หลังจากเวลาผ่านไปสองถ้วยชา เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป็นเสียงของเซียวอวี้ที่กลับมาจากการสรงน้ำ เขายกเปิดม่านขึ้นมา พลางมองดูนางจากเบื้องบนอย่างน่าเกรงขามและเย็นชา สายตาของนางเคลื่อนมองตาม ได้เห็นเขาอยู่ในชุดบรรทม ปล่อยเส้นผมดำสยาย ใบหน้างดงามดุจหยกนั้นถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายสังหาร เปรียบเสมือนปีศาจร้ายที่เย้ายวนใจผู้คน ยามที่ได้เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนย่อมจะต้องรักษาความระมัดระวังอยู่เสมอ หลังจากนั้น เซียวอวี้ก็ย่อกายนั่งลง เขาผินดวงพักตร์มาทางนาง นัยน์ตาเงียบสงัดเยือกเย็น เมื่อเขาไม่เอ่ยปากก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่พูดเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก ในม่านเงียบสงบผิดปกติ ไม่ต่างจากการตั้งป้อมคุมเชิงประจันหน้ากันเงียบ ๆ ก่อนเริ่มสงคราม ได้แต่หยั่งเชิงกันและยังหาทางออกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะข่มอารมณ์ไม่ไหวก่อนกัน เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาเยือกเย็นของบุรุษผู้นั้น ถึงแม้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนอยากจะเมินเฉย ก็ยังหนีไม่พ้นความรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย นางชอบ
Read more