หลังจากที่เซียวอวี้เดินเข้ามา ก็ได้เห็นองค์หญิงใหญ่อยู่ด้วย คิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อย ดูเหมือน เสด็จพี่หญิงจะสงสัยในตัวตนของฮองเฮาแล้ว จึงมาเพื่อหยั่งเชิง “ฝ่าบาท ท่านออกว่าราชกิจเสร็จแล้วหรือ?” องค์หญิงใหญ่เอ่ยถามอย่างคลุมเครือ เซียวอวี้ก้าวเดินอย่างเป็นธรรมชาติไปหยุดที่ข้างกายของเฟิ่งจิ่วเหยียน พลางย้อนถามองค์หญิงใหญ่ “ท่านมาทำอันใดที่นี่” เขายังไม่ลืม เมื่อคืนนี้ นางใช้ความตายมาข่มขู่เขา ก็เพื่อช่วยเมิ่งเฉียวม่อ เป็นการกระทำที่สิ้นคิดมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวอวี้ สายตาขององค์หญิงใหญ่ยังคงไม่ผละออกจากเฟิ่งจิ่วเหยียน “ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับฮองเฮาเป็นการส่วนตัว ทว่าฝ่าบาทเสด็จมาถึงก่อนที่ข้าจะพูดจบ” ดวงตาของเซียวอวี้เยือกเย็น และแสดงออกอย่างไร้เหตุผล “ทำไม เราต้องออกไปก่อน เพื่อให้พวกท่านได้คุยกันต่อหรือ?” ถ้อยคำเหล่านี้ค่อนข้างเหน็บแนม และยังเจือไปด้วยความไม่เป็นมิตร องค์หญิงใหญ่มิทราบว่าเหตุใดเขาจะต้องระแวดระวังนางถึงเพียงนี้ ทว่า อนาคตยังอีกยาวไกล เรื่องของแม่ทัพน้อยเมิ่งนั้น นางยังมีเวลาให้สืบหาอย่างชัดเจนอีกมาก
ยามบ่าย ณ ตำหนักฉือหนิง องค์หญิงใหญ่ต้องการไปที่ตำหนักหย่งเหออีกครั้ง กลับได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จออกนอกพระราชวังพร้อมฮองเฮาแล้ว นางจึงไม่มีทางเลือก “หากฮองเฮากลับมาแล้ว อย่าลืมมาแจ้งให้ข้าทราบทันที” องค์หญิงใหญ่สั่งสาวใช้ด้วยน้ำเสียงเข้มงวด สาวใช้ตอบรับด้วยความเคารพ และบังเกิดความสงสัยในใจอย่างเลี่ยงมิได้ หรือ เหตุที่แม่ทัพน้อยเมิ่งถูกประหารชีวิตนั้น ฮองเฮาก็มีส่วนพัวพันด้วย? มิเช่นนั้นเหตุใดองค์หญิงใหญ่ต้องรีบร้อนตามหาฮองเฮา และไม่มีเวลาได้โศกเศร้าอาลัยให้แม่ทัพน้อยเมิ่งด้วยซ้ำ? สาวใช้ย่อมมิอาจรู้ได้ว่า ที่จริงแล้วองค์หญิงใหญ่รู้สึกแค้นใจที่เฉียวม่อสิ้นใจช้าเกินไป และรู้ความจริงสายเกินไป “ประเดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่พลันจดจำเรื่องหนึ่งได้ “ไปหยิบกำไลข้อมือวงนั้นจากคลังสมบัติมาก่อน” “กำไลข้อมือ...องค์หญิงเพคะ ท่านได้สั่งทำมันขึ้นมาเพื่อมอบให้แม่ทัพน้อยเมิ่ง เป็นกำไลข้อมือกลไกที่เผลอทำหักระหว่างเดินทางกลับมาตุภูมินั่นน่ะหรือเพคะ?” ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ขุ่นมัว “ใช่ เป็นกำไลวงนั้น” ฝ่ามือของนางมีเหงื่อเย็นไหลออกมาโดยไม่รู้ต
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินทางมาพร้อมกับเซียวอวี้ นางยืนอยู่นอกประตู และได้ยินเสียงคำรามลั่นของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ นางทนฟังไม่ไหวแล้ว คนเช่นหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ แม้ว่าต้องตายก็จะไม่มีทางสำนึกผิดแน่นอน เดิมนางคิดว่า หากปล่อยให้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ได้รับความทุกข์ทรมานในระดับเดียวกัน ก็ถือว่าไม่ติดค้างกันอีก ทว่ายามนี้พิจารณาดูแล้ว การปล่อยหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไป จักนำมาซึ่งภัยพิบัติใหญ่หลวงยิ่งขึ้น นางตระหนักดีเสมอ มิอาจดูแคลนความพยาบาทของคนผู้หนึ่งได้ และในยามนี้ หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ได้ยินเสียงของฮองเฮาอยู่ที่นี่ด้วย พลันรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก นางคำรามด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าไสหัวออกไป! ข้าอยากพบแค่ฝ่าบาทเท่านั้น! “นางคนชั้นต่ำ ข้าจะต้องให้ฝ่าบาทประหารเจ้าให้ได้! “หากฝ่าบาทไม่ช่วยข้า ข้าก็จะลงมือด้วยตัวเอง! ข้าจะไม่มีวันปล่อยไป...อ้าก!” หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ก้มศีรษะลง และได้เห็นกระบี่ที่แทงทะลุหน้าอกของตนเองด้วยความไม่เชื่อ ฝ่ายตรงข้ามลงมือรวดเร็วเกินไป นางยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนก็ถูกกระบี่แทงเข้าแล้ว มิต้องเอ่ยถึงหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เพราะแม้แต่ยอดฝีมื
เซียวอวี้จับจ้องมองตรงไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน และเอ่ยอีกครั้งอย่างเคร่งขรึม “เหตุใดจึงไม่ถามเราว่า เคยโปรดปรานหลิงเยี่ยนเอ๋อร์บ้างหรือไม่” สตรีที่ช่องคลอดตีบตันไม่อาจมีความสัมพันธ์ทางเพศกับบุรุษได้ อย่าบอกว่านางไม่รู้ เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างชัดเจน “ฝ่าบาท อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหม่อมฉันเลยเพคะ” เมื่อเห็นสีหน้าของเขาพลันเย็นชาอย่างกะทันหัน นางจึงรีบกล่าวเสริม “ถึงแม้จะเป็นสตรีที่ช่องคลอดตีบตัน ก็ถูกโปรดปรานได้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่สงสัยอันใดเพคะ” อย่างเช่น เขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ ในฉับพลัน สายตาของเซียวอวี้ก็พุ่งเข้าใส่นาง เสมือนเข็มที่แหลมคม “แม่ทัพน้อยเมิ่งแสร้งเป็นบุรุษมานานแล้ว ทว่าเข้าใจความรักระหว่างชายหญิงดียิ่งนัก” เฟิ่งจิ่วเหยียนหลุบตาลงอย่างนิ่งสงบ “ฝ่าบาททรงยกย่องเกินไปแล้วเพคะ” เซียวอวี้ : … นางคิดว่าเขากล่าวชมนางจริง ๆ หรือ? หลังจากความเงียบอันน่าประหลาดชั่วครู่นั้น เซียวอวี้ไม่เอ่ยอย่างอ้อมค้อม “หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไม่เคยร่วมบรรทม ที่เราให้ความโปรดปรานแก่นาง ทั้งหมดเป็นเพราะในช่วงสี่ปีที่
เฉินจี๋หยุดชะงักอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็นเลย ภาพที่เห็นคือ ฮองเฮากำลังนั่งคร่อมอยู่บนเอวของฝ่าบาท พลางจับตรึงข้อมือทั้งสองข้างของฝ่าบาท กดคนเอาไว้ชิดกับผนังของรถม้า และกัดลำคอของฝ่าบาท... ท่าทางเช่นนี้ ดูเหมือนว่าฝ่าบาทกำลังถูก...บีบบังคับ?!! ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของเฉินจี๋คือ——ช่วยฝ่าบาท! ทว่า ฮองเฮาพลันหันกลับมา และแววตาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารคู่นั้น ทำให้เขาอดรู้สึกหวาดกลัวมิได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น ร่างกายของเขาได้ตัดสินใจเลือกก่อนที่สมองจะคำนวณเสร็จสิ้น ซึ่งมันเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์กับความอยู่รอดของเขาเอง ฟึบ! เฉินจี๋ลดม่านรถม้าลงอย่างเด็ดขาด เขาปลอบใจตนเองว่า ฝ่าบาทก็ควรจะรื่นเริงไปด้วยกระมัง ถูกต้อง จักต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน อย่าว่าแต่เฉินจี๋แล้ว แม้แต่เซียวอวี้ก็มิเคยคาดคิดว่า ตนเองจะถูกสตรีนางหนึ่งควบคุมเอาไว้ มิหนำซ้ำยังอยู่ในท่าทางเช่นนี้... เขาจ้องมองสตรีที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ริมฝีปากแดงก่ำ และบวมนิด ๆ บนลำคอ ยังมีรอยฟันที่ช
ช่วงนี้เจียงหลินค่อนข้างว่างวันนี้เขาทานข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยม ได้ยินโต๊ะด้านข้างปรึกษากันว่าจะสังหารฮ่องเต้สุนัข จึงรีบขยับไปนั่งใกล้ๆได้ยินว่าวีรสตรีอย่างแม่ทัพน้อยเมิ่งถูกสังหาร เขาแค้นเคืองในความไม่เป็นธรรมขึ้นมาทันทีที่สำคัญนั้นเป็นเพราะ เคยได้ยินพวกเหล่าฝานพูดว่า แม่ทัพน้อยเมิ่งกับซูฮ่วนเป็นสหายสนิทกันงั้นเขาก็ต้องมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ!เจียงหลินคิดว่าตนเองมีน้ำใจไมตรี รักใครก็รักคนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วยกลับไม่รู้ว่า ในสายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุดเขาคิดทุกอย่างราบรื่นเกินไป อยากรู้ว่าศีรษะตรึงไว้บนสายคาดเอวนั้นมีความรู้สึกอย่างไรหรือ!เห็นว่าเจียงหลินพุ่งเข้ามาแล้ว ไม่รอให้เซียวอวี้ “เป็นบันได” ให้นาง เฟิ่งจิ่วเหยียนยันฝ่ามือข้างหนึ่งไว้บนไหล่ของเขา แล้วก็กระโดดลอยขึ้น...ปัง!เจียงหลินล้มลงอย่างไม่ทันตั้งตัวเดิมคิดว่าเป็นแบบนี้แล้วเขาจะหยุดคิดไม่ถึงว่าเขาจะคลานลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชูมีดหันผักที่ไม่รู้เอามาจากในมือใคร พร้อมแยกเขี้ยวฟัน“ฆ่า!”เฟิ่งจิ่วเหยียน:…เจียงหลิน เจ้าคนโง่เขาอยากให้ตระกูลเจียงถูกประหารเก้าชั่
องค์หญิงใหญ่มองดูคนตรงหน้าอย่างนิ่งอึ้งฮองเฮา...เป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ช่วยชีวิตนางไว้ในปีนั้น!โอ้พระเจ้า ที่ผ่านมานี้ นางทำอะไรลงไปบ้าง!นางหลงเชื่อเมิ่งเฉียวม่อ วางแผนทำร้ายฮองเฮากระทั่งเปิดเผยเรื่องที่ฮองเฮาอภิเษกสมรสแทน...นางทำเพื่อเมิ่งเฉียวม่อ ที่เป็นตัวปลอมนั้น เกือบจะฆ่าคนที่มีบุญคุณช่วยชีวิตตนเองไว้ที่แท้จริง ! !ตอนนี้เวลานี้ องค์หญิงใหญ่เสียใจอย่างมาก สำนึกผิดอย่างที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนก้มมองดูกำไลบนข้อมือ แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ทันใดนั้นดวงตาทั้งสี่ก็มองสบตากันแววตาขององค์หญิงใหญ่ แฝงไปด้วยความซับซ้อน น้ำเสียงสั่นเทา“เจ้า...”นางมีคำพูดมากมาย กลับไม่รู้จะเริ่มพูดขึ้นมาอย่างไรดี“แม่ทัพน้อย ขนาดข้อมือของเจ้า ข้าวัดด้วยตนเอง ตอนนี้ เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือไม่?” องค์หญิงใหญ่จ้องมองดูนางเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“องค์หญิง...”องค์หญิงใหญ่พูดขัดนางขึ้นมา“ข้าช่างโง่ยิ่งนัก ข้า...ข้าร่วมวางแผนกับมิ่งเฉียวม่อ คอยทำร้ายเจ้า เจ้าถือโทษข้า ไม่เชื่อข้า ก็สมควรแล้ว“ข้า ข้าเนรคุณ! ไม่มีหน้าสู้หน้าเจ้า”ใบหน้าองค์หญิงใหญ่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับก่อกรรมทำ
องค์หญิงใหญ่กินปูนร้อนท้องเมิ่งเฉียวม่อสามารถแหกคุกได้ ก็เพราะฝากป้ายคำสั่งอินทรีเหินไว้กับนางนางก็รู้ว่าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดบังได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะไวขนาดนี้ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ คำพูดของฝ่าบาทที่ดูเหมือนเป็นการสอบสวนสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันเขาเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมา ตักเตือนนางอย่างเคร่งขรึม“เซียวฉี เรื่องนี้เราไม่ทำโทษเจ้าได้ แต่นับจากนี้ไป ตำหนักหย่งเหอ เจ้าอย่ามาบ่อยนัก”องค์หญิงใหญ่กำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัวนางจับจ้องมองดูเซียวอวี้ ยิ้มหัวเราะพูดขึ้นมาอย่างไม่ยอมพ่าย“ฝ่าบาท ท่านครองบัลลังก์มาเจ็ดปีแล้วใช่หรือไม่? จนถึงตอนนี้ยังไม่มีรัชทายาท ไม่สมเหตุสมผลเสียเลย“ได้ยินเสด็จย่าตรัสว่า ท่านวางแผนไว้ ตราบที่ฮองเฮาไม่มีรัชทายาท ท่านก็จะไม่โปรดปรานสนมวังหลัง?”“อย่าหาว่าข้าพูดมาก หลายปีมานี้ เคยโปรดปรานเฉพาะหรงเฟยกับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ แต่ก็เคยโปรดปรานจิ้งเฟย สตรีพวกนี้ล้วนไม่ได้ตั้งครรภ์ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า สิ่งสำคัญนี้ไม่ได้อยู่ที่ฮองเฮา?”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเข้มองค์หญิงใหญ่ยิ้มหัวเราะอย่างมีเจตนาแอบแฝง แสดงออกด้วยเจตนาดี“ในฐานะที่ข้าเป็นเสด็จพี่หญิง จึงกล้าพูดคำพูด
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้
ขณะที่องค์หญิงเซี่ยนอี๋กำลังถือพู่หยกอย่างพึงพอใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็บีบคอของนาง จนโซ่ที่ล่ามไว้ส่งเสียง“อึก!” นางพลันเบิกตากว้างไหนเสด็จพี่สี่บอกว่า ฮ่องเต้ฉีสูญเสียพลังภายในไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?เดิมทีเซียวอวี้คิดจะให้ความร่วมมือนาง เพื่อให้นางช่วยตัวเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้ทว่า เขาประเมินความอดทนของตัวเองไว้สูงเกินไปเขาทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ!นางกล้าเอาพู่หยกนั้นไป!หลังจากเซียวอวี้บีบคอนาง นางก็พยายามชูพู่หยกไปด้านหลัง ไม่ยอมคืนให้เขาแต่ด้วยแรงมือของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ นางใกล้หมดลม แขนจึงหลุบลงเช่นนี้ เซียวอวี้จึงแย่งพู่หยกกลับมาได้ จากนั้นก็สะบัดนางออก ราวกับเพิ่งจับสิ่งของสกปรกมา ทั้งยังพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ไสหัวไป!”องค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ไฉนเลยจะเคยถูกดูแคลนขนาดนี้นางไม่ยอม จึงจ้องเซียวอวี้ตาเขม็ง“ท่านจะต้องเสียใจ! นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่ได้!”เซียวอวี้ไม่สนใจนางอีกหากเพื่อหนีออกไป แล้วต้องร่วมเออออห่อหมกไปกับผู้หญิงคนนี้ เขากลัวสกปรกองค์หญิงเซี่ยนอี๋ถูกทำลายศักดิ์ศรี ลุกขึ้น แล้วยิ้มเยาะ“ท่านลำพองใจอะไรนัก? เป็
องค์ชายสี่อ่านความคิดขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ออก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม“คนที่ขังอยู่ในนั้นคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เสด็จพ่อจะตามใจเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางมอบเขาให้เจ้าแน่ เซี่ยนอี๋ เจ้าเลิกคิดเถิด”“หากท่านไม่บอก พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก!” องค์หญิงเซี่ยนอี๋กอดอก พูดข่มขู่องค์ชายสี่กลัวเหลือเกินว่านางจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายยัยเด็กนี่ดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถึงเป้าหมายก็จะไม่ยอมหยุดครุ่นคิดอยู่นาน องค์ชายสี่ก็ตัดสินใจบอกนาง“นั่นคือฮ่องเต้ฉี คนที่เสด็จพ่อใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตัวมา”ให้นางรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น นางจะได้หวาดกลัวองค์หญิงเซี่ยนอี๋เบิกตาอ้าปากค้างในทันที จากนั้นใบหน้าก็ก่อเกิดริ้วแดง“เขาคือ…”นางไม่อยากจะเชื่อชื่อเสียงของฮ่องเต้หนุ่มจากหนานฉี นางเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วครั้งนี้ได้มาเจอ ช่างหล่อเหลาโดดเด่นอย่างที่ร่ำลือกันไม่มีผิดดูดีกว่าบรรดาราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อให้นางเลือกเสียอีกและยังเป็นคนน่าเกรงขามถึงเพียงนั้น…องค์หญิงเซี่ยนอี๋จับชายเสื้อขององค์ชายสี่อย่างตื่นเต้น “เสด็จพี่ เสด็จพี่คนดีของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่ทำเรื่องสำคัญของท่านกับเสด็จพ่อเ
วังหลังเหล่าสนมต่างเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับราชสำนักส่วนหน้ามาบ้าง“ฮองเฮาจะให้เด็กเล็กขนาดนั้นขึ้นครองราชย์จริงหรือ? ช่างเละเทะเสียจริง!”“เห็นได้ชัดว่าหวังเพื่อควบคุมโอรสสวรรค์!”“นี่ก็เป็นส่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่หรือ ในเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันกดดันอย่างหนัก และยังมีทายาทในราชวงศ์ที่ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย…”“ใช่สิ หากฮองเฮาไม่ทำเช่นนี้ พวกเราก็จะเดือดร้อนด้วย หากมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งแรกที่จะทำต้องเป็นการจัดวังหลังใหม่เป็นแน่”พวกนางกังวลเกี่ยวกับผลสรุปของราชสำนักส่วนหน้าหลังจากรอคอยอยู่หนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีขันทีมารายงาน——องค์ชายน้อยได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรสำเร็จแล้ว แต่ยังมีคนยึดติดเรื่องฝาแฝดไม่ยอมปล่อยวาง บังคับให้ฮองเฮาต้องสังหารองค์ชายอีกองค์ทิ้งเมื่อเหล่านางสนมได้ยิน ก็เริ่มเป็นห่วงฮองเฮาขึ้นมาในฐานะเป็นแม่ จะทำใจทิ้งลูกแท้ ๆ ได้อย่างไร?ขุนนางใหญ่เหล่านั้นทำมากเกินไปแล้ว!ทว่า ฝาแฝดก็เป็นปัญหาจริง ๆ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะรับมืออย่างไรไม่นาน ก็มีขันทีมารายงานอีก“พระนางทุกท่าน เหล่าขุนนางได้สลายตัวแล้ว!”นางสนมทั้งหลายแปลกใจอย่างมากทำไมสลายต
เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มลูก ยืนอยู่บนที่สูง แววตาสุขุมแน่วแน่“หากข้าอยากว่าราชการหลังม่าน แล้วเหตุใดจะไม่ได้?”เมื่อคำนี้พูดออกมา ทุกคนต่างส่งเสียงเกรียวกราว“ฮองเฮา ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับให้แม่ไก่มาขันในตอนเช้า นั่นฝ่าฝืนกฎเกณฑ์!”“ขออภัยกระหม่อมขอคัดค้าน!”ไทฮองไทเฮามีสีหน้าโรยรา มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียน แล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาฮองเฮาทำเช่นนี้ มันเสี่ยงมากเกินไปพูดตรงขนาดนี้ ขุนนางคนไหนจะยอมรับได้?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น จึงวางองค์ชายลงบนบัลลังก์“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าฝ่าบาทยังไม่เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าท่านเป็นอะไรไปจริง ๆ ก็ยังมีองค์ชายสืบราชบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงเวลาสำหรับทุกท่านหรอก“วันนี้พวกเจ้าต่างพูดกันเซ็นแซ่ ราวกับอยากวางแผนชิงบัลลังก์เลยนะ!”ทหารคนหนึ่งโต้กลับไปอย่างฮึกเหิม“ฮองเฮา พวกกระหม่อมบริสุทธิ์ใจ กลับถูกท่านหยามเกียรติเช่นนี้! พวกกระหม่อมไม่ยอม!”ท่านอ๋องผู้หนึ่งมองไปทางไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า ท่านพูดอะไรบ้างสิ!”เด็กทารกจะไปทำอะไรได้? คุ้มครองแผ่นดินไหวหรือ?จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็บอกว่าปวดหัว แล้วให้สาวใช้ประคองตัวเองออกไปเหล่าท่านอ๋องต่
แคว้นหนานฉีณ เมืองหลวงเรื่องที่ฮองเฮากลับวัง และให้กำเนิดฝาแฝด ใต้หล้าต่างรู้กันถ้วนหน้าอย่างรวดเร็วในวังหลวง ไทเฮาทั้งดีใจที่องค์ชายถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งกังวลเรื่องฝาแฝดนางเรียกฮองเฮามาที่ตำหนักฉือหนิง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกับอีกฝ่าย“หากราชวงศ์มีฝาแฝด โดยเฉพาะองค์ชาย เช่นนั้นก็ต้องส่งคนหนึ่งออกไปนอกวัง“ฮองเฮา ข้ารู้ ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือล้วนคือเลือดเนื้อ แต่เพื่อราชวงศ์ เจ้าต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”ขนาดตอนนั้นตระกูลเฟิ่งมีลูกแฝดยังทอดทิ้งหนึ่งคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ใบหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กล่าวเหมือนไม่ได้ยิน“เด็กทั้งสองคน จะไม่มีใครถูกส่งออกไปทั้งนั้น”เซียวอวี้เองก็เคยพูด เขาจะปกป้องลูกของตัวเองไทเฮารู้เป็นอย่างดีว่าการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่กฎก็เป็นเช่นนี้“ฮองเฮา อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย แม้นข้าจะยินยอม ขุนนางใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่ยอมอยู่ดี“วันนี้อยากให้เจ้าเตรียมพร้อม“สุดท้ายเจ้าก็ต้องตัดสินใจ”วังหลังเหล่านางสนมรวมตัวกัน ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน“มีคนบอกว่าฝ่าบาทเกิดเรื่อง จริงหรือไม่?”“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่อ
เซียวอวี้ที่ยังคงคอพับไร้เรี่ยวแรง ยกยิ้มเย็นที่มุมปากอย่างถากถางเขาไม่พูดอะไร ท่าทางทะนงองอาจคนที่อยู่ตรงหน้าแนะนำตัว “ข้าคือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเป่ยเยี่ยน ครั้งนี้มาเป็นตัวแทนของเสด็จพ่อ เพื่อแสดงไมตรีในฐานะเจ้าบ้านต่อฮ่องเต้หนานฉี”เมื่อองค์ชายสี่มองส่งสัญญาณ ข้ารับใช้ก็นำอาหารเข้ามาเซียวอวี้ไม่แม้แต่จะมององค์ชายสี่มีความอดทน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม“ฮ่องเต้หนานฉี พวกเราแคว้นเป่ยเยี่ยนเชิญท่านมาเป็นแขกด้วยความจริงใจ“เพียงแต่ข้างนอกอันตรายเกินไป จึงได้แต่จัดให้ท่านอยู่ที่นี่“ท่านวางใจเถิด รอให้แคว้นเป่ยเยี่ยนขับไล่กองทัพแคว้นหนานฉีออกไปจนได้ดินแดนที่สูญเสียไปคืนมา ย่อมปล่อยตัวท่านกลับไป”ริมฝีปากบางของเซียวอวี้ยิ้มเยาะเบา ๆพูดเสียดูดี ที่จริงก็แค่เอาเขาเป็นตัวประกัน ทำให้กองทัพแคว้นหนานฉีต่อต้านไม่ได้ก็เท่านั้นองค์ชายสี่เห็นเขาเยือกเย็นเพียงนี้ จึงขอตัวไปก่อนทว่าเมื่อออกมาด้านนอก องค์ชายสี่ก็พูดอย่างเย้ยหยัน“ตกเป็นเชลยแล้วยังจะโอหังเพียงนี้!”ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขาพูด“องค์ชาย ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ได้ยินว่าฮ่องเต้หนานฉีผ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพรวมเป็นสำคัญ จึงต้องกลับแคว้นหนานฉีก่อนอู๋ไป๋วิตกกังวล“ท่านประมุข กระหม่อมกลัวว่านักฆ่าพวกนั้นจะลงมือกับท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านประมุขเพิ่งจะคลอดลูก จะทนรับแรงสั่นสะเทือนจากการเดินทางได้เช่นไร?สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา“กลับแคว้นหนานฉี”ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกลับไปกลัวก็กลัวแต่ เป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือก่อกวนแคว้นหนานฉี นางจะปล่อยให้พวกเขาสมหวังไม่ได้เด็ดขาดก่อนที่จะตามหาเซียวอวี้เจอ นางจะต้องช่วยเขาปกป้องแคว้นหนานฉีเอาไว้ให้ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจัดการเรื่องในแคว้นซีนี่ว์ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงว่าจะจัดการขับไล่กองทัพแคว้นเป่ยเยี่ยนอย่างไร ไปจนถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นคนใหม่ด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขคนใหม่ใช้อำนาจอย่างเผด็จการ นางจึงจัดตั้งนโยบายสามประมุขขึ้นในบรรดาสามคนนี้ มีคนหนึ่งเป็นบุรุษทำเช่นนี้จะได้ปลอบโยนเหล่าบุรุษในแคว้นซีนี่ว์ ป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างเรื่องวุ่นวายอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกเดินทางกลับแคว้นหนานฉีอย่างรวดเร็วแม้ว่าหูย่วนเอ๋อร์จะตัดใจไม่ลง ทว่านางก็รู้ดีถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้
ประตูตำหนักเปิดออก นางกำนัลเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับหูย่วนเอ๋อร์: “ท่านแม่ทัพ ท่านประมุขคลอดองค์ชายพระองค์หนึ่งออกมาอย่างปลอดภัยเพคะ”ที่แคว้นซีหนี่ว์ มีเพียงองค์หญิงเท่านั้นที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้ ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จึงไม่เป็นที่ต้องการทว่าหูย่วนเอ๋อร์ยังคงรู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง“องค์ชายก็ดี ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เพิ่งจะพูดจบ หมอตำแยข้างในก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ“ยังมีอีกพระองค์หนึ่ง!”ที่แท้ท่านประมุขก็ทรงตั้งครรภ์ฝาแฝดนี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนแววตาหูย่วนเอ๋อร์มีความยินดีและการเฝ้ารอพาดผ่านหวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิงหากเป็นองค์หญิง อนาคตย่อมสามารถสืบทอดตำแหน่งประมุขแคว้นได้ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกไม่ถึงว่าคลอดออกมาแล้วคนหนึ่ง แล้วยังมีอีกคนโชคดีที่นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยังใช้แรงไปไม่หมดก่อนหน้านี้เป็นเพราะตำแหน่งครรภ์ไม่ตรงจึงคลอดยากคนที่สองนี้กลับคลอดง่ายกว่ามาก ทว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกอะไรแล้ว นางเจ็บปวดจนชาไปหมดแล้ว ร่างกายส่วนล่างบวมเสียจนเหมือนว่าเนื้อส่วนนั้นไม่ใช่ของนางอีกต่อไปจนกร