ต่อมาแม่ฉันก็แต่งงานกับคนเลวนั่น เดิมทีป้ากุ้ยไม่เห็นด้วย แต่แม่ไม่ฟังท่าน และยืนกรานที่จะแต่งงาน ป้ากุ้ยจึงเย็นชาขึ้นและค่อยๆ ห่างเหินกับแม่ แต่ป้ากุ้ยสงสารฉัน ท่านจึงมาเยี่ยมฉันที่หมู่บ้านบ่อย ๆ และยังนําอาหารอร่อย ๆ มาให้ ยายของฉันสำนึกในบุญคุณมาก ทุกครั้งท่านมักจะเอาข้าวที่เป็นสินค้าท้องถิ่นใหม่ ๆ มาให้ยายเสมอ ไป ๆ มา ๆ ป้ากุ้ยกับพวกเราก็สนิทกันมาก ตอนเด็ก ๆ ฉันชอบป้ากุ้ยมากที่สุด ขอแค่ท่านมาที่บ้านของฉัน ฉันก็จะยิ้มไม่หุบทั้งวัน อย่างไรก็ตาม ตอนที่ฉันอยู่มัธยมต้นปีหนึ่ง ครอบครัวของท่านก็ไปต่างประเทศและบอกว่าจะไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่เคยเจอพวกเขาอีกเลย พอนึกถึงอดีตฉันก็รีบโทรกลับด้วยความดีใจ ป้ากุ้ยเองก็ดีใจเช่นกัน และชวนฉันไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน ในปีนั้นป้ากุ้ยเคยติดต่อหมอจํานวนมากมายให้ฉัน เพื่อที่จะรักษาอาการเจ็บป่วยบนใบหน้า คืนนี้ฉันจึงวางแผนว่าจะไม่สวมหมวกและหน้ากากไปหาท่าน เพื่อหวังให้ท่านดีใจ มือบางหยิบกระโปรงสีดําที่ซื้อมาครั้งก่อนออกมาใส่ พลางถึงนึกขึ้นได้ว่ามีกิ๊บติดผมมุกอันนั้นอยู่ ใจจริงว่าจะคืนให้หยินเฉิงเหยา แต่หลังจากนั้นก
ในตอนนั้นเอง ฉันกลับพบว่าครอบครัวของพวกเขาทั้งสามคนมีรอยคล้ำ และบนตัวของพวกเขาก็มีกลิ่นอายของวิญญาณอยู่ ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย ป้ากุ้ยและพวกเขามีวิญญาณอะไรติดอยู่นะ ฉันจึงถามแบบอ้อม ๆ พลันใบหน้าของป้ากุ้ยก็เศร้าโศก ก่อนจะเล่าถึงสิ่งที่พบเจอตอนที่อยู่อเมริกา บริษัทสามีของป้ากุ้ยอยู่ในประเทศจีน จึงมักจะเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศนี้บ่อย ๆ หลังจากที่ป้ากุ้ยย้ายไปอเมริกา ก็อาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิสได้ไม่กี่ปี แต่ป้ากุ้ยมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ไม่สามารถทนต่อความวุ่นวายในเมืองใหญ่ได้ จึงซื้อคฤหาสน์ในเมืองเล็ก ๆ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งห่างจากลอสแอนเจลิสเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น บ้านหลังนี้เก่ามาก ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานประมาณสองถึงสามร้อยปี แม้ว่าบ้านจะเก่านิดหน่อย แต่เจ้าของบ้านคนก่อนก็ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ สภาพแวดล้อมและสิ่งอํานวยความสะดวกภายในบ้านก็ยังดีมาก หูตี๋และเถาจืออายุน้อยกว่าฉันหนึ่งปี ทั้งคู่พึ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย และได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในลอสแอนเจลิส ป้ากุ้ยจึงอาศัยอยู่ในบ้านเก่าแก่หลังนี้เพียงคนเดียว จากนั้นในบ้านก็เริ่มมีวิญญาณรบกวน เริ่มแรก ป้ากุ้ยมักจะเห็น
ในโลกที่มองคนแต่ภายนี้ ทำให้คนอื่น ๆ ผิดหวังมากจริง ๆ พวกเราไปรับป้ากุ้ยและลูกสาวของท่านที่โรงแรมอีกครั้ง เมื่อเถาจือลงมาก็รีบเข้ามาจับมือของฉันและพูดว่า “จุนเหยา เธอดูสิผิวของฉันสิ มันเปลี่ยนเป็นขาวขึ้นแล้วและยังเรียบเนียนขึ้นด้วย”เมื่อฉันดูก็ได้เห็นว่ามันขาวกว่าเมื่อวานเล็กน้อยจริง ๆ“ยังมีอีกนะ เธอดูแม่ฉันสิ” เธอลากป้ากุ้ยเข้ามา “รอยเหี่ยวย่นตรงหางตากับมุมปากของแม่ก็ตื้นขึ้นด้วยใช่ไหม?”ฉันพยักหน้าและเธอก็พูดอย่างตื่นเต้นอีก “จุนเหยา พวกเราเพิ่งใช้สบู่แฮนเมดของเธอเมื่อคืนวาน ก็ประหลาดใจมากขนาดนี้แล้ว! พวกเราอยากใช้ต่อไปเรื่อย ๆ ฉันอยากดูเด็กลงเหมือนตอนสิบแปดและแม่ก็อยากดูสาวเหมือนคนอายุสามสิบ”ในหัวของฉันเต็มไปด้วยความสับสนนิด ๆ “มันคงเกินความสามารถฉันไปหน่อย”“จุนเหยา สบู่แฮนเมดของหนูไม่เลวเลยจริง ๆ” ป้ากุ้ยกล่าวขึ้น “เสียดายที่บ้านเราไม่ได้ทำธุรกิจเครื่องสำอาง ไม่งั้นสบู่ล้างหน้าของหนูคงขายได้ราคาในตลาดฝั่งนั้นแน่นอน”ฉันตกใจขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่ายาวิเศษจะไม่สามารถวางขายในตลาดได้ แต่เครื่องสำอางเหล่านี้สามารถวางได้ เมื่อถึงเวลานั้น ฉันต้องปรึกษาถังหมิงหลีสักหน่อยว่าสามารถท
พูดแล้วเขาก็โค้งคำนับฉันอย่างสุดซึ้ง “โจวจิน แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส”ในโลกของนักบำเพ็ญเพียร ผู้แข็งแกร่งจะเป็นที่เคารพนับถือและผู้เชี่ยนชาญจะเป็นอาจารย์ที่น่าเกรงขาม ผู้อาวุโสไม่ได้ถูกตัดสินด้วยอายุ แต่เป็นรากฐานการฝึกฝน รากฐานการฝึกฝนของฉันสูงกว่าเขามาก เขาจึงจำเป็นต้องเรียกฉันว่า “ผู้อาวุโส”ในเวลานี้คนที่ตกใจที่สุดคือป้ากุ้ย ท่านใช้สายตาแปลกประหลาดมองฉันอย่างลึกซึ้ง เหมือนกับว่าท่านไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนหูตี๋และเถาจือเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน เพราะไม่เข้าใจว่าอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจะสามารถโค้งคำนับฉันจริง ๆ ในโลกใบนี้มีเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้แล้วเหรอ?ฉันเงียบไม่พูดอะไรออกมา อาจารย์โจวมองมาที่พวกเราและพูดว่า “คุณนายหู ในเมื่อพวกคุณรู้จักผู้อาวุโสท่านนี้ ทำไมยังต้องขอร้องฉันด้วย? มีเธอคนนี้แล้วยังจะกลัวอะไรอีก?”ฉันมองไปยังชายหนุ่มเสื้อคอจีนสีขาวที่ตกใจจนสีหน้าถอดสี พลางเอ่ย “นี่คือลูกศิษย์ของคุณเหรอ? ฉันเป็นผู้หญิง แต่เขากลับพ่นไฟใส่บนใบหน้าฉัน เพื่อที่จะทำลายรูปลักษณ์ของฉัน จิตใจเขาช่างร้ายกาจมาก!”อาจารย์โจวมองชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “ออกไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่ามาให้ฉ
หลังจากที่บินบนมหาสมุทรแปซิฟิกมาหนึ่งคืนเต็ม ๆ ในที่สุดฉันก็มาถึงสนามบินลอสแอนเจลิสและเมื่อออกจากประตูสนามบินก็มีผู้ช่วยคนหนึ่งก็มารับผู้ช่วยคนนี้เป็นผู้ช่วยของสามีป้ากุ้ย เธอสวยมากและพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันแท้ได้คล่องมากด้วยตอนนี้ฉันยังคงสวมหมวกและหน้ากากเหมือนเดิม เธอเหลือบมองมาทางฉันและพูดด้วยภาษาอังกฤษว่า “มาดามคนคนนี้คือใคร? ทำไมถึงปิดหัวปิดหน้า? ช่วงนี้ในลอสแอนเจลิสมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายออกมาจำนวนมาก สถานะของเธอไม่มีปัญหาใช่ไหม?”“วางใจได้ ป้ากุ้ยเห็นฉันมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน” ฉันตอบกลับไปด้วยภาษาอังกฤษพวกเขาต่างก็มองฉันด้วยสายตาประหลาดใจ ประมาณว่าเธอจบแค่มัธยมตอนปลายไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงพูดภาษาอังกฤษได้ดีขนาดนี้?แต่พวกเขาคงไม่รู้ว่าก่อนที่ฉันจะมา ฉันบ่นกับหยินฉางเซิงว่าตัวเองพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเท่าไหร่ และกลัวจะมาขายหน้าที่อเมริกาเมื่อพวกเขาได้ยินว่าฉันจะมาไลฟ์สดที่ต่างประเทศก็ล้วนเกิดความสนใจ ราชาแห่งหวางซานจึงได้สอนคาถาหนึ่งให้แก่ฉันคาถานี้เป็นการใช้จิตสำนึกแห่งสวรรค์ใส่เข้าไปในสมองของผู้อื่นโดยตรง ซึ่งเมื่อคุยกับคนอื่น ความจริงฉันก็ยังคงพูดภา
นักขับไล่วิญญาณทั้งสองคนถือปืนสั้นที่ในปืนมีลูกกระสุนสีเงินอยู่ และรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองอย่างเร็วฉันเองก็ตามขึ้นไปอย่างเงียบ ๆ และยังคงเปิดห้องไลฟ์สดอยู่แต่เมื่อเปิดประตูห้องนั้น คาดไม่ถึงว่าหลังประตูจะไม่มีอะไรสักอย่าง ทว่าดวงตาแห่งหยินหยางของฉันสามารถมองเห็นผีเด็กเหล่านั้นได้ชัดเจน พวกเขาตกใจและต่างก็เข้าไปหลบในผนังพอผู้ชมที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เห็น ต่างก็หัวเราะออกมา[ดู ๆ แล้วนักขับไล่วิญญาณสองคนนี้ก็ไม่เท่าไหร่][เมื่อเทียบกับแอดมินของพวกเราแล้ว ปืนในมือของพวกเขาก็แค่ของเล่นเด็กเท่านั้น][แอดมิน สู้พวกเขาเลย!]ฉันแค่ก้าวเท้าตามไปดูความตื่นเต้นอยู่ด้านหลัง ไม่ได้ตั้งใจที่จะยื่นมือออกมาช่วยแต่อย่างใดทว่าจู่ ๆ เลสก็หันกลับมาและตะโกนเสียงดังลั่น “ออกไปให้พ้น!”ฉันเอียงตัวออกไป เป็นจังหวะเดียวกับตอนที่เขายิงกระสุนมาที่ด้านหลังฉันเพราะที่ด้านหลังฉันมีผีผู้ชายสวมหน้ากากหัววัวอยู่คนหนึ่ง เนื้อตัวของเขาสกปรกไปทั้งตัว อีกทั้งเสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยคราบสกปรก และในมือของเขาถือขวานขนาดใหญ่อยู่เล่มหนึ่งกระสุนลูกนี้ยิงเข้าไปฝังในร่างกายของผีหัววัวผู้ชาย จากนั้นผีหัววัวผู้ชายก็ได้
“ไม่” ฉันส่ายหน้า “พวกคุณคิดผิดแล้ว ตัวที่เก่งกาจจริง ๆ ยังไม่ออกมา”ทว่าจู่ ๆ ฉันก็หยุดไปครู่หนึ่งและมองไปยังด้านหลังของพวกเขา แล้วพูดขึ้นว่า “เธอมาแล้ว”พวกเขาตกใจมากและรีบหันกลับไป ก่อนจะเห็นภาพวาดสีน้ำมันโบราณแผ่นหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังห้องนั่งเล่น เดิมทีบนภาพวาดสีน้ำมันนี้เป็นภาพสตรีผู้สูงศักดิ์ที่แต่งกายด้วยชุดโบราณคนหนึ่ง เดิมทีเธอคนนี้สวยมาก แต่เวลานี้รูปลักษณ์ของเธอได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดขึ้นในดวงตาของเธอมีแสงสีแดงผุดขึ้นมา และใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นช้ำม่วง ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีดำและข้างในปากก็อัดแน่นไปด้วยเขี้ยวสีขาวซีดใบหน้าของเธอพุ่งออกจากในภาพวาดและกลายเป็นใบหน้าที่ใหญ่ยักษ์ มันก็พุ่งไปที่นักขับไล่วิญญาณทั้งสองอย่างรวดเร็วนักขับไล่วิญญาณตกใจมาก และรีบหลบออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ใบหน้านั้นข้ามผ่านพวกเขาแล้วพุ่งตรงเข้ามาหาฉันเลสตะโกนเสียงดังลั่น “รีบหนีไปซะ!”ฟิลิปดึงเขาไว้และพูดว่า “อย่าเข้าไป นายช่วยเธอไม่ได้หรอก!”สีหน้าฉันสงบลง ขาเรียวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาผูกตราผนึกธรรมที่หน้าอกและท่องบทสวยเสียงดัง “พลังเก้าหยางกล่อมความมืด แส
“ไม่ต้องยิงให้เปลืองกระสุนแล้ว!” ฉันพูดเสียงดังกว่าเดิม “พวกคุณไปปกป้องครอบครัวป้ากุ้ยเถอะ !”ทั้งสองคนมองหน้ากันและเลสก็พูดขึ้นว่า “ระวังตัวด้วย”พวกเขารีบพุ่งไปที่บันไดด้านล่างและพาครอบครัวป้ากุ้ยออกมา จากนั้นก็วิ่งออกไปทางประตูด้านนอกปัง!เสียงปิดประตูดังขึ้น มีเงาผีสองตัวกระโจนเข้าใส่พวกเขา พวกเขาจึงยกปืนขึ้นยิงให้เงาผีกระจัดกระจายออกไป พลันยิงอีกนัดใส่ที่ล็อคประตูเพื่อรีบพาพวกเขาออกไป“จุนเหยา!” ป้ากุ้ยและเถาจือตะโกนเรียกฉันด้วยความกังวัล “หนูต้องระวังตัวด้วยนะ!”พูดยังไม่ทันจบประตูก็ปิดลงอีกครั้งและไม่สามารถเปิดได้อีกต่อไปแล้วเงาผีที่เต็มอยู่ในห้องบินเข้ามาหาฉันพร้อม ๆ กัน เมื่อพวกมันรวมตัวกันอยู่เหนือหัว ฉันก็รีบทำสัญลักษณ์และค่ายปราบผีพลังเก้าหยางก็พุ่งลงมาเป็นเพลิงไฟอีกครั้ง พร้อมยิงไปที่บนตัวของเงาผีเหล่านั้นพอดี“ผั๊วะ!” ฉันตะโกนออกมาเสียงดัง เปลวไฟปกคลุมเงาผีทั้งหมดเอาไว้และลุกโชนอยู่เหนือหัวของฉัน มีเงาผีจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรน ซ้ำยังกรีดร้องอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกไหม้จนกระทั่งเงาผีทั้งหมดได้มอดไหม้และเสียงเปลวไฟก็ดับสลายไป มีเพียงประกายไฟเพียงเล็กน้อยตกล