แชร์

บทที่2

ผู้เขียน: moonlight -mini
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-01 17:44:32

บทที่ 2

เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ

ตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด

“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

“นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้”

หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน

“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว

“แต่”

พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด

“เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมรับหรือไม่ว่าลงมือวางยาเพื่อลอบสังหารเปิ่นไท่จื่อเฟย”

“ไม่!” หมิ่งหุ้ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้จนหลังแตกยับ ในคราแรกหมิ่งหุ้ยรู้สึกเจ็บ ปวด แสบ จนแทบทนไม่ได้ แต่ไม่มีสักเสี้ยวที่คิดจะรับผิด แต่พอหลังจากปลายแส้ครั้งที่ยี่สิบฟาดลงมา นางก็ไม่รู้สึกสิ่งใดที่แผ่นหลังบอบช้ำอีกเลย

“ต่อให้ทรมานข้า ตัดแขนตัดขาข้าแบบที่ทำกับคนอื่นในครอบครัวข้า ข้าก็ไม่มีวันยอมรับผิด”

ร่างสตรีสูงศักดิ์โน้มลงใกล้นักโทษ ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาแสยะยิ้มร้าย ก่อนที่จะแนบริมฝีปากแดงชาดลงใกล้ใบหูของหมิ่งหุ้ย

“ตัดแขนขาเจ้า…เจ้าก็จะตายไวขึ้น เปิ่นไท่จื่อเฟยมิคิดทำเยี่ยงนั้นหรอก เปิ่นไท่จื่อเฟยอยากให้เจ้าทรมานจนลมหายใจสุดท้าย เฝ้าคิดว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องราวเช่นนี้กับตนเองและครอบครัว ก็แหม่…ใครใช้ให้เจ้าแย่งของรักของเปิ่น เปิ่นไท่จื่อเฟยมิคิดจะใช้บุรุษร่วมกับผู้ใดหรอก”

แย่งของรัก? ไม่ใช้บุรุษร่วมผู้ใด?

ไท่จื่อที่อายุเพียงแปดชันษา ไม่มีสนมหรือชายาใดอื่นนอกจากไท่จื่อเฟย แล้วนางจะไปใช้บุรุษร่วมกับพระนางเมื่อใด หมิ่งหุ้ยฟังคำของไท่จื่อเฟยแล้วคิดตามก็ต้องตาเบิกโพลง นางหันไปมองเพชฌฆาตที่ถือแส้ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาตกใจ หรือว่าทั้งสองคน

ไท่จื่อเฟยมองตามสายตาของหมิ่งหุ้ยแล้วก็หัวเราะออกมาแผ่วเบา

“เป็นอย่างที่เจ้าคิด และวันนี้ต่อให้เจ้ารับสารภาพเปิ่นไท่จื่อเฟยก็ไม่คิดจะปล่อยเจ้าไป” ร่างระหงลุกขึ้นเต็มความสูง “เด็ก ๆ โยนนางลงหลุมนั้นซะ”

“ไท่จื่อเฟย กระหม่อมขอโอกาสให้นาง” หยงอิ่งจงรีบวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าโขกศีรษะลงกับพื้นเสียงดัง

“เปิ่นไท่จื่อเฟยให้โอกาสนางมามากพอแล้วเจ้าก็เห็น เป็นนางมิคิดจะรับน้ำใจจากเปิ่นไท่จื่อเฟย”

หยงอิ่งจงนิ่งเงียบ เขาเหล่สายตามองขันทีลากก้อนเลือดสีแดงไปตามพื้น ก่อนจะยกขึ้นและโยนลงไปในหลุมที่ก่อนหน้านี้เขาโยนศพคนในจวนสกุลหมิ่งลงไป

จริงอย่างที่พระนางว่า พระนางให้โอกาสหมิ่งหุ้ยแล้ว แต่เป็นนางที่ไม่คิดจะรับเอาไว้เอง ตัวเขาเองก็พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว หากยื่นมือเข้าไปช่วยมากกว่านี้ มิแคล้วตัวเขาและตระกูลหยงต้องถูกดึงลงหลุมนั้นไปด้วย

ตุ้บ!

เสียงสิ่งของบางอย่างตกกระทบลงไปในหลุม หยงอิ่งจงหลับตาลง

เขาและหมิ่งหุ้ยสิ้นวาสนาต่อกันเสียแล้ว

แขนบอบบางไหวระริกเอื้อมไปโอบกอดเอวร่างของมารดาเอาไว้แน่น แม้ร่างนี้จะไร้ซึ่งไออุ่น เต็มไปด้วยความเย็นจนเหน็บหนาว หมิ่งหุ้ยก็ยังโอบกอดเอาไว้แน่น

“ท่านแม่ ข้าจะแก้แค้นให้พวกท่าน ต่อให้ต้องแล่เนื้อเถือหนังของตนแลกกับการได้ล้างแค้นให้กับสิ่งที่พวกท่านไม่ได้ก่อ ข้าขอสาบาน ต่อให้ต้องหมดลมหายใจ ข้าก็จะล้างแค้นให้พวกท่านให้ได้”

น่าเสียดายสิ่งที่นางตั้งใจและตั้งปณิธานเอาไว้นั้นคงไม่อาจสำเร็จดั่งใจหวัง สภาพร่างกายของหมิ่งหุ้ยในตอนนี้ไม่ต่างจากซากศพอื่น ๆ  ที่ไร้ลมหายใจอยู่ภายในหลุมนี้เท่าใดนัก หลังจากที่ไท่จื่อเฟยเดินทางมาถึงนางก็ยังมิยอมรับผิดในสิ่งที่ตนไม่ได้ก่อ จึงถูกสั่งเฆี่ยนอย่างหนัก คนที่ลงมือก็มิใช้ใคร คนรักของนางเอง นางถูกโยนลงมาในหลุมเดียวกับร่างที่เหลือในครอบครัว หมิ่งหุ้ยเหลือเพียงแต่แค่รอเวลาว่าลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนางจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ก็คงไม่ต้องรอนาน อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้นางก็จะตามทุกคนในตระกูลหมิ่งที่ล่วงหน้าไปรอที่ประตูทางเข้ายมโลกแล้ว

“ท่านแม่ ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกเราคนตระกูลหมิ่งมิเคยมักใหญ่ใฝ่สูง ทำการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เลี้ยงดูคนในจวน ไม่เคยก้าวล่วงผู้ใดให้แค้นเคือง แต่ไยสวรรค์ถึงไม่คุ้มครองคนดี ชายโฉดหญิงชั่วสองคนนั้นป่านนี้คงเสวยสุขที่ตัดเสี้ยนหนามอย่างข้าทิ้งได้แล้ว”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่3

    บทที่ 3“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น” ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-01
  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่4

    บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-01
  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่5

    บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-05
  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่1

    บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-01

บทล่าสุด

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่5

    บทที่ 5เมาเมาประะคองคุณหนูของตนปะปนฝูงชนที่กำลังเดินทางออกนอกประตูเมืองหลวง เนื่องจากใกล้เวลาปิดประตูแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พลุกพล่านทำให้ทหารเวรยามหน้าประตูไม่สนใจขอทานสองคนที่เดินผ่านประตูออกนอกเมือง ดีแล้ว เมืองหลวงจะได้ลดคนชั้นต่ำเช่นนี้ลงได้อีกสองคน ทหารยามคนหนึ่งปรายตามองสตรีสองนางที่เดินผ่านหน้าของตนโดยไม่ขอตรวจเอกสารด้วยซ้ำ นางทั้งสองแต่งตัวมอซอ เนื้อตัวสกปรก เขาไม่อยากแม้แต่จะเฉียดใกล้พวกนางด้วยซ้ำแม้จะปวดบาดแผลที่ยังไม่หายดี หมิ่งหุ้ยก็กัดฟันก้าวเดินไปข้างหน้า ใบหน้าซีกซ้ายของนางเขียวช้ำจนใบหน้าบวมปูด คงจะถูกปลายแส้จากฝีมือหยงอิ่งจง แต่เมื่อใดนั้นนางจำไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่ หมิ่งหุ้ยมองว่ามันคือข้อดีเพราะนั่นทำให้คนที่รู้จักคุ้นเคยคุณหนูตระกูลหมิ่งจำนางในตอนนี้ไม่ได้&ldqu

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่4

    บทที่ 4“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ” เมาเมาเขย่าร่างเจ้านายของตนอยู่นาน นางปีนลงมาในหลุมมรณะอย่างไร้ความเกรงกลัว ก่อนมาถึงประตูจวนคุณหนูของนางนึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผ้าที่จะตัดชุดใหม่ให้คุณชายหยงใส่หน้าหนาวที่จะถึงนี้ จึงวานให้นางกลับไปเอา เพราะคาดว่าคงหลงลืมวางเอาไว้ที่ร้านตัดชุด เมื่อเมาเมากลับมาพบว่าหน้าจวนสกุลหมิ่งมีทหารหลายคนไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ นางเห็นท่าไม่ดีจึงหลบฉากไปดูลาดเลา นางได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณหนูของตนชัดเจน แต่สัญชาตญาณบางอย่างสั่งให้นางนั่งแอบซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพงจวน เมาเมาเฝ้ารอจนเสียงทั้งหมดเงียบลง และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นทั้งหมดกลับไปแล้ว นางรอจนแน่ใจจึงค่อย ๆ คลานเคลื่อนตัวผ่านทางประตูสุนัขลอดเพราะเกรงว่าหากเข้าทางด้านหน้าจะเกิดเรื่องราวที่คาดไม่ถึง แม้นางจะรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือผู้ใดอยู่ในจวนแล้วก็ตาม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนแทบจะสำรอกออกมา ร่างบางถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อเดินมาถึงหลุมแปลกตาที่ไม่เคยมีในจวนสกุลหมิ่งมาก่อน นางตะเกียกตะกายปีนลงหลุมมา ควานหาผู้รอดชีวิต ขอแค่มีใครสักคนรอด แม้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากสาเหตุใด “สวรรค์โปรดเมตตาคนสกุลหมิ่งด้วย

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่3

    บทที่ 3“เหตุใดทำสีหน้าเยี่ยงนั้น” ฝ่ามือขาวนวลราวหยกขาวลูบไล้ไปตามหน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะออกกำลังกายและฝึกวรยุทธ์ทุกวัน“ไท่จื่อเฟย หยุดมือก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หยงอิ่งจงพยายามจับมือเล็กนั้นไม่ให้ลูบไล้ลงไปต่ำกว่านี้“ข้าบอกเจ้าเยี่ยงไร ยามเมื่ออยู่กันตามลำพังให้เรียกเสี่ยวหลิน เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นไกล เป็นคนที่ใกล้กันแนบชิดยิ่งกว่าผู้ใด” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงหวานหยด“ข้าอยากพัก เสี่ยวหลินเจ้าอยู่นิ่ง ๆ ก่อนได้หรือไม่” หากไม่เรียกขานตามที่พระนางสั่ง ดูท่าแล้วมือนั่นคงไม่หยุดเป็นแน่หลังจากกลับมาจากจวนสกุลหมิ่ง ภาพร่างหมิ่งหุ้ยที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงติดตา เสียงกรีดร้องของนางยังคงติดหู แต่เมื่อกลับมาถึงตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกลับลากเขาขึ้นเตียง แรงราคะ แรงเสน่หา วัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่ทุกคืนวัน เขาจึงมิอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จบลงที่เตียงเฉกเช่นทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังเหตุใดหมิ่งหุ้ยจึงมิยอมรับสารภาพ อย่างน้อย ๆ นางก็จะยังรอดชีวิต ไม่ว่าร่างกายสภาพใดเขาก็จะยังคงเลี้ยงดูนางเอาไว้ แต่พอเมื่อนึกย้อนกลับไปให้ถี่ถ้วนแล้ว“ตัวเจ้าอยู่กับข้าแล้วใจเจ้าอยู่ที่ใดเล่าอิ่

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่2

    บทที่ 2เสียงแส้กระทบผิวหนังดังสนั่น เสียงกรีดร้องของสตรีดังออกมาจากจวนสกุลหมิ่ง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมาชะเง้อมอง แต่ก็ต้องพากันเร่งเดินผ่าน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูทางเข้าจวนมีทหารจากวังหลวงมายืนรักษาการอยู่ แม้จะอยากรู้แต่ก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆตาหงส์ปรายตาลงต่ำ มือขาวนวลยกชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ มินึกเลยว่าคุณหนูในห้องหอเยี่ยงหมิ่งหุ้ยจะทนทายาดได้ถึงเพียงนี้ นางทนการเฆี่ยนจากชายคนรักของตนได้มานับชั่วยาม มีแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับมิยอมรับผิด“เปิ่นไท่จื่อเฟยว่านางคงไม่ยอมรับผิดแล้วล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นางต้องรับ นางรับแน่ ๆ กระหม่อมทำให้นางรับสารภาพได้” หยงอิ่งจงตอบด้วยความร้อนใจ รีบยกตวัดปลายแส้ด้วยความแรงมากกว่าครั้งก่อน หวังให้หมิ่งหุ้ยรีบรับสารภาพ ก่อนที่ไท่จื่อเฟยจะหมดความอดทน“หยุด!” หลังจากปลายแส้กระทบแผ่นหลังนักโทษ พระนางก็สั่งให้หยงอิ่งจงหยุดมือ พระนางเบื่อที่จะรอแล้ว“แต่”พระนางไม่สนใจสิ่งที่องครักษ์จะเอ่ย ร่างระหงลุกจากเก้าอี้เดินไปนั่งเบื้องหน้าร่างบางสะบักสะบอมโซกไปด้วยเลือด “เปิ่นไท่จื่อเฟยถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้ายอมร

  • ไม่ว่าอย่างไร ก็มิอาจปล่อยวาง   บทที่1

    บทที่ 1ดวงตากลมโตนองไปด้วยหยาดน้ำตา นางเพ่งมองใบหน้าบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม“เจ้าจะยอมรับหรือไม่ว่าเจ้าวางยาพระชายา”“อึก” ดวงหน้าเปรอะเปื้อนเงยขึ้นตามแรงรั้งของฝ่ามือหนา หมิ่งหุ้ยเม้มปากแน่นราวกับจะบอกว่าไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้วิธีใดก็ไม่สามารถง้างปากให้นางรับสารภาพความผิดร้ายแรงที่นางไม่ได้ก่อ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้สักชั่วยาม ให้นางรับสารภาพสิ่งใดนางยอมหมด แต่หลังจากเดินเข้ามาในจวนแล้วพบกองร่างไร้ซึ่งลมหายใจของคนทั้งหมดในตระกูล ในยามนี้คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่นางต้องการมือหนาบีบใบหน้าเล็กแรงขึ้นตามแรงโทสะ เขาไม่เข้าใจ นางก็เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไปกับตนเอง ทำไมจึงไม่ยอมรับความผิดแต่โดยดี“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านกล่าวหา” หยาดน้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มนวล“หากเจ้ายอมรับ ข้าจะหาทางให้เจ้ารอด” หยงอิ่งจงก้มลงกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “หลังจากที่ท่านสังหารบิดาข้า มารดาข้า พี่ชายข้า น้องชายข้า แม้แต่เสี่ยวหลงที่อายุเพียงห้าปีท่านยังทำได้ลงคอ ท่านยังคิดว่าข้าจะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นหรืออิ่งจง ” “ถ้าเจ้ายอมรับผิดกับสิ่งที่ก่อ ไท่จื่อเฟยรับป

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status