ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเดาได้ เกรงว่าความสัมพันธ์ในตระกูลลู่จะมีเงื่อนงำ แต่จะถามลู่สือจิ่งที่เพิ่งรู้จักกันก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่หลังจากที่ลังเลไปเล็กน้อย ฉันก็ส่ายหน้า "ขอโทษด้วยค่ะ ฉันคงจะรับปากคุณไม่ได้ เขาก็มีความยืนหยันในแบบของเขา ฉันในฐานะเพื่อน คงได้แต่สนับสนุนเขา"การที่เขาสามารถชอบใครสักคนมาได้นานถึงยี่สิบปี แล้วก็วางตัวเงียบขรึมมาโดยตลอด แปลว่าเขาต้องชั่งข้อดีข้อเสียมาแล้วแล้วคนนอกก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินได้สีหน้าของลู่สือจิ่งไม่ได้เผยความไม่พอใจแต่อย่างใด เพียงแค่พูดด้วยน้ำเสียงสงบ "คุณไม่อยากรู้เลยหรอ ว่าเขาชอบใคร?""เมื่อไหร่ที่เขาอยากบอก เขาจะบอกเองค่ะ"ในเมื่อเขายังไม่ได้บอกฉัน นั่นก็แปลว่าไม่ได้อยากให้ฉันรู้แล้วฉันเองก็คิดว่า คนเป็นเพื่อนกันใช่ว่าจะต้องพูดหมดเปลือกไปซะทุกอย่าง เราสามารถปล่อยให้อีกฝ่ายมีความลับบ้างก็ได้ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีสักหน่อยทันใดนั้นหล่อนก็เปลี่ยนเรื่อง "หลังจากที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย เดิมทีคุณย่าของฉันหวังให้เขาสืบทอดกิจการครอบครัวให้เร็วหน่อย เหมือนกับฟู่ฉีชวน แต่เขาปฏิเสธ แล้วเลือกที่จะไปเรียนต่อเมืองนอก ก่อนจะเข้าทำงานใน MS""อันนี้
"ปีที่ผมถูกรับกลับมาบ้านตระกูลลู่ ทุกคนต่างก็ด่าว่าผมเป็นลูกนอกสมรส"เขาเงียบไปชั่วครู่ ในดวงตาสวยงามคู่นั้นสั่นเครือไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน "แต่ผมรู้ ว่าเขาหลอกแม่ของผม..."ฉันเพิ่งจะรู้ว่า ความจริงแล้วลู่สือเยี่ยนที่อ่อนโยนดั่งหยกผู้นี้ ก็มีอดีตที่แสนขมขื่นเหมือนกันพ่อของเขาเป็นรักแรกของแม่ แต่เพื่อวงศ์ตระกูล พ่อของเขาจึงปิดบังแม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอื่นกว่าแม่ของเขาจะรู้ เขาก็ใกล้จะลืมตาดูโลกแล้ว..."แม่พาผมไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหนีไม่พ้นจากการแก้แค้นของสวีจื่อ""คุณแม่..."พอพูดถึงตรงนี้ ในดวงตาของเขาก็ผุดความเจ็บปวด และความโกรธเกลียดที่เก็บเอาไว้มาเนิ่นนาน ทว่าไม่นานก็กดมันลงไป แต่น้ำเสียงยังสั่นเครือไม่เปลี่ยน "คุณแม่ผมเสียแล้ว"มือที่วางทาบอยู่บนขาของเขากำหมัดแน่น จนซอกนิ้วขาวโพลนขนาดฉันฟังก็ยังรู้สึกบีบหัวใจตามไปด้วย...ตอนที่เขาอายุแปดขวบ คุณแม่ของเขาก็คงจะอายุประมาณสามสิบได้แต่กลับต้องแลกด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสถึงขนาดนี้ เพียงเพราะตัวเองดูคนไม่เป็นลู่สือเยี่ยนโค้งริมฝีปากนิดๆ แล้วพูดอย่างมีลับลมคมนัย "ถ้าว่ากันตามแผนการของสวีจื่
คำถามนี้ ฉันให้คำตอบเขาไม่ได้เพราะยังไงซะ ฉันก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานไปแล้วฉันสตาร์ทรถใหม่อีกครั้ง แล้วยกมุมปากโค้งยิ้มบางๆ "ขอให้คุณสมหวังก็แล้วกัน""ก็ได้"ลู่สือเยี่ยนพูดอย่างพึงพอใจฉันขับรถไปส่งเขาที่ชั้นล่าง แล้วเอ่ยด้วยความลังเล "แผลของคุณ...""อย่าไปฟังที่ลู่สือจิ่งซี้ซั้วพูด"เขายื่นมือมาหยิบยาไป แก้ความอึดอัดในใจฉันอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น "เฮ่อถิงอยู่ในบ้านผม เดี๋ยวให้เขาทาให้ก็ได้""โอเคค่ะ"ฉันรู้สึกเบาใจลงไม่น้อยไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยทำแผลให้เขา แต่ถึงยังไงนั่นก็คือแผ่นหลัง ถ้าจะทำแผลก็ต้องถอดเสื้อออก...สถานะของฉัน คงจะไม่เหมาะให้ทำขนาดนั้นแล้วเขาเองก็น่าจะอึดอัดไม่มากก็น้อยขณะที่ฉันเตรียมจะส่งกุญแจรถคืนให้เขา จู่ๆ เขาก็หันกลับมา "วันนี้ คุณคงตกใจน่าดูเลยสิ?"ฉันกำฝ่ามือเบาๆ พูดด้วยความสัตย์จริงว่าตอนที่เห็นสวีจื่อเฆี่ยนตีเขาแบบนั้น ฉันก็ตกใจจริงๆ นั่นแหละฟาดแส้ลงไปขนาดนั้น เนื้อหนังคงฉีกไปถึงไหนต่อไหนแต่ ณ เวลานี้ สัญชาติญาณสั่งให้ฉันส่ายหน้า "ก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ""งั้นก็ดีแล้ว"เขาไม่ได้รับกุญแจไป "วันนี้วันสุดสัปดาห์ แถวนี้เรียกรถยาก คุณขับกล
ฟู่จินอันมองฉันแวบนึง "สะดวกน่ะมันสะดวก แม่ฉันรอนายมาตลอดเลย เพียงแต่ ถ้าจะให้ดีหนานจืออย่าเข้าไปจะดีกว่า คุณหมอก็บอกแล้วว่าแม่ฉันสลบไปนานเกินไป ความทรงจำก็เลยเลอะๆ เลือนๆ ให้เจอแค่คนที่คุ้นเคยก่อนจะดีกว่า เดี๋ยวจะกระทบกับการฟื้นตัวทั้งร่างกายและจิตใจเปล่าๆ"คำพูดพวกนั้นสื่อราวกับว่า ถ้าฉันเข้าไป ก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นนักโทษชั่วร้ายแต่ฉันเองก็ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือขนาดนั้น จึงหันไปหาฟู่ฉีชวน "คุณเข้าไปเถอะ ฉันขอตัวกลับก่อน""ในเมื่อเป็นแบบนี้"ฟู่ฉีชวนปรายตามองฟู่จินอันด้วยความเย็นชา แล้วโอบไหล่ของฉัน "งั้นเราก็รอให้ป้าเวินพักฟื้นอีกสักสองสามวันค่อยมาเยี่ยมใหม่"ฉันหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ อยากจะปัดมือเขาออก ทว่าเขากลับยืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สา"อาชวน..."ฟู่จินอันหน้าเสีย ดวงตาแดงก่ำ "เมื่อวานนายไล่ฉันกลับก็ว่าแย่แล้ว เวลานี้ยังจะ...""จินอัน งี่เง่าน่ะ"ภายในห้องผู้ป่วย มีเสียงอ่อนแอของผู้หญิงลอยออกมา "รีบให้อาชวนกับคุณหร่วนเข้ามาซะ"ฟู่จินอันจึงยอมลดราวาศอกให้ แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจว่า "เข้ามาสิ"ถึงจะบอกว่าเวินฟางสลบไปตั้งหลายปี แต่เพราะยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ชั้นนำ
ดวงตาสีดำสนิทของฟู่ฉีชวนมองฉันแวบนึง ราวกับว่าอยากให้ฉันยอมอ่อนให้ก้าวนึงฉันส่งยิ้มพิมพ์ใจ พร้อมวางท่าทีหนักแน่น "ฉันพูดเรื่องจริง อย่างช้าที่สุดก็ส่งเธอไปคืนพรุ่งนี้""ฉันไม่ฟังที่คุณพูด"เวินฟางเมินในสิ่งที่ฉันพูด เอาแต่หันไปจ้องฟู่ฉีชวน ทำท่าราวกับใกล้จะยอมรับความจริงไม่ไหวอีกต่อไป "อาชวน ไหนบอกป้าเวินซิ ว่าเรื่องจริงหรอ?"อาจะเป็นเพราะว่าสายตาของฉันชัดเจนมาก แม้ว่าฟู่ฉีชวนจะรู้สึกหนักใจไม่น้อย แต่ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ"เรื่องจริงครับ""ได้ยินแล้วใช่ไหมแม่!"ฟู่จินอันร้องโอดครวญ "ทั้งๆ ที่อาชวนรับปากแม่ว่าจะดูแลหนูให้ดี แต่ตอนนี้กลับเห็นขี้ดีกว่าไส้ ให้ท้ายคนนอกมารังแกพวกเรา"สีหน้าของฟู่ฉีชวนเย็นชาลงทันที "หนานจือเป็นภรรยาของฉัน ไม่ใช่คนนอก!""พวกนายหย่ากันแล้ว!"ใบหน้าของฟู่จินอันต็มไปด้วยคราบน้ำตา เน้นย้ำราวกับทวงความชอบธรรมประหนึ่งว่าหล่อนต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำฟู่ฉีชวนขมวดคิ้วอย่างเสียอารมณ์ "ตราบใดที่ยังไม่ได้หนังสือหย่า เธอก็ยังเป็นภรรยาของฉันวันนึงค่ำ"ฉันประหลาดใจนิดหน่อย ที่เขาเน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างเราต่อฟู่จินอันแบบนี้"พอเถอะ"เวินฟางขัดจั
ทั้งแม่ คุณปู่ และลูกของฟู่ฉีชวนคนทั้งสามรุ่นต้องมาตายด้วยน้ำมือของพวกหล่อน"หร่วนหนานจือ! เธอพูดมั่วอะไร?"ฟู่จินอันพุ่งเข้ามาผลักฉัน แล้วออกปากเตือนอย่างดุดัน "ฉันฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาทได้รู้หรือเปล่า?"เวินฟางที่อาการ "ดีขึ้น" เล็กน้อย ก็มองมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ "คุณหร่วน ที่บอกว่าสองแม่ลูกมันหมายความว่ายังไง?""ฉันหมายความว่าอะไร คุณไม่เข้าใจหรอ?"ท่ามกลางสีหน้าเย็นยะเยือกของฟู่ฉีชวน ฉันพูดใส่เวินฟางช้าๆ ชัดๆ "ตอนนั้นเพื่อให้ได้แต่งเข้าตระกูลฟู่ คุณผลักแม่ของฟู่ฉีชวนที่กำลังท้องได้สิบเดือนลงจากบันได ลืมไปแล้วหรอ?""จะพูดอะไรมันต้อมีหลักฐาน!"เวินฟางตะเบ็งเสียงสูง ราวกับเดือดดาลสุดๆ ที่โดนฉันใส่ร้าย!อย่างที่คุณปู่พูด หล่อนเข้าใจว่าตอนที่ตัวเองก่อเหตุ ได้ทำลายกล้องวงจรปิดไปแล้ว จึงไม่หลงเหลือหลักฐานอะไรอีกคำพูดนั้นดึงสติฟู่จินอันขึ้นมา แล้วก็จับประเด็นสำคัญได้ทันที "ใช่ หร่วนหนานจือ จะถูกจะผิดมันไม่ได้อาศัยแค่ลมปากหรอกนะ""หลักฐานใช่ไหม"ฉันโทรหาฉินเจ๋อ ให้เขาเอาเอกสารที่ฉันให้ฟู่ฉีชวนเมื่อกี้มาส่งเขาดำเนินการรวดเร็วมาก ไม่นานก็เอามาให้ ฉันดึงผลรายงานระบุลายนิ้วมืออ
วันที่คุณปู่เสียชีวิตท่านเคยบอกเอาไว้ว่า ยังไงสักวันนึงฟู่ฉีชวนก็จะต้องรู้ ปิดเขาไม่ได้ทั้งชีวิตถ้าอย่างนั้นก็ให้รู้ซะวันนี้ไปเลยดีกว่าเขาจะได้ไม่ต้องถูกสองแม่ลูกนี่หลอกต่อไปเพียงแต่ สิ่งที่ทำให้ฉันรับมือไม่ทัน ก็คือที่ปลายสาย ลุงเฉิงพูดขึ้นมาราวกับไม่เข้าใจ "นายหญิง คุณไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนครับ?"……ฉันเกือบจะทรุด เวลานี้สัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นชาอย่างสุดขีดของฟู่ฉีชวนแล้ว!"ก็คุณปู่เป็นคนบอกไงคะ"จนฉันชักเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองจำอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็แน่ใจว่าเปล่าเลย ฉันไม่ได้จำผิดฉันพยายามรื้อฟื้นความทรงจำ "ลุงเฉิง ลืมไปแล้วหรอคะ วันนั้นที่ห้องหนังสือของคุณปู่ คุณปู่ยังหยิบ...""คุณจำผิดแล้วมั้งครับ?"ลุงเฉิงตัดบทฉันอย่างเยือกเย็น!ฉันอึ้งไปทั้งร่างกาย พูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ "เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันจะจำผิดได้ยังไง...""หร่วนหนานจือ!"ฟู่จินอันที่ยังมีสีหน้าหวั่นวิตกในตอนแรก จู่ๆ ก็เหลิงได้ใจขึ้นมาทันที "เธอคงไม่ได้คิดจะซื้อตัวลุงเฉิงมาเป็นพยานให้ตัวเองหรอกนะ? น่าเสียดาย เขาเป็นคนที่คุณปู่เชื่อใจมากที่สุด ไม่มีทางเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับเธอแ
"เพราะงั้น ลุงก็เลยกลัวว่าความจริงเรื่องการตายของแม่ จะไปกระทบกระเทือนจิตใจเขา?""ครับ"ลุงเฉิงพยักหน้า "จิตแพทย์แนะนำว่าให้ชะลอออกไปก่อน รอให้อาการของนายน้อยดีขึ้นกว่านี้ก่อน""เข้าใจแล้วค่ะ"ฉันรับคำมาด้วยเสียงเรียบๆ ในใจก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกอะไรขนาดที่ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่สั่งเสียเอาไว้ก่อนตาย ฉันก็คงไม่อยากจะสนใจเรื่องของตระกูลฟู่เพียงแต่ พอกลับมาถึงบ้าน เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟู่ฉีชวน ฉันก็ยังรู้สึก...สังเวชอยู่หน่อยๆแต่ไม่นาน พอนึกขึ้นได้ว่าเขาตวาดใส่ฉันยังไงตอนอยู่ในห้องผู้ป่วย ความรู้สึกเวชอันน้อยนิดเต็มทีนั่นก็หายไปจนหมดสิ้นจู่ๆ ฉันก็รู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดที่ทำอะไรก็ไม่เคยเป็นไปตามความตั้งใจสักอย่าง……ขณะที่ฉันกำลังนอนแผ่หราอยู่บนโซฟาอย่างปลดปล่อยตัวเอง จู่ๆ เจียงไหลก็มาฉันเปิดประตู "ทำไมไม่แสกนลายนิ้วมือเข้ามาเลย?""ก็ฉันกลัวจะเข้ามาเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นเข้าน่ะสิ"เจียงไหลเดินบิดเอวบางพริ้วเข้ามา เตะรองเท้าส้นสูงออก ใส่สลิปในบ้านที่เป็นของเธอ แล้วเหลือบตามองฉัน แล้วถามอย่างตรงไปตรงมา "อารมณ์ไม่ดีอะไร?""วันนี้ตั้งใจจะไปตีงูแท้ๆ"ฉันโยนน้ำผลไม้
หรือจะบอกได้ว่า ตั้งแต่ปู่ของเขาตายไป เวินฟางอาจกลายเป็นความอบอุ่นเพียงอย่างเดียวที่ฟู่ฉีชวนได้รับจากความรักในครอบครัวแต่ตอนนี้... หากสิ่งที่ฟู่จินอันพูดเป็นความจริง ทัศนคติของเขาเกี่ยวกับความรักในครอบครัวก็จะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงความผูกพันทางอารมณ์หลายปี หลายทศวรรษ จะขาดสะบั้นลงพร้อมๆ กันสำหรับคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ การต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกครั้งอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เลวร้ายอย่างไรก็ตาม ฉันไม่เห็นด้วยกับแนวทางของลุงเฉิง มีบางสิ่งที่ความเจ็บปวดในระยะสั้นดีกว่าความเจ็บปวดในระยะยาวฉันมองฟู่ฉี่ชวนอย่างมั่นคงและพูดว่า "คุณจะเชื่อสิ่งที่ฉันพูดไหมล่ะ?"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน "เชื่อ"คงต้องใช้เวลาคิดนานก่อนที่จะตัดสินใจถามฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่ลังเลที่จะตอบนั่นทำให้ฉันสบายใจ ฉันจิบกาแฟแล้วเริ่มพูดว่า “ถ้าฉันบอกคุณว่าวันนั้นที่โรงพยาบาล ฉันพูดอะไร....”“พี่ฉีชวน!”ประตูห้องทำงานถูกผลักเปิดออกโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับเสียงผู้หญิงที่สดใสและชัดเจนซึ่งขัดจังหวะฉันอย่างหยาบคายวินาทีต่อมา เสิ่นซิงหยูเดินเข้ามาโดยชุดชาแนลรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นและรองเท้าบู๊
ระหว่างทางไปบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ป ฉันคิดว่าในที่สุดฟู่ฉีชวนก็เต็มใจที่จะเริ่มสงสัยเวินฟางและลูกสาวของเธอ ฉันควรจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจบางทีสาเหตุการตายของปู่ของเขาและการตายของแม่ของเขาอาจอธิบายได้ในครั้งนี้แต่ในใจของฉันยังคงรู้สึกไม่สบายใจฉันไม่สามารถบอกสาเหตุได้เมื่อฉันมาถึงแซ่ฟู่กรุ๊ป ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทุกคนเร่งรีบและดูจริงจังทันทีที่ฉันก้าวออกจากลิฟต์ที่ชั้นบนสุด ความตึงเครียดก็ถึงจุดสูงสุดฉินเจ๋อรอฉันในลิฟต์เป็นการส่วนตัวและพาฉันไปที่สำนักงานของรองประธาน เมื่อเห็นคำถามในสีหน้าของฉัน เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า "สถานการณ์ออนไลน์ส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มบริษัท มีโครงการหลายโครงการเพียงก้าวเดียวก็จะลุล่วง และอีกฝ่ายกำลังใช้ท่าทีรอและดู"ฉันขมวดคิ้วและพูด "มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?"ดูเหมือนว่าโจวฟางจะชำนาญในกลยุทธ์ของเขาจริงๆ เพียงแค่การเคลื่อนไหวครั้งเดียว เขาก็สร้างวิกฤตที่แซ่ฟู่กรุ๊ปไม่เคยเจอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา"ใช่แล้ว ไม่มีใครคาดคิด"ฉินเจ๋อเหลือบมองไปทางสำนักงานของรองประธานอีกครั้งแล้วพูดว่า "ประธานฟู่ไม่ได้พักเลยตั้งแต่เหตุการณ์เ
".....หยุด หยุดขู่ฉันได้แล้ว!"หลินกั๋วอันตะโกนประโยคนี้ แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความกลัว ก่อนที่ฉันจะตอบได้ เขาก็วิ่งหนีไปในพริบตา!"โอเคไหลไหล ฉันมีบางอย่างต้องทำตอนนี้ ฉันจะติดต่อกลับในภายหลัง"ฉันวางสายโทรศัพท์ของเจียงไหลและมองไปที่หลินเฟิง ซึ่งมักจะเป็นคนที่จืดจางเสมอมา "คุณแค่มองดูพ่อของนายทุบตีแม่ของนายแบบนี้เหรอ?"หลินเฟิงยักไหล่และพูดว่า "ผมไม่แข็งแร็งเท่าเขา และเขาเองก็ไม่ฟังผมเหมือนกัน""..."ฉันโกรธมากและไม่รู้จะพูดอะไรคุณป้าของฉันพูดด้วยความเจ็บปวด "หลินเฟิง ออกไปก่อน ฉันอยากคุยกับลูกพี่ลูกน้องของแก""อ้อ"หลังจากหลินเฟิงออกไป ฉันก็ดึงเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง "แผลทั้งหมดบนตัวของคุณรักษาแล้วหรือยัง? มีจุดไหนที่พวกเขาพลาดไปหรือเปล่า?'"ไม่หรอก อาการบาดเจ็บพวกนี้ไม่ได้ร้ายแรงมาก มีหมอและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาห้ามไว้ เลยไม่ได้ร้ายแรงมาก"คุณป้าของฉันส่ายหัว ราวกับว่าเธออ่อนแอกว่าตอนที่ฉันเจอเธอครั้งล่าสุดมาก น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ "ฉันอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่เห็นด้วย..."ฉันถอนหายใจแล้วพูดว่า "ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง"หลินกั๋วอันไม่ใช่ฟู่ฉีชวน ไม่ใช่เร
"ฉันได้ยินมาว่าโจวฟางมาที่เมืองเจียงเฉิงครั้งนี้ เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับอดีตคู่หมั้นของเขา""ฉันคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นคนทุ่มเทขนาดนั้น"ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะมีคนอย่างลู่สือเยี่ยนอยู่จริงๆ ที่ทั้งคู่ยึดติดกับใครบางคนที่พวกเขาพบตอนเป็นเด็กยึดมั่นในความผูกพันนั้นมาหลายปีลู่สือเยี่ยนยิ้มและไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่พูดว่า "พรุ่งนี้คุณอยู่บ้านไหม ฉันจะนำของขวัญมาฝากคุณหลังเลิกงาน""ของขวัญ?"ฉันใช้เวลาสักครู่เพื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อคืน ฉันพยักหน้า "แน่นอน ฉันจะกลับบ้านในอีกไม่กี่วันนี้ เว้นแต่จะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น"……วันรุ่งขึ้น ฉันนอนหลับจนกระทั่งตื่นขึ้นมาเองและสัมผัสขอบเตียงที่ว่างเปล่าเจียงไหลหายไปฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จึงเห็นไลน์ที่เธอส่งมาให้ฉัน [ไปก่อนนะ ถ้าเฮ่อถิงเป็นโรคประสาทอีกเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาใหม่][นังตัวดี นอนกับฉันเสร็จก็หนีไปเลย]ฉันตอบด้วยรอยยิ้ม ขณะนอนเล่นโทรศัพท์อย่างขี้เกียจบนเตียงเหตุการณ์ระหว่างฟู่จินอันกับฟู่เหวินไห่ รวมถึงการเปิดเผยความขัดแย้งระหว่างเธอและเวินฟางที่อำเภอ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ป ทำให้รา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเศรษฐีรุ่นสองที่พูดเรื่องเงินตลอดเวลา"ช่างมันเถอะ ฉันจะไปถามคนอื่น"ทันทีที่ฉันพูดจบ ฉันก็ก้าวเดินเข้าไปข้างในฉันเพิ่งกลับมาถึง เจียงไหลก็ก้าวออกมาจากห้องส่วนตัว ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดจากการร้องไห้ “กลับบ้านกันเถอะ”"ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?"ฉันหยิบเสื้อคลุมจากมือของเธอแล้วพาดไว้บนไหล่ของเธอเธอสูดหายใจและดวงตาของเธอแจ่มใส "อืม จากนี้ไป ไม่ว่าเขาจะแต่งงานหรือไม่ก็ตาม มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ชื่นชมความเด็ดขาดของเธอ ความสามารถในการปล่อยวางอย่างหมดจดของเธอขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน เจียงไหลกำลังรับผิดชอบการขับรถอยู่ ทันใดนั้น ฉันก็ได้รับสายจากลู่สือเยี่ยนหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นและถามว่า "หนานจือ คุณคือคนที่อยู่กับโจวฟางเมื่อกี้ใช่ไหม?"ฉันตกใจไปครู่หนึ่ง แต่ฉันไม่ได้โกหกเขา "ใช่ ฉันเอง... คุณรู้ได้ยังไง"โจวฟางปิดบังฉันไว้อย่างมิดชิดแม้แต่ฟู่ฉีชวนก็ถามแค่เรื่องรองเท้าเท่านั้นและถึงอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาก็ยังไม่แน่ใจแต่ลู่สือเยี่ยนเดาได้จริงๆ ว่าเป็นฉันทางโทรศัพท์ ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นค
ดูเหมือนว่าคนที่ตกลงกับฉันเมื่อวานไม่ใช่เขาฉันโกรธ และพูดไม่ออก "คุณไม่ได้สัญญากับฉันว่าจะไม่บอกใครหรอกเหรอ?""?"โจวฟางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "สิ่งที่ฉันสัญญากับคุณคือจะไม่บอกใครว่าคุณกำลังแอบดูและยังบันทึกวิดีโอด้วย""..."ไม่เป็นไรตามตรรกะนั้น เขาก็ไม่ได้ผิดเลย ดังนั้นเป็นความผิดของฉันที่ไม่อธิบายตัวเองให้ชัดเจนงั้นเหรอ?"คุณมีความแค้นต่อตระกูลฟู่หรือเปล่า?""ก็ไม่หนิ"โจวฟางมองฉันด้วยความสับสนแล้วพูดว่า "คุณไม่เข้าใจสงครามธุรกิจที่โหดร้ายเหรอ หลังจากติดตามฟู่ฉีชวนมาสามปี เขาก็ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้ให้คุณเลยเหรอ?"ฉันอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะความตรงไปตรงมาของเขาช่างน่ากลัว และยังเป็นเพราะคำถามที่สองของเขาด้วยฉันบีบฝ่ามือแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ไม่"หลังจากติดตามฟู่ฉีชวนมาสามปี เขาสอนอะไรฉันบ้าง? ความเป็นอิสระ ความอดทน ความอดกลั้น และความทุ่มเท....นอกจากการรักษาระยะห่างอย่างสุภาพแล้ว เราไม่เคยมีบทสนทนาที่จริงจังเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลอุบายของโลกธุรกิจคราวนี้ถึงคราวของโจวฟางที่ต้องตกตะลึง เขายกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจและพูดว่า "คุณน่าสนใจเลยทีเดียว""คุณก็น่าสนใจเหมื
ขอร้องเขาเหรอ?หัวเขากระแทกประตูหรือไง!ฉันปล่อยมือเขา ไม่สนใจอีกต่อไปว่าฟู่ฉีชวนหรือลู่สือเยี่ยนจะเห็นฉันหรือไม่ ฉันยอมแพ้และหันหลังเดินจากไปทันใดนั้น ดวงตาของฉันก็มืดลง เสื้อคลุมยาวของผู้ชายพร้อมฮู้ดถูกสวมทับตัวฉัน และฉันถูกนำทางอย่างชาญฉลาดกลับไปที่ราวบันได เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็นโดยคนสองคนนั้นกลิ่นมิ้นต์สดชื่นลอยเข้าจมูกของฉันฉันค่อนข้างเข้ากันได้กับโจวฟางฝีเท้าของฟู่ฉีชวนดูเหมือนจะหยุดชะงักชั่วขณะ และฉันได้ยินเสียงที่ไม่สุภาพของโจวฟาง "ประธานฟู่ สนใจเรื่องส่วนตัวระหว่างคู่รักหนุ่มสาวมาก"ฟู่ฉีชวนดูเหมือนจะกำลังพินิจพิเคราะห์ เสียงของเขาทุ้มและอ่อนโยน "รองเท้าของแฟนคุณ ภรรยาของฉันดูเหมือนจะมีคู่เดียวกัน"หัวใจของฉันเต้นแรงนี่เป็นรุ่นลิมิเต็ดของแบรนด์หนึ่ง ในเมืองเจียงเฉิงมีเพียงไม่กี่คู่เท่านั้น ซึ่งสามารถนับได้ด้วยมือเดียวแม้ว่าฉันจะไม่ได้แอบฟังความลับใดๆ เลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปอย่างเปิดเผย แต่ตอนนี้ที่โจวฟางเล่นกับฉันแบบนี้ ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยฉันไม่กล้าขยับเลย"งั้นเหรอ?"โจวฟางหัวเราะเยาะเย้ย “ดูเหมือนว่าประธานฟู่จะไม่ค่อยสนใจภรรยาคน
ฉันอิ่มแล้ว ฉันเลยวางตะเกียบลงแล้วพูดว่า "เธอตกลงที่จะพบเขาเหรอ?"“ใช่ ฉันตกลง”เจียงไหลช่วยฉันเก็บกล่องอาหารเดลิเวอรี่ “วันก่อนเขายังไม่โตเลย เขาไม่ฟังคำพูดของฉัน บางอย่างก็อธิบายทางโทรศัพท์ได้ยาก ฉันเลยคิดว่าจะพบเขาอีกครั้งแล้วค่อยเคลียร์กันให้เรียบร้อย”ฉันพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันสนับสนุนเธอ”"คุณจะไปกับฉันไหม?""ไปสิ"ฉันยิ้มและพูดเล่น: "ถ้าฉันไม่ไป แล้วถ้าเขามัดคุณแล้วขายคุณล่ะ"สถานที่ที่พวกเขานัดกันไว้ยังคงเป็นคลับเฮาส์เจียงไหลพาฉันเข้าไปในห้องส่วนตัวอย่างสบายๆ หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉันก็พูดว่า "เธอเข้าไปเถอะ ถ้าฉันอยู่ด้วย เธอจะพูดอะไรไม่ได้ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้เลย ฉันจะเข้าไปทันที""โอเค"เจียงไหลพยักหน้าและผลักประตูเปิดออกฉันยืนอยู่หน้าประตู มองดูพนักงานเสิร์ฟถือจานผลไม้และจานเดินไปมา ฉันรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในที่ที่ดีนัก จึงเดินช้าๆ ไปที่สวนลอยฟ้าใกล้ๆเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ค่ำคืนในเมืองเจียงเฉิงจะชื้นและหนาวเย็นอย่างไรก็ตาม คลับเฮาส์แห่งนี้ได้ลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการออกแบบสวนลอยฟ้าที่สวยงามและหรูหราสวนหินไหลด้วยน้ำที่ไหลเอื่อยๆ และมีพืชหายากมากมายในฤดูใบไม้ร่วงแล
เจียงไหลจ้องมองอย่างว่างเปล่า"ไม่ได้งั้นเหรอ?""เป็นแบบนั้นนั่นแหละ"ฉันไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไหร่ถึงจะโน้มน้าวชายคนนั้นให้ไปเอาใบหย่ามาได้เจียงไหลเห็นว่าฉันอารมณ์ไม่ดี เธอก็ปลอบใจฉัน: "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตราบใดที่ฝ่ายหนึ่งมีเจตนาที่จะจากไป มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น นอกจากนี้ คุณได้บรรลุข้อตกลงในทุกสิ่งแล้ว ยกเว้นใบหย่า มันก็ถือว่าคุณหย่าแล้ว"ฉันยิ้มและคุยกับเธอสักพัก จากนั้นการสนทนาก็เปลี่ยนไป “แล้วเธอล่ะ เฮ่อถิงไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเธอเหรอ?”ตอนที่เราย้ายบ้าน เฮ่อถิงช่วยเราย้ายบ้าน พูดถึงเรื่องนี้ พอนึกดูดีๆ ฉันยังติดเลี้ยงข้าวเขาอยู่เลยเขาคงยังจำที่อยู่นี้ได้ถึงแม้จะไม่รู้ แค่ถามฟู่ฉีชวนก็คงรู้แล้วเจียงไหลลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสียงของเธอแผ่วเบา "ไม่ เขาไม่กล้ามาบ้านคุณหรอก""ทำไมล่ะ?""เขากลัวฟู่ฉีชวนที่สุด""......"……ต่อมา ฉันไม่อยากทำอาหาร แต่ทักษะการทำอาหารของเจียงไหลน่าประทับใจมาก ฉันเลยสั่งอาหารเดลิเวอรี่แทนเจียงไหลกินข้าวและคุยเล่นในขณะที่ปัดโทรศัพท์เป็นครั้งคราวทันใดนั้นเขาก็พูดด้วยสีหน้าตะลึงงันว่า “โอ้พระเจ้า แม่ลูกคู่นั้นทะเลาะกันที