บทที่ 3
“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น”
ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน
“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้
“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด
“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่
หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพัง
เหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว
“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่งจง”
“ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดหมิ่งหุ้ยถึงคิดทำการอุกอาจเยี่ยงนี้ นางจะวางยาเจ้าไปเพื่ออะไร”
“นางคงริษยาข้าที่ได้ครอบครองเจ้า”
“หมิ่งหุ้ยไม่มีทางรู้เรื่องของข้ากับเจ้า” หยงอิ่งจงก้มหน้ามองร่างเปลือยเปล่าที่นอนแนบชิดเขาอยู่ เขาและไท่จื่อเฟยลอบคบชู้กันตั้งแต่ที่พระนางแต่งเข้าตำหนักองค์ชายหยางเชาเยว่ เดิมเขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ แต่พอพระนางแต่งเข้ามา เขาจึงได้มาดูแลอารักขาพระนางด้วย ด้วยความใกล้ชิด ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน คำโบราณนั้นไม่ผิดนัก แรกเริ่มเขาสงสารพระนางที่อยู่ในวัยแรกแย้ม แต่กลับต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับเด็กน้อยที่อายุเพียงไม่กี่ปี
เพราะฮองเฮาต้องการให้อำนาจตระกูลซ่งอยู่ในมือโอรสพระองค์เดียวของพระนาง จึงบังคับหลานสาวอย่างซ่งอี้หลินแต่งกับโอรสของตน ด้วยความใกล้ชิดกัน จากสงสารไม่รู้ที่เมื่อใดกลายเป็นความใคร่ เขาและอี้หลินสมสู่กันราวกับสัตว์เดรัจฉาน หลังจากเสร็จกิจกับอี้หลินเขาก็รู้สึกผิดกับหมิ่งหุ้ยทุกครั้ง ไม่ว่าจะหลับนอนกับอี้หลินกี่ครั้ง ใจเขาก็ยังรักเพียงหมิ่งหุ้ยผู้เดียว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอี้หลินก็เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ใครจะไปคาดคิดได้ว่าหมิ่งหุ้ยที่วัน ๆ ช่วยบิดามารดาทำการค้าจะล่วงรู้เรื่องภายในวังหลังได้ เพราะขนาดไท่จื่อที่นอนพักอยู่ห้องบรรทมถัดไปยังไม่เคยระแคะระคาย
“เป็นไม่ได้ หมิ่งหุ้ยไม่มีทางรู้เรื่องนี้” หยงอิ่งจงยังคงคิดว่าคนรักของตนไม่มีทางรู้เรื่องต่ำช้าที่เขาทำลับหลังนางได้ เพราะตลอดเวลาผ่านมาเขาแนบชิดอี้หลินเพียงยามอยู่กับตามลำพังเท่านั้น หากอยู่นอกห้องบรรทม
เขาไม่เคยเข้าใกล้พระนางเกินกว่าที่องครักษ์พึงกระทำ อีกทั้งยามที่พบหมิ่งหุ้ยในวันหยุด นางยังคงยิ้มแย้มให้เขาเสมอ ไม่มีทีท่าว่าจะขุ่นเคืองใจ และเฝ้ารอวันที่จะได้เข้าพิธีหมั้นหมายกับเขาอย่างใจจดจ่อ
“วัน ๆ เจ้าก็อยู่กับข้า เป็นทั้งองครักษ์ส่วนพระองค์ของไท่จื่อและองครักษ์ส่วนตัวให้ข้า แน่นอนนางย่อมริษยาเพราะข้าแย่งชิงเวลาของเจ้ามาจากนาง ไม่มีสตรีใดทนเห็นคนรักอยู่ใกล้ชิดสตรีนางอื่นได้หรอก ตัวข้าเองก็เช่นกัน ไม่เพราะนางรู้เรื่องของข้ากับเจ้าหรอกหรือ นางถึงได้คิดทำเลวทรามต่ำช้าลอบวางยาเชื้อพระวงค์ ยืมมือมารดาที่รักบุตรสาวให้หาซื้อยาพิษไร้กลิ่นไร้สีให้ หากไม่เพราะเจ้าชิมสุราจอกนั้นแทนข้า ข้าที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์คงสิ้นใจเพียงกลืนสุรานั่นอึกเดียว ดูเอาเถิดอิ่งจง คนรักของเจ้านางเป็นสตรีเช่นไร ใบหน้างดงามนั้นยิ้มแย้มแต่ลับหลังช่างอำมหิตนัก”
“เฮ้อ” ร่างหนาถอนหายใจหนัก
“เอาเถอะ อย่าไปคิดถึงนางเลย อย่างไรนางกับตระกูลของนางก็ได้รับโทษอย่างสาสมแล้วกับสิ่งที่ทำกับข้า เจ้าอย่าได้คิดถึงนางอีกเลย คิดถึงเพียงข้าผู้เดียวก็พอแล้ว ข้าผู้นี้ให้เจ้าได้ทุกอย่าง ตำแหน่ง อำนาจ ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างกายมิจากไปไหน ไม่ว่าเจ้าอยากได้สิ่งใด เสี่ยวหลินผู้นี้จะหาให้เจ้าเอง ยอดรัก” นางขานเรียกยอดรักเสียงหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า
คุณหนูตระกูลใหญ่ ตั้งแต่ลืมตาดูโลก มีป้าเป็นถึงแม่แผ่นดิน เกิดมาก็ถูกวางฐานะเอาไว้หมดแล้วว่าต้องแต่งกับเชื้อพระวงค์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งเพื่อดึงอำนาจฝ่ายฮองเฮาเอาไว้ และคานอำนาจฝ่ายตรงข้าม สตรีที่เกิดมาในตระกูลใหญ่ทุกคนเป็นเช่นนี้หมด นางมิต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้อื่น หากจะต่างก็คือนางต้องแต่งกับหลานของตน ทารกน้อยที่นางเคยอุ้มตอนถูกห่อด้วยผ้า ก้าวเดินแรกของหยางเชาเยว่ก็เป็นนางที่ประคองเดิน ผู้ใดจะคิดเล่าว่านางต้องมาเป็นภรรยาของคนที่นางเลี้ยงมากับมือ
อีกทั้งใจของนางก็ไม่หลงเหลือให้ผู้ใดได้อีก หยงอิ่งจง องครักษ์หนุ่มอนาคตไกล สอบจอหงวนบู้ได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบห้า ได้รับเลือกให้ดูแลองค์ชายหยางเชาเยว่มาตั้งแต่ยังเล็ก และเขาอยู่ในสายตาของนางตลอด นางใช้ความอ่อนแอของสตรีเพศล่อลวงจนเขาติดบ่วง พลาดมีความสัมพันธ์ทางกายกับนาง มีหนึ่งครั้งย่อมมีครั้งต่อไปเรื่อย ๆ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไฟที่นางเติมเชื้อเข้าไปทุกคืน ไม่มีวันใดที่เขาไม่หลงใหลไปกับความเย้ายวนของร่างกายนาง
แต่แล้ว จู่ ๆ เขาก็บอกว่ากำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมายกับเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตน แล้วนางเล่า จะยังอยู่ในสายตาเขาหรือไม่ หากเขาได้ลิ้มชิมรสสวาทจากร่างสตรีผู้อื่น และสตรีผู้นั้นคือคนที่เขารัก
นางไม่ยอมเป็นเช่นนั้น นางยอมทำตามคำสั่งบิดาแต่งงานกับหยางเชาเยว่แล้ว และในตอนนี้นางเป็นถึงไท่จื่อเฟย อีกไม่ช้าก็จะได้เป็นฮองเฮา เป็นแม่ของแผ่นดินคนต่อไป จะให้นางแบ่งบุรุษที่นางรักกับสตรีต่ำศักดิ์กว่า นางมิอาจทนได้หรอก
ไท่จื่อเฟยใช้อำนาจที่มีในวังหลัง ใช้องครักษ์เงาของฮองเฮาทำงานส่วนตัว วางแผนว่าเป็นหมิ่งหุ้ย คนรักของหยงอิ่งจงวางยานาง แต่หากจะลงโทษหมิ่งหุ้ยผู้เดียวย่อมไม่ใช่แผนการที่ดีหนัก ตัดไฟต้องตัดตั้งแต่ต้นลม
เมื่อคิดจะฆ่าแล้วต้องฆ่าให้หมด ตีงูอย่าตีให้เพียงหลังหักเพราะมันจะแว้งกัดเอาได้ ต้องตีให้ตาย
ไม่คิดว่าหยงอิ่งจงจะรักสตรีต่ำต้อยผู้นั้น ขนาดเป็นเขาที่ดื่มสุราพิษแทนนางจนล้มป่วยอาการหนักอยู่หลายวัน ดีหมอหลวงที่นางเตรียมการและยาถอนพิษเอาไว้อยู่ไม่ได้ไกล กระนั้นเขาก็วิงวอนร้องของชีวิตให้หมิ่งหุ้ย
ดี ดี
ซ่งอี้หลินเห็นว่าต่อให้ฆ่าหมิ่งหุ้ยผู้นั้นทิ้ง ใจของหยงอิ่งจงก็ยังคงคะนึงหานาง อี้หลินจึงแสร้งวางเงื่อนไขให้หมิ่งหุ้ยรับสารภาพ แล้วนางจะปล่อยหมิ่งหุ้ยไป ไม่นึกว่าหยงอิ่งจงก็ยังคิดจะเอาสตรีต้องโทษผู้นั้นมาไว้ในจวนของเขา แต่งงานเป็นฮูหยินไม่ได้ก็ยังคิดจะรับเป็นอนุ
“คิดถูกแล้ว ที่ให้อิ่งจงเป็นคนลงมือ”
“ใช่เพคะ องครักษ์หยงต้องรู้สึกผิดที่สังหารคนรักของตนด้วยมือเขาเอง มีแต่ความรู้สึกผิด ไม่มีทางกลับไปรักได้อีก ไท่จื่อเฟยฉลาดเหนือสตรีใดในแคว้นเพคะ” นางกำนัลคนสนิทที่ติดตามอี้หลินตั้งแต่เป็นเพียงคุณหนูจนกระทั่งแต่งเข้าวังบูรพา เอ่ยชื่นชมความฉลาดหลักแหลมของเจ้านายตนเอง สองมือขัดถูตามเนื้อนวลอย่างเบามือ
“เท่านี้ในสายตาของอิ่งจง ข้าก็เป็นสตรีที่ใจกว้างราวกับแม่น้ำ ฮ่า ๆ”
ซ่งอี้หลินเอ่ยชมตนเอง พลางหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้าของหมิ่งหุ้ยที่รู้ว่าบุรุษที่นางรักลงมือหักหลังตนเอง อี้หลินรู้ดีว่าหมิ่งหุ้ยไม่มีทางรับผิดแน่นอน ก็แน่สิ อีกฝ่ายไม่ได้เป็นผู้วางแผน เป็นนางต่างหากที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมด แล้วหมิ่งหุ้ยจะรับสารภาพได้เยี่ยงใด อี้หลินเพียงหวังอยากเป็นคนดีในสายตาของหยงอิ่งจง จึงสั่งให้หยงอิ่งจงเป็นคนลงมือด้วยตนเอง ช่วงเวลาที่เขารักษาพิษอยู่ กรมวังก็ตรวจสอบคดีภายใต้การกำกับของนางจนเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่คิดจะใช้บุรุษร่วมสตรีใด ความตายเท่านั้นที่หมิ่งหุ้ยสมควรได้รับ
บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย
บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu
บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป
บทที่ 2เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้” หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว“แต่”พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด “เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมร
บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu
บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย
บทที่ 3“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น” ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่
บทที่ 2เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้” หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว“แต่”พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด “เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมร
บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป