ดูดเลือดครั้งที่สอง
“หลบจ้า หลบ”
“กระเทียมหนึ่งพวงสามสิบ สองพวงอม เอ้ย กินกำลังพอดีจ้า เอาไปเลยห้าสิบพอ”
“เนื้อจ้าเนื้อ เนื้อสดๆ อ้าว พ่อหนุ่ม มาดูเนื้อมั้ย หรือจะดูเอ็น แต่ต้องไปดูร้านโน้นนะ ที่คนขายหล่อๆ น่ะ”
“ขอบคุณครับป้าใจ มาดูเอ็นได้ทางนี้เลย เครื่องในก็มีเพียบ ตับไตไส้พุง หรือจะเอาหัวใจผมไปก็ได้นะ”
“ทางนี้จ้าทางนี้ ซื้อเยอะแถมเยอะ ซื้อน้อยก็แถมเยอะอีกเหมือนกัน แจกจ้าแจก อยากกลับบ้านแล้ว ป่านนี้ไอ้แก่ที่บ้านแอบไปหาเมียน้อยแล้ว”
โครม!
“อุ้ย ตาเถร”
“บัดสีบัดตาเซิ้ง”
“บัดเถลิง!”
คนแทบทั้งตลาดตบมุกพร้อมๆ กัน ให้กับคุณยายคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์รถเข็นผักชนกับคน และใช้คำได้แบบผิดๆ ไม่ใช่แค่พูดผิดธรรมดา แต่ใช้ผิดความหมายไปเลย
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจและความครึกครื้นของตลาดสดแห่งนี้ ทำให้ข้อสอบที่ออกมาเดินหาซื้อของที่น่าจะพอกินได้ รู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด เพราะส่วนใหญ่แล้วเขามักจะเข้าแต่ซูเปอร์มาเก็ต แต่พอเจอเหตุการณ์ถูกคนบ้ายิงเข้าไป เขาก็ไม่กล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ห้างแห่งนั้นอีกเลย
คิดแล้วก็แอบเสียใจอยู่เหมือนกัน ที่เมื่อหลายคืนก่อน ตอนที่เขากระโดดจากระเบียงเข้าไปในอ้อมกอดเจ้าของกลิ่นเลือดอันหอมหวนรัญจวนใจนั้น เขาดันไม่ใช้โอกาสสวาปามอาหารตรงหน้าเสียให้จบๆ
สุดท้าย เลือดคนที่เขาเคยกินเป็นครั้งแรกก็ทำให้ท้องอิ่มได้เพียงสัปดาห์เดียว
เลยต้องมาลองหาเลือดสัตว์กินดู เผื่อว่าจะแทนๆ กันได้
ถึงแม้จะแอบเสียหน้าอยู่หน่อยๆ ที่ตกลงไปในอ้อมแขนของชายฉกรรจ์โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่การได้เจอเขาอีกครั้ง ทำให้ข้อสอบยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสวนสาธารณะไม่ได้เลยสักนิด... ไม่แม้แต่จะทักถึง
‘ขอบคุณครับ’
ข้อสอบพูดออกไปตามความเคยชิน ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้อยากได้ความช่วยเหลือจากเขาเลยสักนิด
แค่ระเบียงชั้นสอง เขากระโดดมายืนได้สบายๆ ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยจริงๆ
ซึ่งฝ่ายที่ได้ยินเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนจะวางร่างในอ้อมแขนลงอย่างง่ายดาย จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไป โดยไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย
เหตุการณ์นั้นแสดงให้เห็นว่าข้อสอบมีความสามารถลบความทรงจำของเหยื่อได้จริงๆ
“ทั้งหมดร้อยถ้วน พี่แถมเครื่องในให้ด้วยนะ”
พ่อค้าหนุ่มสุดหล่อ...หล่อสุดในตลาดแห่งนี้ยื่นถุงที่ใส่ขวดบรรจุเลือดสัตว์มาให้พร้อมกับถุงเครื่องใน แต่กลิ่นที่โชยมาจากของแถมนั้นช่างเหม็นซะจนคนซื้อเริ่มพะอืดพะอม
เขาเป็นแวมไพร์ เขาไม่ใช่ปอบ ที่จะชอบกินเครื่องใน!
ข้อสอบรีบรับถุงนั้นมา โดยไม่สนใจที่จะถ่วงเวลาเพื่อชื่นชมความงามของแม่ค้าร้านข้างๆ อีกต่อไป
เขารีบจ้ำไปยังซอยเล็กๆ โยนถุงของแถมทิ้งลงถังขยะอย่างไม่คิดจะเสียดาย ก่อนจะเลี้ยวไปยังมุมเล็กๆ ที่เป็นทางตัน เพื่อเปิดดูอาหารของตน
เลือดสัตว์สดๆ ที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดน้ำดื่มนั้นสะดวกต่อการบริโภคเป็นอย่างยิ่ง
หมุนเกลียวเปิดฝาออก ก่อนจะยกขึ้นมาดมกลิ่นแบบห่างๆ
อ่า... กลิ่นพอได้อยู่ แต่พอมีข้อเปรียบเทียบระหว่างกลิ่นนี้กับกลิ่นของอัลฟ่าคนนั้นแล้ว มันดันเทียบกันไม่ติดเลย เหมือนกับคนที่ได้กินของอร่อย แล้วกลับไปกินของที่ทำมาแบบชุ่ยๆ ไม่ได้อีก
ขวดเลือดถูกกระดกเข้าปากเรียวอย่างช้าๆ โชคดีที่พอได้ลิ้มรสแล้วยังพอจะกลั้นใจกลืนต่อไปเรื่อยๆ ได้จนหมดไปครึ่งขวด
แค่นี้ก็พอจะอยู่ท้องแล้ว หากให้ฝืนทนกลืนไปมากกว่านี้ คงได้อ้วกออกมาก่อน
ข้อสอบเก็บขวดเลือดที่เหลืออยู่ลงไปในกระเป๋าสะพาย แล้วพาตัวเองออกจากตรอกนั้น โดยไม่รู้เลยว่าพฤติกรรมของตนถูกร่างร่างหนึ่งจับตามองตั้งแต่ต้นจนจบ...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เจ้าของร่างสูงสมส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวแบบเจ้าหน้าที่ทั่วไปสูดลมหายใจลึกอย่างเรียกขวัญกำลังใจ ก่อนจะกลั้นใจผลักประตูเข้าไป
ห้องที่ปรากฏสู่สายตาคือห้องทำงานของพันตรีอาชวิน ธาดาศิริกุล ข้างในถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายที่เป็นโทนสีของไม้ เข้ากันได้ดีกับพื้นห้องและบรรยากาศโดยรอบ
สิ่งแปลกตาเพียงหนึ่งเดียวในห้องเห็นจะเป็นกรงนกที่ทำจากเหล็กขนาดใหญ่ ที่ไม่มีแม้แต่เงาของนกสักตัว
ก่อนที่ข้อสอบจะกวาดสายตาสำรวจทุกอย่างได้ละเอียดพอ เจ้าของห้องก็ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำงานอยู่ มองมายังเขาเสียก่อน
ผู้บุกรุกโดยชอบธรรมรีบปิดประตูห้องเพื่อปิดกั้นสายตาของคนข้างนอกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะถูกสายตาของเจ้าของห้องจ้องจนไม่กล้าขยับตัว
พอได้เจอกันในระยะที่ค่อนข้างจะใกล้ และมีแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่สาดผ่านหน้าต่างห้องเข้ามาแล้ว บุรุษตรงหน้าดูมีเสน่ห์แตกต่างไปจากยามค่ำคืนที่เขาได้พบเจอ
ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สี่แล้วที่ได้เห็นเขา... อัลฟ่าที่มีเลือดแสนอร่อยถูกปากแวมไพร์มือใหม่เป็นที่สุด
ไม่นึกไม่ฝันว่าสุดท้ายตัวเองจะมาจบลงที่จุดนี้
จุดที่ต้องบุกเข้ามาหาอาหารถึงในห้องทำงานส่วนตัว ฝ่าด่านทั้งเจ้านายตนและเลขาหนุ่มหน้าห้องท่านผู้พัน เพียงเพื่อจะเข้ามาบรรเทาอาการหิวโหยเหมือนคนขาดของมานาน
เอาเข้าจริงเขาคงจะอดทนได้นานกว่านี้ หากไม่ถูกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งทักขึ้นเสียก่อน
‘สองสามวันมานี้นายตัวซีดลงอีกแล้วนะ ดูไม่สดใสเหมือนสัปดาห์ก่อนเลย’
ข้อสอบนั้นรู้ตัวดีว่าทำไมเขาถึงกลับไปสู่สภาพของคนที่ขาดอาหารมานานอีกครั้ง
มันเป็นเพราะเลือดสัตว์ที่เมื่อเอามาแช่ตู้เย็นไว้แล้วกลับมีกลิ่นและรสที่เปลี่ยนไปจนไม่สามารถกินได้อีก
กลิ่นเหม็นหืนสุดๆ แถมรสยังเหมือนกับกินของบูดเน่า
ไม่ว่าเขาจะทดลองเก็บรักษาเลือดนั้นในอีกหลายรูปแบบ ทั้งแช่ช่องฟรีซ ทั้งเก็บในถุงสุญญากาศ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มีเพียงเลือดสดๆ เท่านั้นที่เขาจะพอกินได้
แต่พอต้องคอยแหกขี้ตาตื่นเพื่อไปซื้อเลือดสัตว์มากินก่อนเข้างานบ่อยๆ เข้า ความพะอืดพะอมกลับเพิ่มมากขึ้น มันเหมือนกับว่าร่างกายไม่อนุญาตให้เขาใช้เลือดสัตว์กินแก้ขัดได้อีกต่อไป
เลยต้องมาลงเอยอยู่ที่นี่... กับคนที่เขายกให้เป็นถุงเลือดเดินได้ประจำตัว
ก่อนที่จะโดนคนที่ทำงานสงสัยไปมากกว่านี้
“คนที่ตกจากระเบียงนี่เอง นั่งลงก่อนสิ” คำกล่าวตามมารยาท ขัดกับใบหน้าเคร่งขรึมและออร่าที่แผ่ออกมาจากตัวเจ้าของห้อง
“ครับ”
ข้อสอบเลือกที่จะเดินไปนั่งบนเก้าอี้รับแขกข้างหน้าโต๊ะทำงานนั้น ก่อนจะเข้าเรื่องของตน
“ผมมาขออาหาร”
สายตาสีน้ำตาลอ่อนสบเข้ากับตาสีน้ำตาลเข้มเขม็งโดยไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด เขารอจนอีกฝ่ายมีท่าทางเลื่อนลอย ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดโดยที่หลบมุมกล้องวงจรปิดไว้
โค้ดถูกพิมพ์ลงไปยังโปรแกรมที่ตั้งค่าไว้ จนกระทั่งมั่นใจว่ากล้องวงจรปิดถูกตัดภาพเรียบร้อย หนุ่มนักวิจัยจึงลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ คนที่ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด
“อัลฟ่าหรือจะสู้แวมไพร์ได้”
หนุ่มแว่นใช้มือหนึ่งกดบ่ากว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างน่าอิจฉา จากนั้นก็โน้มริมฝีปากไปยังลำคอเรียวยาวของเหยื่อ เขี้ยวจิ๋วโผล่ออกมาให้เห็นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเจาะผ่านผิวหนังเข้าไปยังเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว
ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีความเงอะงะแบบแวมไพร์มือใหม่ให้เห็นเลยสักนิด อาจเป็นเพราะเขาจินตนาการถึงฉากนี้อยู่เสมอๆ เวลาหิวจนเริ่มหน้ามืดตาลาย... ฉากที่เขาได้กัดใครสักคน
แต่ไม่รู้ทำไม ทั้งที่วันๆ พบเจอผู้คนตั้งมากมาย เขาถึงไม่ได้กลิ่นเลือดของใครเลย ตรงกันข้ามกับอัลฟ่าคนนี้
ตอนที่เปิดประตูเข้าห้องมา กลิ่นเลือดนั้นฟุ้งกระจายมาเป็นอย่างแรก ทำเอาสติของแวมไพร์พลุ่งพล่าน เกือบระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่
และยิ่งขณะนี้... ตอนที่เขี้ยวเล็กๆ ของเขาเจาะลงไปยังผิวคล้ำแต่นุ่มลื่น เปิดเปลือยเส้นทางเลือดให้ไหลเข้าสู่ลำคออันแห้งผาก ดั่งหยดน้ำที่ช่วยให้รอดชีวิตท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ
รสชาติแสนอร่อยราวกับระเบิดอยู่ในปากของแวมไพร์หนุ่ม ริมฝีปากดูดดึงลำคอเหยื่อแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างคนที่อดอยากปากแห้งมานาน
ไม่ได้สนใจมือของตนที่เริ่มเคลื่อนไปขย้ำปกเสื้อของอัลฟ่ายศสูงด้วยแรงอารมณ์ที่เกิดขึ้น
อารมณ์สำราญจากรสอันนุ่มละมุนลิ้นจนไม่ปล่อยให้เสียของแม้สักหยด
อารมณ์ผ่อนคลายจนอยากจะครางออกมาจากเลือดที่เติมเต็มกระเพาะและทำให้ร่างกายรู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นอีกครั้ง
“อึดอัด” ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความสุขสมที่ได้รับ น้ำเสียงเหมือนคนที่คลายจากมนต์สะกด ทำให้ข้อสอบตกใจ
ครั้งนี้มันแตกต่างตรงที่เขายังดูดเลือดไม่ทันจะถึงไหน อีกฝ่ายก็พูดออกมาอย่างชัดเจนซะแล้ว
แวมไพร์หนุ่มจำใจต้องเก็บเขี้ยวของตนกลับคืนมาอย่างแสนเสียดาย เขาขยับตัวเพื่อที่จะสบตาอัลฟ่าหนุ่มได้ถนัด
หากแต่คราวนี้สายตาที่ควรจะเหม่อลอยกลับกระจ่างชัดและจ้องเขม็งมาซะจนคนใจกล้าเริ่มใจเสาะ ไม่มีอารมณ์กลับไปดื่มด่ำกับอาหารต่อ
“ลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นซะ”
“เดี๋ยวก่อน!”
แรงดึงจากอุ้งมือหนาที่จับข้อมือเขาไว้ ทำให้ข้อสอบตกใจกลัวจนไม่คิดจะสนใจรอดูผลลัพธ์จากการลบความทรงจำมั่วๆ ซั่วๆ ของเขาอีกต่อไป ใช้ความแข็งแกร่งของแวมไพร์เข้าสู้ สะบัดข้อมือออก ก่อนจะแปลงร่างเป็นค้างคาวบินหนีออกไปจากช่องว่างเล็กๆ ของหน้าต่างอย่างง่ายดาย
เขากลายเป็นค้างคาวได้โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว!
ลับหลังร่างค้างคาวไป...
แอ๊ดดด
เลขาหน้าห้องของผู้พันหนุ่มผลักประตูเข้ามาเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่เจ้านายของตนควรไปประชุมได้แล้ว
“ถึงเวลาประชุมแล้วคะ...ครับ”
ภาพห้องที่ไร้วี่แววของแขกตัวซีดเซียว ทำให้นาทีถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
“มีอะไร” อาชวินถามลูกน้องที่จู่ๆ ก็หยุดชะงัก
“คุณข้อสอบกลับไปตอนไหนเหรอครับ” ทำไมเขาถึงไม่เห็น
“นายหมายถึงใคร”
ฝ่ายเจ้านายที่ถูกถามด้วยคำถามแปลกๆ ก็เริ่มเอะใจ เขาเปิดตู้เก็บของที่มีกระจกติดอยู่ข้างใน
ภาพสะท้อนจากกระจกเผยให้เห็นจุดสองจุดจางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นอยู่ข้างลำคอ และมันกำลังจะจางหายไปเพราะพลังในการรักษาตัวเองที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลของเขา จากรุ่นสู่รุ่น
จำได้ว่าครั้งก่อนหลังจากกลับจากนัดรับของที่สวนสาธารณะ เขาก็รู้สึกคันๆ ที่ลำคอในจุดเดียวกัน แต่พอส่องกระจกกลับไม่พบอะไร
“ไปดึงภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ฉันที เริ่มตั้งแต่ตอนที่นายบอกว่าคนที่ชื่อข้อศอกอะไรนั่นเข้ามาในห้องฉันเลย”
“ข้อสอบ... ครับ” เสียงเบาลงตอนท้ายเมื่อถูกสายตาคมกริบตวัดมามองจนเลือดแทบซิบ
“ไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนฉันประชุมเสร็จ”
แล้วร่างใหญ่ที่แผ่ไอคุกคามออกมาเล็กน้อยอย่างคนไม่สบอารมณ์ก็คว้าโทรศัพท์มือถือของตน เดินออกจากห้องทำงานไป
ทิ้งให้ลูกน้องโอเมก้าได้ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่าสมชื่อ
ชายหนุ่มผิวสีซีดรูปร่างค่อนข้างจะผอมไปหน่อยกำลังกอดกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่ที่ข้างในบรรจุไว้ด้วยอุปกรณ์สำนักงานมากมาย ยืนอยู่หน้าอาคารรูปทรงแปลกตาที่ดูล้ำสมัยแตกต่างจากอาคารที่เขาจากมาลิบลับ
เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นกระจกสีฟ้าจำนวนมากสูงขึ้นไปหลายสิบชั้น
ทำงานมาก็เกือบจะสามปี ได้ไปช่วยงานฝ่ายอื่นหรือข้ามแผนกก็บ่อย แต่ไม่เคยจะต้องมาทำงานข้ามสาย ข้ามตึกขนาดนี้
เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นจากการที่จู่ๆ หัวหน้าฝ่ายและหัวหน้าแผนกเรียกเขาเข้าพบ อธิบายว่าทางหน่วยรบที่สิบเอ็ด ฝ่ายยุทธศาสตร์การรบ ต้องการความช่วยเหลือจากเขาเป็นอย่างยิ่ง และให้เขาย้ายไปยังหน่วยนั้นในวันนี้เลย
ทุกอย่างมันกะทันหันซะจนเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ รู้ตัวอีกทีก็ขนของขึ้นรถยนต์ของหัวหน้าฝ่ายที่ถึงกับขับรถมาส่งถึงหน้าอาคาร ที่ทำงานใหม่ของเขาเรียบร้อย
ประเด็นใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่การย้ายที่ทำงาน แต่มันอยู่ที่เนื้อหางานที่ต้องทำต่างหากเล่า
หากเขาไม่ได้ทำงานที่ตนชอบ ก็คงจะหมดแพชชั่นและเหี่ยวเฉาเอาแน่ๆ
ความคลุมเครือของเนื้องาน ทำให้ข้อสอบรู้สึกลำบากใจกับการถูกย้ายมากะทันหัน
“สวัสดีครับ ผม นาที” ชายหนุ่มในชุดทหารรูปร่างแข็งแกร่งตามแบบฉบับคนที่เคยผ่านการฝึกทหาร แต่มีกลิ่นอายและภาพลักษณ์ของโอเมก้า เอ่ยทักทายหัวหน้าฝ่ายของนักวิจัยหนุ่ม
“ฝากลูกน้องผมด้วยนะครับ ผมคงต้องขอตัวก่อน” พูดเสร็จก็หันมาบอกลาคนที่อุ้มกล่องกระดาษอยู่ “มีอะไรก็ถามคุณนาทีล่ะ โปรเจกต์เสร็จเมื่อไหร่ก็กลับมาได้ทุกเมื่อ”
“ครับ”
จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถของตน ปล่อยให้หนุ่มเนิร์ดเผชิญหน้ากับโอเมก้าที่มีส่วนสูงพอๆ กัน
“เชิญครับ”
นาทีเดินนำอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตคนที่เคยเข้าพบเจ้านายของตน แต่เกิดเหตุการณ์กล้องวงจรปิดเสียในวันเดียวกันนั้นไปด้วย
การที่เจ้านายของเขาย้ายให้นักวิจัยคนนี้มาอยู่ใกล้ตัว คงเพราะต้องการจะสืบหาอะไรบางอย่างแน่ๆ
เบต้าหน้าตาหล่อเหลา แต่ตัวขาวซีด แต่งตัวเรียบร้อย ท่าทางเนิร์ดๆ เหมือนพวกเด็กเก็บตัว จะมีอะไรให้น่าสนใจกัน
หากถามถึงเรื่องระดับมันสมอง นาทีมั่นใจว่าคนในฝ่ายเขาสู้ได้แน่ๆ แถมยังมีคนที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋นอยู่ด้วย
ต่างจากพวกนักวิจัยที่วันๆ อยู่แต่หน้าโต๊ะคอมกับห้องทดลอง จะเอาไปต้มยำทำแกงอะไรได้
เขาไม่ได้ดูถูกอีกฝ่ายนะ เขาแค่แค้นนิดหน่อย ที่จู่ๆ ก็โดนเจ้านายโยนงานเพิ่มให้ ทั้งติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่ม ทั้งหาข้อมูลของคนตรงหน้าและทำเรื่องย้ายเขามาทำงานที่นี่
ทำเอาตารางงานที่เขามักวางแผนล่วงหน้าเป็นเดือนๆ รวนไปหมด
ข้อสอบถูกพาลงลิฟต์ไปยังชั้นลบหนึ่ง ไม่ผิดหรอก ชั้นลบหนึ่งจริงๆ
ชั้นลบหนึ่งเป็นชั้นใต้ดิน เขาเดินผ่านโถงทางเดินซึ่งผนังทำจากปูนที่มีประตูเหล็กอยู่หลายบานให้อารมณ์เหมือนเป็นฐานทัพลับอะไรสักอย่าง
โชคดีที่อย่างน้อยยังมีการตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้และกรอบรูปอยู่ประปราย เลยยังดูไม่เหมือนคุก
นาทีเปิดเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งที่มีคอมพิวเตอร์วางอยู่หลายเครื่อง และมีโซนทดลองแยกเฉพาะซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธมากมาย
หลังจากข้อสอบวางสัมภาระของตนลงบนที่ว่างเรียบร้อยแล้ว เลขาหนุ่มก็พาเด็กใหม่ไปทำความรู้จักกับท่านผู้พันที่ชั้นสิบแปด ชั้นสูงสุดของอาคารนี้
โดยไม่ปล่อยให้นักวิจัยหนุ่มได้แนะนำตัวใดๆ เพียงแค่เดินเข้าห้องมาและยกมือไหว้เสร็จ เจ้าของห้องก็ทักออกมา
“มาแล้วสินะ ข้อศอก”
“ข้อสอบครับ” คราวนี้ไม่ใช่เลขาคนสนิทที่เป็นคนเอ่ยแก้
คนนะไม่ใช่ข้อศอกหมา เจ้าของชื่อคิดในใจอย่างเซ็งๆ เพราะชอบโดนคนเรียกชื่อมั่วอยู่บ่อยๆ
“จัดของเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลย วันนี้นายเลิกงานไวได้ พรุ่งนี้ก็หยุดงานหนึ่งวัน ไปเก็บข้าวของซะให้เรียบร้อย แล้วฉันจะส่งลูกน้องพร้อมรถขนของไปให้”
“เห”
“ย้ายเข้ามาอยู่บ้านพักข้างในเขตทหารซะ จะได้เดินทางมาทำงานสะดวก และอีกอย่าง...”
“...”
“จะได้ไม่ต้องตกตึก ให้คนอื่นคอยลำบากอีก”
5ถุงเลือดส่วนตัว บรรยากาศอันร่มรื่นเงียบสงบของวัดขนาดเล็ก ช่างจรรโลงใจเป็นที่สุด หลังจากนอนกับพื้นและในตู้เสื้อผ้ามาครึ่งเดือน เขาก็ได้แวะไปตรวจสอบและคอนเฟิร์มว่าโลงศพที่สั่งทำเป็นที่ถูกใจ ได้ฟังก์ชันครบถ้วนตามต้องการ จากนั้นก็จ่ายเงินส่วนที่เหลือและเปลี่ยนที่อยู่ในการจัดส่งให้เขานำไปส่งในค่ายทหารแทน ไหนๆ วันนี้ก็ได้หยุดงานแล้ว เขาก็เลยแวะมาวัดที่อยู่ข้างๆ ร้านโลงศพเสียหน่อย ของที่บ้านก็ไม่มีอะไรให้ต้องเก็บเยอะ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าหากทำโปรเจกต์ลับนั่นเสร็จแล้ว จะโดนไล่ออกกลับมาอยู่ที่พักเดิมหรือเปล่า ก็เลยจะเอาไปแต่ของใช้จำเป็นเท่านั้น หากถามว่าผู้พันอาชวินจะรู้มั้ยว่าเขาเป็นคนที่แอบดูดเลือดอีกฝ่ายไป... เขามั่นใจว่าไม่ เพราะปฏิกิริยาของอัลฟ่าตนนั้นเมื่อตอนเจอกันวันก่อนดูปกติดีทุกอย่าง ดูเหมือนคนที่เคยเจอเขาครั้งเดียวตอนตกจากระเบียงห้อง แต่ถามว่าเจ้าของเลือดหอมหวานนั่นรู้สึกระแคะระคายอะไรบ้างมั้ย เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ก็ได้แต่พยายามทำตัวปกติ เพราะยังไงเขาก็คงไม่ได้เจอเจ้านายคนใหม่บ่อยนัก ชั้นลบหนึ่งกับชั้นบนส
6หาเหยื่อใหม่ ทำไมวันนี้มีแต่คนมองเขาเยอะแปลกๆ หรือเพราะเลือดคุณภาพดีเมื่อคืน ทำให้เขาดูแข็งแรงขึ้น ดูหล่อขึ้น? ตั้งแต่ข้อสอบเดินเข้ามาในอาคารทำงาน ไล่ตั้งแต่ชั้นหนึ่งลงไปยันชั้นลบหนึ่งแล้ว ที่ใครต่อใครต่างก็มองมาทางเขา ไม่รู้ว่ามองด้วยเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่การมองเหยียดหรือมองในแง่ร้ายแน่ๆ “นายไม่ได้สายตาสั้นหรอกเหรอ” คำทักทายจากเพื่อนร่วมห้องทำงานเดียวกันวันนี้แปลกไปกว่าทุกที ทำให้ชายหนุ่มรู้สาเหตุทันที เอ้า! เขาลืมใส่แว่นเสียสนิท แต่ถึงไม่ได้ใส่แว่น ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้กลับงดงามสดใสชัดเจนไปซะหมด มิน่าตอนเช้าตอนเขาตื่นขึ้นมาในโลงศพถึงได้ลืมควานหาแว่นมาใส่ตามความเคยชิน ก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันชัดเจนซะขนาดนี้ เขาก็นึกว่าตัวเองใส่แว่นอยู่น่ะสิ “ขี้เกียจใส่แว่นน่ะ” ตอบกลับไปแบบกลางๆ ให้อีกฝ่ายไปเดาเอาเองว่าเขาใส่คอนแทคเลนส์อยู่หรือเป็นคนสายตาปกติที่ใส่แว่นเล่นๆ กันแน่ ไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนเขาทำแว่นหล่นทิ้งไว้ไหน เพราะหลังจากดื่มเลือดเสร็จ เขาก็แวะไปที่อาคารศูนย์วิจัยต่อ กว่าจะได้กลับบ้านมานอนก็ตีสองแล
7กรีดเลือดเสนอตัว “นี่ครับ อาหารที่พี่สั่ง” พนักงานร้านข้าวต้มโต้รุ่งหยิบจานอาหารจำนวนมากบนถาด วางลงบนโต๊ะที่มีผู้ชายนั่งกันอยู่สองคน “ขอสั่งยำสามกรอบ กับไชโป๊ผัดไข่เพิ่มด้วยนะ” “คุณจะกินเพิ่มอีกเหรอครับ” เพื่อนร่วมโต๊ะถึงกับหันขวับไปถามคนที่สั่งอาหารเพิ่ม ทั้งที่บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยยำไข่เค็ม ผัดผักบุ้ง ผัดหอยลาย หมูมะนาว ใบเหลียงผัดไข่ ยำกุนเชียง และปลาราดพริกแล้ว “ฉันสั่งมาให้เธอ” “แต่ผมไม่หิว” “ไหนบอกมาหาของกินไง” ของกินที่เขาหมายถึงน่ะ คือเลือดต่างหากเล่า “...” ข้อสอบบุ้ยปากอย่างเซ็งๆ โดนหลอกยังไม่พอ ต้องโดนพามาเจอกับอาหารที่เขาไม่ได้กลิ่น แถมยังกินไม่ได้อีก นี่มันจะบังคับกันเกินไปแล้ว! “อะ กินเยอะๆ” นอกจากจะไม่เข้าใจลูกน้องของตนแล้ว ยังตักกับข้าวใส่ถ้วยข้าวต้มกุ๊ยเล็กๆ จนล้นทะลักอีก “คุณมีความคิดเห็นยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้บ้างครับ” นักวิจัยหนุ่มเขี่ยข้าวต้มไปมา “ไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ” ปึก! “ใช่มะ ผมก็คิดแบบ
8รสนิยมประหลาด อาชวินมองสัตว์ตัวจ้อยที่กำลังหาทางบินหนีออกจากห้องทำงานด้วยสีหน้าสงบ แต่ข้างในจิตใจนั้นเหลวเป๋วสิ้นดี ใจอ่อนยวบยาบไปหมดเมื่อได้เห็นสัตว์ขนปุกปุย แถมยังตัวเล็กจิ๋วแบบที่ตนชอบนักชอบหนา ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนว่าเขามีรสนิยมชอบสัตว์ตัวเล็ก และไม่คิดที่จะเลี้ยงแมวป่า เสือ หรือสิงโตเหมือนญาติคนอื่นๆ แต่ต่อให้เขาจะคลั่งไคล้และแอบเล่นกับลูกแมว นก หนูแฮมสเตอร์มามากแค่ไหน เจ้าค้างคาวตรงหน้ากลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในใจ มาแรงแซงทางโค้งบดเบียดสัตว์อื่นหล่นตุ้บไปอย่างง่ายดาย ไม่ต้องอาศัยพละกำลังอันมากล้นของอัลฟ่าเพื่อพยายามกดพลังของผีดูดเลือดอีกต่อไป เพราะเขาสามารถใช้เพียงอุ้งมือเดียวรวบสองเท้าของค้างคาว จับห้อยหัว หิ้วไปมาได้อย่างสะดวกสบาย “เป็นค้างคาวไปตลอดเลยก็ดีนะ” “จี๊ดๆๆๆ” เสียงประท้วงของค้างคาวดังขึ้น “โอ้ ยังฟังรู้เรื่องอยู่สินะ” เพียงขยับตัวนิดเดียว กรงนกขนาดใหญ่อันว่างเปล่าที่ถูกตั้งอยู่ในห้องมาเนิ่นนานก็ถูกเติมเต็มไปด้วยร่างของค้างคาวที่พยายามจะพุ่งหนี แต่ก็ไม่ทันประตูกรงที่ถู
9กลับสู่จุดเริ่มต้น “ถ้าช่วย แล้วผมจะได้อะไร” “...” “เลือด ผมจะไปหากินที่ไหนก็ได้ เงิน ผมก็มีพอใช้อยู่แล้ว” “เธอคิดว่าเธออยู่ในจุดที่ต่อรองได้อย่างงั้นเหรอ?” คนที่หลงลืมไปว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกรู้ความลับเข้า เริ่มวิตกกังวล “นี่คุณคิดจะแบล็กเมล์ผมหรือไง” อาชวินไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นเดินโทงๆ ไปหยิบเสื้อผ้าขนาดเล็กที่สุดในตู้มาโยนลงตรงหน้าคนที่ผิวกายทำให้เขารู้สึกไม่มีสมาธิจะคุยด้วยเท่าไหร่ จากนั้นก็เดินไปหยิบกุญแจมาปลดโซ่ที่ล็อกข้อเท้าอีกฝ่ายออก คนที่จู่ๆ ถูกปล่อยตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รีบคว้าเสื้อผ้ามาสวมปกปิดเรือนร่างของตนอย่างรวดเร็ว “เอาเถอะ ฉันอยากบังคับคนที่ไม่ยินยอมหรอกนะ” คนฟังแอบรู้สึกเฟลอยู่หน่อยๆ โธ่เอ๊ย ไม่น่าอวดเก่งเลยเรา ดันถามถึงของแลกเปลี่ยน แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่สนใจ ไม่เอาด้วยสักอย่าง รู้สึกเสียศักดิ์ศรี ที่เอ่ยปากจะทำให้ แล้วอีกฝ่ายดันไม่เอา ข้อสอบไม่อยากจะยอมรับเลยว่า ถึงแม้เขาจะมีตัวเลือกอื่นๆ อีกมากมาย แต่การได้ดูดเลือดผู้พันเสียหลายครั้ง มันทำให้เขาติดใจและ
10ตับๆ ตับๆ บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างเคร่งเครียด “เขาจะปักหลักอยู่ที่นี่ถาวรเลยเหรอ” “มีแววว่าจะใช่ว่ะ” เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นเบาๆ จากเหล่าทหารในชั้นลบหนึ่ง ถึงแม้จะย้ายมาทำงานอีกที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยคือเสียงพูดคุยถึงเรื่องคนอื่นอย่างคนคันปาก ไม่เว้นแม้กระทั่งจากปากของทหารหาญตัวใหญ่ยักษ์ ผ่านเหตุการณ์อันน่าอัปยศอดสูของการเผยร่างค้างคาวหกเต้าและเรือนร่างเปลือยเปล่าให้พันตรีอาชวินได้เห็นมาก็หลายวันแล้ว แต่ไม่มีวันไหนที่เจ้านายจะกลับไปทำงานยังห้องทำงานชั้นบนสุดของตน วันๆ เอาแต่นั่งในห้องทำงานที่ชั้นลบหนึ่ง จนข้อสอบรู้สึกเหมือนมีเจ้ากรรมนายเวรมาตามเฝ้า “อะแฮ่มๆ ฉันมีเรื่องจะแจ้ง” และแน่นอนว่านาที เลขาหน้าห้องก็ต้องคอยเดินไปเดินกลับระหว่างชั้นล่างสุดและบนสุดอยู่บ่อยๆ เพราะความเอาแต่ใจของเจ้านายตน โอเมก้าหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้กล่าวประกาศ “วันนี้ท่านผู้พันจะพาทุกคนไปเลี้ยงอาหารเย็น ใครมีธุระอะไรให้ยกเลิกซะ” “โอ้โห ลาภปาก” “เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรเหรอ”
11หนูน้อยข้อสอบ “มาติดต่ออะไรเหรอคะ ต้องการพบผู้อำนวยการหรือเปล่า” มะเหมี่ยวเอ่ยกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดสีเขียวมะกอกและกางเกงแบบทหาร เธอมั่นใจว่าเธอไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน เพราะบุคลิกภาพที่ดูทรงอำนาจซึ่งแผ่ออกมา บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์และความโดดเด่นที่แตกต่างไปจากคนอื่น คนที่โดดเด่นแบบนี้ ไม่มีทางที่เธอจะจำไม่ได้ “ผมอยากมาบริจาคน่ะครับ” “ถ้าอย่างนั้นเชิญที่ห้องผู้อำนวยการก่อนเลยค่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินนำไปยังห้องสำนักงานขนาดเล็กที่อยู่ชั้นแรกของอาคาร “เสียดาย คุณมาช้าไปหน่อย เด็กๆ เพิ่งรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จ” “ครับ” อาชวินเพียงตอบรับสั้นๆ เหตุผลที่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะเขานึกถึงประวัติของข้อสอบขึ้นมาได้ ตอนที่อ่านประวัติคร่าวๆ เป็นครั้งแรก ในนั้นระบุว่าลูกน้องตนเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติ และถูกเลี้ยงดูมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสองขวบดี เนื่องจากเขามาทำธุระแถวนี้ ก็เลยอยากแวะมาที่นี่ด้วย ธุระที่เขาทำก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่มาก่อเหตุในเขตบ้านพักทหารคืนนั้น
12ตัวขัดขวาง คนที่กำลังเดินออกจากที่ทำงานถึงกับชะงักเมื่อเห็นผู้ชายที่ยืนพิงรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่สีดำอยู่ ทรงผมและการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาเป็นจุดรวมความสนใจของคนที่ผ่านไปมา มองมาซะขนาดนี้ ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ได้ว่ามารอเขาโดยเฉพาะ “ไฮ” ชาแมนยกมือขาวๆ ขึ้นทักทาย “มาหาผมมีอะไรหรือเปล่า” “คุณสนิทกับทหารคนนั้นเหรอ” สัปเหร่อหนุ่มพยักพเยิดไปทางผู้พันอาชวินที่กำลังเดินลงมาจากอาคาร คนที่มีชนักติดหลังรีบหันหน้ากลับมาอย่างร้อนตัวทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคืนก่อนเขาก่อเรื่องอะไรไว้ โชคดีที่วันนี้อีกฝ่ายน่าจะมีประชุมทั้งวัน ทำให้ไม่ได้ลงมาสิงสถิตยังชั้นลบหนึ่งเหมือนวันอื่น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะหนีรอดไปได้สักกี่น้ำ ทำงานก็ทำที่เดียวกัน บ้านก็ใกล้กันซะขนาดนี้ “เป็นเจ้านายกับลูกน้อง จะให้สนิทขนาดไหนล่ะ” ข้อสอบตอบ “แน่ใจเร้อออ” คำพูดล้อเลียนกับหน้าตาเหมือนคนไม่เชื่อ ทำให้นักวิจัยหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น หรือว่าเขาจะไปรู้อะไรบางอย่างมา? “ผมไปเอามอเตอร์ไซต์ก่อนดีกว่า จะไปคุยกันที่ไ
บทส่งท้าย แม้จะเป็นแฟนกันแล้ว แต่คนบ้างานก็ยังคงบ้างานต่อไป ดีหน่อย ที่ถึงแม้จะมีไปประชุมต่างเขตจนต้องกลับบ้านดึกดื่นเป็นบางวัน แต่อาชวินก็ไม่เคยไปค้างที่อื่น และไม่หอบเอางานกลับมาทำที่บ้าน ข้อสอบที่นับวันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเป็นแม่บ้านเข้าไปทุกที ได้แต่นั่งกอดตุ๊กตาน้องเต่า เป็นนักเลงคีย์บอร์ดในเรดดิตและสอดส่องหาของแต่งบ้านต่อไป ถึงแม้จะทำงานกันคนละอาคาร แต่ยามเลิกงาน ข้อสอบกับอาชวินมักจะเจอกันอยู่เสมอ ไม่ที่บ้านของเขา ก็บ้านของอีกคน เดินไปมาหาสู่กันจนอาชวินขอให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านสองชั้นของตนแทน เลยได้ถือโอกาสย้ายของทุกอย่างออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ที่อยู่นอกเขตทหาร จะได้ปล่อยเช่าซะ พอย้ายของมา ก็เลยได้ตกแต่งบ้านอย่างจริงจังเสียที บ้านที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นตอนนี้ เลยมีของตกแต่งเพิ่มขึ้นมา ทำให้ดูเป็นเหมือนบ้านมากขึ้น นอกจากนี้บ้านของอาชวินยังมีห้องนอนที่ชั้นหนึ่งเยื้องออกไปทางข้างหลัง สะดวกให้ตัวเลขอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก วันนี้อาชวินก็บินไปทำงานที่ต่างเขตแต่เช้ามืด และน่าจะกลับมาถึงเร็วๆ
22คำเตือนสุดท้าย บรรยากาศกำลังได้ที่ แต่ดันถูกตัวป่วนสองตัวมาขัดเสียยับ อาชวินมองชาแมนกับรุจีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านได้อย่างถูกจังหวะสุดๆ โดยที่ตนยังจับมือคนตัวเล็กกว่าไว้อยู่ “นายไม่ได้เตือนข้อสอบไว้เหรอ” แวมไพร์สาวสวยที่เดินนวยนาดมานั่งยังโซฟาตัวที่นักสืบเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน หันไปถามแวมไพร์สัปเหร่อที่เลือกยืนพิงโต๊ะหน้าทีวี “เตือนแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ฟัง” ชาแมนตอบ ข้อสอบพยายามดึงมือออกจากอุ้งมืออุ่นสบาย เพราะถูกจับจ้องมาจากแวมไพร์ทั้งสองตนจนชักจะเขินอยู่หน่อยๆ “เตือนถูกจุดหรือเปล่า” “ก็เตือนเรื่องเหยื่อจะถูกดูดเลือดจนป่วยตาย” “นายคิดว่าคนอย่างผู้พันจะตายได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” “เออ จริงด้วย” แวมไพร์รุ่นน้องได้แต่หันไปมองคนโน้นคนนี้ซุบซิบกันไปมาโดยไม่สนเลยว่าคนที่ถูกนินทาจะนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ “ข้อสอบ ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักหน่อยสิ” รุจีว่า “ไม่เอาแบบคราวก่อนแล้วนะครับ” นักวิจัยหนุ่มหมายถึงตอนที่ถูกจับหิ้ววิ่งด้วยความเร็วสูงซะจนคลื่นไส้ “คุยที่นี่แหละ ข้อสอบไม่ม
21ต้องการคนปกป้อง แม้เจ้าค้างคาวจะกระพือปีกขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลาและขยับเบี่ยงตัวอย่างตกใจตามเสียงเรียกของอาชวิน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นกระสุนล็อกเป้า เทคโนโลยีพิเศษที่สามารถเปลี่ยนทิศทางตามเป้าหมายได้ถึงสองครั้งติด เป็นเทคโนโลยีที่มีราคาแพงมาก หาได้จากในฐานทัพเท่านั้น และถูกควบคุมไม่ให้มีขายในตลาดใต้ดิน “ข้อสอบ!” ผู้พันหนุ่มร้องอย่างตกใจ นาทีที่เห็นร่างจิ๋วถูกยิงจนตกลงมากับพื้น เป็นชั่วเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน แต่สติและสัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เขารีบเก็บค้างคาวน้อยที่นอนสลบไสลลงในกระเป๋าเป้ วิ่งหาที่ซ่อนจากกระสุนสุดแสนจะอันตรายนั่น ชายหนุ่มหาที่หลบได้ก็ลอบประเมินสถานการณ์ในใจ หากศัตรูมาคนเดียวก็คุ้มที่จะเสี่ยงจัดการซะให้เรียบร้อย ดีกว่าเขาเป็นฝ่ายถูกตามล่าฝ่ายเดียวจนไม่มีเวลาปฐมพยาบาลให้ข้อสอบ สายตาคมหยิบแว่นมองในที่มืดที่ถูกออกแบบมาให้ดูคล้ายแว่นตาธรรมดาขึ้นสวม ลอบสังเกตดูการเคลื่อนไหวรอบกาย หากทว่ามีกลิ่นหอมหวานโชยออกมาจากในกระเป๋าสะพาย เหมือนกลิ่นโอเมก้ากำลังฮีต... กลิ่นเดียวกับที่เข
20ผู้ช่วยเหลือ หลังจากซักถามลักษณะภูมิประเทศที่เกิดเหตุและช่วงเวลาคร่าวๆ ที่ตัวเลขเห็นในนิมิต ข้อสอบก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุจะเกิดในคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้กันแน่ สิ่งที่เขาทำได้คือต้องออกไปหาผู้พันให้เจอโดยเร็วที่สุด “อ้าว คุณข้อสอบจะไปไหนน่ะ” นาทีถามคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังไม่ทันจะข้ามพ้นวงกบประตู และรีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เลยได้แต่ยืนเกาหัวอย่างงงๆ ตอนแรกนักวิจัยหนุ่มกะจะแวะมาเอากระเป๋าเป้เพื่อใส่อุปกรณ์ยังชีพต่างๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนแปลงร่างเป็นค้างคาวเพื่อบินตามหาน่าจะสะดวกกว่า เลยเดินออกไปคุยโทรศัพท์เงียบๆ ไหว้วานให้ชาแมนมาเฝ้ายามผลัดที่สามช่วงใกล้รุ่งเช้าแทนเขา จากนั้นแวมไพร์หนุ่มก็อาศัยมุมมืดของป่า แปลงร่างเป็นแวมไพร์ตัวกระจ้อยที่ไม่รู้จะมีแรงบินได้ไกลแค่ไหน บินตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อไปสู่ภูมิประเทศแบบป่าชายเลน โชคดีที่ป่าชายเลนมีความยาวเพียงแค่ห้ากิโลเมตรและมีอยู่เพียงฝั่งเดียวของพื้นที่ที่ใช้ในการทำภารกิจ ทำให้ข้อสอบสามารถสโคปพื้นท
19อีกขั้นของความสัมพันธ์ บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ที่ก้าวเดินไปด้วยกันมีแต่ความเงียบสงบ หลังจากที่อาชวินโผล่มาช่วยพาข้อสอบออกจากสถานการณ์อันแปลกประหลาดตอนนั้น พวกเขาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีก สุดท้ายคนที่ทนความเงียบไม่ไหว ก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อน “ผมไม่ขอบคุณคุณหรอกนะ” เพราะผู้พันทำให้เขาต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ “ไม่ดีใจเหรอที่ได้รู้จักแวมไพร์ตนอื่นเพิ่ม” ข้อสอบหันขวับไปมองคนพูดหยอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แล้วคุณจะรู้สึกดีใจมั้ยล่ะครับถ้าเจอคนอุ้มแล้วพาวิ่งไปด้วยความเร็วสูงแบบนั้น” นักวิจัยหนุ่มแหวใส่ “เหวอออ” ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อร่างกายลอยขึ้นมาอยู่เหนือพื้น “อุ้มแบบนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงเจือรอยขำ ทำให้คนที่กอดคออีกฝ่ายแน่นเพราะกลัวตก จัดการทุบไหล่กว้างของอัลฟ่าหนุ่มเข้าให้หนึ่งป้าบ “คุณนี่มัน...” กวนตีนกว่าที่คิด “อารมณ์ดีได้หรือยัง” ลมหายใจร้อนที่เป่ารดแก้มเย็น ทำให้ข้อสอบที่เผลอสบตาผู้พันครู่หนึ่งต้องเบนหน้าหลบ ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงไปมากกว่านี้ “ไม่ใช่อุ้
18มนุษย์ก็แค่ของเล่น คนที่นอนมาตลอดทางค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากรู้สึกได้ถึงรถตู้หรูเจ็ดที่นั่งที่จอดนิ่งสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป พอขยับตัวก็รู้สึกได้ถึงเสื้อโค้ทที่ไหลลงไปกองอยู่บนตัก หันไปทางขวาก็เห็นคนที่นั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดทางกำลังเก็บแท็ปเล็ตที่เพิ่งปิดลงใส่กระเป๋า ตั้งแต่ขึ้นรถที่มีเพียงเขา ผู้พัน และคนขับรถมา ผู้พันอาชวินก็ไม่ซักถามอะไรสักคำ เอาแต่บอกให้เขานอนพักผ่อนให้เต็มที่ คนที่เตรียมใจว่าจะโดนดุเลยได้แต่แกล้งหลับตาอย่างงงๆ จนสุดท้ายก็เผลอหลับไปเอง หลับยาวจนมาตื่นเอาตอนนี้ “ขอบคุณครับ” ข้อสอบยื่นเสื้อโค้ทคืนให้กับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของ หัวใจอุ่นวาบนิดหน่อยกับความห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทั้งตอนที่ฝากนาทีเอายามาให้ และตอนนี้ “วันนี้ก็พักผ่อนซะเยอะๆ ล่ะ พรุ่งนี้ไปฝึกแค่ช่วงเช้าชั่วโมงเดียวพอ” จริงๆ อาชวินไม่อยากให้ข้อสอบมาฝึกต่อเลยด้วยซ้ำ แต่การจะให้คนตัวเล็กอยู่ใกล้ๆ กับเขาได้ ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น “เดี๋ยวก่อน” ผู้พันหนุ่มจับข้อมือ รั้งร่างของคนที่กำลังจะเปิด
17คนเนื้อหอม หากเด็กตรงหน้าอายุมากกว่านี้ล่ะก็... คนอื่นคงนึกว่ามีสาวหนีตามเขามาแน่ “ทำไมหนูถึงมาที่นี่ล่ะ” หลังจากที่เรียกเด็กหญิงวัยเก้าขวบนามว่าตัวเลขเข้ามาในบ้าน เพื่อป้องกันการครหานินทาจากเหล่าเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้อสอบก็เริ่มเปิดประเด็นทันที “หนูหิวค่ะ” พรืดดด แขนที่กำลังกอดอกอยู่อย่างคนจริงจังเลื่อนไถลไปบนโต๊ะหน้าโซฟาตามอาการเซของตน ทำไมเขาต้องเจอแต่คนที่ชอบไม่ตอบคำถามเขาก็ไม่รู้ เห็นกิริยาท่าทางของเด็กคนนี้แล้ว นึกถึงใครบางคนขึ้นมาตงิดๆ ถ้าบอกว่าเป็นพ่อลูกกันเขาคงจะเชื่อได้ง่ายๆ สุดท้ายนักวิจัยหนุ่มเลยต้องกระเตงตัวเลขไปฝากท้องที่ร้านป้าอ้วน ซึ่งอยู่นอกเขตทหาร “อ้าว ข้อสอบ หายไปไหนตั้งนาน นึกว่าจะลืมร้านป้าไปเสียแล้ว” แม่ครัวร้านอาหารตามสั่งที่กำลังควงตะหลิวโชว์ลีลาการผัดคะน้าน้ำมันหอยอยู่ ร้องทักดังลั่น “แล้วนี่เด็กที่ไหน น้องสาวเหรอ น่ารักน่าชังน่าเอ็นดูจริงเชียว” “ครับ” ตอบรับอย่างขี้เกียจอธิบาย ก่อนจะหันไปบอกเด็กที่แต่งตัวสีขาวดำเหมือนเดิมซึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างหลัง “อยากกินอ
16เสพติดความเย็น ท่ามกลางแสงสลัวของสุสานร้างกลางป่า ที่มีลมโชยและเสียงอีการ้องคลอเป็นระยะๆ มีร่างเปลือยเปล่าสองร่างเกาะเกี่ยวกันอย่างเร่าร้อนบนโลงศพ ความรู้สึกคับแน่นของการถูกสองนิ้วใหญ่ชำแรกเข้ามาในช่องทางเบื้องหลัง ดึงข้อสอบลงมาจากห้วงความฝันที่ล่องลอยอยู่จากการเล้าโลมอันช่ำชองของคนแก่กว่า อัลฟ่าหนุ่มค่อยๆ ขยับมือที่ชโลมไว้ด้วยเจลหล่อลื่นเข้าออกเพื่อเตรียมความพร้อมของคนที่ยังไม่เคยมาก่อน ปากทางสีชมพูสวยที่บานเข้าออกตามการขยับนิ้วของเขา มันช่างดึงดูดซะจนอยากจะจับแก่นกายยัดลงไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่หน้าตาเหยเกของร่างข้างใต้ ทำให้ผู้พันหนุ่มได้แต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เขาพรมจูบตามเปลือกตา ขมับ ข้างแก้ม จูบริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูดซับความอึดอัดของอีกฝ่ายมาไว้กับตัว จากสองนิ้วก็เพิ่มเป็นสาม มืออีกข้างจับเข้าที่แก่นกายขนาดใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่าของเขา เพื่อช่วยเพิ่มความหฤหรรษ์ให้คนที่กำลังจะต้องทนรับความเป็นจริงในอีกไม่กี่อึดใจ เมื่อนิ้วมือแกร่งหลุดออกมา ปลายลำของเขาก็ถูไถเบาๆ บนปากทางรักสีหวาน คนที่ถูกเล้าโลมจนเสียวซ่านอยากจะ
15แก้ทาง คราวนี้ข้อสอบมั่นใจในมนต์สะกดที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของตัวเองมาก ดวงตาอันแดงก่ำในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทนกลิ่นเลือดไม่ไหว แต่เป็นการที่เขาฝึกฝนตัวเองจนสามารถควบคุมการสะกดจิตได้ สีหน้าและท่าทางของผู้พันตัวโตพลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เหมือนกับครั้งแรกๆ ที่เขาสะกดอีกฝ่ายซะจนอยู่หมัด ฝ่ามือซีดขยับโบกไปมาหน้าดวงตาคมเข้ม ก่อนจะจับมือซ้ายที่สวมถุงมือสีขาวอยู่ยกขึ้นลงเหมือนเล่นกับตุ๊กตา ไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อต้านของร่างใหญ่ให้เห็น “หึ อัลฟ่าหรือจะสู้แวมไพร์” คนที่ใจพองโตกับความรู้สึกของการกลับมาเป็นผู้ล่าอีกครั้ง ใช้มือทั้งสองกดบ่ากว้างของคนที่นั่งอยู่ไว้แน่น เขี้ยวเล็กสองซี่ที่โผล่ขึ้นมาฝังลงไปบนลำคอแกร่งที่ยังคงเผยให้เห็นเส้นเลือดสวยไม่ต่างจากเดิม ของเหลวสีแดงที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนานแพร่กระจายความอุ่นวาบลงสู่หลอดอาหาร ระเบิดรสชาติกลมกล่อมซาบซ่านในปากจนถึงคอ กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งร่างให้เปิดออก หลังจากดื่มไปในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ข้อสอบก็หยุดยั้งตัวเองได้อย่างเฉียบขาดอย่างแวมไพร์มืออาชีพ ไอ้อยากน่ะก็อยากอยู่หรอ