เช้านี้มีแต่เพลงนี้ลอยเข้ามาในหัว ฉันมาทำอะไรที่นี่~มะเหมียวยืนอยู่ในห้องทำงานของภาคินทร์ด้วยอาการประหม่าเล็กๆ ที่นี่เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่าตอนเธอฝึกงานที่ญี่ปุ่นมากนัก ตอนนั้นเป็นแค่เด็กในตำแหน่งทั่วไปคอยวิ่งช่วยงานตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้จนหัวหมุนไปหมด แต่วันนี้เธอกำลังจะเป็นเลขาของประธานบริษัทอันเป็นเหมือนหัวเรือใหญ่ขององค์กรที่เมนของเธอสังกัดอยู่ บนโลกใบนี้จะมีติ่งที่มีชีวิตคอมพลีตแบบนี้สักกี่คนแต่ถึงได้มาอยู่ข้างท่านประธานมะเหมียวเองก็ไม่ได้คิดใช้หน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ เธอคิดมาทั้งคืนว่าถ้าเกิดเจอน้องๆ จะทำยังไงดี ต้องวางตัวยังไงต้องทักทายแบบไหน คิดมากจนนอนไม่หลับกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปตีห้ากว่าๆ แล้วรู้ตัวอีกทีก็เช้า ได้แต่มายืนหาวหวอดๆ อยู่ตรงหน้าท่านประธานและเลขาของเขาทั้งสองคน“สวัสดีค่ะน้องเหมียว พี่ชื่อว่าแพทตี้นะคะ เป็นเลขาคนปัจจุบันของท่านประธานภาคินทร์ เรียกพี่แพทก็ได้ค่ะ” เลขาสาวท้องโตแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงฉะฉานน่าฟัง เธอยิ้มกว้างต้อนรับว่าที่คู่หมั้นอย่างไม่เป็นทางการของท่านประธานด้วยความยินดีก็จะไม่ให้ยินดีได้ยังไง ที่ผ่านมาเธอพยายามจะขอท่านประธานลาออกเพื่อไปเป็นแม่บ้านเต็มต
ซื้อของเสร็จเราก็กลับเข้ามาที่บริษัท วินาทีที่เข้ามาแล้วเห็นโต๊ะทำงานของตัวเองมะเหมียวถึงกับขนลุกซู่ ราวกับภาพนี้กำลังบอกเธอว่าความจริงได้มาถึงแล้วที่นี่ห้องทำงานของท่านประธานจะอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านนอกเป็นห้องอีกห้องสำหรับเลขาและยังมีของว่าง กาแฟ กาน้ำร้อนและโซนพักผ่อนเล็กๆ เอาไว้ให้เลขาได้พักสายตาเวลาว่าง ตอนมายังมีโต๊ะทำงานแค่ตัวเดียวของแพทตี้วางเอาไว้เหงาๆ แต่ตอนนี้มีของมะเหมียวมาเพิ่มอีกอันเป็นโต๊ะไม้สีขาวสุดมินิมอลที่มีชั้นวางของและเครื่องเขียนสุดน่ารักเอาไว้ให้เสร็จสรรพเขารู้ได้ยังไงว่านี่คือของที่เธอชอบ? เห็นแล้วอยากจะอุดปากกรี๊ด แต่ไม่ได้ ต้องคีพลุคเลขาของท่านประธานเอาไว้ก่อน“ไปเที่ยวไหนกันมาคะเนี่ย เมื่อกี้มีของเข้ามาส่งแพทยังไม่มีงานเลยถือวิสาสะจัดโต๊ะรอ หวังว่าจะถูกใจนะคะ” แพทตี้พูดยิ้มๆ ได้ยินว่าเธอเป็นคนจัดเองกับมือคนเด็กกว่ารีบยกมือไหว้ขอบคุณแทบไม่ทัน“ขอบคุณนะคะพี่แพท ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ค่ะเดี๋ยวหนูมาทำเอง” มะเหมียวว่าอย่างเกรงอกเกรงใจ เนื่องจากเธอเพิ่งมาทำงานเป็นวันแรกมาถึงก็จะใช้รุ่นพี่จัดของให้เลยต้องโดนเม้ากระจายแน่ ดีหน่อยที่ในห้องนี้เป็นห้องปิดมีแค่ผู้ที่ได
จริงๆ แล้วการทำงานก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เธอใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเลขาจริงๆ ขึ้นมาก็วันนี้แหละ แต่ก็ต้องถือว่าเธอโชคดีอย่างหนึ่งที่เจอเจ้านายไม่ได้เรื่องมากอะไร ถึงจะรู้ว่าไอ้ที่เขาไม่เรื่องมากเพราะต้องการเอาใจเธอก็เถอะ แต่ก็ยังดีกว่าต้องมาปวดหัวแล้วหมดไฟไปตั้งแต่วันแรกอีกอย่างคือเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก ทั้งแพทตี้และกรภัทรดูแลมะเหมียวเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง คอยช่วยเหลือทุกอย่างไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แต่ถึงมีคนคอยช่วยคอยหนุนหลังให้เธอก็ไม่เคยคิดทำตัวขี้เกียจไม่ยอมพัฒนาตัวเอง อะไรที่ได้รับมอบหมายก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เลยทำให้แพทตี้ยิ่งเอ็นดูเด็กคนนี้เป็นพิเศษ“น้องหิวข้าวหรือยังคะ ถ้าหิวแล้วลงไปกินข้าวกันตอนนี้คนน่าจะไม่เยอะคิวไม่นาน”โรงอาหารของบริษัทตั้งแยกอยู่ที่อีกตึกหนึ่งซึ่งแทบไม่ต่างอะไรจากฟูดคอร์ตในห้างเลยสักนิด มีเมนูหลากหลายตั้งแต่อาหารไทย จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งมีคาเฟสุดน่ารักเอาไว้ให้ได้เช็กอินและพักผ่อน ที่นี่นอกจากพนักงานในบริษัทที่ลงมาหาอะไรกินช่วงพักเที่ยง ก็ยังมีลูกค้าที่มาติดต่องานและพนักงานจากบริษัทข้างๆ หรื
จะว่าไปก็เหนื่อยเหมือนกันนะ เรื่องตอนกลางวันทำให้มะเหมียวแทบไม่มีสมาธิทำงานทำการ คิดถึงสายตาของชมมุกที่มองมาเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกแปลกๆ ปกติเจอกันก็กัดกันตลอดไม่เคยนิ่งเฉยแบบนี้มาก่อนหรือว่า...ถ้าคิดตามพล็อตนิยายทั่วไปก็คงทำนองว่าต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันไปก่อนว่าอีกคนจะยังไง พอถึงเวลาก็หาทางหยิกหลังกัน แบบนั้นสินะเฮ้อ...คิดไปคิดมาก็เริ่มเหนื่อย วันนี้งานที่ต้องเดินไปมามีเยอะนิดหน่อยเลยหนักสำหรับเด็กแบตเตอร์รี่ต่ำอย่างเธอ ส่งผลให้ทันทีที่ขึ้นรถกลับบ้านตาก็เกือบจะปิด คอนี่ตกจนจะกลายเป็นโทรศัพท์ฝาพับอยู่แล้ว“เหนื่อยมากเลยเหรอ?”ภาคินทร์ที่ขับรถอยู่ถามเมื่อเห็นสภาพของเธอ เขาไม่ได้สนใจข้างนอกเลยเพราะมีงานให้ทำจนแทบจะลืมเวลา ไม่คิดว่าตอนใกล้ถึงเวลากลับบ้านอีกคนจะมีสภาพอย่างนี้“นิดหน่อยค่ะ” มะเหมียวตอบ เธอพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำตัวเหนื่อยต่อหน้าเจ้านายอย่างเขา แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ “คงเพราะหนูไม่ค่อยได้ทำงานติดต่อกันนานๆ ส่วนใหญ่ถ้าเหนื่อยก็จะนอนกลางวัน”“เป็นเด็กอนุบาลหรือไงมีนอนกลางวันด้วย”“ไม่ค่ะ แต่ว่าถ้าเรานอนกลางวัน ช่วงบ่ายก็จะมีแรงทำงานได้เยอะขึ้นนะคะ ได้ผลดีกว่ากาแฟอ
สามสาวแต่งหน้าแต่งตัวกันตั้งแต่เย็นจนหัวค่ำ พระอาทิตย์ตกดินทิ้งไว้เพียงความมืดทำให้แสงสว่างภายในงานโดดเด่นขึ้นมา ผู้คนที่ได้รับเชิญต่างแต่งกายด้วยชุดราตรีสำหรับงานเลี้ยงกลางคืนเข้ามาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เป็นหน้าที่ของหลานๆ ทั้งสามคนที่ต้องอยู่รับแขกแทนคุณย่าที่รับของขวัญจากผู้มาร่วมงานอยู่ที่โซนด้านในโดยมีน้ำหวานคอยดูแลไม่ห่างแต่จะว่าไปมีน้องชายสองคนคอยดูแลเขกในงานช่วยไม่ได้ทำให้ภาคินทร์รู้สึกสบายขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขาต้องไล่ทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ทั่วทั้งงาน ไอ้สองคนนั้นกลับแค่นั่งจิบแชมเปญสบายใจเฉิบไม่สนโลก ทิ้งเขาเหนื่อยอยู่คนเดียวเดี๋ยวเถอะไอ้พวกน้องเวร เดี๋ยวพ่อก็ยึดหุ้นในบริษัทแทนค่าเหนื่อยซะนี่ระหว่างที่เขากำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าน้องชายทั้งสองอยู่ในใจ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามาทักทาย เขาจำได้ว่านี่คือคู่ค้าคนสำคัญที่ย่าพาไปแนะนำตั้งแต่ยังเด็ก เรียกได้ว่าเป็นพาร์ทเนอร์ที่อยู่กับตระกูลคัลเลนมานานพอๆ กับบริษัทที่ก่อตั้งมาเลยก็ว่าได้“ผมต้องแสดงความยินดีเรื่องงานหมั้นของท่านประธานด้วยนะครับ เห็นว่าเป็นคนจากตระกูลวีรโชตกุล ค่อนข้างมีชื่อเลยนะนี่”ทว่าไอ้คำทักทายนั่นดัน
งานเลี้ยงไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด ผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักกับแม่แล้วก็พลอยรู้จักมะเหมียวไปด้วย ระหว่างที่เฮียไล่ทักทายผู้ใหญ่เขาก็หนีบเธอไปแนะนำตัวทำราวกับว่าเธอคือคู่หมั้นของเขาแล้วจริงๆ ทั้งที่ความจริงแล้วแค่พูดคุยกันในครอบครัวยังไม่ทันมีงานหมั้นเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำเรื่องของเรายังไม่ได้ประกาศออกไปอย่างชัดเจน แต่เขาก็ให้เกียรติเธอทุกทางทั้งยังแสดงออกชัดเจนว่ากำลังเดินหน้าจีบอยู่จริงๆ แม้ว่าทุกอย่างจะเร็วไปหน่อย แต่คิดถึงแล้วมันก็แอบอุ๋งอิ๋งอยู่ในใจในโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่ได้สมหวังกับคนที่ตัวเองชอบแบบนี้ แค่คิดหัวใจก็พองโตจนยิ้มไม่หุบแล้วแต่เขาว่ากันว่า อะไรที่ได้มาง่ายๆ นั้นไม่มีอยู่จริง เทียบกับความรู้สึกดีที่เธอได้รับจากความแสนดีของเขา มันก็คงต้องแลกกับบางอย่างเช่นกัน“คนนี้เหรอคะว่าที่คู่หมั้นท่านประธาน ลูกท่านหลานเธอที่ไหนทำไมดิฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของวันที่เธอได้ยินคนพูดอย่างนี้ใส่ตอนเห็นหน้าเธอ บางคนไม่เคยเห็นเธอในงานสังคมบ่อยเท่าชมมุกก็ทักผิดบ้าง จงใจบอกว่าเธอไม่ดีเท่าอีกคนบ้าง นั่นยังไม่เท่าไรเมื่อเทียบกับหลายคนที่รู้จักครอบครัวเธอ
ให้ทายว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นแค่คิดถึงเรื่องในห้องนั้นมะเหมียวก็ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ความใจกล้าเกินงามแบบนั้นไปเอามาจากที่ไหน วันนั้นเมาจนแทบหาทางกลับบ้านไม่ถูก แต่จังหวะที่เขาแจกมะเหงกลงที่กลางกะบาลยังคงจำได้ชัดเจน ก่อนที่เขาจะกลับบ้านไปพร้อมทิ้งคำพูดเอาไว้ว่า‘ยังเด็ก เอาไว้โตก่อนเนอะ’แง หนูไม่ได้ตั้งใจอ่อยผู้ชายนะ วันนั้นหนูแค่เมา เมาจริงๆ อีกอย่าง ไอ้ที่บอกว่าหนูยังเด็กหมายความว่าไง หนูอายุ 25 แล้ว ไม่เด็กแล้วด้วยไอ้ตอนเมามันก็ใจกล้าดีอยู่หรอก แต่พอสร่างแล้วเท่านั้นแหละความอับอายก็เข้าเล่นงานจนแทบไม่กล้าสู้หน้าอีกคน ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว มะเหมียวเอาแต่ทำงานเงียบๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก ครั้นพอภาคินทร์จะเข้ามาทำท่าเหมือนจะคุยเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน เธอก็หลบเลี่ยงทำเป็นออกไปซื้อกาแฟบ้าง ไปเข้าห้องน้ำบ้าง ขึ้นรถก็แกล้งหลับถึงบ้านก็วิ่งขึ้นบ้านทันทีจนไม่ได้คุยกันสักทีวันนั้นคุยอะไรกันไปบ้าง ทำอะไรกันบ้างนอกจากเรื่องที่เธอจำได้หวังว่าตัวเองคงไม่ได้ทำเรื่องน่าอายมากไปกว่านั้นหรอกนะ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีหน้าไปเจอเขาอีกชั่วชีวิต“น้องเหมียวอย่าลืมเรื่
สามสิบนาทีก่อนหน้านี้ภาคินทร์นั่งเคลียร์งานอยู่ในห้องไม่ได้สนใจคนข้างนอก ช่วงนี้มะเหมียวทำงานเริ่มคล่องไม่มีอะไรต้องให้ห่วง แต่ก็มีบ้างที่น้องชอบนั่งสัปหงกตอนบ่ายอยู่เรื่อย เขาเลยจัดที่ชงกาแฟมาให้ในห้องไม่ต้องออกไปทำข้างนอกร่วมกับคนอื่นๆ แต่ดูเหมือนว่าไอ้ที่ถูกใจเจ้าเด็กเล็กจะเป็นขนมเสียมากกว่า เอามาตั้งไม่กี่วันกรก็แอบบ่นๆ ว่าต้องเติมเรื่อยๆ เพราะหมดเร็วมากเข้าใจได้ เด็กวัยกำลังโตอะเนอะนอกจากมะเหมียวที่ทำหน้าที่เลขาหน้าห้องของเขา อีกคนที่เขาเรียกใช้บ่อยคงไม่พ้นกรภัทร เลขาหนุ่มที่ทำหน้าที่ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ขับรถยันเรื่องยากๆ อย่างการติดต่องานกับคู่ค้าคนสำคัญไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจมะเหมียว แต่รู้ว่าเธอไม่ได้มีใจทำงานตรงนี้ ใช้งานหนักไปพานจะทำให้เธออึดอัดเปล่าๆ“นายครับ”กรภัทรเปิดประตูเข้ามาหน้าตาตื่น ปกติแล้วเขามักจะไม่ตกใจกับอะไรง่ายๆ ทำให้ภาคินทร์อดแปลกใจไม่ได้“มีอะไร”“เกิดเรื่องกับคุณแพทกับคุณเหมียวครับ”“ว่าไงนะ”ได้ยินชื่อของน้องเท่านั้นแหละเขาก็รีบลุกแล้ววิ่งออกไปจากห้องในทันที ที่ข้างนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีเจ้าหน้าที่ในชุดพยาบาลเข้ามาเต็มไปหมด รวมทั้งพนักงานบางส่วนท
ใครๆ ต่างก็บอกว่า เธอช่างโชคดีจังเลย เกิดมาไม่มีอะไรสักอย่าง ครอบครัวก็กลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ขนาดถึงขั้นล้มละลายก็ยังมีครอบครัวว่าที่สามีเอ็นดูซัพพอร์ตเสมอ ล้มแต่ละครั้งเหมือนล้มลงบนฟูก จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงนอยจนซึมไปหลายวัน แต่พอเล่าให้ภาคินทร์ฟัง เขาก็บอกว่าทำไมต้องสน คนพวกนั้นมีดีแค่พูดเรื่องคนอื่นไปวันๆ ไม่เห็นว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าเราตรงไหน ครอบครัวล้มละลายแล้วยังไง ต้องพึ่งพาครอบครัวสามีแล้วยังไง การมีคนที่พร้อมหนุนหลังเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงก็ดีกว่าตัวคนเดียวไม่ใช่หรือไงเพราะอย่างนั้น...เธอจึงปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีในวันแห่งความสุขของหลานชายคนโตตระกูลคัลเลน ต่อหน้าเพลงบรรเลงที่ดังคลออยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าดอกไม้ ผ้าประดับ เธอยังคงสั่นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าทุกก้าวบนพรมสีขาวที่นำไปสู่แท่นพิธี คือจุดจบของความวุ่นวายทั้งหมดที่ชีวิตได้เจอมาชีวิตที่ตกหลุมรัก
“ปล่อยกู กูบอกว่าให้ปล่อยกู!!”วัชระถูกจับกุมตัวในที่สุด เขาถูกตั้งข้อหาหนักทั้งทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง รวมไปถึงพยายามฆ่า ภาคินทร์ทำทุกอย่างแม้แต่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้เขาไม่ได้รับการประกันตัว แต่คนอย่างวัชระมีหรือจะยอม ทุกครั้งที่มีคนเข้าเยี่ยมเขามักจะโวยวายขอประกันตัวสู้คดี แต่คงไม่คิดว่าทุกครั้งจะเป็นภาคินทร์ที่เข้ามาเขาไม่ยอมให้มะเหมียวหรือใครได้เจอผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องบางเรื่อง คนของเขาช้ำใจแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่ามาเสียใจกับอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเลย อีกอย่างงานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อยากให้มีอะไรมากระทบทั้งนั้นแต่เห็นคนในชุดนักโทษแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ คนพวกนี้ทรยศครอบครัว หักหลังโดยคิดถึงแค่ผลประโยชน์ แค่ความพึงพอใจของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิต“กูบอกว่าให้ปล่อยกูไง ไปเรียกทนายมาเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ลูกเมียกูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย โธ่เว้ย!!!”วัชระทุบกระจกหนาตรงหน้าด้วยความหัวเสีย ระหว่างภาคินทร์และเขานอกจากกระจกหนาที่กั้นเอาไว้ยังมีตาข่ายเหล็กอีกชั้น ทั้งคนในห้องขังยังมีกุญแจมือสวมอยู่อีก อิสระที่หายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความขาดการ
“กรี๊— อุ๊บ!”มะเหมียวเผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ในจังหวะที่เธอหันมาแล้วเจอว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเพียงแค่อ้าปากยังไม่ทันได้ส่งเสียง กลับถูกมือเย็นๆ อุดปากเอาไว้ก่อน“ชู่ว อย่าเสียงดัง นี่โรงพยาบาลนะ”คนตรงหน้ายกมือขึ้นแตะปากตัวเองพลางบอกให้เธอเงียบ ดวงตาที่เบิกโพลงเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใครไอ้เฮียบ้า เขานี่เอง“ฮึก...” คนที่ทั้งกลัวทั้งตกใจเริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดนใส่มือภาคินทร์ที่ปิดปากของเธออยู่ เขาตกใจรีบปล่อยเธอให้เป็นอิสระก่อนจะถามเสียงตื่น“เป็นอะไรครับ เฮียขอโทษที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจมากไหมมาโอ๋ๆ นะ”เขารั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดจนทั้งตัวจมอก เสียงสะอื้นไม่มีท่าทีสงบลงง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวคนน้องเบาๆ แล้วพูดปลอบใจเท่านั้น“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”“ฮึก...ฮือ...”ตกใจเรื่องที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมคงไม่พ้นเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ มันอึดอัดมากจริงๆ ยากจะหาที่ระบายในยามที่ทุกคนต่างก็กำลังเครียด ทำได้แค่ร้องไห
เมื่อวานเกิดเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจู่ๆ คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมากที่สุดกลับไปโผล่ที่บริษัทหน้าตาเฉยวัชระ พ่อของมะเหมียวเขาเป็นประธานบริษัทเล็กๆ ที่ทำด้านส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อก่อนคุณย่าของเขาก็เคยร่วมหุ้นด้วยแต่พอเพื่อนรักอย่างคุณยายของมะเหมียวเสียท่านก็ขายหุ้นทิ้งและไม่ได้สนใจบริษัทนั้นอีก ภาคินทร์เพิ่งจะได้ข่าวว่าบริษัทขาดทุนหนักและกำลังจะล้มละลายแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้“คือว่า...อา...แค่เห็นว่าเราสองครอบครัวกำลังจะเกี่ยวดองกัน”ร้อยวันพันปีคนอย่างวัชระไม่เคยคิดเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลคัลเลน อย่าว่าแต่เรื่องเกี่ยวดองกัน แม้แต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดที่ทางนี้ต้องเผชิญข่าวเสียหายก็ไม่เคยเห็นหัว มีแค่วันนั้นที่คุณย่าเชิญเขามาร่วมงานในฐานะแขกเลยได้พบกันมันทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คนพรรค์นี้ให้เกียรติไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต ทั้งยังหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้“คุณอามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”คุยนานไปก็มีแต่จะเสียเวลา เขารีบตรงเข้าประเด็นพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลาง เขาไม่ได้กำลังทำตัวเสียมารยาทแต่กำลังหาข่าวของบริษัทนั
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...วัชระนั่งทำแผลอยู่ในบ้านตัวเองด้วยความเจ็บใจ นึกถึงเรื่องที่บ้านหลังนั้นแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด สองแม่ลูกนั่นมันกล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนี้ ที่ผ่านมาลูกสาวของเขาเป็นเด็กดี ว่าง่าย ไม่เคยเถียงพ่อแม้สักคำเดียว ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของแม่มันอย่างไม่ต้องสงสัย“แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยเป็นยังไงบ้างคะ เนี่ย ถ้าเราไม่หาเงินไปจ่ายค่าปรับในเดือนหน้าเราจะล้มละลายกันจริงแล้วนะคะ”กานพลู ภรรยาใหม่ของวัชระว่าด้วยสีหน้าหงุดหงิด หลังช่วยกันประคับประคองบริษัทมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ติดหนี้หัวโตกำลังถูกฟ้องล้มละลาย โชคยังดีที่มีเงินสดติดตัวอยู่บ้างให้พอได้ซื้อข้าวกินไปวันๆ แต่เรื่องหนี้สินก็เป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนคิดไม่ตกคิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนนั้นไม่น่าเห็นแก่เงินเป็นชู้กับผัวชาวบ้านจนมีลูกด้วยกัน วัชระในตอนนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เป็นลูกเขยของตระกูลที่มีทรัพย์สินกว่าห้าร้อยล้าน ซ้ำตอนที่เผลอใจมีอะไรกันหลายครั้งจนตั้งท้อง เขายังบอกให้หล่อนเก็บเรื่องลูกไว้เป็นความลับ จะเลี้ยงดูปูเสื่อสองแม่ลูกอย่างดีไม่ให้ลำบากเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่ลูกสาวคนเล็กของเขาอ
พ่อออกไปแล้ว ทิ้งความเงียบหลังความวุ่นวายเอาไว้ที่เบื้องหลัง ยอมรับว่าเรื่องเมื่อกี้เธอตกใจมากๆ จนแทบสติแตก แต่พอเห็นว่าแม่ที่จิตใจไม่ปกติพยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อต่อต้านพ่อเป็นครั้งแรก ลูกสาวอย่างเธอจึงต้องพยายามฮึบเพื่อไม่ให้แม่ต้องดิ่งมากไปกว่านี้เธอพาแม่ขึ้นมาบนห้องแล้ววานแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษแก้วให้ ก่อนจะส่งแม่เข้านอนโดยไม่พูดหรือไม่ถามอะไรแม่สักคำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระหว่างเราสองแม่ลูกจะไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ“เหมียวลูก...”ก่อนจะล้มตัวลงนอนเป็นแม่ที่พูดขึ้นมาก่อน ฝ่ามือสั่นเทายกขึ้นมาลูบกรอบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา มองรอยตบที่ตอนนี้เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็รับรู้ได้ว่าลูกคงเจ็บอยู่บ้าง“หนูเจ็บไหม แม่ขอโทษนะที่ปล่อยให้มันมาทำร้ายลูก”“ไม่เจ็บค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สมัยเรียนหนูก็ตบกับเพื่อนบ่อยจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่แรงตบเมื่อกี้ก็เริ่มทำพิษแล้วเช่นกัน เธอไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากไปกว่านี้ เรื่องแค่นี้เธอทนได้สบายมากอยู่แล้ว“แม่นอนพักนะคะ เรื่องวันนี้แม่ลืมมันไปซะ อย่าเก็บมาคิดอีก”“เหมียว แม่ถามจริงๆ นะลูก ถ้าเกิดว่าเฮียรู้เรื่องบ
มะเหมียวนั่งเล่นอยู่ที่โรงพยาบาลจนหมดเวลาเยี่ยม เธอดูนาฬิกาที่ข้อมือพบว่าตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้วแต่ยังไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้าจากคู่หมั้น ข้อความที่ส่งไปก็ยังไม่ได้รับการอ่านสงสัยว่าจะยุ่งมากแน่ เลยเลือกเรียกแกร๊บกลับบ้านเองโดยไม่บอกเขาก็จะให้บอกได้ยังไง เขาชอบทำเหมือนเธอเป็นเด็กเดินทางเองไม่เป็นอยู่เรื่อย โอเคเธออาจจะขับรถเองไม่เป็น ประสบการณ์อยู่ไทยก็น้อยเลยเดินทางไม่คล่อง แต่เรื่องเรียกรถกับความปลอดภัยบนรถโดยสารสาธารณะเธอเองก็ดูแลตัวเองเก่งไม่แพ้ใครหรอกแต่พอกลับมาถึงบ้าน ไฟที่เปิดสว่างอยู่ที่ชั้นล่างทำให้มะเหมียวแปลกใจเล็กน้อย ปกติเวลานี้ป้าดาน่าจะให้แม่กินยาหลับไปแล้ว แล้วทำไมยังมีไฟเปิดอยู่อีก“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ...คะ”ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นกลับไม่ใช่แม่ ชายวัยกลางคนที่เธอเคยเรียกว่าพ่อกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอบางอย่างความทรงจำในวันที่เธอกลับมาจากญี่ปุ่นหลังรู้เรื่องของพ่อกับแม่วนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง วันนั้นแม่อ้อนวอนเขาแทบตาย ร้องไห้แทบขาดใจขอร้องเขาว่าอย่าไป แต่สิ่งที่เขาทำคือสลัดแม่ทิ้งแล้วขึ้นรถไปกับผู้หญิงคนใหม่แล้วก็ลูกที่อายุน้อยกว่าเธอแ
เฮียบ้า คนขี้แกล้ง!เช้านี้มะเหมียวแทบจะลุกไม่ขึ้น ปวดไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเพราะถูกรังแกอยู่ค่อนคืน เฮียไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามันจะร้าวไปทั้งตัวแบบนี้ เมื่อคืนเธอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคือตื่นมาอยู่ในชุดนอนตัวโคร่งของเฮียโดยไม่มีเสื้อผ้าชิ้นอื่นประดับตัวอยู่เลยอ้ากกก ทำบ้าอะไรลงไปดีที่ตื่นมาแล้วเขาไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องเอาหน้ามุดดินหนีเป็นตัวตุ่นแน่ๆแกร๊กยังไม่ทันจบความคิดด้วยซ้ำประตูก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก เจ้าของเสื้อที่เธอสวมอยู่นี้โผล่หน้าเข้ามาแล้วชูถุงโจ๊กในมือพร้อมยิ้มแป้น“ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวสิ เฮียไปซื้อข้าวมาให้”ไปซื้อข้าวมาให้? มายก้อด พฤติกรรมจะแฟนเกินไปแล้ว เราเพิ่งจะตอบตกลงเป็นแฟนกันเมื่อวาน มาวันนี้เขาก็เซอร์วิสเธอขนาดนี้เลยเหรอ เตรียมใจไม่ทัน ตัวนี่ไม่ต้องพูดถึง เตรียมไม่ทันเหมือนกันค่ะ!มะเหมียวเลิ่กลั่กอยู่ในห้องพักใหญ่ๆ เดินวนไปมาก็เจอร่องรอยอารยธรรมที่เราทำกันเมื่อคืน ทั้งเศษซองถุงยางชิ้นเล็กๆ ที่ยังเก็บทิ้งไม่หมด แล้วไหนจะผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่จนหลุดทั้งสี่มุม น่าแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่ได้มีรอยเลือดเหมือนอย่างที่เคยดูในละคร ทั้งที่นี่
“เหมียว...”ภาคินทร์คลานขึ้นไปบนเตียงพลางเรียกชื่ออีกคนเสียงแผ่ว สายตามองไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปที่ใบหน้าหวาน ถ้าเปรียบเธอเป็นอาหาร ตอนนี้คงเป็นเค้กครีมสีขาวนวลที่มีสตรอว์เบอร์รี่ออนท็อปอยู่ข้างบน“เด็กดีของเฮียน่ารักจัง”“พอแล้วค่ะ หนูอายไปหมดแล้วนะ”“อายอะไรครับ เดี๋ยวคืนแต่งงานก็ต้องทำอยู่ดี”จุ๊บริมฝีปากอุ่นฉกชิมความหวานไปอย่างไม่รู้จักอิ่ม แรงดูดดึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือก็ปลดบราน้องออกแล้วโยนทิ้งเหมือนไม่ต้องการมันอีกต่อไป แต่แทนที่คนขี้อายอย่างมะเหมียวจะยอม เธอกลับสู้เขาคืนด้วยการค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้แล้วถอดมันออกเองกับมือเด็กมันสู้จริงๆไม่มีปราการใดกั้นระหว่างเราทั้งคู่อีกต่อไปแล้ว ภาคินทร์ทิ้งตัวลงกอดน้องแนบแน่น มือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนขณะที่ตะโบมจูบจนอีกฝ่ายหายใจไม่ทัน ก่อนจะไล่มือลงมาที่บั้นท้ายเนียนแล้วบีบเคล้นเบาๆ แกล้งให้คนน้องตกใจเล่น“อื้อ”เสียงครางเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกับสะโพกที่ยกอย่างลืมตัว มือไม้น้องจิกเกร็งไปหมดไม่รู้ว่าจะเอาวางไว้ตรงไหน จะจับไหล่เขาก็ไม่กล้า ทำได้เพียงจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ถึงตอนนี้ภาคินทร์อยากกลืนน้องลงท้องให้รู้แล้วรู้รอ