน วันๆ เอาแต่นั่งในห้องทำงานที่ชั้นลบหนึ่ง จนข้อสอบรู้สึกเหมือนมีเจ้ากรรมนายเวรมาตามเฝ้า “อะแฮ่มๆ ฉันมีเรื่องจะแจ้ง” และแน่นอนว่านาที เลขาหน้าห้องก็ต้องคอยเดินไปเดินกลับระหว่างชั้นล่างสุดและบนสุดอยู่บ่อยๆ เพราะความเอาแต่ใจของเจ้านายตน โอเมก้าหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้กล่าวประกาศ “วันนี้ท่านผู้พันจะพาทุกคนไปเลี้ยงอาหารเย็น ใครมีธุระอะไรให้ยกเลิกซะ” “โอ้โห ลาภปาก” “เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรเหรอ”
11หนูน้อยข้อสอบ “มาติดต่ออะไรเหรอคะ ต้องการพบผู้อำนวยการหรือเปล่า” มะเหมี่ยวเอ่ยกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดสีเขียวมะกอกและกางเกงแบบทหาร เธอมั่นใจว่าเธอไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน เพราะบุคลิกภาพที่ดูทรงอำนาจซึ่งแผ่ออกมา บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์และความโดดเด่นที่แตกต่างไปจากคนอื่น คนที่โดดเด่นแบบนี้ ไม่มีทางที่เธอจะจำไม่ได้ “ผมอยากมาบริจาคน่ะครับ” “ถ้าอย่างนั้นเชิญที่ห้องผู้อำนวยการก่อนเลยค่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินนำไปยังห้องสำนักงานขนาดเล็กที่อยู่ชั้นแรกของอาคาร “เสียดาย คุณมาช้าไปหน่อย เด็กๆ เพิ่งรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จ” “ครับ” อาชวินเพียงตอบรับสั้นๆ เหตุผลที่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะเขานึกถึงประวัติของข้อสอบขึ้นมาได้ ตอนที่อ่านประวัติคร่าวๆ เป็นครั้งแรก ในนั้นระบุว่าลูกน้องตนเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติ และถูกเลี้ยงดูมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสองขวบดี เนื่องจากเขามาทำธุระแถวนี้ ก็เลยอยากแวะมาที่นี่ด้วย ธุระที่เขาทำก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่มาก่อเหตุในเขตบ้านพักทหารคืนนั้น
12ตัวขัดขวาง คนที่กำลังเดินออกจากที่ทำงานถึงกับชะงักเมื่อเห็นผู้ชายที่ยืนพิงรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่สีดำอยู่ ทรงผมและการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาเป็นจุดรวมความสนใจของคนที่ผ่านไปมา มองมาซะขนาดนี้ ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ได้ว่ามารอเขาโดยเฉพาะ “ไฮ” ชาแมนยกมือขาวๆ ขึ้นทักทาย “มาหาผมมีอะไรหรือเปล่า” “คุณสนิทกับทหารคนนั้นเหรอ” สัปเหร่อหนุ่มพยักพเยิดไปทางผู้พันอาชวินที่กำลังเดินลงมาจากอาคาร คนที่มีชนักติดหลังรีบหันหน้ากลับมาอย่างร้อนตัวทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคืนก่อนเขาก่อเรื่องอะไรไว้ โชคดีที่วันนี้อีกฝ่ายน่าจะมีประชุมทั้งวัน ทำให้ไม่ได้ลงมาสิงสถิตยังชั้นลบหนึ่งเหมือนวันอื่น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะหนีรอดไปได้สักกี่น้ำ ทำงานก็ทำที่เดียวกัน บ้านก็ใกล้กันซะขนาดนี้ “เป็นเจ้านายกับลูกน้อง จะให้สนิทขนาดไหนล่ะ” ข้อสอบตอบ “แน่ใจเร้อออ” คำพูดล้อเลียนกับหน้าตาเหมือนคนไม่เชื่อ ทำให้นักวิจัยหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น หรือว่าเขาจะไปรู้อะไรบางอย่างมา? “ผมไปเอามอเตอร์ไซต์ก่อนดีกว่า จะไปคุยกันที่ไ
13แวมไพร์สาวสวย ขวับ หันไปมองข้างหลังก่อนจะหันหน้ากลับ ขวับ หันไปอีกที แต่ไม่เจอแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดๆ คราวนี้ข้อสอบเดินต่อไป ไม่คิดจะหันกลับไปมองอีกแต่อย่างใด เอาจริงเขาไม่ต้องหันกลับไปมอง ก็สามารถรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังแอบตามเขาอยู่ ก็ตอนนี้น่ะคือยามค่ำคืนที่เขาสามารถรับรู้กลิ่นเลือดจากสิ่งมีชีวิตได้ทุกสิ่งอย่างน่ะสิ แต่ที่เมื่อกี้หันหลังไปมองก็เพราะอยากจะแกล้งใครบางคนให้ใจหายใจคว่ำเล่นๆ เฉยๆ ไม่รู้ว่ามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ เพื่อนร่วมงานจากแผนกเอชเอชซีถึงได้คอยแอบเดินตามเขาต้อยๆ ตั้งแต่เขาเดินออกจากบ้านมาเดินเล่น วันนี้หลังเลิกงาน ข้อสอบแวะซื้ออาหารร้านป้าอ้วนไปแจกจ่ายให้กับสัตว์จรจัด ก่อนจะกลับมาบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้า เล่นเกมไปสองตา และออกมาเดินเล่น กะจะเดินไปเรื่อยๆ จนถึงภูเขาที่ล้อมเขตทหารไว้ และหาที่ฝึกพละกำลังของตน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแอบตามเขามาตั้งแต่ตอนไหน แต่ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน กลิ่นแบบเดียวกับที่เคยได้รับตอนเจอกันที่ห้องทดลองของศูนย์วิจัยเอ็กวายแซดก็โชยมา นักวิ
14เมียเก็บ...ไม่ เหยื่อเก็บ...ใช่ ณ สนามฝึกลับเขตยูฟ่า เหล่าทหารหาญยศร้อยตรีขึ้นไปที่วันๆ มักจะใช้ชีวิตอยู่ในอาคารซะเป็นส่วนใหญ่ ล้วนปรากฏกายอยู่ในที่แห่งนี้ ในทุกปี ทหารที่ทำงานอยู่ในเขตต่างๆ จะต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปฝึกฝนร่างกายที่เขตข้างเคียงเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน และคราวนี้ก็ถึงเวลาของหน่วยรบที่สิบเอ็ด เขตเจ็ด ที่อาชวินเป็นผู้บัญชาการ ฝ่ายยุทธศาสตร์การรบที่อาชวินดูแลอยู่ จริงๆ แล้วหมายรวมถึงทุกหน่วยรบในเขตเจ็ด แต่หากนับอำนาจทางการทหารแล้ว อาชวินมีอำนาจในการดูแลเพียงหน่วยรบที่สิบเอ็ดที่มีทหารทั้งหมดหนึ่งร้อยคนเท่านั้น การต้องฝึกฝนร่างกายเป็นประจำทุกปีนับว่าเป็นไอเดียที่ดี ช่วยลดจำนวนทหารพุงพลุ้ยลงได้มาก แต่ข้อสอบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงต้องมาด้วย นักวิจัยหนุ่มได้แต่ยืนถือกระเป๋าเสื้อผ้าเคว้งคว้างท่ามกลางดงชายล้วนที่กำลังเลือกเตียงนอนของตนเอง โรงนอนขนาดใหญ่ที่เขาจะต้องใช้เป็นที่ซุกหัวนอนต่อไปอีกเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้น เต็มไปด้วยเตียงสองชั้นและตู้เสื้อผ้าเหล็กที่ตั้งอยู่ข้างเตียงเป็นจำนวนมาก โชคดีที่ในยุคสมัย
บทส่งท้าย แม้จะเป็นแฟนกันแล้ว แต่คนบ้างานก็ยังคงบ้างานต่อไป ดีหน่อย ที่ถึงแม้จะมีไปประชุมต่างเขตจนต้องกลับบ้านดึกดื่นเป็นบางวัน แต่อาชวินก็ไม่เคยไปค้างที่อื่น และไม่หอบเอางานกลับมาทำที่บ้าน ข้อสอบที่นับวันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเป็นแม่บ้านเข้าไปทุกที ได้แต่นั่งกอดตุ๊กตาน้องเต่า เป็นนักเลงคีย์บอร์ดในเรดดิตและสอดส่องหาของแต่งบ้านต่อไป ถึงแม้จะทำงานกันคนละอาคาร แต่ยามเลิกงาน ข้อสอบกับอาชวินมักจะเจอกันอยู่เสมอ ไม่ที่บ้านของเขา ก็บ้านของอีกคน เดินไปมาหาสู่กันจนอาชวินขอให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านสองชั้นของตนแทน เลยได้ถือโอกาสย้ายของทุกอย่างออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ที่อยู่นอกเขตทหาร จะได้ปล่อยเช่าซะ พอย้ายของมา ก็เลยได้ตกแต่งบ้านอย่างจริงจังเสียที บ้านที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นตอนนี้ เลยมีของตกแต่งเพิ่มขึ้นมา ทำให้ดูเป็นเหมือนบ้านมากขึ้น นอกจากนี้บ้านของอาชวินยังมีห้องนอนที่ชั้นหนึ่งเยื้องออกไปทางข้างหลัง สะดวกให้ตัวเลขอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก วันนี้อาชวินก็บินไปทำงานที่ต่างเขตแต่เช้ามืด และน่าจะกลับมาถึงเร็วๆ
22คำเตือนสุดท้าย บรรยากาศกำลังได้ที่ แต่ดันถูกตัวป่วนสองตัวมาขัดเสียยับ อาชวินมองชาแมนกับรุจีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านได้อย่างถูกจังหวะสุดๆ โดยที่ตนยังจับมือคนตัวเล็กกว่าไว้อยู่ “นายไม่ได้เตือนข้อสอบไว้เหรอ” แวมไพร์สาวสวยที่เดินนวยนาดมานั่งยังโซฟาตัวที่นักสืบเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน หันไปถามแวมไพร์สัปเหร่อที่เลือกยืนพิงโต๊ะหน้าทีวี “เตือนแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ฟัง” ชาแมนตอบ ข้อสอบพยายามดึงมือออกจากอุ้งมืออุ่นสบาย เพราะถูกจับจ้องมาจากแวมไพร์ทั้งสองตนจนชักจะเขินอยู่หน่อยๆ “เตือนถูกจุดหรือเปล่า” “ก็เตือนเรื่องเหยื่อจะถูกดูดเลือดจนป่วยตาย” “นายคิดว่าคนอย่างผู้พันจะตายได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” “เออ จริงด้วย” แวมไพร์รุ่นน้องได้แต่หันไปมองคนโน้นคนนี้ซุบซิบกันไปมาโดยไม่สนเลยว่าคนที่ถูกนินทาจะนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ “ข้อสอบ ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักหน่อยสิ” รุจีว่า “ไม่เอาแบบคราวก่อนแล้วนะครับ” นักวิจัยหนุ่มหมายถึงตอนที่ถูกจับหิ้ววิ่งด้วยความเร็วสูงซะจนคลื่นไส้ “คุยที่นี่แหละ ข้อสอบไม่ม
21ต้องการคนปกป้อง แม้เจ้าค้างคาวจะกระพือปีกขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลาและขยับเบี่ยงตัวอย่างตกใจตามเสียงเรียกของอาชวิน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นกระสุนล็อกเป้า เทคโนโลยีพิเศษที่สามารถเปลี่ยนทิศทางตามเป้าหมายได้ถึงสองครั้งติด เป็นเทคโนโลยีที่มีราคาแพงมาก หาได้จากในฐานทัพเท่านั้น และถูกควบคุมไม่ให้มีขายในตลาดใต้ดิน “ข้อสอบ!” ผู้พันหนุ่มร้องอย่างตกใจ นาทีที่เห็นร่างจิ๋วถูกยิงจนตกลงมากับพื้น เป็นชั่วเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน แต่สติและสัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เขารีบเก็บค้างคาวน้อยที่นอนสลบไสลลงในกระเป๋าเป้ วิ่งหาที่ซ่อนจากกระสุนสุดแสนจะอันตรายนั่น ชายหนุ่มหาที่หลบได้ก็ลอบประเมินสถานการณ์ในใจ หากศัตรูมาคนเดียวก็คุ้มที่จะเสี่ยงจัดการซะให้เรียบร้อย ดีกว่าเขาเป็นฝ่ายถูกตามล่าฝ่ายเดียวจนไม่มีเวลาปฐมพยาบาลให้ข้อสอบ สายตาคมหยิบแว่นมองในที่มืดที่ถูกออกแบบมาให้ดูคล้ายแว่นตาธรรมดาขึ้นสวม ลอบสังเกตดูการเคลื่อนไหวรอบกาย หากทว่ามีกลิ่นหอมหวานโชยออกมาจากในกระเป๋าสะพาย เหมือนกลิ่นโอเมก้ากำลังฮีต... กลิ่นเดียวกับที่เข
20ผู้ช่วยเหลือ หลังจากซักถามลักษณะภูมิประเทศที่เกิดเหตุและช่วงเวลาคร่าวๆ ที่ตัวเลขเห็นในนิมิต ข้อสอบก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุจะเกิดในคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้กันแน่ สิ่งที่เขาทำได้คือต้องออกไปหาผู้พันให้เจอโดยเร็วที่สุด “อ้าว คุณข้อสอบจะไปไหนน่ะ” นาทีถามคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังไม่ทันจะข้ามพ้นวงกบประตู และรีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เลยได้แต่ยืนเกาหัวอย่างงงๆ ตอนแรกนักวิจัยหนุ่มกะจะแวะมาเอากระเป๋าเป้เพื่อใส่อุปกรณ์ยังชีพต่างๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนแปลงร่างเป็นค้างคาวเพื่อบินตามหาน่าจะสะดวกกว่า เลยเดินออกไปคุยโทรศัพท์เงียบๆ ไหว้วานให้ชาแมนมาเฝ้ายามผลัดที่สามช่วงใกล้รุ่งเช้าแทนเขา จากนั้นแวมไพร์หนุ่มก็อาศัยมุมมืดของป่า แปลงร่างเป็นแวมไพร์ตัวกระจ้อยที่ไม่รู้จะมีแรงบินได้ไกลแค่ไหน บินตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อไปสู่ภูมิประเทศแบบป่าชายเลน โชคดีที่ป่าชายเลนมีความยาวเพียงแค่ห้ากิโลเมตรและมีอยู่เพียงฝั่งเดียวของพื้นที่ที่ใช้ในการทำภารกิจ ทำให้ข้อสอบสามารถสโคปพื้นท
19อีกขั้นของความสัมพันธ์ บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ที่ก้าวเดินไปด้วยกันมีแต่ความเงียบสงบ หลังจากที่อาชวินโผล่มาช่วยพาข้อสอบออกจากสถานการณ์อันแปลกประหลาดตอนนั้น พวกเขาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีก สุดท้ายคนที่ทนความเงียบไม่ไหว ก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อน “ผมไม่ขอบคุณคุณหรอกนะ” เพราะผู้พันทำให้เขาต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ “ไม่ดีใจเหรอที่ได้รู้จักแวมไพร์ตนอื่นเพิ่ม” ข้อสอบหันขวับไปมองคนพูดหยอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แล้วคุณจะรู้สึกดีใจมั้ยล่ะครับถ้าเจอคนอุ้มแล้วพาวิ่งไปด้วยความเร็วสูงแบบนั้น” นักวิจัยหนุ่มแหวใส่ “เหวอออ” ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อร่างกายลอยขึ้นมาอยู่เหนือพื้น “อุ้มแบบนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงเจือรอยขำ ทำให้คนที่กอดคออีกฝ่ายแน่นเพราะกลัวตก จัดการทุบไหล่กว้างของอัลฟ่าหนุ่มเข้าให้หนึ่งป้าบ “คุณนี่มัน...” กวนตีนกว่าที่คิด “อารมณ์ดีได้หรือยัง” ลมหายใจร้อนที่เป่ารดแก้มเย็น ทำให้ข้อสอบที่เผลอสบตาผู้พันครู่หนึ่งต้องเบนหน้าหลบ ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงไปมากกว่านี้ “ไม่ใช่อุ้
18มนุษย์ก็แค่ของเล่น คนที่นอนมาตลอดทางค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากรู้สึกได้ถึงรถตู้หรูเจ็ดที่นั่งที่จอดนิ่งสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป พอขยับตัวก็รู้สึกได้ถึงเสื้อโค้ทที่ไหลลงไปกองอยู่บนตัก หันไปทางขวาก็เห็นคนที่นั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดทางกำลังเก็บแท็ปเล็ตที่เพิ่งปิดลงใส่กระเป๋า ตั้งแต่ขึ้นรถที่มีเพียงเขา ผู้พัน และคนขับรถมา ผู้พันอาชวินก็ไม่ซักถามอะไรสักคำ เอาแต่บอกให้เขานอนพักผ่อนให้เต็มที่ คนที่เตรียมใจว่าจะโดนดุเลยได้แต่แกล้งหลับตาอย่างงงๆ จนสุดท้ายก็เผลอหลับไปเอง หลับยาวจนมาตื่นเอาตอนนี้ “ขอบคุณครับ” ข้อสอบยื่นเสื้อโค้ทคืนให้กับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของ หัวใจอุ่นวาบนิดหน่อยกับความห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทั้งตอนที่ฝากนาทีเอายามาให้ และตอนนี้ “วันนี้ก็พักผ่อนซะเยอะๆ ล่ะ พรุ่งนี้ไปฝึกแค่ช่วงเช้าชั่วโมงเดียวพอ” จริงๆ อาชวินไม่อยากให้ข้อสอบมาฝึกต่อเลยด้วยซ้ำ แต่การจะให้คนตัวเล็กอยู่ใกล้ๆ กับเขาได้ ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น “เดี๋ยวก่อน” ผู้พันหนุ่มจับข้อมือ รั้งร่างของคนที่กำลังจะเปิด
17คนเนื้อหอม หากเด็กตรงหน้าอายุมากกว่านี้ล่ะก็... คนอื่นคงนึกว่ามีสาวหนีตามเขามาแน่ “ทำไมหนูถึงมาที่นี่ล่ะ” หลังจากที่เรียกเด็กหญิงวัยเก้าขวบนามว่าตัวเลขเข้ามาในบ้าน เพื่อป้องกันการครหานินทาจากเหล่าเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้อสอบก็เริ่มเปิดประเด็นทันที “หนูหิวค่ะ” พรืดดด แขนที่กำลังกอดอกอยู่อย่างคนจริงจังเลื่อนไถลไปบนโต๊ะหน้าโซฟาตามอาการเซของตน ทำไมเขาต้องเจอแต่คนที่ชอบไม่ตอบคำถามเขาก็ไม่รู้ เห็นกิริยาท่าทางของเด็กคนนี้แล้ว นึกถึงใครบางคนขึ้นมาตงิดๆ ถ้าบอกว่าเป็นพ่อลูกกันเขาคงจะเชื่อได้ง่ายๆ สุดท้ายนักวิจัยหนุ่มเลยต้องกระเตงตัวเลขไปฝากท้องที่ร้านป้าอ้วน ซึ่งอยู่นอกเขตทหาร “อ้าว ข้อสอบ หายไปไหนตั้งนาน นึกว่าจะลืมร้านป้าไปเสียแล้ว” แม่ครัวร้านอาหารตามสั่งที่กำลังควงตะหลิวโชว์ลีลาการผัดคะน้าน้ำมันหอยอยู่ ร้องทักดังลั่น “แล้วนี่เด็กที่ไหน น้องสาวเหรอ น่ารักน่าชังน่าเอ็นดูจริงเชียว” “ครับ” ตอบรับอย่างขี้เกียจอธิบาย ก่อนจะหันไปบอกเด็กที่แต่งตัวสีขาวดำเหมือนเดิมซึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างหลัง “อยากกินอ
16เสพติดความเย็น ท่ามกลางแสงสลัวของสุสานร้างกลางป่า ที่มีลมโชยและเสียงอีการ้องคลอเป็นระยะๆ มีร่างเปลือยเปล่าสองร่างเกาะเกี่ยวกันอย่างเร่าร้อนบนโลงศพ ความรู้สึกคับแน่นของการถูกสองนิ้วใหญ่ชำแรกเข้ามาในช่องทางเบื้องหลัง ดึงข้อสอบลงมาจากห้วงความฝันที่ล่องลอยอยู่จากการเล้าโลมอันช่ำชองของคนแก่กว่า อัลฟ่าหนุ่มค่อยๆ ขยับมือที่ชโลมไว้ด้วยเจลหล่อลื่นเข้าออกเพื่อเตรียมความพร้อมของคนที่ยังไม่เคยมาก่อน ปากทางสีชมพูสวยที่บานเข้าออกตามการขยับนิ้วของเขา มันช่างดึงดูดซะจนอยากจะจับแก่นกายยัดลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่หน้าตาเหยเกของร่างข้างใต้ ทำให้ผู้พันหนุ่มได้แต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เขาพรมจูบตามเปลือกตา ขมับ ข้างแก้ม จูบริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูดซับความอึดอัดของอีกฝ่ายมาไว้กับตัว จากสองนิ้วก็เพิ่มเป็นสาม มืออีกข้างจับเข้าที่แก่นกายขนาดใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่าของเขา เพื่อช่วยเพิ่มความหฤหรรษ์ให้คนที่กำลังจะต้องทนรับความเป็นจริงในอีกไม่กี่อึดใจ เมื่อนิ้วมือแกร่งหลุดออกมา ปลายลำของเขาก็ถูไถเบาๆ บนปากทางรักสีหวาน คนที่ถูกเล้าโลมจนเสียวซ่านอยากจะ
15แก้ทาง คราวนี้ข้อสอบมั่นใจในมนต์สะกดที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของตัวเองมาก ดวงตาอันแดงก่ำในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทนกลิ่นเลือดไม่ไหว แต่เป็นการที่เขาฝึกฝนตัวเองจนสามารถควบคุมการสะกดจิตได้ สีหน้าและท่าทางของผู้พันตัวโตพลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เหมือนกับครั้งแรกๆ ที่เขาสะกดอีกฝ่ายซะจนอยู่หมัด ฝ่ามือซีดขยับโบกไปมาหน้าดวงตาคมเข้ม ก่อนจะจับมือซ้ายที่สวมถุงมือสีขาวอยู่ยกขึ้นลงเหมือนเล่นกับตุ๊กตา ไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อต้านของร่างใหญ่ให้เห็น “หึ อัลฟ่าหรือจะสู้แวมไพร์” คนที่ใจพองโตกับความรู้สึกของการกลับมาเป็นผู้ล่าอีกครั้ง ใช้มือทั้งสองกดบ่ากว้างของคนที่นั่งอยู่ไว้แน่น เขี้ยวเล็กสองซี่ที่โผล่ขึ้นมาฝังลงไปบนลำคอแกร่งที่ยังคงเผยให้เห็นเส้นเลือดสวยไม่ต่างจากเดิม ของเหลวสีแดงที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนานแพร่กระจายความอุ่นวาบลงสู่หลอดอาหาร ระเบิดรสชาติกลมกล่อมซาบซ่านในปากจนถึงคอ กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งร่างให้เปิดออก หลังจากดื่มไปในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ข้อสอบก็หยุดยั้งตัวเองได้อย่างเฉียบขาดอย่างแวมไพร์มืออาชีพ ไอ้อยากน่ะก็อยากอยู่หรอ