บทที่ 5
เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง
ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ
นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำ
แม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้
“ไหวไหมเจ้าคะ จ้างรถม้าดีหรือไม่” เมาเมากระซิบถามด้วยความเป็นห่วง พอลุกขึ้นนั่งได้ คุณหนูของนางก็ชวนนางเดินทางออกจากเมืองหลวงทันที แผลบนแผ่นหลังยังไม่หายดีด้วยซ้ำ
“ไม่ เดินไปนี่ล่ะ จ้างรถม้ามีแต่จะเสียเงิน พวกเราจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อวันข้างหน้าลืมแล้วเหรอ”
สมบัติที่หมิ่งหุ้ยมีติดตัวถูกเปลี่ยนเป็นเงินหมดแล้ว ได้เป็นตั๋วเงินมาแค่พันตำลึง ไม่รู้ว่าจะสามารถใช้ดำรงชีวิตไปได้นานเท่าใด แต่นางไม่ท้อ นางช่วยบิดาและพี่ชายค้าขายมาตั้งแต่เด็ก มีเงินหนึ่งพันตำลึง นางจะเอาไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงยให้จงได้
“แต่บ้านข้าไกลมากนะเจ้าคะ”
“ตอนกลับไปเยี่ยมบิดาเจ้า เจ้ากลับเยี่ยงไร”
“เดินเท้าไปเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็เดินเท้า”
“แต่ร่างกาย..” พอเห็นสายตาดุที่ส่งมาจากคุณหนูแล้วเมาเมาไม่กล้าเอ่ยขัด
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่เราต้องประหยัดนะเมาเมา อีกอย่างการนั่งรถม้านั่นสะดุดตาสังเกตได้ง่าย หากเดินไปแล้วเหนื่อยก็พัก สภาพเจ้ากับข้าตอนนี้แม้แต่ทหารยามหน้าประตูเมืองยังมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ต่อให้ไท่จื่อเฟยนึกขึ้นได้ว่าไม่พบศพของข้า พระนางก็คงคาดเดาไม่ได้ว่าข้าจะกลายสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่หุบเขามาตั้งแต่เกิด ย่อมรู้ทางลัดเลาะที่ต้องเดินด้วยเท้า หากจ้างรถม้าก็เดินทางผ่านไม่ได้ เสียเงินโดยใช่เหตุ”
เมาเมาพยักหน้ารับ นางรั้งแขนของคุณหนูให้ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่นางมากหน่อย จะได้ช่วยทุ่นแรง
“หากไม่ไหวต้องพักนะเจ้าคะ”
หมิ่งหุ้ยพยักหน้ารับ
“คุณหนูไม่เห็นต้องเรียกสตรีสารเลวผู้นั้นอย่างให้เกียรติสักนิด” เมาเมาบ่นอุบอิบ ที่คุณหนูของตนยังคงเอ่ยถึงสตรีใจทรามผู้นั้นอย่างยกย่อง
แม้ตัวนางจะเป็นเพียงสาวชาวบ้านแต่จิตใจไม่ต่ำช้าถึงเพียงนั้น คบชู้สู่ชายก็ย่ำแย่มากพออยู่แล้ว แต่กลับใส่ความคนตระกูลหมิ่งจนต้องตาย เพียงเพราะต้องการครอบครองบุรุษเพียงผู้เดียว ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่มีสามีแล้ว
“ข้าไม่ได้ให้เกียรติคนเยี่ยงนั้น ข้าเพียงเรียกขานให้ติดปากปิดบังความเกลียดชังที่ข้ามีต่อพระนาง หากวันหนึ่งต้องเผชิญหน้ากัน ข้าจะไม่มีวันให้พระนางมีช่องมาเล่นงานข้าได้อีก ข้าไม่ลืมความแค้นที่สุมอยู่ในอกหรอกนะเมาเมา ไม่ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ข้าก็จะกลับมาแก้แค้น” หมิ่งหุ้ยไขความกระจ่างให้สาวใช้คนสนิทน้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยความคับแค้น
หมิ่งหุ้ยหมุนตัวกลับมามองประตูเมืองหลวงที่ค่อย ๆ ปิดลง นางมองทะลุผ่านประตูเหล็กกล้า ทะลุผ่านไปจนถึงวังบูรพา ความแค้นที่ถูกสังหารทั้งตระกูล แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เรื่อง หยงอิ่งจงก็ยังลงมือ
นางมองเขาผิดไปได้ถึงเพียงนี้ ต่อจากนี้นางจะไม่มองผู้ใดที่ภายนอกอีกแล้ว ต่อให้โตมาด้วยกันคิดว่ารู้นิสัยใจคอแล้วก็ตาม นางจะเผื่อใจหากวันหนึ่งคนผู้นั้นจะกลายเป็นคนไม่ดี
ดูอย่างเหล่าขอทานในตรอกข้างตลาด ชีวิตที่ต้องถูกผู้คนหยามเหยียด เดินผ่านผู้ใดก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี
บ้างก็ขับไล่ให้ไปพ้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จัก พวกเขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร เพียงขอเศษเงินเศษอาหารประทังชีวิต แต่พวกเขากลับมีน้ำใจช่วยเหลือคนใกล้ตายที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับพวกเขา เพราะนางในตอนนี้แค่เอาตัวเองยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่นางก็จะสู้ สู้จนกว่าจะได้แก้แค้น
หมิ่งหุ้ยแม้จะไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว ในมือมีเพียงความแค้น หากเป็นผู้อื่นคงจะหลบหนีเพื่อเอาตัวรอดเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่มิอาจต่อกรด้วยได้ นางกับไท่จื่อเฟยต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่นางจะวางความแค้นนี้ลงได้อย่างไร มิอาจทำได้เลยจริง ๆ
“ข้าในตอนนี้เหมือนตายทั้งเป็น ที่ยังเห็นยืนอยู่ก็แค่กายเนื้อที่ต้องดิ้นรนต่อไปเพื่อแก้แค้นให้ทุกคนในสกุลหมิ่ง ใช้ความแค้นเป็นแรงผลักให้กายหยาบนี้ยังหายใจเพียงหวังแม้เพียงเศษเสี้ยวว่าจะต้องล้างแค้น ข้าก็มีแรงที่จะเดินต่อ”
เมาเมามองคุณหนูของตน ดวงตาของนางแดงรื้น นางพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอย่างสุดกำลัง ขนาดคุณหนูของนางยังไม่ร้องแล้วนางจะร้องได้อย่างไร นางเองที่เคยเห็นมารดาล้มป่วยจนสิ้นใจไปต่อหน้ายังร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจ
แต่คุณหนูของนางที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปอย่างโหดร้ายเพียงชั่วข้ามคืนกลับไม่มีน้ำตาสักหยด ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มสดใสตลอดเวลาในตอนนี้กลับปูดบวมจนน่าเกลียด
ไม่เหลือเค้าเดิมของสตรีที่งดงามจนบุรุษที่เดินสวนกันต้องเหลียวหลัง แววตาที่เคยสดใส เต็มไปด้วยความอาฆาต ภายในใจของคุณหนูคงแตกสลายไม่มีชิ้นดี เมาเมาแม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
“อยากร้องก็ได้เถิด หรือจะร้องแทนข้าก็ได้”
สิ้นคำนั้นเมาเมาก็ปล่อยโฮออกมา โถมทั้งร่างโอบกอดคุณหนูของตนเอาไว้ คุณหนูของนางตัวก็แค่นี้กลับต้องมาพบเจอเรื่องโหดร้าย นางเองที่แค่ได้ยินเสียงกรีดร้องในวันนั้นยังหวาดกลัวจนเก็บเอาไปฝัน เห็นร่างนายท่านและฮูหยินยังอดเวทนาไม่ได้ สตรีตัวเล็ก ๆ ผู้นี้ต้องเผชิญสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง
บทที่ 6“ท่านพ่อ ข้าเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรก่อนนะ”“อย่าเพลินจนกลับค่ำนักล่ะ พอเริ่มโพล้เพล้ก็เก็บของกลับบ้านได้แล้ว หุบเขาแห่งนี้จะมีแค่พวกเรา แต่พอตะวันตกดินสัตว์ป่าก็ออกหากิน แม้เจ้าจะคุ้นชินป่าบริเวณนี้ แต่อย่างไรก็ยังอันตรายอยู่ดี” “เจ้าค่ะ”เหยาเหยาส่งเสียงตอบรับหนักแน่น สองมือคว้ามีดอันเล็กพร้อมด้วยตะกร้าเพื่อใส่สมุนไพรกลับ หวังว่าวันนี้คงเจอสมุนไพรดี ๆ เอาไว้ให้ท่านพ่อเอาไปขายที่หมู่บ้านด้านนอกหุบเขา แม้จะได้ราคาไม่สูงเท่าไปขายในเมืองหลวง แต่เหยาเหยาคิดว่าทำเช่นนี้ปลอดภัยสำหรับตัวนางและครอบครัวสกุลจางในยามนี้มากที่สุด“เย็นนี้มีไก่ตุ๋น กลับช้าข้าจะเหลือแต่กระดูกไก่ไว้ให้เจ้า”เสียงใส ๆ ตะโกนออกมากจาก
บทที่ 7“คุณชาย คุณชาย ท่านได้ยินข้าหรือไม่”เหยาเหยาใช้ฝ่ามือตบใบหน้าหยกที่มองนางตาลอยราวกับคนสติหลุด นางกลัวว่าเขาจะเสียเลือดจนสลบไปอีกครั้ง นางเดินลัดเลาะหาสมุนไพรเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนี้นางเดินกลับมาตรงบริเวณที่พบดงเห็ด หวังจะเอาไปใส่ไก่ตุ๋นของเมาเมา อาหารเย็นมื้อนี้คงจะอร่อยขึ้นอีกมากโข คาดไม่ถึงว่าจะพบชายหนุ่มนอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เหยาเหยาถลาลงจากเนินมาแบบไม่คิดตรึกตรองด้วยซ้ำว่าบุรุษที่บาดเจ็บผู้นี้นั้นบาดเจ็บด้วยจากสาเหตุใด นางเคยเฉียดความตายมาก่อน พอเห็นแบบนี้ร่างกายจึงไปก่อนความคิด“แม่นาง เจ้าเป็นเทพธิดาหรือ” หยางซวี่เหวินเอ่ยถามสิ่งที่คิดเสียงแหบพร่าฝ่ามือบางถึงกับชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง หรือบุรุษผู้นี้จะเสียเล
บทที่ 8เหยาเหยาตื่นมาแต่เช้า นางเปิดตลับยาสมุนไพรที่ปรุงเอาไว้ทายาไปตามร่างกายที่มีรอยแผลของตนเอง ตัวยาหลักคือหัวหอมและใบบัวบก ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา นางยังคงต้องทายาและดื่มยาสมุนไพรบ้างในบางวัน แม้ทุกอย่างจะดูดีขึ้นหมดแล้ว รอยแผลก็จางจนแทบมองไม่เห็น แต่หากมองดี ๆ ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง บางรอยหากสัมผัสที่แผลโดยตรงก็ยังรู้สึกถึงรอยที่นู้นจากผิวขึ้นมาชัดเจนเมื่อจัดการตนเองเรียบร้อยเหยาเหยาก็เดินไปหาคนเจ็บที่หมดสติอยู่เมื่อคืน แต่กลับต้องตกใจ เพราะยามนี้บุรุษผู้นั้นลุกขึ้นนั่งมองตรงมายังนางด้วยดวงตากลมและแทบไม่กะพริบเลยแม้แต่นิด“ได้สติแล้วหรือ เมื่อวานระหว่างที่ข้าเดินหาสมุนไพรอยู่ในป่าไปพบเจอกับท่านที่นอนจมกองเลือดอยู่จึงพากลับมาที่นี่เพื่อรักษาตัว” เหยาเหยารีบเอ่ยก่อนที่คนที่จ้องนางอยู่จะเอ่ยถามด้วยซ้ำ
บทที่ 9เหยาเหยาดูแลอ๋องหยางซวี่เหวินอย่างดีที่สุด บาดแผลของอ๋องหนุ่มหนักแค่บางจุดเท่านั้น“เจ้าเป็นหมอหรือ” เสียงของชายหนุ่มที่เอาแต่มองนางเอ่ยถามอย่างสงสัย “มารดาของข้าสอนมา” เหยาเหยาไม่ได้โกหกมันคือเรื่องจริง และเพียงแค่นึกถึงเรื่องนี้ดวงตาของนางก็คลายจะมีประกายแห่งความแค้นปะทุออกมา แม้แต่คนที่ลอบมองอยู่ตลอดอย่างหยางซวี่เหวินก็ยังนึกสงสัยไม่ได้“แล้วนางไม่ไหนหรือข้าไม่เห็นอยู่ที่นี่” อ๋องหนุ่มแอบถามแม้จะพอเดาคำตอบได้อยู่แล้วเนื่องจากตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมาก็พบแค่ท่านลุงจางและสตรีอีกนางที่เป็นพี่สาวของนาง นามว่า เมาเมา“ไม่อยู่แล้วเจ้าคะ”“เจ้าคงรักนางมาก”
บทที่ 10หลังจากผ่านไปอีกเพียงไม่กี่วันร่างกายของหยางซวี่เหวินก็เป็นปกติทุกอย่าง ชายหนุ่มอยากจะกรนด่าตนเองที่มีร่างการที่สมบูรณ์แข็งแรงเช่นนี้ อ่อนแอสักหน่อยก็มิได้ ร่างสูงใหญ่เดินวนไปเวียนมาราวกับหนูติดจั่นภายในกระโจมใหญ่ คณะเดินทางของเขาพอรวมตัวแล้วก็มีอยู่มิไม่ใช่น้อย หากจะพักในบ้านหลังเล็กในหุบเขาแล้วคงจะไม่เพียงพอ เขาจึงสั่งให้คนตั้งกระโจม หลังจากรักษาบาดแผลจนหายสนิท แต่เขาก็ยังรั้งจะอยู่ที่แห่งนี้ แสร้งทำเป็นยังไม่หายดี เพื่อยือเวลาออกไปเรื่อย ๆ แม่นางเหยาเหยานางก็แสนดี ดูแลบาดแผลเขาอย่างไม่รังเกียจ แม้นางจะรู้ว่าเขาหายแล้ว “จะป่วยให้นานกว่านี้ก็ไม่ได้” หยางซวี่เหวินก่นด่าตนเอง เขาไม่มีข้ออ้างว่าปวดส่วนใดอีกแล้วเหยาเหยาที่นำมาเช็ดหน้าในตอนเช้ามาให้ถึงกลับแอบหัวเราะอยู่ที่หลังเ
บทที่ 11เรื่องราวที่ได้รับรู้จากเหยาเหยาทำให้หยางซวี่เหวินรู้สึกหนักใจ เขากับตระกูลของไท่จื่อเฟ่ยนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน และอีกฝ่ายคงคิดว่าเขาเป็นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงอยู่แล้ว ยามที่ตระกูลซ่งและฐานะของรัชทายาทยังไม่มั่นคงพอที่จะมาต่อกรกับเขาก็คงไม่มาหาเรื่องให้ตัวเองเสียไพร่พลเล่น ๆ หรอกแต่กลับหาเรื่องคนธรรมดาอย่างตระกูลหมิ่ง น่าสงสารหุ้ยเอ๋อร์ นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ต้องพบเจอเรื่องราวหนักขนาดนี้จะทนได้อย่างไรมิหนำซ้ำเรื่องราวยังเกิดเพราะองครักษ์ไร้ชื่อคนหนึ่งอีก จะบอกว่าใหญ่โตหรืออยู่ตำหนักไหนเขาก็ไม่สนทั้งนั้น เพราะขนาดราชองครักษ์ประจำตัวเสด็จพี่ยังแพ้เขา แพ้มู่เฉิงเลย เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ประจำตำหนักบูรพาหรือไม่ใช่สำหรับหยางซวี่เหวินคนผู้นั้นก็เป็นเพียงองครักษ์ไร้ชื่อเสียง สอบจอหงวนได้งั้นหรือ ดูท่าปีนั้นคนมีฝีมือคงไม่ได้เข้าสอบถึงได้มีเดนมนุษย์สอบได้ตำแห
บทที่ 12 สองร่างเปลือยเปล่าอยู่บนตั่งเตียง วงแขนแกร่งโอบกอดร่างบางเอาไว้แน่น จุมพิตลงบนหัวไหล่ที่มีรอยแผลจาง ๆ อย่างทะนุถนอม“ยังเจ็บอยู่หรือไม่”“ไม่เจ็บแล้วเพคะ”ริมฝีปากหนาไล่จุมพิตเลื่อนลงไปเรื่อยอย่างแผ่วเบา ยิ่งได้ก่ายกอดนางเอาไว้เช่นนี้ เขายิ่งหวงแหนนางเหลือเกินไม่อยากให้นางได้กลับเมืองหลวงไปเจอชายคนรักของนาง ภายในใจเขาหวาดหวั่น หากคนที่นางเลือกไม่ใช่เขาจะทำเยี่ยงใดหุ้ยเอ๋อร์ ข้าจะทำทุกอย่างให้เจ้าอยู่เคียงข้าตลอดไปหยางซวี่เหวินจุมพิตลงแผ่นหลังบอบบางอย่างแสนรัก แม้จะมีรอยนูนและมีสีน้ำตาลปรากฏจาง จากรอยแผลเป็นที่ยังไม่หายดี อ๋องหนุ่มกลับไม่นึกรังเกียจเลยสักนิด
บทที่ 13เหยาเหยาติดตามท่านอ๋องหยางซวี่เหวินกลับไปเมืองหลวงครั้งนี้อ๋องหนุ่มดูแลนางอย่างดี สั่งให้คนจัดหาชุดใหม่ให้ ถึงขนาดให้ขึ้นมานั่งบนรถม้าด้วย แน่นอนว่าทุกคนรับรู้สถานะของนางว่าเป็นคนของผู้ใด จึงมีคนคอยดูแลช่วยเหลือเหยาเหยาตลอดเวลา หากจะกล่าวก็คือนางเป็นสตรีคนแรกที่ได้ร่วมเตียงกับอ๋องหนุ่มแล้วยังสามารถอยู่ใกล้พระองค์ได้ สตรีอื่นแค่ผ่านมาก็ผ่านไปไม่เคยมัดใจท่านอ๋องไว้ได้สักคน ยิ่งยามสายตาท่านอ๋องที่ทอดมองนางมิปิดบังความรู้สึกแม้แต่น้อย แม้จะไม่ได้ประกาศฐานะของเหยาเหยาออกมาว่านางอยู่ในตำแหน่งใดในสายตาอ๋องหยางซวี่เหวิน อาจเป็นเพราะช่วยชีวิตท่านอ๋องอาจเป็นเพราะใบหน้างดงามล่มเมืองนั่นก็ยากที่จะคาดเดา ทุกคนจึงเลี่ยงที่จะไม่ทำให้นางไม่พอใจเสียจะดีกว่
บทที่ 33ตำหนักบูรพาในวันนี้ไม่เหมือนวันเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของตำหนักก็ยิ่งไม่เหมือนเดิม“ไท่จื่อ ฮองเฮาส่งเทียบของคุณหนูตระกูลต่าง ๆ มาให้อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อที่เคยถูกหลอกเมื่อก่อน ตอนนี้โตเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ เขาฝึกยุทธ์เหมือนเสด็จอาของเขา และยังคิดทำอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนเสด็จอาของตนด้วยที่เห็นกันชัด ๆ ก็คงเป็นเรื่องพระชายา เพราะครั้งหนึ่งเคยได้แต่งไปกับคนที่มีนิสัยเช่นซ่งอี้หลิน จึงทำให้มีปัญหาเรื่องความไว้ใจสตรีหากพูดคุยแล้วพึงใจแต่ดันไปทำอะไรให้พระองค์ตะขิดตะขวงใจแม้เพียงนิด ความพึงพอใจที่ผ่านมาอาจจะกลายเป็นศูนย์ไปเลยก็เป็นได้“แต่ว่า...”“เจ้าไม่ต้องมาพูดม
บทที่ 32ในทุก ๆ ปี ท่านอ๋องหยางซวี่เหวินและพระชายาร่วมถึงบรรดาพระโอรสและพระธิดาจะเสด็จมาเมืองหลวงเป็นประจำทุกปีนั่นก็เพราะพระชายาจะพาหลาน ๆ มาเคารพสุสานบรรพชนและก็ไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปเยี่ยมเยียนฮ่องเต้และฮองเฮา รวมถึงองค์รัชทายาทที่ยามนี้โตเป็นชายหนุ่มแล้ว“ทำไมที่นี่ถึงไม่มีคนอยู่หรือเสด็จแม่” พระโอรสคนที่สี่ซึ่งเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นเอ่ยถามขึ้นเมื่อเขาได้มาที่นี่เป็นปีที่สองแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวอายุได้ สี่ชันษาจึงกำลังพูดมากพอสมควร“เสด็จแม่ลูกอธิบายน้องเองพ่ะย่ะค่ะ” ทั้ง ๆ ที่หมิ่งหุ้ยอยากจะเลี้ยงพระโอรสและพระธิดาทุกคนอย่างคนธรรมดาสามัญแต่เพราะศักดินาที่มี อย่างไรหนึ่งในทั้งหมดนี่ก็ต้องดูแลที่ดินและชาวบ้านแถว ๆ นั้น จึงทำให้สุดท้ายทุกคนจึงเป็นท่านหญิงและท่านชายที่น่าเคาร
บทที่ 31“เป็นข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ พระชายาของท่านอ๋องทรงพระครรภ์แล้ว” หลังจากเงียบเชียบนานนับปี ในที่สุดก็มีข่าวดีจากทั้งสอง“ท่านอ๋องเป็นอะไรเพคะ” หยางซวี่เหวินได้ฟังก็ตื้นตันจนร้องไห้ เรื่องนี้ทำให้มู่เฉิงที่เป็นราชองครักษ์ข้างกายตกใจมากจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้า “กระหม่อมคงต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับทุกคนแล้ว”หยางซวี่เหวินคิดว่ามู่เฉิงหมายถึงเรื่องข่าวการตั้งครรภ์ แต่เปล่า เจ้าตัวกลับส่งข่าวให้ทุกคนว่าเขาร้องไห้เพราะรู้ว่าพระชายาของตนตั้งครรภ์ “มู่เฉิงหากไม่ใช่เจ้าข้าจะสั่งโบยให้ดู” แม้จะโดนขู่เช่นนั้นแต่มู่เฉิงก็มิได้สะทกสะท้าน นั่นก็เพราะยามนี้ท่านอ๋องทรงประชวร“ทรงรักษาพระวรกายเถอะพ่ะย่ะค่ะ หายแล้วค่อยม
บทที่ 30หลังจากงานมงคลหมิ่งหุ้ยก็ได้เข้าไปยกน้ำชาให้กับฮ่องเต้ ในวังเพราะเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของทั้งสองจากไปแล้ว พี่ชายอย่างฮ่องเต้จึงถือเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหมิ่งหุ้ยแต่งเข้าตระกูลหยางก็ต้องเคารพบรรพบุรุษ“อภัยให้กับอี้หลินด้วยนะหุ้ยเอ๋อร์” เสียงของฮองเฮาเอ่ยกับน้องสะใภ้ของตน“ข้าเองก็อโหสิกรรมให้นางแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวถึงได้” ฮ่องเต้หันไปประคองฮองเฮาเอาไว้“เรื่องมันแล้วไปแล้ว จะรื้อฟื้นก็คงจะทำไม่ได้ เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย แม้จะมีความสูญเสียแต่ก็มีเรื่องดี ๆ อย่างการที่เจ้าทั้งสองได้มาเจอกัน คนเป็นพี่อย่างข้าเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจที่ซวี่เหวินจะมีคนรักสักที เจ้ารู้ไหมหุ้ยเอ๋อร์ เขาไม่เคยมีคนรักมาก่อน&rd
บทที่ 29“ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” หยางซวี่เหวินเอ่ยเช่นนั้นออกไปเพราะเขารู้ว่านางไม่ได้มีใจให้เขาจึงอยากให้นางเป็นอิสระ แม้ภายในใจต้องเจ็บปวดที่วันข้างหน้าจะไร้หมิ่งหุ้ยเคียงข้าง แต่ก็อยากให้นางเป็นผู้เลือก“อย่างที่หม่อมฉันบอกคงกลับไปหาท่านพ่อและเมาเมา อยู่กับพวกเขาทำให้หม่อมฉันสงบใจไม่คิดเรื่องครอบครัวที่จากไปได้บ้าง” หยางซวี่เหวินอยากเอ่ยถามว่าเช่นนั้นไปอยู่กับข้าดีหรือไม่แต่ก็ไม่กล้า แม้จะอยากปล่อยนางไปแต่อีกใจก็อยากเก็บนางเอาไว้ข้างกายทางด้านหมิ่งหุ้ยที่เห็นบุรุษตรงหน้าไม่ได้พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ใด ๆ ก็คิดว่าเขาคงมองเรื่องระหว่างเขากับนางว่าเป็นไปไม่ได้ “บางทีนี่อาจจะเป็นบาปกรรมของหม่อมฉันด้วยที่ทำให้ต้องเดียวดายตลอดไป” นา
บทที่ 28กริ๊ก!เสียงตลับยาสีเงินใบเล็กเปิดออก นางพกมันซ่อนเอาไว้ในถุงหอม ตลับยาหล่นลงบนพื้นเมื่อนางเทของที่อยู่ในถุงหอมออกมา หมิ่งหุ้ยยกยิ้มเย็น นางบรรจงเปิดตลับยานั่น ภายในมีผงสีขาว นอกจากจะเก็บสมุนไพรมารักษาบาดแผลและหากเหลือจะให้ท่านพ่อจางหลงนำไปขายแล้ว สิ่งที่นางตามหาอีกอย่างคือ หญ้าเถา เดิมชาวบ้านจะนำมาบดหยาบแล้วจุ่มลงแม่น้ำเพื่อเบื่อปลา ทำให้ปลาในแม่น้ำหายใจไม่ออกและว่ายขึ้นเหนือน้ำ และแน่นอนว่าหากนำไปบดเป็นผงก็ยังสามารถใช้เบื่อหนูและสัตว์อื่น ๆ ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์ นางผสมตลับหนึ่งไว้ช่วยชีวิตคน อีกตลับเอาไว้… วันนี้นางค่อย ๆ บรรจงเทผงสีขาวลงในปากของซ่งอี้หลินอย่างใจเย็น ทำราวกับกำลังดื่มด่ำชาเลิศรส ชานั่นมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ มันมีชื่อเรียกว่า การแก้แค้นอันหอมหวาน“นี่ใ
บทที่ 27ในที่สุดก็ถึงวันที่ประหารไท่จื่อเฟย องค์รัชทายาทไม่ได้รู้สึกกับนางดั่งเช่นคนรัก ที่จริงพระองค์ออกจะรังเกียจนางเสียด้วยซ้ำตำหนักบูรพาถึงจะไม่เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่องค์รัชทายาทจะมิรู้ว่าพระชายาของตนกระทำการน่ารังเกียจ แต่เพราะยังเยาว์วัยนักจึงไม่รู้ว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไรสุดท้ายก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ แล้วหวังว่าวันหนึ่งจะจัดการกับนาง ในวันที่ตัวเขานั้นมีอำนาจมากพอมินึกว่าจะมีคนจัดการเรื่องนี้ให้ ทั้งยังกระทำชัดเจนจนฉีกหน้ากากนางออกได้“เสด็จอามาจัดการนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อน้อยรีบวิ่งไปหาเสด็จอาของตน ผู้ที่มาช่วยปลดเปลื้องความอัปยศของเขา หยางซวี่เหวินพยักหน้าให้หลานชายคนเดียว
บทที่ 26“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ให้ประกาศออกไป เราเชื่อว่าอาจจะยังมีคนที่ต้องเดือนร้อนเพราะตระกูลซ่งอีกมาก ที่จริงความผิดที่พวกเขากระทำ ณ ตอนนี้ก็เพียงพอที่จะสั่งประหารทั้งตระกูลแล้ว แต่การใช้อำนาจอย่างที่มิถูกมิควรนั้นอาจจะสร้างปัญหาได้ คนมิได้ทำผิดมิควรถูกลงโทษดั่งเช่นของตระกูลหมิ่ง เราจะสั่งให้สืบสวนเรื่องราวของเจ้าใหม่หากยืนยันได้ว่าไม่ผิดเราจะขุดหลุมสร้างสุสานให้ใหม่ คืนฐานะให้กับเจ้า”ฮ่องเต้ประกาศออกมาเช่นนั้น หากสั่งลงโทษทั้งตระกูล แน่นอนว่าสตรีที่พระองค์รักจะต้องถูกลงโทษด้วย นางผิดที่หลับหูหลับตาเชื่อคำของหลานสาว แต่ในเรื่องอื่นเป็นพี่ชายของนางที่มักใหญ่ใฝ่สูงเสียเอง ทั้ง ๆ ที่อำนาจที่มือในมือก็มากมายแล้ว แต่ก็ยังอยากได้เพิ่ม คนเรามิรู้จักพอเสียจริง ส่วนซ่งอี้หลิน ฮ่องเต้ถึงกับส่ายพระพักตร์ นางกล้าสวมหมวกเขียวให้โอรสเขา “เสด็จพี่ข้าขอเป็นคนสืบสวนเองจะได้หรือไม่&rdq
บทที่ 25หยงอิ่งจงเห็นสายตาของท่านอ๋องหยางซวี่เหวินที่มองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจและรังเกียจ เห็นสายตาของใต้เท้าซ่งหม่าที่มองราวกับจะฆ่าเขา และยังขุนนางที่มองเขาราวจะตัดสินความผิด ทั้ง ๆ ที่เขาถูกจับตัวมาโดยมิรู้ด้วยซ้ำว่าทำผิดอะไร แต่เมื่อเห็นท่านอ๋องหยางซวี่เหวินยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงเป็นเรื่องนักฆ่าที่ส่งไปฝีมือไม่ได้เรื่องนั่นกระมังเขาคิดถูกจริง ๆ ที่หลายวันก่อนหลังจากนักฆ่าไม่กลับมาก็เร่งไปหาไท่จื่อเฟยเพื่อให้นางช่วยเหลือ เนื่องจากช่วงนี้มีปัญหาเกี่ยวกับการโดนกวาดล้างเขาเองทำเป็นบอกว่าเรื่องเดียวที่เขาทำผิดก็เรื่องที่ฆ่าตระกูลหมิ่งเพื่อพระนางที่เขาพยายามห้ามใจแล้วไม่ให้รักอย่างนาง ยอมลงมือกับหมิ่งหุ้ยเพื่อได้อยู่กับพระนาง และไท่จื่อเฟยก็เชื่อเขา“เป็นอะไรไป” ซ่งอี้หลินเอ่ยถามคนรักเมื่อเขาแอบบุกเข้ามาหานาง ทั้ง ๆ ที่ตำหนักบูรพาถูกคุ้มกันแน่นหนา เขาฝ่าอันตรายเข้ามาด้วยความคะนึงห