รู้ตัวอีกทีก็ตอบรับการหมั้นมาอย่างงงๆ มะเหมียวแชทไปเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนยังไม่เชื่อเลย ก็แหงล่ะ เมื่อก่อนเฮียรังเกียจเธออย่างกับอะไรดี อย่าว่าแต่เรื่องแต่งงาน แค่มองหน้าเขายังไม่อยากมองด้วยซ้ำ
Kanink : แกแน่ใจนะว่าเขาพูดแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้หลอกให้แกดีใจเก้อแล้วมาหักอกทีหลังอะ
ข้อความที่คะนิ้งพิมพ์มาติดอยู่ในใจมะเหมียวมาสองชั่วโมงกว่าแล้ว อันที่จริงเธอก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับเพื่อน เมื่อก่อนเขาไม่ใช่แบบนี้เลยสักนิด ทั้งเย็นชา ปากร้าย แล้วก็เมินเฉยกับการที่เพื่อนเขาล้อเลียนเธออยู่บ่อยๆ
แล้วแค่นั้นไม่พอ อยู่ๆ เขาจะให้เธอไปเป็นเลขาเขา เลขาเนี่ยนะ? เธอไม่ได้เรียนด้านนั้นมาสักหน่อยจะให้เธอไปเป็นทำไม เธอลองหาข้อมูลเลขาคนปัจจุบันของเขาแล้วพบว่าเธอคือ แพทตี้ พัทจิรา คนที่ได้รับคำชมออกสื่อบ่อยๆ ว่าเป็นเลขาตัวอย่าง ออกงานกับเจ้านายไม่เคยตายไมค์ตายกล้อง เนี้ยบนิ้งตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เคยหลุดเลยสักครั้ง เทียบกับเธอที่ออกจากบ้านหวีผมยังขี้เกียจ จะเอาอะไรไปทำงานแทนได้
แต่ตอนนี้จะโทรหาเพื่อนไปปรึกษาก็ไม่ได้เพราะมือถือเสียไปตั้งแต่วันนั้นยังไม่มีโอกาสไปซื้อใหม่ ทำได้แค่ส่งข้อความไปหาซึ่งส่งไปทีกว่าเพื่อนจะตอบก็อีกหลายชั่วโมงต่อมาเพราะงานยุ่งมาก โอ๊ย คนสวยจะเครซี่
ก๊อก ก๊อก
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด มะเหมียวรีบลุกไปเปิดประตูแล้วพบว่าเป็นแม่
“ว่าไงคะแม่”
“เฮียมารอแน่ะ ทำไมไม่ลงมาสักที”
“เฮีย?”
เกือบลืมไปเลยว่าวันนี้มีนัด วันนั้นคุยกับเขาเรื่องงานแล้วยาวไปถึงเรื่องขอเบอร์ แต่ถึงให้เบอร์ไปเขาก็ติดต่อเธอไม่ได้อยู่ดีเลยตกลงกันว่าจะไปซื้อเครื่องใหม่ ชดใช้ที่คิรินเป็นคนชนทำให้มือถือพังวันนั้น
จริงๆ จะให้ไอจีไปเลยก็ได้ เพราะส่วนใหญ่เธอกับคะนิ้งก็คุยกันทางนี้ แต่ไม่สะดวกใจเท่าไรเพราะไลฟ์สไตล์ในนั้นค่อนข้าง...รุนแรงไปสำหรับเขา
ไม่ใช่ว่ามีเนื้อหา 18+ อะไรหรอกนะ แต่ก็...เก็บไว้ดูแค่คนไม่รู้จักดีกว่า
เธอมัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องจนลืมไปเลยว่านัดกันเอาไว้ แล้วนี่ผมก็ยังไม่ได้สระ หน้ายังไม่ได้แต่งด้วยซ้ำ โอ๊ย...ทำไมเหตุการณ์อะไรแบบนี้ต้องเป็นเธอเสมอเลย
“แม่บอกเฮียรอห้านาทีได้ไหมคะ หนูขออาบน้ำแต่งตัวก่อน”
อย่างน้อยก็ขออาบน้ำก่อนก็ยังดี สภาพตอนนี้เหมือนชิสุไม่ได้สางขนมาสองอาทิตย์ มอมแมมเป็นที่สุด เธอรีบหยิบผ้าขนหนูเตรียมจะเข้าห้องน้ำไปแต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเพราะคำถามของแม่
“ไหนเราบอกว่าไม่ได้แต่งงานกับเฮียแล้วไง”
ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้บอกแม่เรื่องที่คุยกับคุณย่าเมื่อวานเลย พอกลับมาจากบ้านเฮียก็เห็นแม่ยุ่งๆ เธอเลยยังไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้ต้องรีบบอกไม่อย่างนั้นอาจจะโดนแม่งอนเอาได้
จำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอกลับไทยมาโดยไม่ได้บอกแม่ก่อนล่วงหน้า โดนแม่งอนไม่คุยด้วยไปหลายวัน แล้วงอนอย่างเดียวไม่ว่า ชอบประชดด้วยการทำตัวซึมเศร้าให้เป็นห่วงเหมือนเด็กๆ
บางทีการเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านที่ต้องแบกรับทุกอย่างมันก็เหนื่อยเหมือนกัน เรื่องนี้เธอเล่าให้พี่สาวฟังไม่ได้เลย เพราะแม่ไม่อยากให้พี่สาวต้องทุกข์ใจตอนที่ทำงานอยู่เกาหลี
“คือว่า...เมื่อวานหนูไปบ้านเฮียมา แล้วก็...ตกลงไปแล้วล่ะค่ะ”
แม่เงียบไปครู่หนึ่ง มะเหมียวหันไปมองคิดว่าแม่จะต่อว่าหรืองอนเหมือนที่ผ่านมา แต่ใบหน้าที่เคยเศร้าหมองของแม่กลับมีรอยยิ้มขึ้นมา
“งั้นเหรอๆ งั้นก็ดีเลย” เสียงแม่ดูแผ่วๆ ไม่ได้ไปทางเดียวกับคำพูดเลยสักนิด
“แม่โอเคไหมคะ”
“โอเคสิลูก” ผู้เป็นแม่ตอบกลับเสียงสูง “หนูจะแต่งงานกับเฮียก็ดีแล้ว แม่จะได้หมดห่วง”
“แม่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูไม่ชอบ แม่ชอบพูดเหมือนแม่จะเป็นอะไรไปเลย”
ถึงจะเข้าใจว่าตอนนี้จิตใจแม่ไม่ได้ปกตินักจากอาการซึมเศร้าที่เผชิญอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอพร้อมจะเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูดออกมา เธอไม่ชอบให้แม่พูดอย่างนั้น ถ้าหากแม่เป็นอะไรไปแล้วเธอจะอยู่ยังไง
แค่คิดน้ำตามันก็เอ่อขึ้นมาที่ขอบตา ปากบางเบะน้อยๆ เหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้
“เหมียว แม่ขอโทษลูก”
แม่รีบเข้ามากอดลูกสาวเอาไว้แน่น พอทำอย่างนั้นกลับทำให้หญิงสาววัย 25 ปีคนนี้ปล่อยโฮออกมาหนักกว่าเดิม
“ฮึก...แม่อย่าพูดอีกนะคะ แม่จะให้หนูทำอะไรหนูทำทั้งนั้น หรืออยากด่า อยากว่าหนูก็ได้ แต่ห้ามพูดเหมือนจะไม่อยู่กับหนูแล้ว ไม่เอา”
“ยัยเด็กขี้แงเอ๊ย แม่จะไปไหนได้หือ” ฝ่ามืออุ่นลูบหลังลูกสาวอย่างแผ่วเบา “แกจะต้องแต่งงาน ย้ายไปอยู่กับผัวแก แม่หมายถึงไม่ได้ตามไปดูแลแกต่างหาก ใครจะไปไหนกัน”
“แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ หรอก”
“ก็ต้องแบบนั้นสิเด็กโง่ ไม่เอาไม่ร้องไห้ละ เดี๋ยวแม่ไปคุยกับเฮียรอไปพลางๆ ก่อน ไปอาบน้ำแต่งตัวให้สวยๆ นะลูกนะ”
น้ำตาที่เลอะสองแก้มถูกเกลี่ยออกด้วยมือของแม่ ก่อนที่ท่านจะลงไปปล่อยให้ลูกสาวอาบน้ำแต่งตัวเสียที
วันนี้มะเหมียวเลือกใส่เป็นกางเกงยีนส์พอดีตัวและเสื้อฮู้ดสียีนซีดแบรนด์ของนัททิวที่วางขายไปเมื่อกลางปีก่อน ตอนซื้อมาก็แค่ตั้งใจว่าอยากอุดหนุนศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ แต่เนื้อผ้ากลับใส่ได้ทั้งร้อนและหนาวทั้งทรงเสื้อก็สวยมาก เลยกลายเป็นเสื้อตัวเก่งที่หยิบมาใส่แทบทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
แต่พอลงมาข้างล่างเจอภาคินทร์ในสภาพกางเกงสแลคสีกรมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นพับแขนสีฟ้าดูเป็นผู้ใหญ่แบบสุดๆ ทำให้เธอลังเลนิดหน่อยว่าควรขึ้นไปเปลี่ยนเป็นชุดที่ทางการกว่านี้ดีไหม
“แล้วนี่แต่งตัวอะไรมา ไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย”
เป็นแม่ที่พูดขึ้นมาเสียงดังจนลูกสาวหน้าเสีย ด้านภาคินทร์พอเห็นอย่างนั้นก็รีบท้วงขึ้นมาทันที
“ชุดนี้น่ารักแล้วครับ” เขายิ้มน้อยๆ มาทำให้เธอก่อนจะพูดต่อ “ผมชอบนะ”
เอ่อ...ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองต้องมาเขินกับอะไรแบบนี้ แต่เขินเป็นบ้าเลย เธอแทบจะตัวบิดไปหมดกับอีแค่คำว่าผมชอบนะของเขา ชอบนะที่หมายถึงชอบชุดแหละ ไม่ได้หมายถึงชอบเธอหรอก
โอ๊ย...ทำไมวันนี้มันหลายอารมณ์อะไรอย่างนี้
เมื่อว่าที่ลูกเขยบอกว่าชอบแล้วแม่ก็ไม่ว่าอะไร คุณนายใบหม่อนเดินกลับขึ้นบ้านไปโดยไม่ลืมโบกมือให้ทั้งคู่ไปด้วย
“เมื่อกี้แม่ไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ ตอนที่รอหนูแต่งตัวใช่ไหมคะ?”
ต้องรีเช็กก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม่เวลาคุยอะไรกับใครชอบไหลไปเรื่อย ไว้ใจไม่ค่อยได้เท่าไร บางทีเธอก็ตามอารมณ์แม่ไม่ค่อยทัน บทจะซึ้งก็ซึ้งใจหาย บทจะอารมณ์ดีก็ดีขึ้นมาดื้อๆ
“ทำไมถึงคิดว่าแม่ต้องพูดอะไรแปลกๆ หรือว่ามีอะไรที่เราไม่อยากให้แม่พูด?” เขาเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ก็...เยอะค่ะ”
อย่างเช่นเรื่องในอดีตพวกนั้นที่เธออยากลืม เป็นต้น ไม่ใช่อะไรที่น่าพูดถึงเท่าไร
“แต่ช่างมันเถอะค่ะ เราไปแค่ซื้อมือถือใช่ไหมคะ วันนี้หนูมีธุระต่อที่สยาม ยังไงไปแถวนั้นได้ไหมคะ ถ้าซื้อมือถือเสร็จแล้วเฮียทิ้งหนูไว้นั่นก็ได้ หนูกลับเอง”
ใกล้วันเกิดของ ทีเร็กซ์ คู่จิ้นน้องนัทมากแล้ว ซึ่งแฟนคลับจะมีการจัดคาเฟ่วันเกิดให้กันหลายบ้านเลย แต่ละที่จะจัดตกแต่งด้วยรูปของศิลปินและมีธีมน่ารักๆ มีของแจกและมีกิจกรรมให้แฟนคลับคนอื่นๆ มาทำร่วมกัน รวมทั้งบางครั้งอาจจะเจอศิลปินที่ตามมาเก็บโปรเจกต์ด้วย
“เราจะไปเดตกันไม่ใช่เหรอ แล้วเฮียจะทิ้งหนูไว้คนเดียวได้ไง”
“เดต?”
คำว่าเดตของเขาทำเอาเธอแทบสำลักน้ำลายตายคาที่ ไม่ได้บอกว่าจะไปเดตกันสักหน่อย ถ้าจะไปเดตจริงๆ เธอคงไม่แต่งตัวสบายขนาดนี้หรอก แต่งหน้าก็ธรรมดา ผมก็ไม่ได้สระเพราะกลัวเป่าผมนานจนเขาต้องรอ เลยได้แค่รวบทรงโดนัทผูกโบแก้ขัดไปก่อน
“น่าตกใจขนาดนั้นเลย?”
“เปล่าค่ะ แค่คิดว่านี่ไม่น่าใช่เดต แล้วหนูจะไปเก็บโปรเจกต์วันเกิดพี่เร็กซ์ ไปเดตวันนี้คงไม่สะดวก”
มะเหมียวตัดสินใจบอกออกไปตามตรง ถามว่าอยากอยู่กับเขาไหมมันก็อยากอยู่นะ แต่ความรู้สึกโหยหาเขาที่เธอเคยมีเมื่อ 10 ปีก่อนมันคงจางลงไปมากๆ แล้ว เทียบกับการได้เจอศิลปิน อย่างหลังฟังดูใจฟูกว่าตั้งเยอะ
จะว่าไปเขาเองเป็นประธานบริษัท เป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัทที่น้องทั้งสองคนที่เธอชอบสังกัดอยู่ การที่มีเธอเป็นว่าที่คู่หมั้นแบบนี้มันจะเป็นไรไหมนะ...
“งั้นก็โอเค”
“โอเคจริงเหรอคะ?”
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย อีกคนไม่ได้ให้คำตอบอะไรก็เดินไปเปิดประตูรถให้แล้วผายมือเชิญเธอขึ้นรถทันที
ช่วงนี้เดาความคิดของเขาไม่ถูกเลย คิดจะทำอะไรของเขากันแน่นะ
โรลส์-รอยซ์คันหรูพาเธอมายังห้างปลายทางที่เธอตั้งใจมาเก็บโปรเจกต์อย่างที่บอกเขาเอาไว้ วันนี้เป็นวันที่สามของการเริ่มโปรเจกต์ซึ่งจากสถิติแล้วน้องๆ มักจะมากันวันนี้มากที่สุด ในตารางงานเองก็ว่างวันนี้ด้วยจึงมีโอกาสสูงมากที่จะได้เจอ เพียงแต่เวลาจะตรงกันไหมก็เท่านั้น“ขากลับแวะซื้อของฝากให้แม่เราด้วยดีไหม”ระหว่างที่เดินออกจากลานจอดรถภาคินทร์ก็ชวนคุยไม่หยุด มะเหมียวแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงของเขา เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยพูดเท่าไร ติดขี้เกียจเลยด้วยซ้ำ เทียบกับคามินทร์และนาวินทร์ น้องชายฝาแฝดของเขาทั้งสองคนแล้วสองคนนั้นยังพูดมากกว่าอ้อ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือขี้เกียจแค่กับเธอ แต่กับคนอื่นก็ปกติแต่วันนี้เขากลับดูช่างพูดผิดปกติ แปลกจนไม่น่าไว้ใจ“ก็แล้วแต่เฮียเลยค่ะ”“แล้วนี่หนูอยากไปไหนไหม กินข้าวก่อนหรือไปซื้อมือถือเลยดี”สรรพนามที่ไม่คุ้นเคยทำให้เท้าที่กำลังก้าวตามเขาหยุดชะงัก ส่วนเขาพอเห็นว่าเธอไม่เดินตามก็หันมาเลิกคิ้วถามอย่างงงๆ“มีอะไรหรือเปล่า?”“เฮีย...ไม่ได้สมองเสื่อม หรือว่าโดนอะไรกระแทกหัวมาใช่ไหมคะ”พูดพร้อมใช้สายตาสำรวจเขาไปด้วย ตั้งแต่วันที่เจอกันวันแรกแล้วรู้สึกว
เหอะ ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะทำอะไรพวกนี้เขาเดินตามน้องเข้าร้านนั้นออกร้านนี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ มองมะเหมียวที่ยิ้มร่าตอนเข้าไปในคาเฟ่ที่มีหน้าเด็กในสังกัดเขาเต็มไปหมด ความสดใสของเธอแทบจะทำให้สีสันในร้านไม่มีความหมายเธอสดใสได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดมองเธอมาก่อน ไม่ว่าเจอหน้ากันเมื่อไรเป็นอันต้องหงุดหงิดใส่กันทุกครั้ง แต่เวลาผ่านไปเขาก็เริ่มตกผลึกได้ สิ่งที่ทำเอาไว้เมื่อก่อนกับน้องมันก็เกินไปหน่อยจริงๆเขาแค่...อยากชดเชยในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ เขาไม่ได้มีความคิดที่จะล้มเลิกการแต่งงานในครั้งนี้อยู่แล้ว น้องเองก็เคยชอบเขามากๆ มาก่อน อยากให้ความทรงจำไม่ดีพวกนั้นเป็นแค่เรื่องในอดีตแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ อย่างน้อยๆ ได้ขอโทษ ได้ทำอะไรเป็นการชดใช้กับความนิสัยไม่ดีของตัวเองบ้างก็ยังดีแต่ถามว่าเขาชอบน้องไหม...ตอนนี้มันก็คงตอบยาก เพราะเราเพิ่งจะกลับมาเจอกันได้ไม่กี่วัน“สวัสดีค่า รับอะไรดีคะ?”คาเฟ่แรกที่น้องพาเขามาเป็นธีมไดโนเสาร์ที่ดุร้ายที่สุดในภาพจำของคนอย่างไทแรนโนซอรัส มีทั้งภาพการ์ตูนหลากหลายสไตล์จากฝีมือแฟนคลับวาดให้ศิลปิน แล้วก็ภาพของทีเร็กซ์ เด็กในสังกัดเขาเองแปะอยู่ทั
มีแมวโมโหเรื่องในคาเฟ่วีนเขาจนหูชาไปหมด คนพี่ไม่ได้เถียงอะไรกลับปล่อยน้องบ่นไปตลอดทางจนสุดท้ายก็พอจับคำพูดได้ว่า ที่วีนเพราะเขิน เขินทั้งเขา เขินทั้งน้อง แล้วตรงนั้นก็คนเยอะเกินไป พูดจบก็มุดหน้าลงไปแต่งรูปที่เขาถ่ายให้แล้วชมว่าสวยฝีมือดีอย่างนั้นอย่างนี้ก็แน่ล่ะ เห็นอย่างนี้เขาก็เรียนเรื่องการถ่ายรูปมาบ้าง แม้แต่ถ่ายรูปเล่นๆ กับเพื่อนหรือเซลฟี่มือของภาคินทร์ก็ไม่เคยพลาด ถ่ายมา 100 รูปอย่างน้อยรูปดีๆ ต้องมี 99หลังจากส่งน้องกลับบ้านเขาก็ไม่ลืมถามเรื่องไปทำงานตามที่ได้คุยกับคุณย่าเอาไว้ เขาไม่ได้บังคับให้น้องมาทำแต่ถามความคิดเห็นของน้องมาแล้วเรียบร้อย ในเมื่อน้องยังไม่ได้มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ช่วงนี้เขาก็ต้องการคนมาช่วยกรภัทร เลขาชั่วคราวของเขาที่กำลังรับหน้าที่แทนแพทตี้อยู่ด้วย น้องเลยตกลงเพราะเห็นว่างานไม่ได้สำคัญถึงขั้นจะทำบริษัทเขาล่มได้หลักๆ ก็แค่กลัวทำงานพลาดแล้วโดนดุ แต่ถามว่าใครจะกล้าดุ เด็กเส้นของท่านประธานใหญ่อย่างคุณหญิงรฐาทั้งคนส่งน้องเสร็จแล้วแทนที่เขาจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนหรือเข้าฟิตเนสเหมือนทุกที กลับได้รับสายจากดีเทลเพื่อนรักเรียกให้ออกมาดื่มกันสักวัน ใจอยากปฏิเสธแต่ก็
ไม่ชินนิดหน่อยที่อยู่ๆ เฮียก็มาทำดีใส่ เขาไม่ได้เป็นบ้าไปจริงๆ แล้วหรอกใช่ไหม แต่ตั้งแต่วันนั้นเธอกับเขาก็แทบไม่ได้คุยกันอีก มีนิดหน่อยที่ส่งรายละเอียดงานและวันเวลาเริ่มงานมาให้ในเมล ซึ่งก็มีแค่นั้นจริงๆแบบนี้เขาเรียกจีบแบบใดวะ?มะเหมียวเดินลงมาที่ชั้นล่างกะว่าจะมาหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย แต่สิ่งที่เจอกลับเป็นพ่อที่เดินเข้ามาในบ้านพอดีพ่อ...ที่เธอแทบไม่ได้เจอหน้าเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง มะเหมียวหน้าตึงขึ้นมาในทันที เธอเดินลงไปเผชิญหน้าพ่อก่อนจะพูดออกมาเสียงแข็ง“มาทำไมคะ?”ที่นี่ไม่ต้อนรับเขาตั้งแต่วันที่เขาเลือกผู้หญิงคนนั้นแล้ว สำหรับมัดหมี่ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรอาจจะทำใจเรียกเขาว่าพ่อได้ แต่มะเหมียวเห็นทุกอย่าง ภาพที่เขาทิ้งครอบครัวไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งแม่ ทิ้งลูก ทิ้งทุกอย่างแล้วเอาบริษัทของตาเธอไปบริหารกับเมียใหม่ตอนนั้นเธอยังเด็ก ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไม่ฟ้องเอาบริษัทกลับมา แต่พอได้เห็นข่าวหลายๆ ข่าวที่ออกมาว่าบริษัทใกล้เจ๊งก็เริ่มเข้าใจแล้วบางทีแม่อาจจะคิดมาดีแล้วก็ได้“วันนี้จะไปไหนเหรอลูก” วัชระผู้เป็นพ่อทักด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็ได้รอยยิ้มจากลูกสาวตอบกลับแต่เป็นรอยยิ้มเหยียดด้วยคว
“น้องเหมียวค่า”เสียงพิธีกรเรียกชื่อเธอดังลั่น วินาทีนั้นมะเหมียวรู้สึกหูอื้อไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงขึ้นไปในที่สูงมากๆ แล้วก็กระชากลงมาเหมือนรถไฟเหาะ รู้ตัวอีกทีคะนิ้งก็ส่งมือมาสะกิดยิกๆ ให้เธอรีบลุกเข้าไปในห้องส่งเพื่อร่วมกิจกรรมมะเหมียวหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วย่นคิ้วด้วยความกังวล ถามว่าดีใจไหมที่ตัวเองถูกเลือกให้เล่นเกมกับลูกก็ดีใจ แต่ต้องไม่ใช่อยู่ทีมเดียวกับเฮียสิเธอวางกระเป๋าของตัวเองเอาไว้ที่ตักของคะนิ้งก่อนจะเดินเข้าห้องส่งเป็นคนสุดท้ายด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม เจ้าของมือที่จับได้ชื่อเธอแอบอมยิ้มน้อยๆ ในขณะที่ทีเร็กซ์กับนัททิวมองหน้าเธอแล้วพากันเลิ่กลั่กก็แหงล่ะ วันก่อนเขาเพิ่งแนะนำตัวกับเด็กๆ ไปเลยว่าเธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา แล้วจะให้เธอมองหน้าพวกเขายังไงเกมที่ทั้งแปดคนจะต้องเล่นนั่นก็คือเกมปิดตาหาตัว ซึ่งแต่ละคนจะต้องจับคู่กันแล้วชี้ตำแหน่งคู่ตัวเองให้ถูก เธอเคยเห็นน้องๆ เล่นในรายการอื่นมาบ้างแล้วเลยไม่ได้ตั้งใจฟังกติกาอะไรมาก สายตาเอาแต่มองไปยังภาคินทร์ที่กำลังตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจังจะว่าไปเธอไม่เคยเห็นเขาในพาร์ทการทำงานมาก่อนเลย เพิ่งจะมีครั้งน
เช้านี้มีแต่เพลงนี้ลอยเข้ามาในหัว ฉันมาทำอะไรที่นี่~มะเหมียวยืนอยู่ในห้องทำงานของภาคินทร์ด้วยอาการประหม่าเล็กๆ ที่นี่เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่าตอนเธอฝึกงานที่ญี่ปุ่นมากนัก ตอนนั้นเป็นแค่เด็กในตำแหน่งทั่วไปคอยวิ่งช่วยงานตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้จนหัวหมุนไปหมด แต่วันนี้เธอกำลังจะเป็นเลขาของประธานบริษัทอันเป็นเหมือนหัวเรือใหญ่ขององค์กรที่เมนของเธอสังกัดอยู่ บนโลกใบนี้จะมีติ่งที่มีชีวิตคอมพลีตแบบนี้สักกี่คนแต่ถึงได้มาอยู่ข้างท่านประธานมะเหมียวเองก็ไม่ได้คิดใช้หน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ เธอคิดมาทั้งคืนว่าถ้าเกิดเจอน้องๆ จะทำยังไงดี ต้องวางตัวยังไงต้องทักทายแบบไหน คิดมากจนนอนไม่หลับกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปตีห้ากว่าๆ แล้วรู้ตัวอีกทีก็เช้า ได้แต่มายืนหาวหวอดๆ อยู่ตรงหน้าท่านประธานและเลขาของเขาทั้งสองคน“สวัสดีค่ะน้องเหมียว พี่ชื่อว่าแพทตี้นะคะ เป็นเลขาคนปัจจุบันของท่านประธานภาคินทร์ เรียกพี่แพทก็ได้ค่ะ” เลขาสาวท้องโตแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงฉะฉานน่าฟัง เธอยิ้มกว้างต้อนรับว่าที่คู่หมั้นอย่างไม่เป็นทางการของท่านประธานด้วยความยินดีก็จะไม่ให้ยินดีได้ยังไง ที่ผ่านมาเธอพยายามจะขอท่านประธานลาออกเพื่อไปเป็นแม่บ้านเต็มต
ซื้อของเสร็จเราก็กลับเข้ามาที่บริษัท วินาทีที่เข้ามาแล้วเห็นโต๊ะทำงานของตัวเองมะเหมียวถึงกับขนลุกซู่ ราวกับภาพนี้กำลังบอกเธอว่าความจริงได้มาถึงแล้วที่นี่ห้องทำงานของท่านประธานจะอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านนอกเป็นห้องอีกห้องสำหรับเลขาและยังมีของว่าง กาแฟ กาน้ำร้อนและโซนพักผ่อนเล็กๆ เอาไว้ให้เลขาได้พักสายตาเวลาว่าง ตอนมายังมีโต๊ะทำงานแค่ตัวเดียวของแพทตี้วางเอาไว้เหงาๆ แต่ตอนนี้มีของมะเหมียวมาเพิ่มอีกอันเป็นโต๊ะไม้สีขาวสุดมินิมอลที่มีชั้นวางของและเครื่องเขียนสุดน่ารักเอาไว้ให้เสร็จสรรพเขารู้ได้ยังไงว่านี่คือของที่เธอชอบ? เห็นแล้วอยากจะอุดปากกรี๊ด แต่ไม่ได้ ต้องคีพลุคเลขาของท่านประธานเอาไว้ก่อน“ไปเที่ยวไหนกันมาคะเนี่ย เมื่อกี้มีของเข้ามาส่งแพทยังไม่มีงานเลยถือวิสาสะจัดโต๊ะรอ หวังว่าจะถูกใจนะคะ” แพทตี้พูดยิ้มๆ ได้ยินว่าเธอเป็นคนจัดเองกับมือคนเด็กกว่ารีบยกมือไหว้ขอบคุณแทบไม่ทัน“ขอบคุณนะคะพี่แพท ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ค่ะเดี๋ยวหนูมาทำเอง” มะเหมียวว่าอย่างเกรงอกเกรงใจ เนื่องจากเธอเพิ่งมาทำงานเป็นวันแรกมาถึงก็จะใช้รุ่นพี่จัดของให้เลยต้องโดนเม้ากระจายแน่ ดีหน่อยที่ในห้องนี้เป็นห้องปิดมีแค่ผู้ที่ได
จริงๆ แล้วการทำงานก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เธอใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเลขาจริงๆ ขึ้นมาก็วันนี้แหละ แต่ก็ต้องถือว่าเธอโชคดีอย่างหนึ่งที่เจอเจ้านายไม่ได้เรื่องมากอะไร ถึงจะรู้ว่าไอ้ที่เขาไม่เรื่องมากเพราะต้องการเอาใจเธอก็เถอะ แต่ก็ยังดีกว่าต้องมาปวดหัวแล้วหมดไฟไปตั้งแต่วันแรกอีกอย่างคือเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก ทั้งแพทตี้และกรภัทรดูแลมะเหมียวเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง คอยช่วยเหลือทุกอย่างไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แต่ถึงมีคนคอยช่วยคอยหนุนหลังให้เธอก็ไม่เคยคิดทำตัวขี้เกียจไม่ยอมพัฒนาตัวเอง อะไรที่ได้รับมอบหมายก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เลยทำให้แพทตี้ยิ่งเอ็นดูเด็กคนนี้เป็นพิเศษ“น้องหิวข้าวหรือยังคะ ถ้าหิวแล้วลงไปกินข้าวกันตอนนี้คนน่าจะไม่เยอะคิวไม่นาน”โรงอาหารของบริษัทตั้งแยกอยู่ที่อีกตึกหนึ่งซึ่งแทบไม่ต่างอะไรจากฟูดคอร์ตในห้างเลยสักนิด มีเมนูหลากหลายตั้งแต่อาหารไทย จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งมีคาเฟสุดน่ารักเอาไว้ให้ได้เช็กอินและพักผ่อน ที่นี่นอกจากพนักงานในบริษัทที่ลงมาหาอะไรกินช่วงพักเที่ยง ก็ยังมีลูกค้าที่มาติดต่องานและพนักงานจากบริษัทข้างๆ หรื
ใครๆ ต่างก็บอกว่า เธอช่างโชคดีจังเลย เกิดมาไม่มีอะไรสักอย่าง ครอบครัวก็กลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ขนาดถึงขั้นล้มละลายก็ยังมีครอบครัวว่าที่สามีเอ็นดูซัพพอร์ตเสมอ ล้มแต่ละครั้งเหมือนล้มลงบนฟูก จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงนอยจนซึมไปหลายวัน แต่พอเล่าให้ภาคินทร์ฟัง เขาก็บอกว่าทำไมต้องสน คนพวกนั้นมีดีแค่พูดเรื่องคนอื่นไปวันๆ ไม่เห็นว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าเราตรงไหน ครอบครัวล้มละลายแล้วยังไง ต้องพึ่งพาครอบครัวสามีแล้วยังไง การมีคนที่พร้อมหนุนหลังเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงก็ดีกว่าตัวคนเดียวไม่ใช่หรือไงเพราะอย่างนั้น...เธอจึงปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีในวันแห่งความสุขของหลานชายคนโตตระกูลคัลเลน ต่อหน้าเพลงบรรเลงที่ดังคลออยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าดอกไม้ ผ้าประดับ เธอยังคงสั่นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าทุกก้าวบนพรมสีขาวที่นำไปสู่แท่นพิธี คือจุดจบของความวุ่นวายทั้งหมดที่ชีวิตได้เจอมาชีวิตที่ตกหลุมรัก
“ปล่อยกู กูบอกว่าให้ปล่อยกู!!”วัชระถูกจับกุมตัวในที่สุด เขาถูกตั้งข้อหาหนักทั้งทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง รวมไปถึงพยายามฆ่า ภาคินทร์ทำทุกอย่างแม้แต่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้เขาไม่ได้รับการประกันตัว แต่คนอย่างวัชระมีหรือจะยอม ทุกครั้งที่มีคนเข้าเยี่ยมเขามักจะโวยวายขอประกันตัวสู้คดี แต่คงไม่คิดว่าทุกครั้งจะเป็นภาคินทร์ที่เข้ามาเขาไม่ยอมให้มะเหมียวหรือใครได้เจอผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องบางเรื่อง คนของเขาช้ำใจแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่ามาเสียใจกับอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเลย อีกอย่างงานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อยากให้มีอะไรมากระทบทั้งนั้นแต่เห็นคนในชุดนักโทษแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ คนพวกนี้ทรยศครอบครัว หักหลังโดยคิดถึงแค่ผลประโยชน์ แค่ความพึงพอใจของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิต“กูบอกว่าให้ปล่อยกูไง ไปเรียกทนายมาเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ลูกเมียกูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย โธ่เว้ย!!!”วัชระทุบกระจกหนาตรงหน้าด้วยความหัวเสีย ระหว่างภาคินทร์และเขานอกจากกระจกหนาที่กั้นเอาไว้ยังมีตาข่ายเหล็กอีกชั้น ทั้งคนในห้องขังยังมีกุญแจมือสวมอยู่อีก อิสระที่หายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความขาดการ
“กรี๊— อุ๊บ!”มะเหมียวเผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ในจังหวะที่เธอหันมาแล้วเจอว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเพียงแค่อ้าปากยังไม่ทันได้ส่งเสียง กลับถูกมือเย็นๆ อุดปากเอาไว้ก่อน“ชู่ว อย่าเสียงดัง นี่โรงพยาบาลนะ”คนตรงหน้ายกมือขึ้นแตะปากตัวเองพลางบอกให้เธอเงียบ ดวงตาที่เบิกโพลงเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใครไอ้เฮียบ้า เขานี่เอง“ฮึก...” คนที่ทั้งกลัวทั้งตกใจเริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดนใส่มือภาคินทร์ที่ปิดปากของเธออยู่ เขาตกใจรีบปล่อยเธอให้เป็นอิสระก่อนจะถามเสียงตื่น“เป็นอะไรครับ เฮียขอโทษที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจมากไหมมาโอ๋ๆ นะ”เขารั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดจนทั้งตัวจมอก เสียงสะอื้นไม่มีท่าทีสงบลงง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวคนน้องเบาๆ แล้วพูดปลอบใจเท่านั้น“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”“ฮึก...ฮือ...”ตกใจเรื่องที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมคงไม่พ้นเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ มันอึดอัดมากจริงๆ ยากจะหาที่ระบายในยามที่ทุกคนต่างก็กำลังเครียด ทำได้แค่ร้องไห
เมื่อวานเกิดเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจู่ๆ คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมากที่สุดกลับไปโผล่ที่บริษัทหน้าตาเฉยวัชระ พ่อของมะเหมียวเขาเป็นประธานบริษัทเล็กๆ ที่ทำด้านส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อก่อนคุณย่าของเขาก็เคยร่วมหุ้นด้วยแต่พอเพื่อนรักอย่างคุณยายของมะเหมียวเสียท่านก็ขายหุ้นทิ้งและไม่ได้สนใจบริษัทนั้นอีก ภาคินทร์เพิ่งจะได้ข่าวว่าบริษัทขาดทุนหนักและกำลังจะล้มละลายแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้“คือว่า...อา...แค่เห็นว่าเราสองครอบครัวกำลังจะเกี่ยวดองกัน”ร้อยวันพันปีคนอย่างวัชระไม่เคยคิดเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลคัลเลน อย่าว่าแต่เรื่องเกี่ยวดองกัน แม้แต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดที่ทางนี้ต้องเผชิญข่าวเสียหายก็ไม่เคยเห็นหัว มีแค่วันนั้นที่คุณย่าเชิญเขามาร่วมงานในฐานะแขกเลยได้พบกันมันทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คนพรรค์นี้ให้เกียรติไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต ทั้งยังหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้“คุณอามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”คุยนานไปก็มีแต่จะเสียเวลา เขารีบตรงเข้าประเด็นพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลาง เขาไม่ได้กำลังทำตัวเสียมารยาทแต่กำลังหาข่าวของบริษัทนั
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...วัชระนั่งทำแผลอยู่ในบ้านตัวเองด้วยความเจ็บใจ นึกถึงเรื่องที่บ้านหลังนั้นแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด สองแม่ลูกนั่นมันกล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนี้ ที่ผ่านมาลูกสาวของเขาเป็นเด็กดี ว่าง่าย ไม่เคยเถียงพ่อแม้สักคำเดียว ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของแม่มันอย่างไม่ต้องสงสัย“แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยเป็นยังไงบ้างคะ เนี่ย ถ้าเราไม่หาเงินไปจ่ายค่าปรับในเดือนหน้าเราจะล้มละลายกันจริงแล้วนะคะ”กานพลู ภรรยาใหม่ของวัชระว่าด้วยสีหน้าหงุดหงิด หลังช่วยกันประคับประคองบริษัทมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ติดหนี้หัวโตกำลังถูกฟ้องล้มละลาย โชคยังดีที่มีเงินสดติดตัวอยู่บ้างให้พอได้ซื้อข้าวกินไปวันๆ แต่เรื่องหนี้สินก็เป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนคิดไม่ตกคิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนนั้นไม่น่าเห็นแก่เงินเป็นชู้กับผัวชาวบ้านจนมีลูกด้วยกัน วัชระในตอนนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เป็นลูกเขยของตระกูลที่มีทรัพย์สินกว่าห้าร้อยล้าน ซ้ำตอนที่เผลอใจมีอะไรกันหลายครั้งจนตั้งท้อง เขายังบอกให้หล่อนเก็บเรื่องลูกไว้เป็นความลับ จะเลี้ยงดูปูเสื่อสองแม่ลูกอย่างดีไม่ให้ลำบากเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่ลูกสาวคนเล็กของเขาอ
พ่อออกไปแล้ว ทิ้งความเงียบหลังความวุ่นวายเอาไว้ที่เบื้องหลัง ยอมรับว่าเรื่องเมื่อกี้เธอตกใจมากๆ จนแทบสติแตก แต่พอเห็นว่าแม่ที่จิตใจไม่ปกติพยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อต่อต้านพ่อเป็นครั้งแรก ลูกสาวอย่างเธอจึงต้องพยายามฮึบเพื่อไม่ให้แม่ต้องดิ่งมากไปกว่านี้เธอพาแม่ขึ้นมาบนห้องแล้ววานแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษแก้วให้ ก่อนจะส่งแม่เข้านอนโดยไม่พูดหรือไม่ถามอะไรแม่สักคำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระหว่างเราสองแม่ลูกจะไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ“เหมียวลูก...”ก่อนจะล้มตัวลงนอนเป็นแม่ที่พูดขึ้นมาก่อน ฝ่ามือสั่นเทายกขึ้นมาลูบกรอบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา มองรอยตบที่ตอนนี้เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็รับรู้ได้ว่าลูกคงเจ็บอยู่บ้าง“หนูเจ็บไหม แม่ขอโทษนะที่ปล่อยให้มันมาทำร้ายลูก”“ไม่เจ็บค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สมัยเรียนหนูก็ตบกับเพื่อนบ่อยจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่แรงตบเมื่อกี้ก็เริ่มทำพิษแล้วเช่นกัน เธอไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากไปกว่านี้ เรื่องแค่นี้เธอทนได้สบายมากอยู่แล้ว“แม่นอนพักนะคะ เรื่องวันนี้แม่ลืมมันไปซะ อย่าเก็บมาคิดอีก”“เหมียว แม่ถามจริงๆ นะลูก ถ้าเกิดว่าเฮียรู้เรื่องบ
มะเหมียวนั่งเล่นอยู่ที่โรงพยาบาลจนหมดเวลาเยี่ยม เธอดูนาฬิกาที่ข้อมือพบว่าตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้วแต่ยังไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้าจากคู่หมั้น ข้อความที่ส่งไปก็ยังไม่ได้รับการอ่านสงสัยว่าจะยุ่งมากแน่ เลยเลือกเรียกแกร๊บกลับบ้านเองโดยไม่บอกเขาก็จะให้บอกได้ยังไง เขาชอบทำเหมือนเธอเป็นเด็กเดินทางเองไม่เป็นอยู่เรื่อย โอเคเธออาจจะขับรถเองไม่เป็น ประสบการณ์อยู่ไทยก็น้อยเลยเดินทางไม่คล่อง แต่เรื่องเรียกรถกับความปลอดภัยบนรถโดยสารสาธารณะเธอเองก็ดูแลตัวเองเก่งไม่แพ้ใครหรอกแต่พอกลับมาถึงบ้าน ไฟที่เปิดสว่างอยู่ที่ชั้นล่างทำให้มะเหมียวแปลกใจเล็กน้อย ปกติเวลานี้ป้าดาน่าจะให้แม่กินยาหลับไปแล้ว แล้วทำไมยังมีไฟเปิดอยู่อีก“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ...คะ”ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นกลับไม่ใช่แม่ ชายวัยกลางคนที่เธอเคยเรียกว่าพ่อกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอบางอย่างความทรงจำในวันที่เธอกลับมาจากญี่ปุ่นหลังรู้เรื่องของพ่อกับแม่วนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง วันนั้นแม่อ้อนวอนเขาแทบตาย ร้องไห้แทบขาดใจขอร้องเขาว่าอย่าไป แต่สิ่งที่เขาทำคือสลัดแม่ทิ้งแล้วขึ้นรถไปกับผู้หญิงคนใหม่แล้วก็ลูกที่อายุน้อยกว่าเธอแ
เฮียบ้า คนขี้แกล้ง!เช้านี้มะเหมียวแทบจะลุกไม่ขึ้น ปวดไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเพราะถูกรังแกอยู่ค่อนคืน เฮียไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามันจะร้าวไปทั้งตัวแบบนี้ เมื่อคืนเธอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคือตื่นมาอยู่ในชุดนอนตัวโคร่งของเฮียโดยไม่มีเสื้อผ้าชิ้นอื่นประดับตัวอยู่เลยอ้ากกก ทำบ้าอะไรลงไปดีที่ตื่นมาแล้วเขาไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องเอาหน้ามุดดินหนีเป็นตัวตุ่นแน่ๆแกร๊กยังไม่ทันจบความคิดด้วยซ้ำประตูก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก เจ้าของเสื้อที่เธอสวมอยู่นี้โผล่หน้าเข้ามาแล้วชูถุงโจ๊กในมือพร้อมยิ้มแป้น“ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวสิ เฮียไปซื้อข้าวมาให้”ไปซื้อข้าวมาให้? มายก้อด พฤติกรรมจะแฟนเกินไปแล้ว เราเพิ่งจะตอบตกลงเป็นแฟนกันเมื่อวาน มาวันนี้เขาก็เซอร์วิสเธอขนาดนี้เลยเหรอ เตรียมใจไม่ทัน ตัวนี่ไม่ต้องพูดถึง เตรียมไม่ทันเหมือนกันค่ะ!มะเหมียวเลิ่กลั่กอยู่ในห้องพักใหญ่ๆ เดินวนไปมาก็เจอร่องรอยอารยธรรมที่เราทำกันเมื่อคืน ทั้งเศษซองถุงยางชิ้นเล็กๆ ที่ยังเก็บทิ้งไม่หมด แล้วไหนจะผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่จนหลุดทั้งสี่มุม น่าแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่ได้มีรอยเลือดเหมือนอย่างที่เคยดูในละคร ทั้งที่นี่
“เหมียว...”ภาคินทร์คลานขึ้นไปบนเตียงพลางเรียกชื่ออีกคนเสียงแผ่ว สายตามองไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปที่ใบหน้าหวาน ถ้าเปรียบเธอเป็นอาหาร ตอนนี้คงเป็นเค้กครีมสีขาวนวลที่มีสตรอว์เบอร์รี่ออนท็อปอยู่ข้างบน“เด็กดีของเฮียน่ารักจัง”“พอแล้วค่ะ หนูอายไปหมดแล้วนะ”“อายอะไรครับ เดี๋ยวคืนแต่งงานก็ต้องทำอยู่ดี”จุ๊บริมฝีปากอุ่นฉกชิมความหวานไปอย่างไม่รู้จักอิ่ม แรงดูดดึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือก็ปลดบราน้องออกแล้วโยนทิ้งเหมือนไม่ต้องการมันอีกต่อไป แต่แทนที่คนขี้อายอย่างมะเหมียวจะยอม เธอกลับสู้เขาคืนด้วยการค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้แล้วถอดมันออกเองกับมือเด็กมันสู้จริงๆไม่มีปราการใดกั้นระหว่างเราทั้งคู่อีกต่อไปแล้ว ภาคินทร์ทิ้งตัวลงกอดน้องแนบแน่น มือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนขณะที่ตะโบมจูบจนอีกฝ่ายหายใจไม่ทัน ก่อนจะไล่มือลงมาที่บั้นท้ายเนียนแล้วบีบเคล้นเบาๆ แกล้งให้คนน้องตกใจเล่น“อื้อ”เสียงครางเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกับสะโพกที่ยกอย่างลืมตัว มือไม้น้องจิกเกร็งไปหมดไม่รู้ว่าจะเอาวางไว้ตรงไหน จะจับไหล่เขาก็ไม่กล้า ทำได้เพียงจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ถึงตอนนี้ภาคินทร์อยากกลืนน้องลงท้องให้รู้แล้วรู้รอ