มีแมวโมโหเรื่องในคาเฟ่วีนเขาจนหูชาไปหมด คนพี่ไม่ได้เถียงอะไรกลับปล่อยน้องบ่นไปตลอดทางจนสุดท้ายก็พอจับคำพูดได้ว่า ที่วีนเพราะเขิน เขินทั้งเขา เขินทั้งน้อง แล้วตรงนั้นก็คนเยอะเกินไป พูดจบก็มุดหน้าลงไปแต่งรูปที่เขาถ่ายให้แล้วชมว่าสวยฝีมือดีอย่างนั้นอย่างนี้
ก็แน่ล่ะ เห็นอย่างนี้เขาก็เรียนเรื่องการถ่ายรูปมาบ้าง แม้แต่ถ่ายรูปเล่นๆ กับเพื่อนหรือเซลฟี่มือของภาคินทร์ก็ไม่เคยพลาด ถ่ายมา 100 รูปอย่างน้อยรูปดีๆ ต้องมี 99
หลังจากส่งน้องกลับบ้านเขาก็ไม่ลืมถามเรื่องไปทำงานตามที่ได้คุยกับคุณย่าเอาไว้ เขาไม่ได้บังคับให้น้องมาทำแต่ถามความคิดเห็นของน้องมาแล้วเรียบร้อย ในเมื่อน้องยังไม่ได้มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ช่วงนี้เขาก็ต้องการคนมาช่วยกรภัทร เลขาชั่วคราวของเขาที่กำลังรับหน้าที่แทนแพทตี้อยู่ด้วย น้องเลยตกลงเพราะเห็นว่างานไม่ได้สำคัญถึงขั้นจะทำบริษัทเขาล่มได้
หลักๆ ก็แค่กลัวทำงานพลาดแล้วโดนดุ แต่ถามว่าใครจะกล้าดุ เด็กเส้นของท่านประธานใหญ่อย่างคุณหญิงรฐาทั้งคน
ส่งน้องเสร็จแล้วแทนที่เขาจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนหรือเข้าฟิตเนสเหมือนทุกที กลับได้รับสายจากดีเทลเพื่อนรักเรียกให้ออกมาดื่มกันสักวัน ใจอยากปฏิเสธแต่ก็มีเรื่องอยากปรึกษามันนิดหน่อยเลยตอบตกลง
คลับ Kmnxx
ปกติแล้วภาคินทร์ไม่ใช่คนชอบเที่ยวกลางคืน ที่เที่ยวส่วนใหญ่เขาก็ไม่ค่อยรู้จักเลยนัดเพื่อนมานั่งที่ร้านของน้องชายฝาแฝด ดีเทล เพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาลเข้ามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรอตั้งแต่ยังไม่ถึงสองทุ่มดีด้วยซ้ำ
เรื่องดื่มเรื่องดริ๊งก์ไว้ใจไอ้หมอนี่ได้เลย ตั้งแต่รู้จักกันมาบอกเลยว่าดีเทลน่ะขี้เมาตัวพ่อ ออกทุกวันเมาทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสามารถบริหารค่ายเพลงของตัวเองจนทำกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีได้ เรื่องความสามารถวัดจากความขี้เมาไม่ได้จริงๆ
“มาช้าว่ะ”
ดีเทลบ่นอุบ ภาคินทร์ถึงกับต้องยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่มนิดๆ เขาไม่ได้บอกมันว่านัดกี่โมง เป็นเขาที่มาช้าหรือดีเทลมาเร็วเองกันแน่
“เออ ขอโทษ ไถ่โทษด้วยการเลี้ยงวันนี้แล้วกัน”
“อันนั้นไม่เกี่ยว มึงต้องเลี้ยงอยู่แล้ว ร้านน้องมึงมึงได้ราคาพิเศษกว่ากูแน่ๆ”
กลับกันเลยอะดิ ยิ่งคามินทร์รู้ว่าพี่ชายฝาแฝดเข้ามาใช้บริการยิ่งจะชาร์จค่าบริการแพงกว่าเดิม หาเรื่องเสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุแท้ๆ
“แล้วนี่มึงมีเรื่องข้องใจอะไรวะ ให้กูเดานะ เรื่องว่าที่คู่หมั้นที่ย่ามึงหามาให้คนนั้นใช่ปะ?” ดีเทลมองหน้าเพื่อนแล้วลองเดา แต่ดันเดาถูกทุกคำจนภาคินทร์ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ
“เดาเก่ง” ภาคินทร์นั่งลงที่นั่งตรงข้ามเพื่อน แล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างเอนหลังไปกับโซฟา “ไม่ไปเป็นหมอดูล่ะมึง”
“เปล่าหรอก กูรู้จากชมมุกเมื่อตอนเย็นนี้เอง ทำไมวะ เด็กคนนั้นที่มึงเคยบอกว่าไม่ชอบใช่ปะกูจำได้ แล้วอะไรทำให้มึงเปลี่ยนใจในชั่วข้ามคืนวะ”
ดีเทลซักละเอียดยิบ คบกันมาก็หลายปี เขาไม่เคยเห็นไอ้เพื่อนคนนี้จริงจังกับการเข้าหาผู้หญิงมากเท่านี้มาก่อน เขาเองก็พอรู้จักเด็กที่ชื่อเหมียวอยู่บ้าง ด้วยเมื่อก่อนเธอมักจะมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวภาคินทร์เป็นประจำ ซ้ำยังตีกับชมมุกบ่อยจนกลายเป็นคอนเทนต์ประจำวันที่ต้องลุ้นว่าวันนี้จะมาเรื่องอะไรอีก
“กูเปล่าตัดสินใจเร็ว” ภาคินทร์ว่าพร้อมกระดกเหล้าเข้าปาก วันนี้รสเหล้าหวานเป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะอารมณ์ที่ดีกว่าปกติ หรือเพราะไอ้เพื่อนตัวแสบชงมาผิดสูตรกันแน่
“ไม่ตัดสินใจเร็วเลยครับ ไหนมึงเคยบอกว่าไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีชีวิตเหมือนพ่อตัวเองที่มีคนอื่นจนแม่ตรอมใจ แล้วก็ไม่อยากวุ่นวายเหมือนน้องชายฝาแฝดสองคน กูเห็นมึงหาทางปฏิเสธสาวๆ สวยๆ ไฮโซหลายคนที่ย่าหามาให้ แล้วตอนนี้คือ กลืนน้ำลายตัวเอง?”
ไอ้เพื่อนเขาคนนี้มันแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีหัวใจ ดีเทลรู้เช่นเห็นชาติกันจนไม่รู้แล้วว่าจะเลิกคบกันไปได้ยังไง เมื่อก่อนเพื่อนบ่นทุกวันว่าช่วยหาทางล้มการดูตัวให้หน่อย แต่วันนี้กลับมีสายตาเหมือนคนคลั่งรักทั้งที่เจอน้องเหมียวได้ไม่ถึงสามวัน
ถ้าไม่ใช่ผีบ้าเข้าเพื่อนเขา ก็คงโดนดีดน้ำมันพรายใส่แน่ๆ
“แล้วมันแปลกยังไง การที่กูจะชอบใครแล้วจีบเลย มึงเองก็อยากให้กูแต่ง คอยแซะกูทุกวันอย่าคิดว่ากูไม่รู้”
แต่งๆ ไปซะทีเหอะ รำคาญลูกตามัวแต่ทำหล่ออยู่ได้ คำที่ภาคินทร์ได้ยินจากปากดีเทลจนกลายเป็นความเคยชิน มันชอบหาว่าเขาแย่งซีนจนไม่มีสาวๆ เข้ามาสนใจ ที่จริงก็แค่ข้ออ้าง ตัวมันเองมัวแต่เล็งสาวในบ้านจนไม่สนคนอื่นเสียมากกว่า
ถ้าหากมันเรียกเขาว่า ประธานไร้ใจ เขาเองก็จะมอบฉายาให้ดีเทลว่า ไอ้สมภารกินไก่วัด
“กับคนอื่นไม่แปลก แต่กับมึงนี่ดิ เมื่อก่อนมึงไม่ชอบน้องไม่ใช่เหรอ แล้วอะไรมาเปลี่ยนใจมึงวะ?”
“ตอนนี้ก็ไม่ได้ชอบ” เขาตอบกลับแบบไม่ต้องคิด
“ไม่ชอบแล้วแต่งงานเพื่อ?”
รู้สึกผิดละมั้ง เขาเคยเล่าไปแล้วว่าเมื่อก่อนตัวเองทำตัวไม่ดีกับน้องเอาไว้ แม้ว่าเมื่อก่อนจะต่างคนต่างป่วนกันไปมาจนนับไม่ได้แล้วว่าใครเริ่มก่อน แต่ในฐานะของผู้ใหญ่เขาก็ควรมีวุฒิภาวะมากกว่านี้
อีกอย่าง การแต่งงานกับน้องคงไม่ได้แย่เท่าไร เขาไม่ใช่คนที่จะรู้สึกถูกชะตากับใครง่ายๆ ตั้งแต่แรกเจอ แต่กับน้อง วันที่เจอกันในคาเฟ่วันนั้นเขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะชอบน้องอยู่นิดหน่อย
ในเมื่อพอจะชอบอยู่บ้าง ลองดูก็ไม่เสียหาย
“เออ ไอ้เหี้ย กูถามแค่นี้ต้องนั่งทำหน้าคลั่งรักอยู่ได้ น่าหมั่นไส้ว่ะ”
ดีเทลถึงกับต้องค่อนแคะเพื่อนด้วยความหมั่นไส้เมื่อเห็นว่าอีกคนเงียบไปนาน
“ทำหน้าคลั่งรักอะไรของมึง เพ้อเจ้อ แดกเหล้าจนหลอนไปหมดแล้วมั้ง”
“ครับๆ ไอ้ท่านประธาน ไม่คลั่งรักก็ไม่คลั่งรักเนอะ แต่คนนี้จริงจัง?”
“ก็ยังไม่รู้ คงต้องลองดูก่อน”
“ลองดูเหี้ยอะไรของมึง แต่งงานไม่ใช่ชิมอาหารตามฟูดคอร์ต ลองแล้วไม่ใช่ทำไง เลิกงี้?”
“ก็เหมือนกับกระบวนการทำงานของซีรีส์สักเรื่อง ก่อนคนจะสนใจก็ต้องได้ดูทีเซอร์ก่อน ซีรีส์ฉายก็ต้องลองดู ถ้าดูแล้วไม่ติดใจก็แยกย้าย มันยากตรงไหน”
กระบวนการทางความคิดของไอ้ประธานทำให้ดีเทลปวดหัวตุ้บๆ ได้ยินอย่างนี้แล้วเขาอยากจะเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยอย่างมะเหมียวขึ้นมาทันที น้องมันก็ตัวแค่นี้ จะมารับมือคนมองทุกอย่างเป็นธุรกิจอย่างไอ้ภาคินทร์ได้ยังไง
“เอาดีๆ นะมึง นั่นเพื่อนคะนิ้งนะ กูไม่อยากเห็นน้องเสียใจ”
ดีเทลปรามเพื่อนเสียงเครียด เขาเป็นคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นทุนเดิม ขนาดคนข้างบ้านที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นเขายังเข้าไปยุ่งจนกลายเป็นเรื่องอีนุงตุงนัง แล้วนี่เพื่อนของว่าที่แฟนทั้งคนทำไมเขาจะไม่ช่วย
เรื่องของเขากับเพื่อนของว่าที่คู่หมั้นเพื่อนมันยุ่งเหยิงนิดหน่อย รู้แค่ว่าตอนนี้เขากำลังตามจีบคะนิ้งอยู่ เป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้ภาคินทร์ต้องขมวดคิ้วถามอย่างงงๆ
“เพื่อนคะนิ้งอะไรวะ มึงกับน้องนิ้งไปอะไรกันตั้งแต่ตอนไหน”
เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนเห็นเด็กที่ชื่อคะนิ้งอยู่กับมะเหมียวตลอดเวลา เรียกได้ว่ามีเหมียวที่ไหนมีนิ้งที่นั่น แต่พอหลังจากสองสาวไปเรียนต่อญี่ปุ่นก็ไม่รู้ว่ายังคบกันอยู่ไหม แล้วมาตอนนี้ดีเทลดันพูดชื่อคะนิ้งออกมาหน้าตาเฉยเหมือนแอบมีความสัมพันธ์กันมานานอีก
ต้องมีอะไรแน่ๆ
“เออ ไม่ต้องมาจับผิดกู เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” ดีเทลบอกปัด
“งั้นก็ช่างมึง แล้วกูไปทำน้องเสียใจตอนไหน อย่าพูดจาหมาๆ ดิ” คำที่อีกฝ่ายตอบกลับมาทำให้เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ในทีแรกนึกอยากจะซัดหมัดเข้าหน้าเพื่อนสักที
แต่มันดันติดที่ว่าไอ้เพื่อนคนนี้มันดันหมัดหนักกว่าเขา ด้วยทั้งส่วนสูงที่ต่างกันเกือบคืบ แล้วขนาดตัวก็ต่างกันมาก ดีเทลเป็นผู้ชายตัวเล็ก หน้าหวาน ยิ้มเก่ง ชอบทำทรงผมอย่างที่สาววาย[1]เรียกว่าคนสวยขา หลายครั้งที่เดินกับภาคินทร์ซึ่งตัวสูงโปร่ง มีกล้ามเล็กน้อยตามประสาคนชอบเล่นกีฬา ใบหน้าคมไทป์พระเอก เลยทำให้ถูกจับจิ้นกันอยู่บ่อยๆ
จะว่าไปถ้าเกิดว่าภาคินทร์ไม่ยอมแต่งงานสักที เขาเองก็คิดเหมือนกันว่าไอ้เพื่อนรักต้องแอบอยากเล่นเพื่อนแน่ๆ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“ไม่ทำก็ไม่ทำ แต่อย่าให้เห็นว่าคะนิ้งเครียดเพราะเพื่อนโดนหักอกนะ มึงตาย”
“ไอ้ห่า คบกันแล้วเหรอวะห่วงลามไปถึงเพื่อนเขาแล้วเนี่ย ถามจริงเหอะ มึงอยากเป็นแฟนเขาหรืออยากเป็นพ่อ?”
ถามได้จี้จุดมากเพื่อน ไม่ต้องอยากเป็นทุกวันนี้ยัยนั่นก็แทบจะมองเขาเป็นพ่ออยู่แล้ว เอาน่า อายุที่ห่างกันมันก็เหมือนสีสันหนึ่งของชีวิต ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ไม่มีผลต่อแนวราบอยู่แล้ว
“เออ กูมันอีกนิดจะเป็นพ่อเขาได้แล้ว แล้วไง มึงก็อายุเท่ากัน มะเหมียวกับคะนิ้งก็อายุเท่ากันปะวะ มันก็พ่อเหมือนกันนั่นแหละ”
“พ่อของมึง มึงกับพ่อกู มันคนละความหมายกัน อีกอย่าง อย่าสะเออะมาเรียกชื่อมะเหมียวแบบนั้น ชื่อนั้นกูตั้งให้ กูเรียกได้คนเดียว”
“คร้าบบบ ไอ้ท่านประธาน เมื่อก่อนทำเป็นไม่ชอบ ไม่เอา ไม่อยากเข้าใกล้ ตอนนี้มีชื่อที่เรียกกันสองคนซะงั้น แล้วบอกไม่คลั่งรัก ถุย!”
“สถุน ไอ้สัตว์”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วเขาก็สบายใจ คนอย่างไอ้ประธานภาคินทร์ถ้าไม่สนใจใครจริงๆ ไม่มีวันเอาตัวเองเข้าไปข้องแวะเด็ดขาด แล้วปากแบบนี้แต่ก็อยากลองเขาตั้งแต่เจอครั้งแรก อยากรู้เหมือนกันว่าจะลองไปได้สักกี่น้ำ
“กูจะคอยดูว่ามึงจะได้ลองแล้วเท หรือกลายเป็นหมาให้แมวมันจูง ไอ้คนไร้ใจ!”
[1] กลุ่มแฟนคลับสาวที่ชื่นชอบในความสัมพันธ์แบบชายรักชาย หากเป็นผู้ชายจะถูกเรียกว่า หนุ่มวาย
ไม่ชินนิดหน่อยที่อยู่ๆ เฮียก็มาทำดีใส่ เขาไม่ได้เป็นบ้าไปจริงๆ แล้วหรอกใช่ไหม แต่ตั้งแต่วันนั้นเธอกับเขาก็แทบไม่ได้คุยกันอีก มีนิดหน่อยที่ส่งรายละเอียดงานและวันเวลาเริ่มงานมาให้ในเมล ซึ่งก็มีแค่นั้นจริงๆแบบนี้เขาเรียกจีบแบบใดวะ?มะเหมียวเดินลงมาที่ชั้นล่างกะว่าจะมาหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย แต่สิ่งที่เจอกลับเป็นพ่อที่เดินเข้ามาในบ้านพอดีพ่อ...ที่เธอแทบไม่ได้เจอหน้าเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง มะเหมียวหน้าตึงขึ้นมาในทันที เธอเดินลงไปเผชิญหน้าพ่อก่อนจะพูดออกมาเสียงแข็ง“มาทำไมคะ?”ที่นี่ไม่ต้อนรับเขาตั้งแต่วันที่เขาเลือกผู้หญิงคนนั้นแล้ว สำหรับมัดหมี่ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรอาจจะทำใจเรียกเขาว่าพ่อได้ แต่มะเหมียวเห็นทุกอย่าง ภาพที่เขาทิ้งครอบครัวไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งแม่ ทิ้งลูก ทิ้งทุกอย่างแล้วเอาบริษัทของตาเธอไปบริหารกับเมียใหม่ตอนนั้นเธอยังเด็ก ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไม่ฟ้องเอาบริษัทกลับมา แต่พอได้เห็นข่าวหลายๆ ข่าวที่ออกมาว่าบริษัทใกล้เจ๊งก็เริ่มเข้าใจแล้วบางทีแม่อาจจะคิดมาดีแล้วก็ได้“วันนี้จะไปไหนเหรอลูก” วัชระผู้เป็นพ่อทักด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็ได้รอยยิ้มจากลูกสาวตอบกลับแต่เป็นรอยยิ้มเหยียดด้วยคว
“น้องเหมียวค่า”เสียงพิธีกรเรียกชื่อเธอดังลั่น วินาทีนั้นมะเหมียวรู้สึกหูอื้อไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงขึ้นไปในที่สูงมากๆ แล้วก็กระชากลงมาเหมือนรถไฟเหาะ รู้ตัวอีกทีคะนิ้งก็ส่งมือมาสะกิดยิกๆ ให้เธอรีบลุกเข้าไปในห้องส่งเพื่อร่วมกิจกรรมมะเหมียวหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วย่นคิ้วด้วยความกังวล ถามว่าดีใจไหมที่ตัวเองถูกเลือกให้เล่นเกมกับลูกก็ดีใจ แต่ต้องไม่ใช่อยู่ทีมเดียวกับเฮียสิเธอวางกระเป๋าของตัวเองเอาไว้ที่ตักของคะนิ้งก่อนจะเดินเข้าห้องส่งเป็นคนสุดท้ายด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม เจ้าของมือที่จับได้ชื่อเธอแอบอมยิ้มน้อยๆ ในขณะที่ทีเร็กซ์กับนัททิวมองหน้าเธอแล้วพากันเลิ่กลั่กก็แหงล่ะ วันก่อนเขาเพิ่งแนะนำตัวกับเด็กๆ ไปเลยว่าเธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของเขา แล้วจะให้เธอมองหน้าพวกเขายังไงเกมที่ทั้งแปดคนจะต้องเล่นนั่นก็คือเกมปิดตาหาตัว ซึ่งแต่ละคนจะต้องจับคู่กันแล้วชี้ตำแหน่งคู่ตัวเองให้ถูก เธอเคยเห็นน้องๆ เล่นในรายการอื่นมาบ้างแล้วเลยไม่ได้ตั้งใจฟังกติกาอะไรมาก สายตาเอาแต่มองไปยังภาคินทร์ที่กำลังตั้งใจฟังอย่างเอาจริงเอาจังจะว่าไปเธอไม่เคยเห็นเขาในพาร์ทการทำงานมาก่อนเลย เพิ่งจะมีครั้งน
เช้านี้มีแต่เพลงนี้ลอยเข้ามาในหัว ฉันมาทำอะไรที่นี่~มะเหมียวยืนอยู่ในห้องทำงานของภาคินทร์ด้วยอาการประหม่าเล็กๆ ที่นี่เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่าตอนเธอฝึกงานที่ญี่ปุ่นมากนัก ตอนนั้นเป็นแค่เด็กในตำแหน่งทั่วไปคอยวิ่งช่วยงานตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้จนหัวหมุนไปหมด แต่วันนี้เธอกำลังจะเป็นเลขาของประธานบริษัทอันเป็นเหมือนหัวเรือใหญ่ขององค์กรที่เมนของเธอสังกัดอยู่ บนโลกใบนี้จะมีติ่งที่มีชีวิตคอมพลีตแบบนี้สักกี่คนแต่ถึงได้มาอยู่ข้างท่านประธานมะเหมียวเองก็ไม่ได้คิดใช้หน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ เธอคิดมาทั้งคืนว่าถ้าเกิดเจอน้องๆ จะทำยังไงดี ต้องวางตัวยังไงต้องทักทายแบบไหน คิดมากจนนอนไม่หลับกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปตีห้ากว่าๆ แล้วรู้ตัวอีกทีก็เช้า ได้แต่มายืนหาวหวอดๆ อยู่ตรงหน้าท่านประธานและเลขาของเขาทั้งสองคน“สวัสดีค่ะน้องเหมียว พี่ชื่อว่าแพทตี้นะคะ เป็นเลขาคนปัจจุบันของท่านประธานภาคินทร์ เรียกพี่แพทก็ได้ค่ะ” เลขาสาวท้องโตแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงฉะฉานน่าฟัง เธอยิ้มกว้างต้อนรับว่าที่คู่หมั้นอย่างไม่เป็นทางการของท่านประธานด้วยความยินดีก็จะไม่ให้ยินดีได้ยังไง ที่ผ่านมาเธอพยายามจะขอท่านประธานลาออกเพื่อไปเป็นแม่บ้านเต็มต
ซื้อของเสร็จเราก็กลับเข้ามาที่บริษัท วินาทีที่เข้ามาแล้วเห็นโต๊ะทำงานของตัวเองมะเหมียวถึงกับขนลุกซู่ ราวกับภาพนี้กำลังบอกเธอว่าความจริงได้มาถึงแล้วที่นี่ห้องทำงานของท่านประธานจะอยู่ด้านในสุด ส่วนด้านนอกเป็นห้องอีกห้องสำหรับเลขาและยังมีของว่าง กาแฟ กาน้ำร้อนและโซนพักผ่อนเล็กๆ เอาไว้ให้เลขาได้พักสายตาเวลาว่าง ตอนมายังมีโต๊ะทำงานแค่ตัวเดียวของแพทตี้วางเอาไว้เหงาๆ แต่ตอนนี้มีของมะเหมียวมาเพิ่มอีกอันเป็นโต๊ะไม้สีขาวสุดมินิมอลที่มีชั้นวางของและเครื่องเขียนสุดน่ารักเอาไว้ให้เสร็จสรรพเขารู้ได้ยังไงว่านี่คือของที่เธอชอบ? เห็นแล้วอยากจะอุดปากกรี๊ด แต่ไม่ได้ ต้องคีพลุคเลขาของท่านประธานเอาไว้ก่อน“ไปเที่ยวไหนกันมาคะเนี่ย เมื่อกี้มีของเข้ามาส่งแพทยังไม่มีงานเลยถือวิสาสะจัดโต๊ะรอ หวังว่าจะถูกใจนะคะ” แพทตี้พูดยิ้มๆ ได้ยินว่าเธอเป็นคนจัดเองกับมือคนเด็กกว่ารีบยกมือไหว้ขอบคุณแทบไม่ทัน“ขอบคุณนะคะพี่แพท ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ค่ะเดี๋ยวหนูมาทำเอง” มะเหมียวว่าอย่างเกรงอกเกรงใจ เนื่องจากเธอเพิ่งมาทำงานเป็นวันแรกมาถึงก็จะใช้รุ่นพี่จัดของให้เลยต้องโดนเม้ากระจายแน่ ดีหน่อยที่ในห้องนี้เป็นห้องปิดมีแค่ผู้ที่ได
จริงๆ แล้วการทำงานก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เธอใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเลขาจริงๆ ขึ้นมาก็วันนี้แหละ แต่ก็ต้องถือว่าเธอโชคดีอย่างหนึ่งที่เจอเจ้านายไม่ได้เรื่องมากอะไร ถึงจะรู้ว่าไอ้ที่เขาไม่เรื่องมากเพราะต้องการเอาใจเธอก็เถอะ แต่ก็ยังดีกว่าต้องมาปวดหัวแล้วหมดไฟไปตั้งแต่วันแรกอีกอย่างคือเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก ทั้งแพทตี้และกรภัทรดูแลมะเหมียวเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง คอยช่วยเหลือทุกอย่างไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แต่ถึงมีคนคอยช่วยคอยหนุนหลังให้เธอก็ไม่เคยคิดทำตัวขี้เกียจไม่ยอมพัฒนาตัวเอง อะไรที่ได้รับมอบหมายก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เลยทำให้แพทตี้ยิ่งเอ็นดูเด็กคนนี้เป็นพิเศษ“น้องหิวข้าวหรือยังคะ ถ้าหิวแล้วลงไปกินข้าวกันตอนนี้คนน่าจะไม่เยอะคิวไม่นาน”โรงอาหารของบริษัทตั้งแยกอยู่ที่อีกตึกหนึ่งซึ่งแทบไม่ต่างอะไรจากฟูดคอร์ตในห้างเลยสักนิด มีเมนูหลากหลายตั้งแต่อาหารไทย จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งมีคาเฟสุดน่ารักเอาไว้ให้ได้เช็กอินและพักผ่อน ที่นี่นอกจากพนักงานในบริษัทที่ลงมาหาอะไรกินช่วงพักเที่ยง ก็ยังมีลูกค้าที่มาติดต่องานและพนักงานจากบริษัทข้างๆ หรื
จะว่าไปก็เหนื่อยเหมือนกันนะ เรื่องตอนกลางวันทำให้มะเหมียวแทบไม่มีสมาธิทำงานทำการ คิดถึงสายตาของชมมุกที่มองมาเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกแปลกๆ ปกติเจอกันก็กัดกันตลอดไม่เคยนิ่งเฉยแบบนี้มาก่อนหรือว่า...ถ้าคิดตามพล็อตนิยายทั่วไปก็คงทำนองว่าต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันไปก่อนว่าอีกคนจะยังไง พอถึงเวลาก็หาทางหยิกหลังกัน แบบนั้นสินะเฮ้อ...คิดไปคิดมาก็เริ่มเหนื่อย วันนี้งานที่ต้องเดินไปมามีเยอะนิดหน่อยเลยหนักสำหรับเด็กแบตเตอร์รี่ต่ำอย่างเธอ ส่งผลให้ทันทีที่ขึ้นรถกลับบ้านตาก็เกือบจะปิด คอนี่ตกจนจะกลายเป็นโทรศัพท์ฝาพับอยู่แล้ว“เหนื่อยมากเลยเหรอ?”ภาคินทร์ที่ขับรถอยู่ถามเมื่อเห็นสภาพของเธอ เขาไม่ได้สนใจข้างนอกเลยเพราะมีงานให้ทำจนแทบจะลืมเวลา ไม่คิดว่าตอนใกล้ถึงเวลากลับบ้านอีกคนจะมีสภาพอย่างนี้“นิดหน่อยค่ะ” มะเหมียวตอบ เธอพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำตัวเหนื่อยต่อหน้าเจ้านายอย่างเขา แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ “คงเพราะหนูไม่ค่อยได้ทำงานติดต่อกันนานๆ ส่วนใหญ่ถ้าเหนื่อยก็จะนอนกลางวัน”“เป็นเด็กอนุบาลหรือไงมีนอนกลางวันด้วย”“ไม่ค่ะ แต่ว่าถ้าเรานอนกลางวัน ช่วงบ่ายก็จะมีแรงทำงานได้เยอะขึ้นนะคะ ได้ผลดีกว่ากาแฟอ
สามสาวแต่งหน้าแต่งตัวกันตั้งแต่เย็นจนหัวค่ำ พระอาทิตย์ตกดินทิ้งไว้เพียงความมืดทำให้แสงสว่างภายในงานโดดเด่นขึ้นมา ผู้คนที่ได้รับเชิญต่างแต่งกายด้วยชุดราตรีสำหรับงานเลี้ยงกลางคืนเข้ามาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เป็นหน้าที่ของหลานๆ ทั้งสามคนที่ต้องอยู่รับแขกแทนคุณย่าที่รับของขวัญจากผู้มาร่วมงานอยู่ที่โซนด้านในโดยมีน้ำหวานคอยดูแลไม่ห่างแต่จะว่าไปมีน้องชายสองคนคอยดูแลเขกในงานช่วยไม่ได้ทำให้ภาคินทร์รู้สึกสบายขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขาต้องไล่ทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ทั่วทั้งงาน ไอ้สองคนนั้นกลับแค่นั่งจิบแชมเปญสบายใจเฉิบไม่สนโลก ทิ้งเขาเหนื่อยอยู่คนเดียวเดี๋ยวเถอะไอ้พวกน้องเวร เดี๋ยวพ่อก็ยึดหุ้นในบริษัทแทนค่าเหนื่อยซะนี่ระหว่างที่เขากำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าน้องชายทั้งสองอยู่ในใจ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามาทักทาย เขาจำได้ว่านี่คือคู่ค้าคนสำคัญที่ย่าพาไปแนะนำตั้งแต่ยังเด็ก เรียกได้ว่าเป็นพาร์ทเนอร์ที่อยู่กับตระกูลคัลเลนมานานพอๆ กับบริษัทที่ก่อตั้งมาเลยก็ว่าได้“ผมต้องแสดงความยินดีเรื่องงานหมั้นของท่านประธานด้วยนะครับ เห็นว่าเป็นคนจากตระกูลวีรโชตกุล ค่อนข้างมีชื่อเลยนะนี่”ทว่าไอ้คำทักทายนั่นดัน
งานเลี้ยงไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด ผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักกับแม่แล้วก็พลอยรู้จักมะเหมียวไปด้วย ระหว่างที่เฮียไล่ทักทายผู้ใหญ่เขาก็หนีบเธอไปแนะนำตัวทำราวกับว่าเธอคือคู่หมั้นของเขาแล้วจริงๆ ทั้งที่ความจริงแล้วแค่พูดคุยกันในครอบครัวยังไม่ทันมีงานหมั้นเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำเรื่องของเรายังไม่ได้ประกาศออกไปอย่างชัดเจน แต่เขาก็ให้เกียรติเธอทุกทางทั้งยังแสดงออกชัดเจนว่ากำลังเดินหน้าจีบอยู่จริงๆ แม้ว่าทุกอย่างจะเร็วไปหน่อย แต่คิดถึงแล้วมันก็แอบอุ๋งอิ๋งอยู่ในใจในโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่ได้สมหวังกับคนที่ตัวเองชอบแบบนี้ แค่คิดหัวใจก็พองโตจนยิ้มไม่หุบแล้วแต่เขาว่ากันว่า อะไรที่ได้มาง่ายๆ นั้นไม่มีอยู่จริง เทียบกับความรู้สึกดีที่เธอได้รับจากความแสนดีของเขา มันก็คงต้องแลกกับบางอย่างเช่นกัน“คนนี้เหรอคะว่าที่คู่หมั้นท่านประธาน ลูกท่านหลานเธอที่ไหนทำไมดิฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของวันที่เธอได้ยินคนพูดอย่างนี้ใส่ตอนเห็นหน้าเธอ บางคนไม่เคยเห็นเธอในงานสังคมบ่อยเท่าชมมุกก็ทักผิดบ้าง จงใจบอกว่าเธอไม่ดีเท่าอีกคนบ้าง นั่นยังไม่เท่าไรเมื่อเทียบกับหลายคนที่รู้จักครอบครัวเธอ
ใครๆ ต่างก็บอกว่า เธอช่างโชคดีจังเลย เกิดมาไม่มีอะไรสักอย่าง ครอบครัวก็กลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ขนาดถึงขั้นล้มละลายก็ยังมีครอบครัวว่าที่สามีเอ็นดูซัพพอร์ตเสมอ ล้มแต่ละครั้งเหมือนล้มลงบนฟูก จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงนอยจนซึมไปหลายวัน แต่พอเล่าให้ภาคินทร์ฟัง เขาก็บอกว่าทำไมต้องสน คนพวกนั้นมีดีแค่พูดเรื่องคนอื่นไปวันๆ ไม่เห็นว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าเราตรงไหน ครอบครัวล้มละลายแล้วยังไง ต้องพึ่งพาครอบครัวสามีแล้วยังไง การมีคนที่พร้อมหนุนหลังเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงก็ดีกว่าตัวคนเดียวไม่ใช่หรือไงเพราะอย่างนั้น...เธอจึงปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีในวันแห่งความสุขของหลานชายคนโตตระกูลคัลเลน ต่อหน้าเพลงบรรเลงที่ดังคลออยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าดอกไม้ ผ้าประดับ เธอยังคงสั่นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าทุกก้าวบนพรมสีขาวที่นำไปสู่แท่นพิธี คือจุดจบของความวุ่นวายทั้งหมดที่ชีวิตได้เจอมาชีวิตที่ตกหลุมรัก
“ปล่อยกู กูบอกว่าให้ปล่อยกู!!”วัชระถูกจับกุมตัวในที่สุด เขาถูกตั้งข้อหาหนักทั้งทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง รวมไปถึงพยายามฆ่า ภาคินทร์ทำทุกอย่างแม้แต่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้เขาไม่ได้รับการประกันตัว แต่คนอย่างวัชระมีหรือจะยอม ทุกครั้งที่มีคนเข้าเยี่ยมเขามักจะโวยวายขอประกันตัวสู้คดี แต่คงไม่คิดว่าทุกครั้งจะเป็นภาคินทร์ที่เข้ามาเขาไม่ยอมให้มะเหมียวหรือใครได้เจอผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องบางเรื่อง คนของเขาช้ำใจแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่ามาเสียใจกับอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเลย อีกอย่างงานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อยากให้มีอะไรมากระทบทั้งนั้นแต่เห็นคนในชุดนักโทษแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ คนพวกนี้ทรยศครอบครัว หักหลังโดยคิดถึงแค่ผลประโยชน์ แค่ความพึงพอใจของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิต“กูบอกว่าให้ปล่อยกูไง ไปเรียกทนายมาเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ลูกเมียกูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย โธ่เว้ย!!!”วัชระทุบกระจกหนาตรงหน้าด้วยความหัวเสีย ระหว่างภาคินทร์และเขานอกจากกระจกหนาที่กั้นเอาไว้ยังมีตาข่ายเหล็กอีกชั้น ทั้งคนในห้องขังยังมีกุญแจมือสวมอยู่อีก อิสระที่หายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความขาดการ
“กรี๊— อุ๊บ!”มะเหมียวเผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ในจังหวะที่เธอหันมาแล้วเจอว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเพียงแค่อ้าปากยังไม่ทันได้ส่งเสียง กลับถูกมือเย็นๆ อุดปากเอาไว้ก่อน“ชู่ว อย่าเสียงดัง นี่โรงพยาบาลนะ”คนตรงหน้ายกมือขึ้นแตะปากตัวเองพลางบอกให้เธอเงียบ ดวงตาที่เบิกโพลงเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใครไอ้เฮียบ้า เขานี่เอง“ฮึก...” คนที่ทั้งกลัวทั้งตกใจเริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดนใส่มือภาคินทร์ที่ปิดปากของเธออยู่ เขาตกใจรีบปล่อยเธอให้เป็นอิสระก่อนจะถามเสียงตื่น“เป็นอะไรครับ เฮียขอโทษที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจมากไหมมาโอ๋ๆ นะ”เขารั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดจนทั้งตัวจมอก เสียงสะอื้นไม่มีท่าทีสงบลงง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวคนน้องเบาๆ แล้วพูดปลอบใจเท่านั้น“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”“ฮึก...ฮือ...”ตกใจเรื่องที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมคงไม่พ้นเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ มันอึดอัดมากจริงๆ ยากจะหาที่ระบายในยามที่ทุกคนต่างก็กำลังเครียด ทำได้แค่ร้องไห
เมื่อวานเกิดเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจู่ๆ คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมากที่สุดกลับไปโผล่ที่บริษัทหน้าตาเฉยวัชระ พ่อของมะเหมียวเขาเป็นประธานบริษัทเล็กๆ ที่ทำด้านส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อก่อนคุณย่าของเขาก็เคยร่วมหุ้นด้วยแต่พอเพื่อนรักอย่างคุณยายของมะเหมียวเสียท่านก็ขายหุ้นทิ้งและไม่ได้สนใจบริษัทนั้นอีก ภาคินทร์เพิ่งจะได้ข่าวว่าบริษัทขาดทุนหนักและกำลังจะล้มละลายแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้“คือว่า...อา...แค่เห็นว่าเราสองครอบครัวกำลังจะเกี่ยวดองกัน”ร้อยวันพันปีคนอย่างวัชระไม่เคยคิดเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลคัลเลน อย่าว่าแต่เรื่องเกี่ยวดองกัน แม้แต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดที่ทางนี้ต้องเผชิญข่าวเสียหายก็ไม่เคยเห็นหัว มีแค่วันนั้นที่คุณย่าเชิญเขามาร่วมงานในฐานะแขกเลยได้พบกันมันทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คนพรรค์นี้ให้เกียรติไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต ทั้งยังหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้“คุณอามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”คุยนานไปก็มีแต่จะเสียเวลา เขารีบตรงเข้าประเด็นพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลาง เขาไม่ได้กำลังทำตัวเสียมารยาทแต่กำลังหาข่าวของบริษัทนั
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...วัชระนั่งทำแผลอยู่ในบ้านตัวเองด้วยความเจ็บใจ นึกถึงเรื่องที่บ้านหลังนั้นแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด สองแม่ลูกนั่นมันกล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนี้ ที่ผ่านมาลูกสาวของเขาเป็นเด็กดี ว่าง่าย ไม่เคยเถียงพ่อแม้สักคำเดียว ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของแม่มันอย่างไม่ต้องสงสัย“แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยเป็นยังไงบ้างคะ เนี่ย ถ้าเราไม่หาเงินไปจ่ายค่าปรับในเดือนหน้าเราจะล้มละลายกันจริงแล้วนะคะ”กานพลู ภรรยาใหม่ของวัชระว่าด้วยสีหน้าหงุดหงิด หลังช่วยกันประคับประคองบริษัทมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ติดหนี้หัวโตกำลังถูกฟ้องล้มละลาย โชคยังดีที่มีเงินสดติดตัวอยู่บ้างให้พอได้ซื้อข้าวกินไปวันๆ แต่เรื่องหนี้สินก็เป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนคิดไม่ตกคิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนนั้นไม่น่าเห็นแก่เงินเป็นชู้กับผัวชาวบ้านจนมีลูกด้วยกัน วัชระในตอนนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เป็นลูกเขยของตระกูลที่มีทรัพย์สินกว่าห้าร้อยล้าน ซ้ำตอนที่เผลอใจมีอะไรกันหลายครั้งจนตั้งท้อง เขายังบอกให้หล่อนเก็บเรื่องลูกไว้เป็นความลับ จะเลี้ยงดูปูเสื่อสองแม่ลูกอย่างดีไม่ให้ลำบากเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่ลูกสาวคนเล็กของเขาอ
พ่อออกไปแล้ว ทิ้งความเงียบหลังความวุ่นวายเอาไว้ที่เบื้องหลัง ยอมรับว่าเรื่องเมื่อกี้เธอตกใจมากๆ จนแทบสติแตก แต่พอเห็นว่าแม่ที่จิตใจไม่ปกติพยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อต่อต้านพ่อเป็นครั้งแรก ลูกสาวอย่างเธอจึงต้องพยายามฮึบเพื่อไม่ให้แม่ต้องดิ่งมากไปกว่านี้เธอพาแม่ขึ้นมาบนห้องแล้ววานแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษแก้วให้ ก่อนจะส่งแม่เข้านอนโดยไม่พูดหรือไม่ถามอะไรแม่สักคำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระหว่างเราสองแม่ลูกจะไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ“เหมียวลูก...”ก่อนจะล้มตัวลงนอนเป็นแม่ที่พูดขึ้นมาก่อน ฝ่ามือสั่นเทายกขึ้นมาลูบกรอบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา มองรอยตบที่ตอนนี้เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็รับรู้ได้ว่าลูกคงเจ็บอยู่บ้าง“หนูเจ็บไหม แม่ขอโทษนะที่ปล่อยให้มันมาทำร้ายลูก”“ไม่เจ็บค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สมัยเรียนหนูก็ตบกับเพื่อนบ่อยจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่แรงตบเมื่อกี้ก็เริ่มทำพิษแล้วเช่นกัน เธอไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากไปกว่านี้ เรื่องแค่นี้เธอทนได้สบายมากอยู่แล้ว“แม่นอนพักนะคะ เรื่องวันนี้แม่ลืมมันไปซะ อย่าเก็บมาคิดอีก”“เหมียว แม่ถามจริงๆ นะลูก ถ้าเกิดว่าเฮียรู้เรื่องบ
มะเหมียวนั่งเล่นอยู่ที่โรงพยาบาลจนหมดเวลาเยี่ยม เธอดูนาฬิกาที่ข้อมือพบว่าตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้วแต่ยังไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้าจากคู่หมั้น ข้อความที่ส่งไปก็ยังไม่ได้รับการอ่านสงสัยว่าจะยุ่งมากแน่ เลยเลือกเรียกแกร๊บกลับบ้านเองโดยไม่บอกเขาก็จะให้บอกได้ยังไง เขาชอบทำเหมือนเธอเป็นเด็กเดินทางเองไม่เป็นอยู่เรื่อย โอเคเธออาจจะขับรถเองไม่เป็น ประสบการณ์อยู่ไทยก็น้อยเลยเดินทางไม่คล่อง แต่เรื่องเรียกรถกับความปลอดภัยบนรถโดยสารสาธารณะเธอเองก็ดูแลตัวเองเก่งไม่แพ้ใครหรอกแต่พอกลับมาถึงบ้าน ไฟที่เปิดสว่างอยู่ที่ชั้นล่างทำให้มะเหมียวแปลกใจเล็กน้อย ปกติเวลานี้ป้าดาน่าจะให้แม่กินยาหลับไปแล้ว แล้วทำไมยังมีไฟเปิดอยู่อีก“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ...คะ”ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นกลับไม่ใช่แม่ ชายวัยกลางคนที่เธอเคยเรียกว่าพ่อกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอบางอย่างความทรงจำในวันที่เธอกลับมาจากญี่ปุ่นหลังรู้เรื่องของพ่อกับแม่วนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง วันนั้นแม่อ้อนวอนเขาแทบตาย ร้องไห้แทบขาดใจขอร้องเขาว่าอย่าไป แต่สิ่งที่เขาทำคือสลัดแม่ทิ้งแล้วขึ้นรถไปกับผู้หญิงคนใหม่แล้วก็ลูกที่อายุน้อยกว่าเธอแ
เฮียบ้า คนขี้แกล้ง!เช้านี้มะเหมียวแทบจะลุกไม่ขึ้น ปวดไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเพราะถูกรังแกอยู่ค่อนคืน เฮียไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามันจะร้าวไปทั้งตัวแบบนี้ เมื่อคืนเธอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคือตื่นมาอยู่ในชุดนอนตัวโคร่งของเฮียโดยไม่มีเสื้อผ้าชิ้นอื่นประดับตัวอยู่เลยอ้ากกก ทำบ้าอะไรลงไปดีที่ตื่นมาแล้วเขาไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องเอาหน้ามุดดินหนีเป็นตัวตุ่นแน่ๆแกร๊กยังไม่ทันจบความคิดด้วยซ้ำประตูก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก เจ้าของเสื้อที่เธอสวมอยู่นี้โผล่หน้าเข้ามาแล้วชูถุงโจ๊กในมือพร้อมยิ้มแป้น“ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวสิ เฮียไปซื้อข้าวมาให้”ไปซื้อข้าวมาให้? มายก้อด พฤติกรรมจะแฟนเกินไปแล้ว เราเพิ่งจะตอบตกลงเป็นแฟนกันเมื่อวาน มาวันนี้เขาก็เซอร์วิสเธอขนาดนี้เลยเหรอ เตรียมใจไม่ทัน ตัวนี่ไม่ต้องพูดถึง เตรียมไม่ทันเหมือนกันค่ะ!มะเหมียวเลิ่กลั่กอยู่ในห้องพักใหญ่ๆ เดินวนไปมาก็เจอร่องรอยอารยธรรมที่เราทำกันเมื่อคืน ทั้งเศษซองถุงยางชิ้นเล็กๆ ที่ยังเก็บทิ้งไม่หมด แล้วไหนจะผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่จนหลุดทั้งสี่มุม น่าแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่ได้มีรอยเลือดเหมือนอย่างที่เคยดูในละคร ทั้งที่นี่
“เหมียว...”ภาคินทร์คลานขึ้นไปบนเตียงพลางเรียกชื่ออีกคนเสียงแผ่ว สายตามองไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปที่ใบหน้าหวาน ถ้าเปรียบเธอเป็นอาหาร ตอนนี้คงเป็นเค้กครีมสีขาวนวลที่มีสตรอว์เบอร์รี่ออนท็อปอยู่ข้างบน“เด็กดีของเฮียน่ารักจัง”“พอแล้วค่ะ หนูอายไปหมดแล้วนะ”“อายอะไรครับ เดี๋ยวคืนแต่งงานก็ต้องทำอยู่ดี”จุ๊บริมฝีปากอุ่นฉกชิมความหวานไปอย่างไม่รู้จักอิ่ม แรงดูดดึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือก็ปลดบราน้องออกแล้วโยนทิ้งเหมือนไม่ต้องการมันอีกต่อไป แต่แทนที่คนขี้อายอย่างมะเหมียวจะยอม เธอกลับสู้เขาคืนด้วยการค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้แล้วถอดมันออกเองกับมือเด็กมันสู้จริงๆไม่มีปราการใดกั้นระหว่างเราทั้งคู่อีกต่อไปแล้ว ภาคินทร์ทิ้งตัวลงกอดน้องแนบแน่น มือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนขณะที่ตะโบมจูบจนอีกฝ่ายหายใจไม่ทัน ก่อนจะไล่มือลงมาที่บั้นท้ายเนียนแล้วบีบเคล้นเบาๆ แกล้งให้คนน้องตกใจเล่น“อื้อ”เสียงครางเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกับสะโพกที่ยกอย่างลืมตัว มือไม้น้องจิกเกร็งไปหมดไม่รู้ว่าจะเอาวางไว้ตรงไหน จะจับไหล่เขาก็ไม่กล้า ทำได้เพียงจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ถึงตอนนี้ภาคินทร์อยากกลืนน้องลงท้องให้รู้แล้วรู้รอ