“เซียนเซียนอย่าพูดคำว่าหย่าอีกเลยได้หรือไม่ ได้ยินเจ้าพูดคราใดหัวใจข้าแสนเจ็บปวด ราวกับว่าถูกมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบขยำหัวใจดวงนี้จนแหลกลาญ เซียนเซียน ข้าไม่มีวันหย่ากับเจ้า ไม่ว่าจะวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่มีทางหย่า ได้โปรดอย่าพูดว่าอยากหย่ากับข้าอีกเลยนะ เพราะข้าคงทำให้เจ้าไม่ได้ หากเซียนเซียนอยากรู้ว่าทำไมข้าต้องสนิทกับโจวเฟิ่งจิ่วข้าจะเล่าให้ฟัง สงสัยสิ่งใดอยากรู้สิ่งใดข้าจะบอกออกไปให้หมด จะไม่มีสิ่งใดปิดบังอีกแล้ว แต่ได้โปรด อย่าพูดคำนั้นอีกเลยนะ ข้าเจ็บ”หลี่เหวินหลางบอกนางตามความรู้สึกแท้จริงของตน ดวงตาที่มองไปทั้งเสียใจและเจ็บปวด จนไป๋ฟางเซียนไม่สามารถทนมองได้นางไม่อยากใจอ่อน จึงไม่ต้องการมองสายตาร้าวรานของเขา นางจะให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง หากเขาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด นางจะตัดสินใจอีกทีว่าควรทำเช่นไรต่อไป แต่หากเขาไม่ยอมพูด เรื่องระหว่างเขาและนางคงได้ถึงทางตัน เมื่อตั้งหลักได้จึงหันหน้าประสานสายตาอีกครั้ง สายตาของนางแม้เรียบนิ่ง แต่กลับบอกหลี่เหวินหลางว่าให้เขาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดมา“เจ้าคงสงสัยว่าข้าคิดเช่นไรกับโจวเฟิ่งจิ่วกันแน่ใช่หรือไม่” เห็นนางพยักหน้ารับก็เอ่ยต่อ“ข้าม
“ทุกอย่างเป็นจริงดังเช่นที่ฝ่าบาทสงสัย เสนาบดีโจวเหลียงเกากระทำความผิดจริง ลอบยักยอกคลังหลวง ทั้งยังซ่องสุมกำลังพล เลี้ยงดูกลุ่มโจรทางตอนใต้ อำนวยความสะดวกให้พ่อค้าคนสนิท ส่งเกลือและข้าวของไปขายที่ต่างแคว้น แล้วเก็บเงินเข้าคลังตนเอง”ได้ยินเช่นนั้นไป๋ฟางเซียนก็อ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ รู้อยู่ว่าทุกยุคสมัยย่อมมีการกินนอกกินในทุจจริตอยู่เสมอ แต่ไม่คิดว่าคนที่องค์ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยจะหักหลังพระองค์ด้วยการยักยอกคลังหลวง หาเงินเข้ากระเป๋าตนเองอย่างไม่รู้สำนึกเช่นนี้ ทั้งยังส่งไปขายต่างแคว้นแทนที่จะส่งขายตามเมืองต่าง ๆ ให้ประชาชนได้ซื้อหา“ตกใจใช่หรือไม่ ที่น่าตกใจกว่าคือโจวเฟิ่งจิ่ว ภาพลักษณ์ดอกบัวขาวของนางหลอกผู้คนได้อย่างดี กระทั่งข้ายังเผลอไผลไปชั่วครู่ จนได้มารู้ความจริงยามสืบเรื่องราวในจวนตระกูลโจว ว่านางหาได้เป็นดอกบัวขาวดังที่ผู้คนเข้าใจไม่ โจวเฟิ่งจิ่วมีอารมณ์รุนแรงร้ายกาจ กิริยามารยาทต่ำทราม ตบตีบ่าวไพร่ กระทำตัวไร้เหตุผล แต่ที่ร้ายแรงและน่ารังเกียจที่สุดคือ นางฆ่าบ่าวไพร่ของตนเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ถูกใจนาง หากใครหน้าตางดงามไม่ถูกทำให้เสียโฉมก็ถูกขายสู่หอนางโลม วีรกรรมของ
หลี่เหวินหลางนิ่งอึ้งด้วยคิดไม่ถึงว่านางจะโพล่งถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ เมื่อครู่เพิ่งจะคุยเรื่องราวอื่น ๆ อยู่มิใช่หรือ เหตุใดนางถามเขาเรื่องหัวใจได้เล่า ไป๋ฟางเซียนเห็นเขานิ่งเงียบจึงถามซ้ำอีกครั้งด้วยหัวใจสั่นไหว“ว่าเช่นไรเล่า ท่านรักข้าจริง ๆ หรือ” เป็นฝ่ายถามมิใช่ว่าไม่อาย นางอายจะแย่อยู่แล้ว แต่ที่ต้องถามเพราะต้องการรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไรกับตนกันแน่ นางจะได้จัดการความรู้สึกตนเองถูก และวางแผนอนาคตข้างหน้าของตนหลังจากนี้ต่อไปได้ จะได้รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไปดี หากจะให้รอให้เขาเป็นฝ่ายบอกนางด้วยตนเอง เกรงว่าชาตินี้คงจะไม่ได้ยินแล้วอีกอย่างแม้เขาจะเคยบอกรักตน ทว่ายามนั้นเป็นเพราะมีเรื่องไม่เข้าใจกัน กลัวว่าเขาจะพูดให้นางใจอ่อน ดังนั้นตอนนี้นางจึงอยากได้ยินอีกครั้งจากปากเขา ความรู้สึกต่าง ๆ จะได้ชัดเจนเสียที ดวงตากลมโตนัยน์ตาดำขลับจับจ้องไปยังบุรุษตรงหน้าอย่างรอคอยและคาดหวังในคำตอบ ทว่าเมื่อเห็นเขาส่ายหน้าไปมานางก็รู้สึกผิดหวัง ไป๋ฟางเซียนก้มหน้าหลุบสายตาลงต่ำมองมือของตนเอง ที่นางดึงกลับมาประสานไว้บนหน้าตักด้วยความเสียใจ ความผิดหวังเข้าโจมตีหัวใจดวงน้อยจนนางตั้งรับไม่ทัน กระทั่
ฮื่อ! ไป๋ฟางเซียนอยากข่วนหน้าหล่อ ๆ ของเขานัก ช่างหน้าด้านหน้าทน พูดมาแต่ละอย่างไม่อายปากอายฟ้าอายดินบ้างเลย“ท่านแกล้งข้า”“ข้าพูดความจริงทั้งนั้น” ไป๋ฟางเซียนเม้มปากด้วยความขัดใจเมื่อตอบโต้เขาไม่ได้ หลี่เหวินหลางหัวเราะอย่างเป็นสุข ด้านนอกฝนยังคงตกไม่หยุด อากาศก็เย็นลง ทั้งเวลาก็ผ่านมานานแล้ว เกรงว่านี่คงจะยามโหย่ว[1] แล้วกระมัง พลางมองสาวงามตรงหน้าก็เห็นอีกฝ่ายหน้าตาบูดบึ้งแง่งอนตน แม่ทัพหนุ่มก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มขำ“ไม่แกล้งแล้วก็ได้ เซียนเซียนหายงอนได้หรือไม่”ไม่แกล้งแล้วบ้าอะไร! ความวิบวับในดวงตาและริมฝีปากที่กระตุกไปมาพร้อมจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทุกเมื่อนั่นเล่า ไม่ใช่กลั้นขำนางอยู่หรือ! สายตาล้อเลียนนี่อีก หมายความว่าเช่นไร ช่างพูดตรงข้ามกับความเป็นจริงเหลือเกิน นางสะบัดหน้าหนีพลางพ่นลมหายใจออกมาจากปากก่อนจะถามเขาอีกครั้งว่า“แล้วท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่ไป๋ฟางเซียนคนเดิม”“มั่นใจสิ เพราะถ้าเป็นไป๋ฟางเซียนคนเดิมคงต้องส่งยิ้มหวาน มอบสายตาเอียงอายให้ข้าอยู่เสมอ ทั้งยังพยายามทำตัวใกล้ชิด แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของข้าจนเกินงาม อีกอย่าง สายตาที่นางมองมามีแต่ความหลงใหลเทิด
หลังจากถามออกไป หลี่เหวินหลางก็จับจ้องดวงหน้างามอย่างรอคอยคำตอบ แม้จะรู้ว่านางรู้สึกเช่นไรกับตน ทว่าเขายังอยากได้ยินนางพูดมันออกมาอยู่ดี หากถูกนางบอกรัก เขาคงมีความสุขอย่างมากเป็นแน่ส่วนคนที่ถูกถามอย่างไป๋ฟางเซียนก็นิ่งงันไป นางรู้หัวใจตนเองดีว่ารู้สึกเช่นไรกับเขา แต่การถูกถามอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ก็ทำให้นางอดขวยอายไม่ได้หัวใจของไป๋ฟางเซียนเต้นแรง ยิ่งเห็นสายตาอ่อนหวานที่มองมาของเขาด้วยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจก็สูงขึ้น จนนางเกรงว่าจะกระดอนออกมานอกอก ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ค่อย ๆ ไล่มองอย่างละเอียดไปตามลำดับ กระทั่งมาถึงริมฝีปากหยักได้รูป ลำคอของนางก็แห้งผาก จนต้องกลืนน้ำลายลงไป ครั้นมองมากเกินไปก็รู้สึกแปลก ๆ ภายในใจรู้สึกวูบวาบ ภายในช่องท้องวูบโหวงราวกับมีผีเสื้อบินวน เป็นความรู้สึกที่นางไม่สามารถบรรยายได้“ว่าเช่นไรเล่า เจ้ารู้สึกเช่นไรกับข้า” เห็นนางไม่ตอบเขาจึงได้ถามซ้ำ ไป๋ฟางเซียนหันหน้าหนีด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจจะทำให้นางเขินอาย สายตาของเขาบอกนางว่ารู้อยู่แล้วว่านางรู้สึกเช่นไร ทว่าถึงรู้ก็ยังจะถาม นี่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าอยากกลั่นแกล้งนางหรอกหรือ“เซียนเซีย
“เอาละ ข้าจะพูดความรู้สึกทั้งหมดของตนเองให้ท่านได้ฟัง”หลี่เหวินหลางที่หันหน้าไปเขี่ยฟืนเติมเชื้อไฟเพื่อให้กองไฟไม่มอดดับ ก็หยุดการกระทำของตนลงทันทีที่ได้ยินสตรีที่รักพูดเช่นนั้น ก่อนหันมามองนางด้วยรอยยิ้ม แล้วต้องค่อย ๆ หุบยิ้มลงเมื่อนางมีข้อแม้ขึ้นมา“แต่ท่านต้องตอบคำถามข้าเรื่องหนึ่งก่อน”คิ้วเข้มขมวดเป็นปมพลางว่า “เรื่องอะไร”“ทำไมท่านถึงดูเกลียดไป๋ฟางเซียนนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ออกจะรักท่านเสียขนาดนั้น ข้ายังจำได้ไม่เคยลืมว่าตั้งแต่วันแรกที่ข้าเจอหน้าท่าน ท่านพูดตอกหน้าข้าด้วยคำพูดเจ็บแสบเช่นไร อีกอย่างในเมื่อท่านเกลียดนาง แต่ข้าอยู่ในร่างนาง ท่านจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหน่อยหรือยามมองหน้าข้า แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวันข้างหน้าท่านจะไม่ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าทอข้าให้เจ็บปวดหัวใจเล่นอีก”ดวงตาของหลี่เหวินหลางหรี่แคบมองคนที่บอกจะให้เขาตอบนางเรื่องเดียวทว่ากลับถามเสียมากมายอย่างนึกเอ็นดู จิ้งจอกน้อยก็คือจิ้งจอกน้อย ไม่ว่านางจะถามหรือกระทำสิ่งใด สำหรับเขาแล้วย่อมได้ทั้งนั้น ส่วนเรื่องที่นางถาม หากนางอยากรู้เขาก็จะบอก และถ้าการที่บอกออกไปแล้วจะทำให้ได้ยินคำว่ารักจากปากนางเร็วขึ้น เขายินดียิ่ง
“และตั้งแต่วันนั้นไป๋ฟางเซียนก็หนักข้อขึ้นทุกวัน นอกจากจะเอาแต่ใจตนเองมากแล้ว ยังเริ่มรังแกบ่าวไพร่ที่ขัดหูขัดตาตน แม้จะไม่ถึงกับเลือดตกยางออก แต่บ่าวไพร่ที่โดนกระทำต่างก็เจ็บป่วยไปตาม ๆ กัน ข้าไม่ชอบและโกรธที่นางทำตัวเช่นนั้นมาก หากก็ไม่ได้ห้ามปรามนางเช่นกัน เพราะข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางแล้ว นิสัยนางให้ท่านแม่อบรมสั่งสอนเถิด บอกตามตรงข้าอึดอัดมาก ข้าคิดกับนางเพียงแค่น้องสาวเท่านั้นจริง ๆ ข้าทนเห็นสายตารักใคร่หลงใหลในตัวข้าจากนางไม่ไหว วันเวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ นางก็ปฏิบัติตัวเช่นเดิม จนวันหนึ่งข้าได้รู้จักโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาไป๋ฟางเซียนที่จวน เห็นนางเรียบร้อยอ่อนหวาน อ่อนโยน คล้ายกับไป๋ฟางเซียนครั้งอดีต ก็อดที่จะให้ความเอ็นดูไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็เจอกันบ่อยขึ้น เรียกได้ว่าบ่อยกว่าที่ข้าเจอไป๋ฟางเซียนเสียอีก เจ้าว่าเรื่องเป็นเช่นไรต่อ” เขาหันไปถามคนที่จ้องตาแป๋ว“ข้าเดาว่าพอไป๋ฟางเซียนรู้เข้าก็แผลงฤทธิ์”“ถูกต้อง พอนางรู้ว่าข้าและโจวเฟิ่งจิ่วพบเจอกันอยู่นอกจวน ก็เริ่มรังแกสหายตนเองด้วยการสกัดขาบ้าง ผลักบ้าง จนอีกฝ่ายเจ็บตัว แล้วนางก็แก้ตัวว่านางไม่ได้ทำ มันเป็นอุบัติเหตุ เป็นเช่น
เจ้าของดวงหน้าหวานช้อนสายตามองชายหนุ่มด้วยแววตาทอประกายหวานล้ำ หัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม ก่อนที่ริมฝีปากบางจะขยับไหว เอื้อนเอ่ยคำที่หลี่เหวินหลางต้องการฟังที่สุดออกมา“ข้ารักท่าน รักทั้ง ๆ ที่ท่านปากร้ายใส่ข้า รักทั้งที่ท่านทำตัวร้ายกาจกับข้า รักในความเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้ของท่าน ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อใด รู้ตัวอีกทีก็รักท่านจนไม่อาจถอนตัวได้แล้ว”“เซียนเซียน เรียกข้าว่าท่านพี่ไม่ได้หรือ” หลี่เหวินหลางที่ได้ยินคำสารภาพรักจากปากนางแล้วก็มีความสุขมาก ก่อนจะรู้สึกไม่เห็นด้วยที่นางยังคงเรียกเขาว่าท่าน ๆ ๆ มิใช่ท่านพี่ จึงร้องขอด้วยตนเองด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มออดอ้อนน่าฟัง เป็นเช่นนี้ไป๋ฟางเซียนจะต้านทานได้อย่างไร นางจึงตอบรับและเรียกขานเขาด้วยคำดังกล่าวอย่างว่าง่าย นั่นทำให้หลี่เหวินหลางฉีกยิ้มเต็มใบหน้าจนเห็นฟันขาวอย่างชัดเจน“เจ้าค่ะ ท่านพี่”“ดียิ่ง เซียนเซียนเจ้าได้ยินเสียงหัวใจพี่หรือไม่ ได้ยินหรือไม่ว่ามันเต้นดังและรุนแรงเพียงใด” ไม่พูดเปล่าเขาจับมือน้อยไปทาบทับที่บริเวณหัวใจด้วยอยากให้นางรู้ว่าที่พูดออกไปนั้นคือเรื่องจริงไป๋ฟางเซียนก้มหน้าหลุบสายตาลงต่ำอย่างเขินอาย สัมผั
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก