“และตั้งแต่วันนั้นไป๋ฟางเซียนก็หนักข้อขึ้นทุกวัน นอกจากจะเอาแต่ใจตนเองมากแล้ว ยังเริ่มรังแกบ่าวไพร่ที่ขัดหูขัดตาตน แม้จะไม่ถึงกับเลือดตกยางออก แต่บ่าวไพร่ที่โดนกระทำต่างก็เจ็บป่วยไปตาม ๆ กัน ข้าไม่ชอบและโกรธที่นางทำตัวเช่นนั้นมาก หากก็ไม่ได้ห้ามปรามนางเช่นกัน เพราะข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางแล้ว นิสัยนางให้ท่านแม่อบรมสั่งสอนเถิด บอกตามตรงข้าอึดอัดมาก ข้าคิดกับนางเพียงแค่น้องสาวเท่านั้นจริง ๆ ข้าทนเห็นสายตารักใคร่หลงใหลในตัวข้าจากนางไม่ไหว วันเวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ นางก็ปฏิบัติตัวเช่นเดิม จนวันหนึ่งข้าได้รู้จักโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาไป๋ฟางเซียนที่จวน เห็นนางเรียบร้อยอ่อนหวาน อ่อนโยน คล้ายกับไป๋ฟางเซียนครั้งอดีต ก็อดที่จะให้ความเอ็นดูไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็เจอกันบ่อยขึ้น เรียกได้ว่าบ่อยกว่าที่ข้าเจอไป๋ฟางเซียนเสียอีก เจ้าว่าเรื่องเป็นเช่นไรต่อ” เขาหันไปถามคนที่จ้องตาแป๋ว“ข้าเดาว่าพอไป๋ฟางเซียนรู้เข้าก็แผลงฤทธิ์”“ถูกต้อง พอนางรู้ว่าข้าและโจวเฟิ่งจิ่วพบเจอกันอยู่นอกจวน ก็เริ่มรังแกสหายตนเองด้วยการสกัดขาบ้าง ผลักบ้าง จนอีกฝ่ายเจ็บตัว แล้วนางก็แก้ตัวว่านางไม่ได้ทำ มันเป็นอุบัติเหตุ เป็นเช่น
เจ้าของดวงหน้าหวานช้อนสายตามองชายหนุ่มด้วยแววตาทอประกายหวานล้ำ หัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม ก่อนที่ริมฝีปากบางจะขยับไหว เอื้อนเอ่ยคำที่หลี่เหวินหลางต้องการฟังที่สุดออกมา“ข้ารักท่าน รักทั้ง ๆ ที่ท่านปากร้ายใส่ข้า รักทั้งที่ท่านทำตัวร้ายกาจกับข้า รักในความเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้ของท่าน ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อใด รู้ตัวอีกทีก็รักท่านจนไม่อาจถอนตัวได้แล้ว”“เซียนเซียน เรียกข้าว่าท่านพี่ไม่ได้หรือ” หลี่เหวินหลางที่ได้ยินคำสารภาพรักจากปากนางแล้วก็มีความสุขมาก ก่อนจะรู้สึกไม่เห็นด้วยที่นางยังคงเรียกเขาว่าท่าน ๆ ๆ มิใช่ท่านพี่ จึงร้องขอด้วยตนเองด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มออดอ้อนน่าฟัง เป็นเช่นนี้ไป๋ฟางเซียนจะต้านทานได้อย่างไร นางจึงตอบรับและเรียกขานเขาด้วยคำดังกล่าวอย่างว่าง่าย นั่นทำให้หลี่เหวินหลางฉีกยิ้มเต็มใบหน้าจนเห็นฟันขาวอย่างชัดเจน“เจ้าค่ะ ท่านพี่”“ดียิ่ง เซียนเซียนเจ้าได้ยินเสียงหัวใจพี่หรือไม่ ได้ยินหรือไม่ว่ามันเต้นดังและรุนแรงเพียงใด” ไม่พูดเปล่าเขาจับมือน้อยไปทาบทับที่บริเวณหัวใจด้วยอยากให้นางรู้ว่าที่พูดออกไปนั้นคือเรื่องจริงไป๋ฟางเซียนก้มหน้าหลุบสายตาลงต่ำอย่างเขินอาย สัมผั
แม่ทัพหนุ่มมองสบตากับนางด้วยความรักใคร่ ล่อหลอกให้นางหลงมัวเมาอยู่ในวังวนที่เขาสร้างขึ้น แต่ตอนนี้หลี่เหวินหลางก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าเป็นใครที่กำลังหลงกันแน่ เพราะตอนนี้ตนก็ไม่สามารถถอนสายตาออกมาได้แล้ว แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนที่หลง ผลของมันก็คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่หรือ คือรักอีกผู้จนไม่มีพื้นที่ว่างให้ใครอย่างไรเล่าใบหน้าหล่อเหลาคมคายโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้าหวานช้า ๆ กระทั่งริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกัน หลี่เหวินหลางจึงค่อย ๆ บดจูบขบเม้มกลีบปากอิ่มทั้งล่างและบน เขาทำมันอย่างเชื่องช้า เต็มไปด้วยความทะนุถนอมรักใคร่ ครั้นนางคุ้นชินกับสัมผัสของเขาแล้ว แม่ทัพหนุ่มจึงสอดแทรกเรียวลิ้นหนา กวาดต้อนไปทั่วโพรงปากหวาน ราวกับต้องการสำรวจ ก่อนจะดูดดึงเรียวลิ้นเล็กอย่างคนเอาแต่ใจ“อืออ อืม”คนเก่งกาจสามารถบริหารจัดการร้านเฟยเจินให้กลับมารุ่งเรืองได้ยามนี้หัวสมองของนางกลับพร่าเลือน สัมผัสวาบหวามชวนให้ใจหวิวนี้ พานให้ร่างกายนางสั่นสะท้านขนลุกเกรียวตอบรับสัมผัสเขา สติของนางเลือนหายกระเจิดกระเจิง ลมหายใจของสองหนุ่มสาวหอบถี่และหนักขึ้นเรื่อย ๆ รสจูบก็เช่นกัน เริ่มแรกอ่อนโยนกลับกลายเป็นร้อนแรงเสียจนคนถูกจูบหายใ
ด้านนอกฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่หยุด ทั้งยังแรงขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าวันนี้เขาและนางคงได้แค่นอนในถ้ำ แล้วพรุ่งนี้ค่อยย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อไปสมทบกับพรรคพวก หรือไม่บางที ซูเฉินและพลทหารอีกหลายนายอาจตามมาเจอเขาก่อนก็เป็นได้ไป๋ฟางเซียนที่เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสหวาม ยามนี้นางหลับตาพริ้มอย่างรอคอยสัมผัสจากเขา สัมผัสที่หลี่เหวินหลางเป็นฝ่ายจุดมันขึ้นมา ก็ให้แปลกใจเมื่อไม่มีอันใดเกิดขึ้นกับนางเสียที คิ้วเรียวสวยค่อย ๆ มุ่นเข้าหากัน ห้วงความคิดเกิดคำถามขึ้นเต็มไปหมด ไหนเล่าสัมผัสวาบหวิวที่นางเฝ้ารอ หลี่เหวินหลางทำอันใดอยู่ เหตุใดจึงไม่สานต่อให้มันจบสิ้น?แพรขนตาหนาค่อย ๆ ขยับไหว ก่อนที่เปลือกตาบางจะเปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตากระจ่างใส ที่มีคลื่นอารมณ์หวามและความไม่เข้าใจฉายชัด นางมองเขาด้วยความมึนงง ก่อนจะส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปให้หลี่เหวินหลางที่เห็นสีหน้าแววตาของไป๋ฟางเซียนก็รู้ได้ทันทีว่านางรู้สึกเช่นไร ความไม่พอใจของนางแม้จะเพียงแวบเดียวเขาก็สัมผัสได้ และเข้าใจทันที เพราะตนเองก็เผชิญกับความรู้สึกเดียวกัน ความรู้สึกอัดอั้นต้องการปลดปล่อย แต่ไม่สามารถทำได้ ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างทรมานเสียจริง
หลี่เหวินหลางประกบปากบางบดจูบร้อนแรงและเรียกร้องในคราวเดียว ไป๋ฟางเซียนครางประท้วงในลำคอ ทว่าแม่ทัพหนุ่มกลับไม่คิดใส่ใจ ยามเขาอดทนอดกลั้นทำไมนางไม่เห็นใจเขาบ้างเล่า ยามนี้จะมาพูดคุยอะไรอีกไม่พงไม่พูดมันแล้ว! หากจะพูดก็ใช้กายใจพูดเถิด เพราะตอนนี้เขาร้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว เหวินไม่น้อยร้อนผ่าวแข็งขึงขนาดนี้ หากให้อดรนทนต่อไป มีหวังเขาได้ตายแน่ไป๋ฟางเซียนสะดุ้งกายเมื่อมือสากที่เกิดจากการจับดาบมาทั้งชีวิตของหลี่เหวินหลางกอบกุมเต้างาม แล้วเคล้นคลึงบดขยี้ตามแรงอารมณ์ แม่ทัพหนุ่มครางสูงต่ำในลำคอด้วยความพอใจกับความเต็มไม้เต็มมือ เขาจูบปากนางหนัก ๆ อีกครั้งก่อนจะผละออก พอผละออกแล้วก็ให้รู้สึกเสียดาย อยากจูบเชื่อมความสัมพันธ์ให้แนบแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม หลี่เหวินหลางซุกใบหน้าที่ซอกคอหอมกรุ่น ใช้ปลายลิ้นโลมเลียดูดดึงจนเกิดรอยแดง ค่อย ๆ ไล่เล็มจูบซับไปยังไหปลาร้า ทุกพื้นที่ที่ปากเขาลากผ่านจะมีร่องรอยสีกุหลาบเกิดขึ้นให้เห็นฝ่ามือใหญ่บีบเคล้นความนุ่มนิ่มไว้เต็มอุ้งฝ่ามือ ร่างบอบบางของไป๋ฟางเซียนถูกผลักดันให้นอนลงไปบนพื้น ที่ถูกปูด้วยอาภรณ์เรียบร้อยรอแล้ว แม่ทัพหนุ่มหยัดกายขึ้นกวาดตามองเจ้าของเรือนร่
“ท่านพี่เจ้าขา”นางร้องเรียกเสียงหวาน ยามถูกเรียวลิ้นร้อนชื้นปัดป่ายไปทั่วบุปผานุ่ม กลีบกุหลาบงามถูกดูดดึงเดี๋ยวเบาเดี๋ยวแรงสลับกัน จนต้องร้องครางออกมาระบายความหฤหรรษ์ที่ก่อเกิด ก่อนที่นางจะเม้มปากแน่นเพื่อกั้นเสียงน่าอายเอาไว้แม่ทัพหนุ่มดูดกลืนน้ำหวานสีใสอย่างตะกละตะกลาม เขาไล้เลียอีกพักใหญ่ก็หันไปดูดดึงปุ่มกระสัน“อ๊าย! ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าขา ฮือ”ไป๋ฟางเสียงร้องลั่นดังก้องไปทั่วถ้ำ สะโพกมนลอยขึ้นไม่ติดพื้น กายบางสั่นสะท้าน เมื่อถูกเขาดูดดึงปุ่มอ่อนไหวของตน มือที่ยังคงเกาะกุมใบหน้าเคลื่อนไปวางบนศีรษะ จากตอนแรกที่ตั้งใจจะดึงกลุ่มผมดกดำให้เต็มแรง เพื่อที่เขาจะได้หยุดรังแกตนเสียที กลับกลายเป็นว่าจับยึด กดใบหน้าของเขา ลงแนบชิดกับบุปผางามมากขึ้นเสียอย่างนั้นหลี่เหวินหลางครางอืออาในลำคอด้วยความพอใจกับความหอมหวานที่ได้รับ ช่องทางรักถูกเพิ่มขึ้นเป็นสองนิ้วในบัดดล ขาสองข้างของไป๋ฟางเซียนสั่นเทิ้มคล้ายไร้เรี่ยวแรง ก่อนถูกเขาจับให้กางออกกว้างกว่าเดิมทันที“ขะข้า อืม ท่านพี่เจ้าขา”ไป๋ฟางเซียนรู้สึกแปลก ๆ กับสัมผัสวาบหวามที่ได้รับ ยามนี้มีผีเสื้อนับหมื่นบินวนในช่องท้อง ทำให้รู้สึกวูบวาบไปทั่วส
ไป๋ฟางเซียนรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก นางเริ่มขยับตัวไปมาราวกับต้องการจะปลดปล่อย สายตาหวานช้อนขึ้นมองเขาอย่างอ้อนวอนหลี่เหวินหลางยกมือเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดซึมตามกรอบหน้าให้นางอย่างอ่อนโยน ดวงตาฉ่ำปรือที่มองมาทำให้เขาแทบหมดความอดกลั้นเผลอกระแทกหนัก ๆ ไปหนึ่งครั้ง“อื้อ!” นางถลึงตามองเขาอย่างแง่งอน“เซียนเซียนยังเจ็บอยู่หรือไม่” เขาถามเมื่อรู้สึกว่าความอดทนที่มีจะหมดลงแล้ว“เจ็บเจ้าค่ะ” กรามแกร่งขบแน่นขึ้นกว่าเดิมจนเกิดเสียงดังกรอด ทว่าก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินนางบอกว่า“แต่ข้าก็เสียวด้วย เอ่อ อึดอัดด้วยเจ้าค่ะ ท่านพี่... ขยับได้หรือไม่เจ้าคะ”“ตามแต่เจ้าต้องการ พี่ตามใจเซียนเซียนที่สุด”แม่ทัพหนุ่มหยัดกายขึ้น สองมือนาบไปกับพื้นถ้ำ คร่อมตัวของไป๋ฟางเซียนไว้ ก่อนจะขยับกายเข้าออกอย่างเชื่องช้า แหงนเงยใบหน้าขบกรามแกร่ง เมื่อช่องทางรัดบีบรัดตัวตนเขาแน่นเกินไป“อา... แน่นเหลือเกินเซียนเซียน แน่นจนพี่อยากรักเจ้าอย่างรุนแรง”ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นดวงหน้าหวานก็แดงก่ำ แต่ก็บอกเขาไปอย่างเขินอายว่า“ท่านพี่อยากทำอันใดก็ทำสิเจ้าคะ ข้าไม่ได้ห้ามเสียหน่อย”แม้นางจะพูดเสียงค่อยแต่เขากลับได
ปลายยามเหม่า[1]รุ่งเช้าวันใหม่มาเยือน เสียงสัตว์เล็ก ๆ ร้องกระเซ็นแซ่ วิหคน้อยโผบินออกจากรัง เป็นสัญญาณการเริ่มต้นของวันใหม่ ทว่าภายในถ้ำกลางป่า มีสองร่างหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษนอนเคียงคู่ อิงแอบแนบชิดสนิทกันด้วยสภาพไม่เรียบร้อยนัก อาภรณ์หลุดลุ่ยเสียจนเปิดเปลือยผิวกายช่วงบนไป๋ฟางเซียนครางประท้วงด้วยน้ำเสียงยานคางเมื่อรู้สึกหนาว ก่อนจะตั้งใจเบียดตัวกระชับอ้อมแขนกอดเอวสอบไว้มั่น ใบหน้าซีกซ้ายแนบไปกับแผงอกกว้าง เมื่อได้รับไออุ่นที่ต้องการแล้วมุมปากบางจึงยกยิ้มอย่างพอใจพร้อมหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขขณะเดียวกันหลี่เหวินหลางที่ถูกนางเบียดและกอดรัด ก็พยายามข่มใจอย่างหนัก ความเย็นของอากาศไม่ได้ทำให้เขาหนาวแต่อย่างใด ทว่าตามกรอบหน้ากลับปรากฏเหงื่อเม็ดเล็กผุดออกมา ต้นเหตุของความร้อนในกาย เกรงว่าจะเป็นเจ้าของร่างบอบบางที่ซุกซบบดเบียดเนื้อตัวนุ่มนิ่มเข้าหาเขากระมังหลี่เหวินหลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ข่มใจอย่างมากที่จะไม่จับนางมากระแทกกระทั้น ให้สาสมกับความต้องการ ที่ถูกปลุกขึ้นโดยไม่ตั้งใจนี้ “เซียนเซียน ตื่นเถิดเช้าแล้ว” แม้ไม่อยากปลุกเพราะอยากให้นางนอนพักผ่อนให้เพียงพอก็ทำไม่ได้ ด้วยเกรงว่าพว
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก