แชร์

บทที่5

ผู้เขียน: moonlight -mini
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-05 18:03:49

บทที่ 5

เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง

ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ

นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำ

แม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้

“ไหวไหมเจ้าคะ จ้างรถม้าดีหรือไม่” เมาเมากระซิบถามด้วยความเป็นห่วง พอลุกขึ้นนั่งได้ คุณหนูของนางก็ชวนนางเดินทางออกจากเมืองหลวงทันที แผลบนแผ่นหลังยังไม่หายดีด้วยซ้ำ

“ไม่ เดินไปนี่ล่ะ จ้างรถม้ามีแต่จะเสียเงิน พวกเราจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อวันข้างหน้าลืมแล้วเหรอ”

สมบัติที่หมิ่งหุ้ยมีติดตัวถูกเปลี่ยนเป็นเงินหมดแล้ว ได้เป็นตั๋วเงินมาแค่พันตำลึง ไม่รู้ว่าจะสามารถใช้ดำรงชีวิตไปได้นานเท่าใด แต่นางไม่ท้อ นางช่วยบิดาและพี่ชายค้าขายมาตั้งแต่เด็ก มีเงินหนึ่งพันตำลึง นางจะเอาไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงยให้จงได้

“แต่บ้านข้าไกลมากนะเจ้าคะ”

“ตอนกลับไปเยี่ยมบิดาเจ้า เจ้ากลับเยี่ยงไร”

“เดินเท้าไปเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็เดินเท้า”

“แต่ร่างกาย..” พอเห็นสายตาดุที่ส่งมาจากคุณหนูแล้วเมาเมาไม่กล้าเอ่ยขัด

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่เราต้องประหยัดนะเมาเมา อีกอย่างการนั่งรถม้านั่นสะดุดตาสังเกตได้ง่าย หากเดินไปแล้วเหนื่อยก็พัก สภาพเจ้ากับข้าตอนนี้แม้แต่ทหารยามหน้าประตูเมืองยังมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ต่อให้ไท่จื่อเฟยนึกขึ้นได้ว่าไม่พบศพของข้า พระนางก็คงคาดเดาไม่ได้ว่าข้าจะกลายสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่หุบเขามาตั้งแต่เกิด ย่อมรู้ทางลัดเลาะที่ต้องเดินด้วยเท้า หากจ้างรถม้าก็เดินทางผ่านไม่ได้ เสียเงินโดยใช่เหตุ”

เมาเมาพยักหน้ารับ นางรั้งแขนของคุณหนูให้ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่นางมากหน่อย จะได้ช่วยทุ่นแรง

“หากไม่ไหวต้องพักนะเจ้าคะ”

หมิ่งหุ้ยพยักหน้ารับ

“คุณหนูไม่เห็นต้องเรียกสตรีสารเลวผู้นั้นอย่างให้เกียรติสักนิด” เมาเมาบ่นอุบอิบ ที่คุณหนูของตนยังคงเอ่ยถึงสตรีใจทรามผู้นั้นอย่างยกย่อง

แม้ตัวนางจะเป็นเพียงสาวชาวบ้านแต่จิตใจไม่ต่ำช้าถึงเพียงนั้น คบชู้สู่ชายก็ย่ำแย่มากพออยู่แล้ว แต่กลับใส่ความคนตระกูลหมิ่งจนต้องตาย เพียงเพราะต้องการครอบครองบุรุษเพียงผู้เดียว ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว

“ข้าไม่ได้ให้เกียรติคนเยี่ยงนั้น ข้าเพียงเรียกขานให้ติดปากปิดบังความเกลียดชังที่ข้ามีต่อพระนาง หากวันหนึ่งต้องเผชิญหน้ากัน ข้าจะไม่มีวันให้พระนางมีช่องมาเล่นงานข้าได้อีก ข้าไม่ลืมความแค้นที่สุมอยู่ในอกหรอกนะเมาเมา ไม่ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ข้าก็จะกลับมาแก้แค้น” หมิ่งหุ้ยไขความกระจ่างให้สาวใช้คนสนิทน้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยความคับแค้น

หมิ่งหุ้ยหมุนตัวกลับมามองประตูเมืองหลวงที่ค่อย ๆ ปิดลง นางมองทะลุผ่านประตูเหล็กกล้า ทะลุผ่านไปจนถึงวังบูรพา ความแค้นที่ถูกสังหารทั้งตระกูล แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เรื่อง หยงอิ่งจงก็ยังลงมือ

นางมองเขาผิดไปได้ถึงเพียงนี้ ต่อจากนี้นางจะไม่มองผู้ใดที่ภายนอกอีกแล้ว ต่อให้โตมาด้วยกันคิดว่ารู้นิสัยใจคอแล้วก็ตาม นางจะเผื่อใจหากวันหนึ่งคนผู้นั้นจะกลายเป็นคนไม่ดี

ดูอย่างเหล่าขอทานในตรอกข้างตลาด ชีวิตที่ต้องถูกผู้คนหยามเหยียด เดินผ่านผู้ใดก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี

บ้างก็ขับไล่ให้ไปพ้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จัก พวกเขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร เพียงขอเศษเงินเศษอาหารประทังชีวิต แต่พวกเขากลับมีน้ำใจช่วยเหลือคนใกล้ตายที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับพวกเขา เพราะนางในตอนนี้แค่เอาตัวเองยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่นางก็จะสู้ สู้จนกว่าจะได้แก้แค้น

หมิ่งหุ้ยแม้จะไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว ในมือมีเพียงความแค้น หากเป็นผู้อื่นคงจะหลบหนีเพื่อเอาตัวรอดเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่มิอาจต่อกรด้วยได้ นางกับไท่จื่อเฟยต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่นางจะวางความแค้นนี้ลงได้อย่างไร มิอาจทำได้เลยจริง ๆ

“ข้าในตอนนี้เหมือนตายทั้งเป็น ที่ยังเห็นยืนอยู่ก็แค่กายเนื้อที่ต้องดิ้นรนต่อไปเพื่อแก้แค้นให้ทุกคนในสกุลหมิ่ง ใช้ความแค้นเป็นแรงผลักให้กายหยาบนี้ยังหายใจเพียงหวังแม้เพียงเศษเสี้ยวว่าจะต้องล้างแค้น ข้าก็มีแรงที่จะเดินต่อ”

เมาเมามองคุณหนูของตน ดวงตาของนางแดงรื้น นางพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอย่างสุดกำลัง ขนาดคุณหนูของนางยังไม่ร้องแล้วนางจะร้องได้อย่างไร นางเองที่เคยเห็นมารดาล้มป่วยจนสิ้นใจไปต่อหน้ายังร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจ

แต่คุณหนูของนางที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปอย่างโหดร้ายเพียงชั่วข้ามคืนกลับไม่มีน้ำตาสักหยด ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มสดใสตลอดเวลาในตอนนี้กลับปูดบวมจนน่าเกลียด

ไม่เหลือเค้าเดิมของสตรีที่งดงามจนบุรุษที่เดินสวนกันต้องเหลียวหลัง แววตาที่เคยสดใส เต็มไปด้วยความอาฆาต ภายในใจของคุณหนูคงแตกสลายไม่มีชิ้นดี เมาเมาแม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้

“อยากร้องก็ได้เถิด หรือจะร้องแทนข้าก็ได้”

สิ้นคำนั้นเมาเมาก็ปล่อยโฮออกมา โถมทั้งร่างโอบกอดคุณหนูของตนเอาไว้ คุณหนูของนางตัวก็แค่นี้กลับต้องมาพบเจอเรื่องโหดร้าย นางเองที่แค่ได้ยินเสียงกรีดร้องในวันนั้นยังหวาดกลัวจนเก็บเอาไปฝัน เห็นร่างนายท่านและฮูหยินยังอดเวทนาไม่ได้ สตรีตัวเล็ก ๆ ผู้นี้ต้องเผชิญสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่1

    บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-01
  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่2

    บทที่ 2เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้” หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว“แต่”พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด “เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมร

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-01
  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่3

    บทที่ 3“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น” ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-01
  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่4

    บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-01

บทล่าสุด

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่5

    บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่4

    บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่3

    บทที่ 3“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น” ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่2

    บทที่ 2เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้” หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว“แต่”พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด “เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมร

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่1

    บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status