บทที่ 4
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ”
เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว
ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด
“สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วยเถิด” เมาเมาพร่ำทั้งน้ำตา ยิ่งเห็นสภาพศพคุณชายน้อยวัยห้าปี นางถึงกับกลั้นอาเจียนเอาไว้ไม่ไหว
“คุณหนู” ยังมีลมหายใจ นางเขย่าร่างเกือบจะไร้ลมหายใจนั่นสุดแรง หวังให้เจ้านายของตนลืมตาตื่น
แต่หมิ่งหุ้ยนนั้นได้ก้าวขาข้างหนึ่งไปเยือนประตูยมโลกแล้ว
เมื่อเรียกแล้วไม่สำเร็จ แต่ตราบใดยังมีความหวัง เมาเมาไม่รอช้าเร่งปีนขึ้นมาจากหลุม สภาพของนางไม่ต่างจากศพที่ขึ้นมาจากหลุม เสื้อตัวนอกแดงฉาน
นางรีบวิ่งไปยังทางเดิมที่เข้ามา วิ่งสุดกำลังอย่างไม่คิดชีวิต แม้จะเหนื่อยจนหอบ ลมหายใจขาดห้วงเป็นพัก ๆ แต่สองเท้าไม่คิดจะหยุด หากนางหยุดหมายถึงชีวิตของคุณหนูของนาง
เสียงรถเข็นผักดังในความมืด บนรถนั้นมีผักเน่าจากตลาดและฟางเน่ากองใหญ่ กลิ่นผักเน่าคละคลุ้งแต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ เพราะขอทานที่อาศัยอยู่ตรอกหลังตลาดทำเยี่ยงนี้เป็นประจำทุกวัน คือรอจนแม่ค้าพ่อค้าในตลาดเก็บร้าน ก็จะเข็นรถเข็นไม้เก่า ๆ ไปวนเก็บผักที่ถูกทิ้งเพื่อมาแบ่งปันกัน
ใต้กองฟางนั่นมีร่างของสตรีนางหนึ่งที่กำลังหายใจรวยรินไร้ซึ่งสติ ไม่ตายก็เหมือนตาย
“ไวหน่อยได้หรือไม่” เมาเมาส่งเสียงเร่งคนเข็นอย่างร้อนใจ
“ไวกว่านี้ไม่ได้แม่นางเมา ประเดี๋ยวคนอื่นจะผิดสังเกต”
“แต่คุณหนู” นางกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกไป เกรงว่าจะเป็นการแช่งเจ้านายของตน นางวิ่งสุดชีวิตมาขอความช่วยเหลือจากกลุ่มขอทานที่คุณหนูเมตตาดูแลอยู่
“วางใจเถิด ตอนนี้ท่านหมอคงรออยู่แล้ว สวรรค์ไม่มีทางทอดทิ้งคนดี”
ขอทานหนุ่มแม้จะเอ่ยเช่นนั้นออกไป แต่ภายในใจก็หวั่นไม่น้อย สภาพคุณหนูหมิ่งที่เขาปีนลงหลุมไปแบกขึ้นมา หากไม่สังเกตดี ๆ ไม่ต่างจากศพอื่น ๆ ที่อยู่ในหลุมนั่นเลย ตอนที่แม่นางเมากระหืดกระหอบมาหาพวกเขากลางดึก พวกเขาก็ตกใจแล้ว แต่พอนางร้องบอกคุณหนูกำลังจะตายแล้ว `ช่วยด้วย ช่วยคุณหนูข้าด้วย`
พวกเขาก็ทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งออกมาเลย แม้ในตอนแรกจะแปลกใจที่แม่นางเมาเมาสั่งให้เอารถเข็นมาด้วย แต่เมื่อเห็นสภาพของคุณหนูหมิ่ง และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจวนสกุลหมิ่งแล้วก็ต้องแทบหยุดหายใจ
ประตูจวนสกลุหมิ่งปิดตายตั้งแต่วันนั้น ไม่มีป้ายประกาศใด มีเพียงความเงียบงัน แม้ชาวบ้านร้านตลาดจะอยากรู้ว่า หลายวันที่ผ่านมา หลังจากเสียงดังที่ดังมาจากด้านในจวน และหลังจากทหารวังหลวงกลับไปแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ พวกเขารอบ่าวรับใช้ในจวนออกมาซื้อหาของใช้ประจำวัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดออกมา จนกระทั่งย่างวันที่ห้า กลิ่นเน่าเหม็นลอยตามลมออกมา
ไท่จื่อเฟยไม่แม้แต่จะสั่งให้กลบฝังหลุมนั่นด้วยซ้ำ พระนางอยากประกาศกลาย ๆ ให้ผู้คนเห็นสภาพคนที่คิดจะแข็งข้อกับพระนาง ไม่คิดแม้กระทั่งจะตรวจนับว่ามีร่างหนึ่งได้หายไปจากหลุมมรณะนั่น
เมื่อกลิ่นเหม็นส่งกลิ่นจนทนไม่ไหว วันต่อมาก็มีฝูงแร้งบินวนรอบจวนสกุลหมิ่ง หลังจากนั้นจึงมีป้ายติดประกาศถึงความผิดที่คุณสกุลหมิ่งก่อ กว่าจะลำเลียงซากศพออกมาเพื่อขนย้ายไปสุสานก็แทบแยกไม่ออกแล้วว่าศพใดเป็นศพใด
`คุณหนูใหญ่สกุลหมิ่ง จิตใจคับแคบหึงหวงองครักษ์หนุ่มที่ทำหน้าที่อารักขาเชื้อพระวงค์เป็นอย่างดี แต่นางกลับแยกแยะไม่ออกว่า ชายหนุ่มทำหน้าที่สำคัญต่อราชสำนัก นางทำการอุกอาจวางยาไท่จื่อเฟย
กรมวังตรวจสอบ หมิ่งหุ้ยมีความผิดจริงตามหลักฐานที่ตรวจสอบและคำรับสารภาพลงลายมือชื่อของหมิ่งฮูหยินว่าเป็นผู้จัดหายาพิษมาให้บุตรสาว กรมวังจึงตัดสินประหารเจ็ดชั่วโคตรไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง`
เมาเมาที่ปลอมเป็นสาวชาวบ้านออกมาซื้อยาตามที่หมอสั่ง อ่านป้ายประกาศทั้งน้ำตา
คุณหนูของนางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น
ในตอนที่นางอายุสิบห้า นางและครอบครัวนำสมุนไพรเข้ามาขายในเมืองหลวง มารดาของนางเกิดล้มป่วยหนักจนเสียชีวิต นางและบิดาไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะทำศพ จึงนั่งกอดศพของมารดาอยู่หน้าตลาด ใครเดินผ่านไปมาก็หันหน้าหนี ไม่แม้แต่จะหยุดมอง เป็นคุณหนูที่เข้ามาถามและช่วยเงินค่าทำศพ
เมาเมาประทับใจในความเมตตาของเด็กน้อยที่อายุน้อยกว่านางหลายปีนัก จึงขายตัวเป็นบ่าวรับใช้ แล้วคนมีจิตใจดีงามเยี่ยงนั้นนะหรือจะวางยาไท่จื่อเฟย หึงหวงอันใดกัน คุณหนูของนางและคุณชายหยงก็ดูออกจะรักกันดี
“ความจริงเพียงกึ่งเดียวเท่านั้น”
เมาเมานำความในป้ายประกาศมาเล่าให้เหล่าขอทานฟัง ไม่คิดว่าคุณหนูของนางจะลืมตาตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าพอดี นางดึงผ้าห่มเก่า ๆ ขึ้นคลุมร่างซีดเซียวที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่บนเศษกองฟาง
“ข้าไม่เชื่อ ข้าอยู่กับคุณหนูตลอด ท่านจะไปวางยาไท่จื่อเฟยได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้”
ริมฝีปากไร้สีเลือดเอ่ยอย่างยากลำบาก
“หากข้าบอกว่าไม่ได้ทำเจ้าจะเชื่อหรือไม่”
“เชื่อเจ้าค่ะ” เมาเมาตอบเสียงหนักแน่น
“เจ้าเชื่อข้า แต่อิ่งจงกลับไม่เชื่อข้า”
หมิ่งหุ้ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนองเลือดที่จวนสกุลหมิ่งอย่างยากลำบาก แต่นางอยากระบายความใจในและเรื่องเน่าเหม็นที่คนรักของนางกับไท่จื่อเฟยผู้สูงศักดิ์ทำกับตระกูลหมิ่ง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความแค้น
“เพ่ย มารดามันเถอะ ไม่นึกเลยว่าคุณชายหยงจะเลวถึงเพียงนี้” เมาเมาหลุดสบถคำหยาบออกมาอย่างอดไม่ได้ หากไม่ได้ด่าคนเลวชาติชั่วนั่นนางคงอึดอัดมิใช่น้อย
“มีประกาศออกมาเช่นนี้ แล้วมีรูปข้าหรือไม่”
เมาเมาส่ายหัว มีเพียงป้ายประกาศความผิดของสกุลหมิ่ง ไม่มีรูปผู้ใดคงคิดว่าคนสกุลหมิ่งตายตกตามกันไปหมดแล้ว
“เจ้านำของทั้งหมดของข้าไปขาย เราคงอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้แล้ว”
เมาเมาพยักหน้ารับ นางรีบไปคว้าห่อผ้าที่รวบรวมเครื่องประดับของคุณหนูที่ใส่ติดตัวทั้งหมดมาแนบอก
“แล้วเราจะหนีไปที่ใดกันดีเจ้าค่ะ”
“ยังไม่รู้ ไปตายเอาดาบหน้า หากยังมีทางข้าจะไป แล้วสักวันข้าจะหวนกลับมาเอาคืนพวกมัน ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม”
หมิ่งหุ้ยตอบตามความจริงตัวนางเองก็ยังมิรู้ว่าจะแก้แค้นชายชั่วหญิงเลวนั่นได้อย่างไร แต่หากยังรั้งอยู่เมืองหลวง ไม่เป็นการดีต่อนางแน่ วันนี้ยังคิดไม่ออก พรุ่งนี้ก็คงคิดออก แก้แค้นสิบปียังไม่สาย ที่สำคัญคือนางจะต้องรักษาชีวิตของตนให้ถึงวันนั้นให้ได้
“ชุดของข้าแม้จะเปื้อนเลือดและขาดวิ่นบางส่วนแต่หากซักและเอาไปขายคงได้ราคาไม่น้อย หลังจากนี้ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว” แม้ชุดที่ใส่ติดตัวมาจะมีตำหนิแต่หากยังสามารถแลกเป็นเงินได้ เท่าไรนางก็เอา จากนี้ไปใส่ชุดที่พวกขอทานหามาให้ก็เพียงพอแล้ว
“ข้ายินดี ต่อให้ต้องแบกคุณหนูเดิน ข้าก็จะทำ”
หมิ่งหุ้ยยิ้มทั้งน้ำตา ในวันที่นางสูญสิ้นทุกสิ่งอย่างยังมีมิตรแท้ ไม่ว่าจะเป็นเมาเมาที่มีไหวพริบในสถานการณ์ยามคับขันและจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มขอทานที่นางแบ่งเงินรายเดือนส่วนตัวมาช่วยเหลือจุนเจือก็ช่วยเหลือนางโดยไม่ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น อีกทั้งยังตามหมอยามารักษานางจนพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu
บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป
บทที่ 2เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้” หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว“แต่”พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด “เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมร
บทที่ 3“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น” ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่
บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu
บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย
บทที่ 3“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น” ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่
บทที่ 2เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้” หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว“แต่”พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด “เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมร
บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป