หลังจากไต่ตรองดีแล้ว ทั้งสามก็ตกลงที่จะไปรังของจรเข้ตาไฟ หลังจากเหตุการณ์ที่ จรเข้ตาไฟกระเด็นไปลี่หลินก็รับรู้แล้วว่า อันญมณีสีแดงได้ทำการคุ้มครองซิงอีเหมือนที่หยกสีน้ำผึ้งทำการคุ้มครองนายของตน แต่การที่จะคุ้มครองนั้นต้องถึงจุด วิกฤตจริง จะคุ้มครองให้ชีวิตคงอยู่แต่ก็ไม่สามารถคุ้มครองให้ปลอดภัยในการบาดเจ็บต่างๆได้ เหมือนกับตอนที่เจ้านายของนางพิษสำแดงฤทธิ์อีกครั้งหยกสีน้ำผึ้งก็สื่อกับนางให้นางทำพันธะสัญญาเพื่อการรักษาชีวิตเจ้านายไว้ หยกสีน้ำผึ้งฉลาดแต่ก็มีกฏเกณฑ์ของมันอยู่หลังจากทั้งสามลงไปยังรังของจรเข้ตาไฟ ซึ่งเป็นถ่ำเล็กๆ จรเข้ตาไฟอาศัยอยู่ตัวเดียว ภายในถ่ำเป็นสีแดง มีสาหร่ายขึ้นมากมาย มีสาหร่ายหลากสีสันมองแล้วเพลิดเพลินยิ่งนัก พอถึงรังจรเข้ตาไฟก็จัดหาอาหารให้มู๋จินเป่าเพราะมนุษย์ผู้นี้ไม่มีวรยุทธ์ยังจำเป็นต้องกินต้องดื่ม อาหารที่ทำจากเนื้อปลา และสาหร่ายเป็นส่วนใหญ่ น้ำก็เป็นน้ำสาหร่าย ทุกคนนั่งกินอาหารเป็นเพื่อนมู๋จินเป่า หลังจากอิ่มแล้ว จรเข้ตาไฟก็อนุญาตให้ลี่หลินกับมู๋จินเป่าพักผ่อนได้ และจรเข้ตาไฟก็กางอาณาเขตเพื่อรักษาความปลอดภัยของบึงน้ำในระหว่างที่ตนทำพันธสัญญา และเนื่องจากจรเ
หลังจากโต๊ะข้างๆนั่งลงแล้วก็มองมายังกลุ่มตนแล้วยิ้มๆ "เจ้านายบุรุษผู้นั้นที่เป็นมนุษย์ที่มีน้ำอมฤต ส่วนบุรุษอีกผู้ที่ใส่ชุดดำคือสัตว์อสูรที่อยู่หน้าหมู่บ้านจันทราที่เราผ่านมาแล้วข้าตามไม่ทัน ทั้งสองมีวรยุทธเหนือกว่าข้าไม่สามารถประเมินได้"ลี่หลินสื่อสารทางจิตกับมู๋จินเป่า มู๋จินเป่าก็มองบุรุษในชุดสีเขียวและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร คนผู้นี้มีน้ำอมฤต จริงๆหรือแล้วคนผู้นี้จะพกน้ำอมฤตไว้ทำไมกัน แล้วทำไมสัตว์อสูรของบุรุษผู้นั้นต้องบังเอิญพบพวกนางที่หน้าหมู่บ้านที่เมืองจันทราด้วย มันมีความเกี่ยวข้องกับนางหรือป่าวนะ บุรุษผู้นี้รู้จักนางหรือไร รู้ว่านางต้องพิษและนำน้ำอมฤตติดตัวมาให้นางหรือ และก็มองไปที่บุรุษชุดสีดำที่เป็นสัตว์อสูรที่ตนมองที่แรกว่าหน้าคุ้นๆที่แท้นางเคยเห็นมาก่อนแล้ว เป็นสัตว์อสูรประเภทใดกันนะวรยุทธสูงเสียด้วย หรือว่าสัตว์อสูรจะชอบน้ำอมฤตกันนะ "ลี่หลินเจ้ารู้หรือไม่ว่าน้ำอมฤตมีสรรพคุณอะไรบ้างสัตว์อสูรชอบน้ำอมฤตหรือไม่ ที่ข้าศึกษาตำราเกี่ยวกับน้ำอมฤตข้ารู้แค่ว่ามันรักษาพิษได้ทุกชนิดและปลดผลึกที่ต้องพิษได้ และอยู่ที่ถ้ำตะวันเท่านั้น"มู๋จินเป่าถามเพราะคร่ำครวญคิดก็มีแค่เรื่องเดียว
หลังจากออกจากโรงเตี๊ยม กลุ่มของมู๋จินเป่าก็ตั้งใจจะกลับเขาป่าเพื่อพักผ่อนในป่า ในการเดินทางมาในหมู่บ้านนี้ไม่ได้เสียเที่ยวซะทีเดียวได้รู้ว่าผลหลิวต้องแสงจันทร์มีตั้งแปดผล ได้รู้ว่าสัตว์ที่รักษาดูแลคือกระต่ายหยก และเรื่องที่น่าสนใจก็คือมีน้ำอมฤตอยู่จริงๆ ซึ่งบุรุษชุดเขียวมีมันอยู่ด้วยแต่การที่จะได้มันมาไม่ง่ายเลย หากบุรุษผู้นั้นอาศัยน้ำอมฤตในการล่อกระต่ายหยกแล้วเขาได้ผลหลิวต้องแสงจันทร์ไป พวกของตนไม่มีโอกาสที่จะได้แตะผลหลิวต้องแสงจันทร์แม้แต่ปลายก้อยเลยด้วยซ้ำ ถ้าต้องการจะซื้อ เบี้ยที่มีอยู่ก็น้อยเหลือเกิน และผลหลิวต้องแสงจันทร์ต้องมีมูลค่ามากแน่ๆ ระหว่างเดินทางเข้าป่าลี่หลินก็หยุดชะงักและเอ่ยขึ้นว่าระวังตัว แต่มันสายไปเสียแล้ว พวกของนางถูกโจมตีจากผู้ที่มีวรยุทธที่เหนือกว่ากลุ่มพวกนางมาก ทันใดนั้นลี่หลินกับสือยวี่ก็กลายร่างกลับเป็นสัตว์อสูรทันที และก็เกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ มู๋จินเป่าก็หลบการโจมตีจากผู้มีวรยุทธขั้นศิลาได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้มีวรยุทธขั้นศิลาโกรธมากเนื่องจากตนโจมตีสตรี ที่ไม่มีวรยุทธใดๆเลย ไม่ได้จึงรีบออกกระบวนท่าพลางประชิดตัวมู๋จินเป่าทันที มู๋จินเป่าหยิบมีดสั้นขนาด
คนผู้หนึ่งที่ถูกมัดด้วยเถาวัลย์กำลังจะใช้วรยุทธเพื่อทำให้เถาวัลย์ขาดแต่ก็ถูกสือยวี่ซัดเข้าที่หน้าท้องหนึ่งที "อย่าคิดหนีเลย พวกข้ามีมากกว่าพวกเจ้า ตอบในสิ่งที่ข้าถามจะดีกว่า พวกเจ้าต้องการอะไร"สือยวี่ถามอีกรอบ"ถ้าข้าบอกว่าต้องการจิ้งจอกเก้าหางของพวกเจ้าล่ะ เจ้าจะให้ข้าหรือป่าว"ชายหนุ่มที่มีวรยุทธสูงที่สุดกล่าว"พวกเจ้าคิดว่ามีความสามารถมากหรือไรที่จะมาขอสัตว์อสูรของผู้อื่นได้ง่ายๆ ไม่กี่กระบวนท่าพวกข้าก็ชนะพวกเจ้าได้แล้ว ดูสิหนึ่งในนั้นที่ถูกข้าเล่นงานปางตายเช่นนี้ พวกเจ้าไปได้วรยุทธมาจากที่ใดกันทำไม่สู้พวกข้าไม่ได้สักนิด วรยุทธพวกเจ้าสูงส่งอย่างไรกัน"มู๋จินเป่าเป็นผู้กล่าวเนื่องจากตนรู้ว่าผู้คนเหล่านั้นตกตะลึงที่เห็นนางยังมีชีวิตอยู่หลังจากต่อสู้กับผู้มีวรยุทธขั้นศิลาทำให้ผู้นั้นปางตายขนาดนี้ได้ มู๋จินเป่าแค่ยากจะข่มคนเหล่านี้ไว้เพราะตนไม่ต้องการปะทะคนกลุ่มนี้อีกในเมือคนกลุ่มนี้รู้ว่าสัตว์อสูรของนางเป็นอะไรแล้วเกิดละโมบนางต้องสั่งสอนให้ผู้คนเหล่านี้หลาบจำ ถ้านางยอมเลยตามเลยจะทำให้คนเหล่านี้ได้ใจและหาโอกาศลงมืออีกเป็นแน่ นางจึงต้องทำตัวแข็งแรง ทำเป็นว่านางไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับ
เมื่อต่างคนก็มีจุดหมายเดียวกันเมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็เดินทางไปด้วยกัน มู๋จินเป่าเองก็คิดได้ตามที่ห่าวอู๋อวี่กล่าว ถ้านางไม่สามารถเก็บผลหลิวต้องแสงจันทร์ได้ก็ต้องแย่งชิง เพราะนางมีสัตว์อสูรที่คนส่วนใหญ่ต้องการ และการที่จะป้องกันสัตว์อสูรของตนได้ดีคือต้องเข้มแข็ง ณ เวลานี้นางใช้แค่ทักษะการต่อสู้เท่านั้นซึ่งมันเทียบไม่ได้กับวรยุทธเลย การต่อสู้ระยะไกลนางต้องอาศัยการหลบหลีกไม่สามารถต่อกรได้ นางต้องอาศัยการต่อสู้กระชั้นชิด นางเก่งมีดสั้นก็จริงแต่ในโลกแห่งนี้แทบใช้ไม่ได้ผลเลย "พี่ซิงอีตำราที่ได้มามีอะไรบ้างข้าอยากศึกษาตำราไว้บ้าง"มู๋จินเป่ากล่าวระหว่างเดินทาง"มียุทธศาสตร์ควบคุมน้ำขั้นมายา ฝึกสัตว์อสูรขั้นมายา ตำราร่ายรำแส้สะท้านปฐพี มีแต่ในระดับขั้นมายาสงสัยผู้เป็นเจ้าของจะอยู่ขั้นมายา เดินมาก็ไกลแล้วเจ้าหิวหรือไม่พักดื่มน้ำก่อนไหม เรายังเหลือเวลาอีกหลายวัน พักบ้างก็ได้นะ"ซิงอีกล่าวกับมู๋จินเป่าและคนอื่นๆ ในเมื่อหยุดพักสือยวี่ก็นำปลาที่ติดตัวมาด้วยมาย่างให้ทุกคนกินและนำน้ำสาหร่ายมาให้ดื่ม "ข้าว่าพี่ซิงอีให้สือยวี่เข้าไปอยู่ในมิติเชื่อมอสูรดีกว่าไหม ข้าเองก็อยากให้ลี่หลินเข้าไปในมิติเชื่อ
เมื่อไปถึงจุดที่ต้นหลิวต้องแสงจันทร์อยู่ในระแวกนั้น มีผู้คนจำนวนมากตั้งกระโจมอยู่บ้าง บางคนแค่มีเบาะรองนั่งอันเดียว บางคนนั่งขัดสมาธิโดยไม่มีผู้ยืนคุ้มกัน บางคนนั่งขัดสมาธิโดยมีคนยืนดูสถานการณ์อยู่ บางคนก็ยืนเฝ้าเพื่อคอยคุ้มกัน ขนาดเหลือเวลาอีกเป็นสองสามวันก่อนถึงพระจันทร์เต็มดวงหรือว่าวันเพ็ญ แต่คนดูหนาตามาก ต้นไม้ก็ขึ้นมากมาย ขนาดยังไม่ถึงต้นหลิวต้องแสงจันทร์เลย สีหน้าของซิงอีและเหล่าสัตว์อสูรที่ตนพามาดีใจอย่างเห็นได้ชัด"พี่ซิงอีท่านเป็นอะไรไป ทำท่าดีใจราวกับได้ผลหลิวต้องแสงจันทร์มาครอบครองแล้วอย่างใดอย่างนั้น"มู๋จินเป่าถามด้วยความสงสัย"เจ้าไม่รู้สึกสิ่งใดเลยหรือ ข้ารู้สึกเหมือนรอบตัวจะมีแรงกดดัน รู้สึกเหมือนจะมีไอวิเศษอยู่รอบตัว ถ้าได้นั่งฝึกอยู่ที่นี่ไม่น่าจะเกินอาทิตย์ข้าต้องเลื่อนวรยุทธได้เป็นแน่ แต่เจ้าไม่รับรู้สิ่งใดเลยหรอ"ซิงอีกล่าว พลางถามกลับไปด้วยความตกใจตนเดินมาถึงจุดนี้มีแรงกดดันและผ่อนคลายไปในตัว ถึงว่าเห็นผู้คนเหล่านั้นนั่งขับเคลื่อนวรยุทธในร่างกาย และคงจะเสพไอวิเศษเหล่านี้เป็นแน่"จินเป่านางคงไม่มีวรยุทธอยู่ในตัว นางเลยไม่มีผลกระทบใดๆต่อไอวิเศษ ไม่เจอแรงต้า
หลังจากที่มู๋จินเป่าหลับไป ห่าวอู๋อวี่ก็เก็บป้ายหยกที่อาจารย์ จากมิตินิมิตให้มาใส่ในถุงมิติของตน เพราะต้องการจะเสพไอวิเศษของต้นหลิวต้องแสงจันทร์ และต้องการรู้ว่าแรงกดดันที่อยู่ตำแหน่งนี้ ตนจะรับได้มากน้อยเพียงใดถ้าไม่มีป้ายหยก พอเก็บป้ายหยกเข้าไปในถุงมิติทันใดนั้น ก็มีแรงกดดันมหาศาลพุ่งเข้าหาห่าวอู๋อวี่ช่างหนักหน่วงเหลือเกิน และผ่อนคลายไปในตัว ร่างกายของห่าวอู๋อวี่เสพไอวิเศษอย่างตะกละตะกลาม ทุกรูขุมขนเลยก็ว่าได้หลังจากนั้นไม่นานห่าวอู๋อวี่ก็ดิ่งสู่ห่วงฝึกฝนทันที หลังจากที่มู๋จินเป่าหลับได้เกือบสองวันก็สะดุ้งตื่น เพราะอยู่ดีๆก็รู้สึกเย็นวูบๆ พอตื่นขึ้นมาก็เห็นห่าวอู๋อวี่ยังนั่งสมาธิอยู่ และอยู่ๆนางก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นมาอีก นางเป็นอะไรไป สักพักก็เย็นขึ้นอีกครั้ง"เจ้านายข้าเลื่อนวรยุทธได้สามระดับแล้ว ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นจิตตราระดับหกดาว พวกเรากำลังย้ายที่สำหรับขับเคลื่อนวรยุทธกัน ทุกคนยกเว้นจื่ออี้เฉินก็เลื่อนวรยุทธคนละสามระดับกัน"ลี่หลินสื่อกับมู๋จินเป่า น้ำเสียงแสดงถึงความดีใจอย่างเห็นได้ชัด"เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าถึงได้รับรู้ว่าอยู่ๆตัวข้าก็รู้สึกเย็นวูบๆจึงทำให้ข้าตื่นจากพวัง พวกเจ้าท
เมื่อคืนวันเพ็ญบรรยากาศรอบ ๆ ก็มีผู้คนหนาตาขึ้นมามาก ณ วันนี้ มู๋จินเป่าเองก็รับรู้ได้ว่า ไม่มีผู้ใดเข้าออกจากอาณาเขตที่ห่าวอู๋อวี่กางไว้ ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาห้าทุ่มแล้ว แต่ห่าวอู๋อวี่ไม่มีวีแววที่จะตื่นด้วยซ้ำ อยู่ๆนางก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นแสดงว่าลี่หลินออกจากสมาธิแล้ว ครั้นนี้นางรู้สึกเย็นวูบรั่ว ๆ จนไม่ได้นับเพราะกังวลกับเวลาที่จะมาถึง คนที่อยู่ข้างหน้ายังไม่มีวีแววที่จะตื่นด้วย ไม่รู้จะตื่นทันหรือไม่ ครั้นจะไปปลุกก็กลัว เพราะสีหน้าของห่าวอู๋อวี่เยือกเย็น บางครั้งมีไอเย็นออกมาและอยู่ๆก็หายไป แล้วกลับมาอีกวนเวียนอยู่แบบนี้จนนางเองก็ตกใจ"เจ้านายพวกข้าเตรียมพร้อมกันแล้ว ข้ามีวรยุทธเพิ่มอีกห้าระดับตอนนี้อยู่ขั้นมายาระดับที่หนึ่งระดับมนตรา ของข้าเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ตอนนี้พวกข้าก็เข้าใกล้ต้นหลิวต้องแสงจันทรไม่ได้เลย พวกข้าน่าจะต้องเตรียมการอยู่ที่นี้ "ลี่หลินสื่อกับมู๋จินเป่า ว่าตนเลื่อนวรยุทธได้แล้วแต่เข้าใกล้ต้นหลิวไม่ได้อยู่ดี"พวกเจ้าทำได้ดีมาก บริเวณที่ข้าอยู่ใกล้ตนหลิวต้องแสงจันทร์อยู่มาก มองเห็นต้นหลิวต้องแสงจันทร์ แต่มองไม่เห็นผลของมันเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลหลิวต้องแสงจันทร์ อย
หลังจากตกลงกันแล้วว่าจะต้องหาโอกาสนำสมุนไพรชนิดนี้มากลั่นเป็นสมุนไพรบำรุงให้จินเป่าแล้ว ในการเดินทางจึงสังเกตพฤติกรรมของต้นซิวกั่วเป็นพิเศษ"แล้วปกติเจ้านำส่วนใดของมันไปหรือ ที่ไปทำสมุนไพรที่เจ้าเคยใช้"จินเป่าถามจางซิน"ข้าเคยเก็บมันไปแล้วไปผ่าเอาตรงกลางเหมือนจะเป็นวุ้นๆที่อยู่ข้างในของมัน ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้นใหญ่จะมีหรือไม่ "จางซินตอบ"งั้นก็ไปดูต้นที่เจ้ากระต่ายหยกช่วยข้าออกมาต้นนั้นมันปริแตกแล้วเราลองไปดูว่าข้างในนั้นเป็นอะไร"จินเป่ากล่าขึ้น ทุกคนจึงเร่งเดินทางไปยังต้นที่ช่วยจินเป่าออกมาก็พบว่าอยู่ข้างๆจะมีต้นเล็กเกิดขึ้นเป็นหัวนูนออกมาเหมือนมันกำลังจะเกิดใหม่ ต้นเล็กของมันนั้นก็เท่ากับเด็กทารกคนหนึ่งคนได้เลยทีเดียว "เราจะผ่าดูด้านในได้อย่างไรในเมื่อไม่มีสิ่งใดแข็งแรงพอที่จะผ่ามันได้ เพราะตอนที่ข้าอยู่ข้างในข้าพยายามใช้กริชกรีดมันออกมาแล้วก็ไม่สามารถที่จะกรีดมันออกมาได้แต่ตอนนี้เจ้าใช้อะไรถึงได้ขาดครึ่งได้ขนาดนี้"จางซินถามขึ้น"ข้าไม่ได้ใช้อะไรหรอกเป็นเจ้ากระต่ายหยกที่มันกรีดให้ข้าออกมา"จินเป่าพูดขึ้นพลางมองไปที่มัน กระต่ายหยกก็มองกลับคืนมามันไม่ได้ใช้สิ่งใดกรีดเลยมัน
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่พวกข้าหาเจ้าจนเจอนั้นเป็นเพราะอะไร"หลู่ฮาลาถาจินเป่าขึ้นพลางมานั่งใกล้นางเพราะนางต้องการส่วนแบ่งในครั้งนี้ ปลาหลี่ที่จินเป่ากินอยู่นั้นหอมตลบอบอวลไปด้วยไอวิเศษ ทำให้นางน้ำลายสอเป็นอย่างมาก"เป็นเพราะอะไรหรือ พวกเจ้าจึงหาข้าพบได้อย่างไรข้าเองก็อยากรู้"จินเป่ากล่าวขึ้นเพราะสงสัย "ก็เป็นเพราะว่าเจ้ากินปลาหลี่เผาแล้วแม่นางหลู่ได้กลิ่นของมันพวกเราเลยตามกลิ่นนั้นไป ก็พบเจ้านั่นแหละ เพราะฉะนั้นเจ้าจงแบ่งปลาแก่แม่นางหลู่ด้วย เพราะเขาเหมือนจะอยากกินมาก"หลิวเหยียนตอบพรางมองดูท่าทีของหลู่ฮาลา"มีแบบนี้ด้วยหรือ งั้นเจ้าก็กินสิแม่นางหลู่แล้วก็ทุกคนด้วยนะข้ายังมีปลาหลี่อีกมากมาย จินเป่าเอาปลาหลี่ออกมาใส่ถุงมิติให้ซิงอี เพราะถ้าหมดฤทธิ์ของไข่มุกลวี่แล้วนางก็จะไม่สามารถเปิดมิติได้จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้วก็พักผ่อนแต่คราวนี้พวกเขารู้แล้วว่าต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยธาตุไฟ ห่าวอู๋มู๋ลี่มีปัญหากับการเรียกไฟมากที่สุดห่าวอู๋อวี่ก็แบ่งวรยุทธของตัวเองก่อเป็นเกาะคลุมพวกเขาทั้งสิบเอ็ดไว้ ไม่นานแสงตะวันก็ค่อยๆเลือนหายไป ต้นซิวกั่วค่อยๆปิดปากลงเรื่อยๆ"เราน่าจะถึงเว
เมื่อองค์ชายหกถูกเถาวัลย์กะชากลงไปในต้นซิวกั่ว เขาก็ตกใจมากเพราะตอนที่เถาวัลย์กะชากเขาไปนั้น เขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่อยู่ๆเหมือนมายืนอยู่ในหม้อที่เป็นสีเขียว แล้วตอนนี้ฝาก็กำลังจะปิด เขารู้ได้ทันทีว่าเขาอยู่ในพืชกินคนแล้ว ที่เมื่อสักครู่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ เมื่อเขาเข้ามาแล้วก็ตกใจกลัว พอตั้งสติได้เขาก็ใช้วรยุทธกระแทกเข้ากับผนังของหม้อนั้น แต่ก็ไม่เป็นผลน้ำย่อยสีเขียวๆที่แฉะๆอยู่ด้านล่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขายังไม่แน่ใจว่ามีสิ่งใดที่ต้นนี้มันกลัว เพราะจากที่เขาฟังบุรุษที่อยู่มิติสามัญพูดคุย ยังจับใจความไม่ได้เลยว่าพืชชนิดนี้ต้องจัดการอย่างไร และในชีวิตนี้เขาไม่เคยได้ยินสมุนไพรที่ชื่อว่าซิวกั่วนี้เลย เขานึกเสียใจกับตัวเองที่ศึกษาตำราไม่มากพอ ขนาดแค่พืชชนิดหนึ่งยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดจากมันได้อย่างไร ขนาดเข้ามาเพียงแป๊บเดียวน้ำย่อยนั้นก็ขึ้นมาสูงแล้ว เขาจึงไม่แน่ใจว่าสตรีทั้งสามจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่เพราะจากที่เขามาถึงจุดนี้ก็ใช้เวลาเกือบค่อนวันเสียแล้ว เหลืออีกไม่กี่ชั่วยามก็จะค่ำแล้ว ทางด้านนอกเมื่อห่าวอู๋อวี่รับรู้ว่าปกติหากไม่มีสิ่งใดอยู่ในซิวกั่วตอนกลางวันมันจะอ้าปากออกแต่หากว
"เหมือนข้าจะได้กลิ่นไอวิเศษที่คุ้นๆ เหมือนกับกลิ่นปลาทำนองนั้น น่าจะเป็นปลาเผาที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นไอวิเศษ มันอยู่ทิศเหนือโน้นเราไปดูกันดีหรือไม่"หลู่ฮาลากล่าวขึ้น เมื่อนางได้สัมผัสถึงกลิ่นปลาที่สุกแล้วและทำให้นางนั้นน้ำลายสออยู่"เจ้าจะบอกว่าเจ้าหิวแล้วกระมังแค่ได้กลิ่นไอวิเศษของปลาเผาก็ทำให้เจ้าน้ำลายสอแล้ว เรารีบตามหาคนเราไม่ได้ต้องการที่จะรีบไปกินเสียหน่อย"หลินเหยียนกล่าวขึ้น"แต่ข้าว่าใครกันจะมาเผาปลาให้เจ้าได้รับรู้กลิ่นขนาดนั้น มันไม่ใช่กับดักหรอกหรือ"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ากินรีตระกูลหลู่จมูกดีเรื่องของกิน"กลิ่นนั้นอยู่ทิศทางใดล่ะเราตามมันไปเถอะ มันอาจจะเป็นกลลวงแต่เราก็จะได้รู้ว่ากลลวงนั้นคือสิ่งใด ถ้าเราไม่เข้าไปหาจุดที่อันตรายที่สุดเราก็จะไม่สามารถหาคนทั้งสามพบ หากเราเจอกลลวงนั้นแล้วหากเราแก้ไขปริศนาของกลลวงได้ เราก็น่าจะตามหาคนได้สำเร็จเร็วขึ้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เมื่อได้ยินเขาพูดทุกคนก็คล้อยตาม ถึงแม้นจะเป็นกลลวงจริงๆเขาก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย หลู่ฮาลาจึงพาทั้งแปดเดินไปทิศทางที่ตนได้กลิ่นปลาเผานั้น ไม่นานพวกเขาก็พบสิ่งที่น่าประหลาดก็คือกลุ่มของพืชชนิ
อยู่ดีๆจินเป่าก็รู้สึกวุบขึ้นมา นางไม่ได้มีความเจ็บปวด ถึงแม้ความรู้สึกว่าถูกลากเลย เป็นความรู้สึกวุบอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่ๆก็เหมือนอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีเขียวๆ จินเป่ามองซ้ายมองขวาก็พบว่าเหมือนตัวเองอยู่ในหม้อปรุงสมุนไพร เหมือนตอนที่นางอยู่เมืองหลวงนั้น แต่สีนั้นกลับแตกต่างกันไป ตรงพื้นด้านล่างที่เป็นเมือกๆเหมือนเป็นสีเขียวเข้มด้านข้างๆเป็นสีเขียวอ่อน นางมองซ้ายมองขวา ก็พบกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เหมือนกำลังจะครึ้มฟาครึ้มฝน อยู่ดีๆทำไมครึ้มฟ้าครึ้มฝนได้นะ นางจึงมองไปด้านบนก็พบว่าเหมือนมีแผ่นบางๆกลมๆเลื่อนลงมาปิดปากหม้อที่นางยืนอยู่ลักษณะเป็นดังวงกลมแล้วมีหนามแหลมๆอยู่รอบด้าน สีของฝานั้นเป็นสีน้ำตาลอมเขียวลายเหมือนกับพืชชนิดหนึ่ง ที่เธอเคยเห็นในตำรามา มันคือซิวกั่วพืชกินแมลงชนิดหนึ่ง นางกินรีหว่าฮว่าได้เขียนในแผนที่ว่าต้นไม้กินคน ที่แท้เขาไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ต้นไม้อย่างเดียว แต่มันมีพืชชนิดนี้ด้วย นางได้แต่ขบคิดว่าคนที่มาด้วยกันนั้นจะถูกลากไปขังอยู่ในซิวกั่วเหมือนนางหรือไม่นะ แม่นางกำลังที่จะหาวิธีออกจากซิวกั่วนี้ นางหยิบกริชออกจากมิติ ซึ่งตอนนี้นางมีพลังพอที่จะเปิดมิติได้ แต่ใ
เมื่อจินเป่าเกินไข่มุกลวี่ลงไปแล้วได้พักผ่อนเต็มที่ ตอนนี้ตัวนางนั้นก็ดีขึ้นมากแล้ว ในการเดินทางต่อไปนางไม่จำเป็นจะต้องให้ห่าวอู๋อวี่แบกนางอีกแล้ว จางซินจึงจับชีพจรให้จริงเปล่าก็รู้ว่าภายในของนางนั้นดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หายเป็นเปิดทิ้ง"ข้าว่าเจ้าดีมากแล้วนะหรือว่าไข่มุกละวีนั้นรักษาโรคที่เจ้าเป็นได้แล้วแล้วเราก็ไม่ต้องไปหาเขากวางสามร้อยยอดอีกแล้วกระมัง"จางซินกล่าวขึ้น"ไม่หรอกโรคหยินหยางที่จินเป่าเป็นนั้นต้องรักษาด้วยเขากวางสามร้อยยอดเท่านั้น แต่ที่ตอนนี้ยังไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนเดิมแล้ว เป็นเพราะว่าตอนนี้ร่างกายมีไข่มุกลวี่อยู่ หากร่างกายนี้ดูดซับไข่มุกลวี่หมดไปแล้วก็จะมีอาการเหมือนเดิมรักษาไม่หายแต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากเพราะฤทธิ์ของไข่มุกลวี่เพียงเท่านั้นเอง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้นว่าไข่มุกลวี่ดีขนาดไหน ทุกคนจึงออกเดินทางต่อไปทางทิศที่แผนที่บอกว่าจะพบกับต้นไม้กินคนเมื่อเดินต่อไปก็พบกับบรรยากาศที่ต่างไปเล็กน้อยิอากาศเย็นตัวลงจนทำให้เสียวสันหลังไปหมด ถึงแม้จินเป่าจะเดินได้เองแต่เขาก็เดินอยู่ในตำแหน่งกลางเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทุกมื่อเพราะร่างกายไม่สู้
เมื่อห่าวอู๋อวี่อุ้มจินเป่ามาวางไว้ข้างต้นไม้ใหญ่แล้ว เขาก็ถ่ายทอดวรยุทธรักษาให้จินเป่าเจ้ากระต่ายหยกจึงเปิดปากจินเป่าออก แล้วใส่อะไรสักอย่างที่เป็นเม็ดกลมๆสีเขียวเข้ม เข้าไปด้านในปากขิงนางและปิดปากพร้อมกับลูบคอให้นางกลืนของชิ้นั้น ไม่นานจินเป่าก็ลืมตาขึ้นมา นางไอ สามครั้งก็รู้สึกถึงวรยุทธ์ที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกาย ซิงอีเห็นก็ดีใจมากที่จินเป่าฟื้น"เจ้าเอาอะไรให้นางกินหรือเจ้าจิ๋ว ทำไมนางกินแล้วถึงขึ้นได้หละ"จางซินถามขึ้น เจ้ากระต่ายลุกไม่ได้กล่าวสิ่งใดมันมองหน้าจังซิมแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้งแล้วก็ไปยืนข้างๆซิงอีที่ตอนนี้กำลังใช้ผ้าชุบน้ำอมฤตใบหน้าให้จินเป่าอยู่"เจ้าชู้นี้อารมณ์ไม่ดีง่ายมากเลยนะเจ้าน่ะข้าชอบเจ้าจะตายดูเจ้าทำสีหน้าที่มองข้าเหมือนเจ้าชังค่ามากเสียเหลือเกิน"จางซินกล่าวอีก"มาหาอสูรนั้นไม่ได้ชังมนุษย์หรอกแต่เจ้าก็ชอบไปวุ่นวายกับมันเสียเหลือเกินถามนู่นถามนี่มันให้อะไรจริงเปล่ากินจะไปอยากรู้ทำไมอย่างน้อยมันก็รักสาให้จริงเปล่าดีขึ้นในทันตาและอีกอย่างมันเป็นสัตว์มหาสมนต์ของจริงเปล่ามันไม่สามารถทำร้ายเจ้านายมันได้หรอก"จางหยงพูดขึ้น พลางไปช่วยไป๋อวิ้นดูแผนที่ที่หลิวเหยียนกางออก
ห่าวอู๋อวี่แหวกสายน้ำทะเลลงไปในน้ำนั้นไม่ได้มีความเป็นน้ำอย่างที่คิดมันไม่ระคายเคืองสายตาเลยสักนิดแถมเขารู้สึกว่าเขาหายใจได้ดังอยู่บนพื้นดินธรรมดาด้วยซ้ำ เมื่อเขาไปเจอก็พบกับกระต่ายหยกของจินเป่าที่ตอนนี้กำลังพ่นน้ำสีเขียวใส่เจ้าเต่ามังกรตัวนึง ซึ่งตัวของทั้งสองก็พอๆกัน แถมสีของมันก็คล้ายๆกันหรือว่าเต่าตัวนี้จะเป็นเต่ามังกรหยกในตำนาน แต่อาจจะไม่ใช่เพราะว่าสีเขียวที่เจ้ากระต่ายพ่นออกไปอาจติดกับเต่ามังกรตัวนั้นก็ได้ เมื่อเต่ามังกรตัวนั้นเห็นผู้บุกรุกมาใหม่จึงผละออกจากการต่อสู้กับกระต่ายหยกนั้น มันคิดแต่ว่าทำไมอยู่ๆเจ้ากระต่ายถึงกระโดดลงมาหามันได้ และก็เข้าต่อสู้กับมันทันทีมันจึงต้องการที่จะสู้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่เมื่อมันเห็นมนุษย์บุกลงมามันก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาแล้ว ที่อยู่ๆจะมีทั้งสัตว์มหาอสูรกับมนุษย์บุกลงมาถึงใต้ท้องทะเลของมัน"พวกมนุษย์กับสัตว์มหาอสูรตนนี้พวกเจ้ามาบุกรุกที่ข้า ด้วยเหตุอันใดข้าอยู่มาเป็นล้านๆปีไม่เคยพบเจอกับมนุษย์ และมหาอสูรแบบพวกเจ้า วันนี้มาถึงถิ่นข้าแล้ว ก็มอบชีวิตให้ข้าเถิด เพราะไม่มีใครผ่านเปลวคลื่นของข้าไปได้หรอก ข้างบนอาจจะมีมนุษย์มากมายแต่มันก็ต้องต
หลังจากที่เดินทางมาเป็นเวลาสักพักที่พบเจอกับภาพลวงตาต่างๆนานาที่วนเวียนเข้ามาหาในแต่ละคน แต่พวกเขานั้นก็พยายามที่จะตั้งสติให้ได้ จนในที่สุดภาพลวงตานั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว"ซิงอีทำไมเจ้ามองข้าแปลกๆแล้วตอนที่เจ้าเกิดภาพลวงตานั้น มันเป็นอะไรหรือทำไมเจ้าเรียกชื่อข้าแล้วก็บอกว่าอย่า แล้วก็เรียกจินเป่าด้วยแต่ข้าเองก็ไม่กล้าถามต่อหน้าทุกคน"จางหยงกล่าวถามซิงอีเมื่อตอนที่ไม่มีใครอยู่กับพวกเขา"ที่ท่านเคยรับปากข้าไว้ แม้ว่าเราจะเจอบิดามารดาของพวกเราแล้วท่านจะไม่เปลี่ยนไปจริงๆใช่หรือไม่ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าคิดกังวลเรื่องนี้จึงทำให้เกิดภาพลวงตาเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแต่มันก็ฝังใจกับข้ายิ่งนัก จึงทำให้ข้ายากที่จะลืมเลือนว่าข้านั้นพบกับภาพลวงตาแบบใด ข้าพบว่าท่านหลอกลวงให้ข้ากับจินเป่าไปมิติเชื่อมจิตแล้วท่านก็ใช้กริชนั้นแทนพวกข้าทั้งสอง"ซิงอีถามขึ้นและเล่าให้เขาฟังว่าเขาพบเจอเรื่องใดบ้าง"จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรเราก็คุยกันแล้วนี่ว่าข้าจะรักและปกป้องเจ้าตลอดเส้นทางสายนี้ ถึงแม้เราจะอยู่มิติเชื่องจิตแล้ว และหากพบกับมารดาของข้า ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่าข้าจะช่วยบิดาของเราและมารดาของเจ้ากับจินเป่า"จางห