บทที่ 3
“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น”
ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน
“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้
“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด
“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่
หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพัง
เหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว
“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่งจง”
“ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดหมิ่งหุ้ยถึงคิดทำการอุกอาจเยี่ยงนี้ นางจะวางยาเจ้าไปเพื่ออะไร”
“นางคงริษยาข้าที่ได้ครอบครองเจ้า”
“หมิ่งหุ้ยไม่มีทางรู้เรื่องของข้ากับเจ้า” หยงอิ่งจงก้มหน้ามองร่างเปลือยเปล่าที่นอนแนบชิดเขาอยู่ เขาและไท่จื่อเฟยลอบคบชู้กันตั้งแต่ที่พระนางแต่งเข้าตำหนักองค์ชายหยางเชาเยว่ เดิมเขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ แต่พอพระนางแต่งเข้ามา เขาจึงได้มาดูแลอารักขาพระนางด้วย ด้วยความใกล้ชิด ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน คำโบราณนั้นไม่ผิดนัก แรกเริ่มเขาสงสารพระนางที่อยู่ในวัยแรกแย้ม แต่กลับต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับเด็กน้อยที่อายุเพียงไม่กี่ปี
เพราะฮองเฮาต้องการให้อำนาจตระกูลซ่งอยู่ในมือโอรสพระองค์เดียวของพระนาง จึงบังคับหลานสาวอย่างซ่งอี้หลินแต่งกับโอรสของตน ด้วยความใกล้ชิดกัน จากสงสารไม่รู้ที่เมื่อใดกลายเป็นความใคร่ เขาและอี้หลินสมสู่กันราวกับสัตว์เดรัจฉาน หลังจากเสร็จกิจกับอี้หลินเขาก็รู้สึกผิดกับหมิ่งหุ้ยทุกครั้ง ไม่ว่าจะหลับนอนกับอี้หลินกี่ครั้ง ใจเขาก็ยังรักเพียงหมิ่งหุ้ยผู้เดียว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอี้หลินก็เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ใครจะไปคาดคิดได้ว่าหมิ่งหุ้ยที่วัน ๆ ช่วยบิดามารดาทำการค้าจะล่วงรู้เรื่องภายในวังหลังได้ เพราะขนาดไท่จื่อที่นอนพักอยู่ห้องบรรทมถัดไปยังไม่เคยระแคะระคาย
“เป็นไม่ได้ หมิ่งหุ้ยไม่มีทางรู้เรื่องนี้” หยงอิ่งจงยังคงคิดว่าคนรักของตนไม่มีทางรู้เรื่องต่ำช้าที่เขาทำลับหลังนางได้ เพราะตลอดเวลาผ่านมาเขาแนบชิดอี้หลินเพียงยามอยู่กับตามลำพังเท่านั้น หากอยู่นอกห้องบรรทม
เขาไม่เคยเข้าใกล้พระนางเกินกว่าที่องครักษ์พึงกระทำ อีกทั้งยามที่พบหมิ่งหุ้ยในวันหยุด นางยังคงยิ้มแย้มให้เขาเสมอ ไม่มีทีท่าว่าจะขุ่นเคืองใจ และเฝ้ารอวันที่จะได้เข้าพิธีหมั้นหมายกับเขาอย่างใจจดจ่อ
“วัน ๆ เจ้าก็อยู่กับข้า เป็นทั้งองครักษ์ส่วนพระองค์ของไท่จื่อและองครักษ์ส่วนตัวให้ข้า แน่นอนนางย่อมริษยาเพราะข้าแย่งชิงเวลาของเจ้ามาจากนาง ไม่มีสตรีใดทนเห็นคนรักอยู่ใกล้ชิดสตรีนางอื่นได้หรอก ตัวข้าเองก็เช่นกัน ไม่เพราะนางรู้เรื่องของข้ากับเจ้าหรอกหรือ นางถึงได้คิดทำเลวทรามต่ำช้าลอบวางยาเชื้อพระวงค์ ยืมมือมารดาที่รักบุตรสาวให้หาซื้อยาพิษไร้กลิ่นไร้สีให้ หากไม่เพราะเจ้าชิมสุราจอกนั้นแทนข้า ข้าที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์คงสิ้นใจเพียงกลืนสุรานั่นอึกเดียว ดูเอาเถิดอิ่งจง คนรักของเจ้านางเป็นสตรีเช่นไร ใบหน้างดงามนั้นยิ้มแย้มแต่ลับหลังช่างอำมหิตนัก”
“เฮ้อ” ร่างหนาถอนหายใจหนัก
“เอาเถอะ อย่าไปคิดถึงนางเลย อย่างไรนางกับตระกูลของนางก็ได้รับโทษอย่างสาสมแล้วกับสิ่งที่ทำกับข้า เจ้าอย่าได้คิดถึงนางอีกเลย คิดถึงเพียงข้าผู้เดียวก็พอแล้ว ข้าผู้นี้ให้เจ้าได้ทุกอย่าง ตำแหน่ง อำนาจ ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างกายมิจากไปไหน ไม่ว่าเจ้าอยากได้สิ่งใด เสี่ยวหลินผู้นี้จะหาให้เจ้าเอง ยอดรัก” นางขานเรียกยอดรักเสียงหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า
คุณหนูตระกูลใหญ่ ตั้งแต่ลืมตาดูโลก มีป้าเป็นถึงแม่แผ่นดิน เกิดมาก็ถูกวางฐานะเอาไว้หมดแล้วว่าต้องแต่งกับเชื้อพระวงค์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งเพื่อดึงอำนาจฝ่ายฮองเฮาเอาไว้ และคานอำนาจฝ่ายตรงข้าม สตรีที่เกิดมาในตระกูลใหญ่ทุกคนเป็นเช่นนี้หมด นางมิต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้อื่น หากจะต่างก็คือนางต้องแต่งกับหลานของตน ทารกน้อยที่นางเคยอุ้มตอนถูกห่อด้วยผ้า ก้าวเดินแรกของหยางเชาเยว่ก็เป็นนางที่ประคองเดิน ผู้ใดจะคิดเล่าว่านางต้องมาเป็นภรรยาของคนที่นางเลี้ยงมากับมือ
อีกทั้งใจของนางก็ไม่หลงเหลือให้ผู้ใดได้อีก หยงอิ่งจง องครักษ์หนุ่มอนาคตไกล สอบจอหงวนบู้ได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบห้า ได้รับเลือกให้ดูแลองค์ชายหยางเชาเยว่มาตั้งแต่ยังเล็ก และเขาอยู่ในสายตาของนางตลอด นางใช้ความอ่อนแอของสตรีเพศล่อลวงจนเขาติดบ่วง พลาดมีความสัมพันธ์ทางกายกับนาง มีหนึ่งครั้งย่อมมีครั้งต่อไปเรื่อย ๆ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไฟที่นางเติมเชื้อเข้าไปทุกคืน ไม่มีวันใดที่เขาไม่หลงใหลไปกับความเย้ายวนของร่างกายนาง
แต่แล้ว จู่ ๆ เขาก็บอกว่ากำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมายกับเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตน แล้วนางเล่า จะยังอยู่ในสายตาเขาหรือไม่ หากเขาได้ลิ้มชิมรสสวาทจากร่างสตรีผู้อื่น และสตรีผู้นั้นคือคนที่เขารัก
นางไม่ยอมเป็นเช่นนั้น นางยอมทำตามคำสั่งบิดาแต่งงานกับหยางเชาเยว่แล้ว และในตอนนี้นางเป็นถึงไท่จื่อเฟย อีกไม่ช้าก็จะได้เป็นฮองเฮา เป็นแม่ของแผ่นดินคนต่อไป จะให้นางแบ่งบุรุษที่นางรักกับสตรีต่ำศักดิ์กว่า นางมิอาจทนได้หรอก
ไท่จื่อเฟยใช้อำนาจที่มีในวังหลัง ใช้องครักษ์เงาของฮองเฮาทำงานส่วนตัว วางแผนว่าเป็นหมิ่งหุ้ย คนรักของหยงอิ่งจงวางยานาง แต่หากจะลงโทษหมิ่งหุ้ยผู้เดียวย่อมไม่ใช่แผนการที่ดีหนัก ตัดไฟต้องตัดตั้งแต่ต้นลม
เมื่อคิดจะฆ่าแล้วต้องฆ่าให้หมด ตีงูอย่าตีให้เพียงหลังหักเพราะมันจะแว้งกัดเอาได้ ต้องตีให้ตาย
ไม่คิดว่าหยงอิ่งจงจะรักสตรีต่ำต้อยผู้นั้น ขนาดเป็นเขาที่ดื่มสุราพิษแทนนางจนล้มป่วยอาการหนักอยู่หลายวัน ดีหมอหลวงที่นางเตรียมการและยาถอนพิษเอาไว้อยู่ไม่ได้ไกล กระนั้นเขาก็วิงวอนร้องของชีวิตให้หมิ่งหุ้ย
ดี ดี
ซ่งอี้หลินเห็นว่าต่อให้ฆ่าหมิ่งหุ้ยผู้นั้นทิ้ง ใจของหยงอิ่งจงก็ยังคงคะนึงหานาง อี้หลินจึงแสร้งวางเงื่อนไขให้หมิ่งหุ้ยรับสารภาพ แล้วนางจะปล่อยหมิ่งหุ้ยไป ไม่นึกว่าหยงอิ่งจงก็ยังคิดจะเอาสตรีต้องโทษผู้นั้นมาไว้ในจวนของเขา แต่งงานเป็นฮูหยินไม่ได้ก็ยังคิดจะรับเป็นอนุ
“คิดถูกแล้ว ที่ให้อิ่งจงเป็นคนลงมือ”
“ใช่เพคะ องครักษ์หยงต้องรู้สึกผิดที่สังหารคนรักของตนด้วยมือเขาเอง มีแต่ความรู้สึกผิด ไม่มีทางกลับไปรักได้อีก ไท่จื่อเฟยฉลาดเหนือสตรีใดในแคว้นเพคะ” นางกำนัลคนสนิทที่ติดตามอี้หลินตั้งแต่เป็นเพียงคุณหนูจนกระทั่งแต่งเข้าวังบูรพา เอ่ยชื่นชมความฉลาดหลักแหลมของเจ้านายตนเอง สองมือขัดถูตามเนื้อนวลอย่างเบามือ
“เท่านี้ในสายตาของอิ่งจง ข้าก็เป็นสตรีที่ใจกว้างราวกับแม่น้ำ ฮ่า ๆ”
ซ่งอี้หลินเอ่ยชมตนเอง พลางหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้าของหมิ่งหุ้ยที่รู้ว่าบุรุษที่นางรักลงมือหักหลังตนเอง อี้หลินรู้ดีว่าหมิ่งหุ้ยไม่มีทางรับผิดแน่นอน ก็แน่สิ อีกฝ่ายไม่ได้เป็นผู้วางแผน เป็นนางต่างหากที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมด แล้วหมิ่งหุ้ยจะรับสารภาพได้เยี่ยงใด อี้หลินเพียงหวังอยากเป็นคนดีในสายตาของหยงอิ่งจง จึงสั่งให้หยงอิ่งจงเป็นคนลงมือด้วยตนเอง ช่วงเวลาที่เขารักษาพิษอยู่ กรมวังก็ตรวจสอบคดีภายใต้การกำกับของนางจนเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่คิดจะใช้บุรุษร่วมสตรีใด ความตายเท่านั้นที่หมิ่งหุ้ยสมควรได้รับ
บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย
บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu
บทที่ 6“ท่านพ่อ ข้าเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรก่อนนะ”“อย่าเพลินจนกลับค่ำนักล่ะ พอเริ่มโพล้เพล้ก็เก็บของกลับบ้านได้แล้ว หุบเขาแห่งนี้จะมีแค่พวกเรา แต่พอตะวันตกดินสัตว์ป่าก็ออกหากิน แม้เจ้าจะคุ้นชินป่าบริเวณนี้ แต่อย่างไรก็ยังอันตรายอยู่ดี” “เจ้าค่ะ”เหยาเหยาส่งเสียงตอบรับหนักแน่น สองมือคว้ามีดอันเล็กพร้อมด้วยตะกร้าเพื่อใส่สมุนไพรกลับ หวังว่าวันนี้คงเจอสมุนไพรดี ๆ เอาไว้ให้ท่านพ่อเอาไปขายที่หมู่บ้านด้านนอกหุบเขา แม้จะได้ราคาไม่สูงเท่าไปขายในเมืองหลวง แต่เหยาเหยาคิดว่าทำเช่นนี้ปลอดภัยสำหรับตัวนางและครอบครัวสกุลจางในยามนี้มากที่สุด“เย็นนี้มีไก่ตุ๋น กลับช้าข้าจะเหลือแต่กระดูกไก่ไว้ให้เจ้า”เสียงใส ๆ ตะโกนออกมากจาก
บทที่ 7“คุณชาย คุณชาย ท่านได้ยินข้าหรือไม่”เหยาเหยาใช้ฝ่ามือตบใบหน้าหยกที่มองนางตาลอยราวกับคนสติหลุด นางกลัวว่าเขาจะเสียเลือดจนสลบไปอีกครั้ง นางเดินลัดเลาะหาสมุนไพรเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนี้นางเดินกลับมาตรงบริเวณที่พบดงเห็ด หวังจะเอาไปใส่ไก่ตุ๋นของเมาเมา อาหารเย็นมื้อนี้คงจะอร่อยขึ้นอีกมากโข คาดไม่ถึงว่าจะพบชายหนุ่มนอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เหยาเหยาถลาลงจากเนินมาแบบไม่คิดตรึกตรองด้วยซ้ำว่าบุรุษที่บาดเจ็บผู้นี้นั้นบาดเจ็บด้วยจากสาเหตุใด นางเคยเฉียดความตายมาก่อน พอเห็นแบบนี้ร่างกายจึงไปก่อนความคิด“แม่นาง เจ้าเป็นเทพธิดาหรือ” หยางซวี่เหวินเอ่ยถามสิ่งที่คิดเสียงแหบพร่าฝ่ามือบางถึงกับชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง หรือบุรุษผู้นี้จะเสียเล
บทที่ 8เหยาเหยาตื่นมาแต่เช้า นางเปิดตลับยาสมุนไพรที่ปรุงเอาไว้ทายาไปตามร่างกายที่มีรอยแผลของตนเอง ตัวยาหลักคือหัวหอมและใบบัวบก ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา นางยังคงต้องทายาและดื่มยาสมุนไพรบ้างในบางวัน แม้ทุกอย่างจะดูดีขึ้นหมดแล้ว รอยแผลก็จางจนแทบมองไม่เห็น แต่หากมองดี ๆ ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง บางรอยหากสัมผัสที่แผลโดยตรงก็ยังรู้สึกถึงรอยที่นู้นจากผิวขึ้นมาชัดเจนเมื่อจัดการตนเองเรียบร้อยเหยาเหยาก็เดินไปหาคนเจ็บที่หมดสติอยู่เมื่อคืน แต่กลับต้องตกใจ เพราะยามนี้บุรุษผู้นั้นลุกขึ้นนั่งมองตรงมายังนางด้วยดวงตากลมและแทบไม่กะพริบเลยแม้แต่นิด“ได้สติแล้วหรือ เมื่อวานระหว่างที่ข้าเดินหาสมุนไพรอยู่ในป่าไปพบเจอกับท่านที่นอนจมกองเลือดอยู่จึงพากลับมาที่นี่เพื่อรักษาตัว” เหยาเหยารีบเอ่ยก่อนที่คนที่จ้องนางอยู่จะเอ่ยถามด้วยซ้ำ
บทที่ 9เหยาเหยาดูแลอ๋องหยางซวี่เหวินอย่างดีที่สุด บาดแผลของอ๋องหนุ่มหนักแค่บางจุดเท่านั้น“เจ้าเป็นหมอหรือ” เสียงของชายหนุ่มที่เอาแต่มองนางเอ่ยถามอย่างสงสัย “มารดาของข้าสอนมา” เหยาเหยาไม่ได้โกหกมันคือเรื่องจริง และเพียงแค่นึกถึงเรื่องนี้ดวงตาของนางก็คลายจะมีประกายแห่งความแค้นปะทุออกมา แม้แต่คนที่ลอบมองอยู่ตลอดอย่างหยางซวี่เหวินก็ยังนึกสงสัยไม่ได้“แล้วนางไม่ไหนหรือข้าไม่เห็นอยู่ที่นี่” อ๋องหนุ่มแอบถามแม้จะพอเดาคำตอบได้อยู่แล้วเนื่องจากตั้งแต่เขาฟื้นขึ้นมาก็พบแค่ท่านลุงจางและสตรีอีกนางที่เป็นพี่สาวของนาง นามว่า เมาเมา“ไม่อยู่แล้วเจ้าคะ”“เจ้าคงรักนางมาก”
บทที่ 10หลังจากผ่านไปอีกเพียงไม่กี่วันร่างกายของหยางซวี่เหวินก็เป็นปกติทุกอย่าง ชายหนุ่มอยากจะกรนด่าตนเองที่มีร่างการที่สมบูรณ์แข็งแรงเช่นนี้ อ่อนแอสักหน่อยก็มิได้ ร่างสูงใหญ่เดินวนไปเวียนมาราวกับหนูติดจั่นภายในกระโจมใหญ่ คณะเดินทางของเขาพอรวมตัวแล้วก็มีอยู่มิไม่ใช่น้อย หากจะพักในบ้านหลังเล็กในหุบเขาแล้วคงจะไม่เพียงพอ เขาจึงสั่งให้คนตั้งกระโจม หลังจากรักษาบาดแผลจนหายสนิท แต่เขาก็ยังรั้งจะอยู่ที่แห่งนี้ แสร้งทำเป็นยังไม่หายดี เพื่อยือเวลาออกไปเรื่อย ๆ แม่นางเหยาเหยานางก็แสนดี ดูแลบาดแผลเขาอย่างไม่รังเกียจ แม้นางจะรู้ว่าเขาหายแล้ว “จะป่วยให้นานกว่านี้ก็ไม่ได้” หยางซวี่เหวินก่นด่าตนเอง เขาไม่มีข้ออ้างว่าปวดส่วนใดอีกแล้วเหยาเหยาที่นำมาเช็ดหน้าในตอนเช้ามาให้ถึงกลับแอบหัวเราะอยู่ที่หลังเ
บทที่ 11เรื่องราวที่ได้รับรู้จากเหยาเหยาทำให้หยางซวี่เหวินรู้สึกหนักใจ เขากับตระกูลของไท่จื่อเฟ่ยนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน และอีกฝ่ายคงคิดว่าเขาเป็นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงอยู่แล้ว ยามที่ตระกูลซ่งและฐานะของรัชทายาทยังไม่มั่นคงพอที่จะมาต่อกรกับเขาก็คงไม่มาหาเรื่องให้ตัวเองเสียไพร่พลเล่น ๆ หรอกแต่กลับหาเรื่องคนธรรมดาอย่างตระกูลหมิ่ง น่าสงสารหุ้ยเอ๋อร์ นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ต้องพบเจอเรื่องราวหนักขนาดนี้จะทนได้อย่างไรมิหนำซ้ำเรื่องราวยังเกิดเพราะองครักษ์ไร้ชื่อคนหนึ่งอีก จะบอกว่าใหญ่โตหรืออยู่ตำหนักไหนเขาก็ไม่สนทั้งนั้น เพราะขนาดราชองครักษ์ประจำตัวเสด็จพี่ยังแพ้เขา แพ้มู่เฉิงเลย เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ประจำตำหนักบูรพาหรือไม่ใช่สำหรับหยางซวี่เหวินคนผู้นั้นก็เป็นเพียงองครักษ์ไร้ชื่อเสียง สอบจอหงวนได้งั้นหรือ ดูท่าปีนั้นคนมีฝีมือคงไม่ได้เข้าสอบถึงได้มีเดนมนุษย์สอบได้ตำแห
บทที่ 33ตำหนักบูรพาในวันนี้ไม่เหมือนวันเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของตำหนักก็ยิ่งไม่เหมือนเดิม“ไท่จื่อ ฮองเฮาส่งเทียบของคุณหนูตระกูลต่าง ๆ มาให้อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อที่เคยถูกหลอกเมื่อก่อน ตอนนี้โตเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ เขาฝึกยุทธ์เหมือนเสด็จอาของเขา และยังคิดทำอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนเสด็จอาของตนด้วยที่เห็นกันชัด ๆ ก็คงเป็นเรื่องพระชายา เพราะครั้งหนึ่งเคยได้แต่งไปกับคนที่มีนิสัยเช่นซ่งอี้หลิน จึงทำให้มีปัญหาเรื่องความไว้ใจสตรีหากพูดคุยแล้วพึงใจแต่ดันไปทำอะไรให้พระองค์ตะขิดตะขวงใจแม้เพียงนิด ความพึงพอใจที่ผ่านมาอาจจะกลายเป็นศูนย์ไปเลยก็เป็นได้“แต่ว่า...”“เจ้าไม่ต้องมาพูดม
บทที่ 32ในทุก ๆ ปี ท่านอ๋องหยางซวี่เหวินและพระชายาร่วมถึงบรรดาพระโอรสและพระธิดาจะเสด็จมาเมืองหลวงเป็นประจำทุกปีนั่นก็เพราะพระชายาจะพาหลาน ๆ มาเคารพสุสานบรรพชนและก็ไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปเยี่ยมเยียนฮ่องเต้และฮองเฮา รวมถึงองค์รัชทายาทที่ยามนี้โตเป็นชายหนุ่มแล้ว“ทำไมที่นี่ถึงไม่มีคนอยู่หรือเสด็จแม่” พระโอรสคนที่สี่ซึ่งเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นเอ่ยถามขึ้นเมื่อเขาได้มาที่นี่เป็นปีที่สองแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวอายุได้ สี่ชันษาจึงกำลังพูดมากพอสมควร“เสด็จแม่ลูกอธิบายน้องเองพ่ะย่ะค่ะ” ทั้ง ๆ ที่หมิ่งหุ้ยอยากจะเลี้ยงพระโอรสและพระธิดาทุกคนอย่างคนธรรมดาสามัญแต่เพราะศักดินาที่มี อย่างไรหนึ่งในทั้งหมดนี่ก็ต้องดูแลที่ดินและชาวบ้านแถว ๆ นั้น จึงทำให้สุดท้ายทุกคนจึงเป็นท่านหญิงและท่านชายที่น่าเคาร
บทที่ 31“เป็นข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ พระชายาของท่านอ๋องทรงพระครรภ์แล้ว” หลังจากเงียบเชียบนานนับปี ในที่สุดก็มีข่าวดีจากทั้งสอง“ท่านอ๋องเป็นอะไรเพคะ” หยางซวี่เหวินได้ฟังก็ตื้นตันจนร้องไห้ เรื่องนี้ทำให้มู่เฉิงที่เป็นราชองครักษ์ข้างกายตกใจมากจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเย้า “กระหม่อมคงต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกับทุกคนแล้ว”หยางซวี่เหวินคิดว่ามู่เฉิงหมายถึงเรื่องข่าวการตั้งครรภ์ แต่เปล่า เจ้าตัวกลับส่งข่าวให้ทุกคนว่าเขาร้องไห้เพราะรู้ว่าพระชายาของตนตั้งครรภ์ “มู่เฉิงหากไม่ใช่เจ้าข้าจะสั่งโบยให้ดู” แม้จะโดนขู่เช่นนั้นแต่มู่เฉิงก็มิได้สะทกสะท้าน นั่นก็เพราะยามนี้ท่านอ๋องทรงประชวร“ทรงรักษาพระวรกายเถอะพ่ะย่ะค่ะ หายแล้วค่อยม
บทที่ 30หลังจากงานมงคลหมิ่งหุ้ยก็ได้เข้าไปยกน้ำชาให้กับฮ่องเต้ ในวังเพราะเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของทั้งสองจากไปแล้ว พี่ชายอย่างฮ่องเต้จึงถือเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหมิ่งหุ้ยแต่งเข้าตระกูลหยางก็ต้องเคารพบรรพบุรุษ“อภัยให้กับอี้หลินด้วยนะหุ้ยเอ๋อร์” เสียงของฮองเฮาเอ่ยกับน้องสะใภ้ของตน“ข้าเองก็อโหสิกรรมให้นางแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวถึงได้” ฮ่องเต้หันไปประคองฮองเฮาเอาไว้“เรื่องมันแล้วไปแล้ว จะรื้อฟื้นก็คงจะทำไม่ได้ เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย แม้จะมีความสูญเสียแต่ก็มีเรื่องดี ๆ อย่างการที่เจ้าทั้งสองได้มาเจอกัน คนเป็นพี่อย่างข้าเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจที่ซวี่เหวินจะมีคนรักสักที เจ้ารู้ไหมหุ้ยเอ๋อร์ เขาไม่เคยมีคนรักมาก่อน&rd
บทที่ 29“ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” หยางซวี่เหวินเอ่ยเช่นนั้นออกไปเพราะเขารู้ว่านางไม่ได้มีใจให้เขาจึงอยากให้นางเป็นอิสระ แม้ภายในใจต้องเจ็บปวดที่วันข้างหน้าจะไร้หมิ่งหุ้ยเคียงข้าง แต่ก็อยากให้นางเป็นผู้เลือก“อย่างที่หม่อมฉันบอกคงกลับไปหาท่านพ่อและเมาเมา อยู่กับพวกเขาทำให้หม่อมฉันสงบใจไม่คิดเรื่องครอบครัวที่จากไปได้บ้าง” หยางซวี่เหวินอยากเอ่ยถามว่าเช่นนั้นไปอยู่กับข้าดีหรือไม่แต่ก็ไม่กล้า แม้จะอยากปล่อยนางไปแต่อีกใจก็อยากเก็บนางเอาไว้ข้างกายทางด้านหมิ่งหุ้ยที่เห็นบุรุษตรงหน้าไม่ได้พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ใด ๆ ก็คิดว่าเขาคงมองเรื่องระหว่างเขากับนางว่าเป็นไปไม่ได้ “บางทีนี่อาจจะเป็นบาปกรรมของหม่อมฉันด้วยที่ทำให้ต้องเดียวดายตลอดไป” นา
บทที่ 28กริ๊ก!เสียงตลับยาสีเงินใบเล็กเปิดออก นางพกมันซ่อนเอาไว้ในถุงหอม ตลับยาหล่นลงบนพื้นเมื่อนางเทของที่อยู่ในถุงหอมออกมา หมิ่งหุ้ยยกยิ้มเย็น นางบรรจงเปิดตลับยานั่น ภายในมีผงสีขาว นอกจากจะเก็บสมุนไพรมารักษาบาดแผลและหากเหลือจะให้ท่านพ่อจางหลงนำไปขายแล้ว สิ่งที่นางตามหาอีกอย่างคือ หญ้าเถา เดิมชาวบ้านจะนำมาบดหยาบแล้วจุ่มลงแม่น้ำเพื่อเบื่อปลา ทำให้ปลาในแม่น้ำหายใจไม่ออกและว่ายขึ้นเหนือน้ำ และแน่นอนว่าหากนำไปบดเป็นผงก็ยังสามารถใช้เบื่อหนูและสัตว์อื่น ๆ ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์ นางผสมตลับหนึ่งไว้ช่วยชีวิตคน อีกตลับเอาไว้… วันนี้นางค่อย ๆ บรรจงเทผงสีขาวลงในปากของซ่งอี้หลินอย่างใจเย็น ทำราวกับกำลังดื่มด่ำชาเลิศรส ชานั่นมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ มันมีชื่อเรียกว่า การแก้แค้นอันหอมหวาน“นี่ใ
บทที่ 27ในที่สุดก็ถึงวันที่ประหารไท่จื่อเฟย องค์รัชทายาทไม่ได้รู้สึกกับนางดั่งเช่นคนรัก ที่จริงพระองค์ออกจะรังเกียจนางเสียด้วยซ้ำตำหนักบูรพาถึงจะไม่เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่องค์รัชทายาทจะมิรู้ว่าพระชายาของตนกระทำการน่ารังเกียจ แต่เพราะยังเยาว์วัยนักจึงไม่รู้ว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไรสุดท้ายก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ แล้วหวังว่าวันหนึ่งจะจัดการกับนาง ในวันที่ตัวเขานั้นมีอำนาจมากพอมินึกว่าจะมีคนจัดการเรื่องนี้ให้ ทั้งยังกระทำชัดเจนจนฉีกหน้ากากนางออกได้“เสด็จอามาจัดการนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อน้อยรีบวิ่งไปหาเสด็จอาของตน ผู้ที่มาช่วยปลดเปลื้องความอัปยศของเขา หยางซวี่เหวินพยักหน้าให้หลานชายคนเดียว
บทที่ 26“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ให้ประกาศออกไป เราเชื่อว่าอาจจะยังมีคนที่ต้องเดือนร้อนเพราะตระกูลซ่งอีกมาก ที่จริงความผิดที่พวกเขากระทำ ณ ตอนนี้ก็เพียงพอที่จะสั่งประหารทั้งตระกูลแล้ว แต่การใช้อำนาจอย่างที่มิถูกมิควรนั้นอาจจะสร้างปัญหาได้ คนมิได้ทำผิดมิควรถูกลงโทษดั่งเช่นของตระกูลหมิ่ง เราจะสั่งให้สืบสวนเรื่องราวของเจ้าใหม่หากยืนยันได้ว่าไม่ผิดเราจะขุดหลุมสร้างสุสานให้ใหม่ คืนฐานะให้กับเจ้า”ฮ่องเต้ประกาศออกมาเช่นนั้น หากสั่งลงโทษทั้งตระกูล แน่นอนว่าสตรีที่พระองค์รักจะต้องถูกลงโทษด้วย นางผิดที่หลับหูหลับตาเชื่อคำของหลานสาว แต่ในเรื่องอื่นเป็นพี่ชายของนางที่มักใหญ่ใฝ่สูงเสียเอง ทั้ง ๆ ที่อำนาจที่มือในมือก็มากมายแล้ว แต่ก็ยังอยากได้เพิ่ม คนเรามิรู้จักพอเสียจริง ส่วนซ่งอี้หลิน ฮ่องเต้ถึงกับส่ายพระพักตร์ นางกล้าสวมหมวกเขียวให้โอรสเขา “เสด็จพี่ข้าขอเป็นคนสืบสวนเองจะได้หรือไม่&rdq
บทที่ 25หยงอิ่งจงเห็นสายตาของท่านอ๋องหยางซวี่เหวินที่มองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจและรังเกียจ เห็นสายตาของใต้เท้าซ่งหม่าที่มองราวกับจะฆ่าเขา และยังขุนนางที่มองเขาราวจะตัดสินความผิด ทั้ง ๆ ที่เขาถูกจับตัวมาโดยมิรู้ด้วยซ้ำว่าทำผิดอะไร แต่เมื่อเห็นท่านอ๋องหยางซวี่เหวินยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงเป็นเรื่องนักฆ่าที่ส่งไปฝีมือไม่ได้เรื่องนั่นกระมังเขาคิดถูกจริง ๆ ที่หลายวันก่อนหลังจากนักฆ่าไม่กลับมาก็เร่งไปหาไท่จื่อเฟยเพื่อให้นางช่วยเหลือ เนื่องจากช่วงนี้มีปัญหาเกี่ยวกับการโดนกวาดล้างเขาเองทำเป็นบอกว่าเรื่องเดียวที่เขาทำผิดก็เรื่องที่ฆ่าตระกูลหมิ่งเพื่อพระนางที่เขาพยายามห้ามใจแล้วไม่ให้รักอย่างนาง ยอมลงมือกับหมิ่งหุ้ยเพื่อได้อยู่กับพระนาง และไท่จื่อเฟยก็เชื่อเขา“เป็นอะไรไป” ซ่งอี้หลินเอ่ยถามคนรักเมื่อเขาแอบบุกเข้ามาหานาง ทั้ง ๆ ที่ตำหนักบูรพาถูกคุ้มกันแน่นหนา เขาฝ่าอันตรายเข้ามาด้วยความคะนึงห