หลังจากออกจากโรงเตี๊ยม กลุ่มของมู๋จินเป่าก็ตั้งใจจะกลับเขาป่าเพื่อพักผ่อนในป่า ในการเดินทางมาในหมู่บ้านนี้ไม่ได้เสียเที่ยวซะทีเดียวได้รู้ว่าผลหลิวต้องแสงจันทร์มีตั้งแปดผล ได้รู้ว่าสัตว์ที่รักษาดูแลคือกระต่ายหยก และเรื่องที่น่าสนใจก็คือมีน้ำอมฤตอยู่จริงๆ ซึ่งบุรุษชุดเขียวมีมันอยู่ด้วยแต่การที่จะได้มันมาไม่ง่ายเลย หากบุรุษผู้นั้นอาศัยน้ำอมฤตในการล่อกระต่ายหยกแล้วเขาได้ผลหลิวต้องแสงจันทร์ไป พวกของตนไม่มีโอกาสที่จะได้แตะผลหลิวต้องแสงจันทร์แม้แต่ปลายก้อยเลยด้วยซ้ำ ถ้าต้องการจะซื้อ เบี้ยที่มีอยู่ก็น้อยเหลือเกิน และผลหลิวต้องแสงจันทร์ต้องมีมูลค่ามากแน่ๆ ระหว่างเดินทางเข้าป่าลี่หลินก็หยุดชะงักและเอ่ยขึ้นว่าระวังตัว แต่มันสายไปเสียแล้ว พวกของนางถูกโจมตีจากผู้ที่มีวรยุทธที่เหนือกว่ากลุ่มพวกนางมาก ทันใดนั้นลี่หลินกับสือยวี่ก็กลายร่างกลับเป็นสัตว์อสูรทันที และก็เกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ มู๋จินเป่าก็หลบการโจมตีจากผู้มีวรยุทธขั้นศิลาได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้มีวรยุทธขั้นศิลาโกรธมากเนื่องจากตนโจมตีสตรี ที่ไม่มีวรยุทธใดๆเลย ไม่ได้จึงรีบออกกระบวนท่าพลางประชิดตัวมู๋จินเป่าทันที มู๋จินเป่าหยิบมีดสั้นขนาด
คนผู้หนึ่งที่ถูกมัดด้วยเถาวัลย์กำลังจะใช้วรยุทธเพื่อทำให้เถาวัลย์ขาดแต่ก็ถูกสือยวี่ซัดเข้าที่หน้าท้องหนึ่งที "อย่าคิดหนีเลย พวกข้ามีมากกว่าพวกเจ้า ตอบในสิ่งที่ข้าถามจะดีกว่า พวกเจ้าต้องการอะไร"สือยวี่ถามอีกรอบ"ถ้าข้าบอกว่าต้องการจิ้งจอกเก้าหางของพวกเจ้าล่ะ เจ้าจะให้ข้าหรือป่าว"ชายหนุ่มที่มีวรยุทธสูงที่สุดกล่าว"พวกเจ้าคิดว่ามีความสามารถมากหรือไรที่จะมาขอสัตว์อสูรของผู้อื่นได้ง่ายๆ ไม่กี่กระบวนท่าพวกข้าก็ชนะพวกเจ้าได้แล้ว ดูสิหนึ่งในนั้นที่ถูกข้าเล่นงานปางตายเช่นนี้ พวกเจ้าไปได้วรยุทธมาจากที่ใดกันทำไม่สู้พวกข้าไม่ได้สักนิด วรยุทธพวกเจ้าสูงส่งอย่างไรกัน"มู๋จินเป่าเป็นผู้กล่าวเนื่องจากตนรู้ว่าผู้คนเหล่านั้นตกตะลึงที่เห็นนางยังมีชีวิตอยู่หลังจากต่อสู้กับผู้มีวรยุทธขั้นศิลาทำให้ผู้นั้นปางตายขนาดนี้ได้ มู๋จินเป่าแค่ยากจะข่มคนเหล่านี้ไว้เพราะตนไม่ต้องการปะทะคนกลุ่มนี้อีกในเมือคนกลุ่มนี้รู้ว่าสัตว์อสูรของนางเป็นอะไรแล้วเกิดละโมบนางต้องสั่งสอนให้ผู้คนเหล่านี้หลาบจำ ถ้านางยอมเลยตามเลยจะทำให้คนเหล่านี้ได้ใจและหาโอกาศลงมืออีกเป็นแน่ นางจึงต้องทำตัวแข็งแรง ทำเป็นว่านางไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับ
เมื่อต่างคนก็มีจุดหมายเดียวกันเมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็เดินทางไปด้วยกัน มู๋จินเป่าเองก็คิดได้ตามที่ห่าวอู๋อวี่กล่าว ถ้านางไม่สามารถเก็บผลหลิวต้องแสงจันทร์ได้ก็ต้องแย่งชิง เพราะนางมีสัตว์อสูรที่คนส่วนใหญ่ต้องการ และการที่จะป้องกันสัตว์อสูรของตนได้ดีคือต้องเข้มแข็ง ณ เวลานี้นางใช้แค่ทักษะการต่อสู้เท่านั้นซึ่งมันเทียบไม่ได้กับวรยุทธเลย การต่อสู้ระยะไกลนางต้องอาศัยการหลบหลีกไม่สามารถต่อกรได้ นางต้องอาศัยการต่อสู้กระชั้นชิด นางเก่งมีดสั้นก็จริงแต่ในโลกแห่งนี้แทบใช้ไม่ได้ผลเลย "พี่ซิงอีตำราที่ได้มามีอะไรบ้างข้าอยากศึกษาตำราไว้บ้าง"มู๋จินเป่ากล่าวระหว่างเดินทาง"มียุทธศาสตร์ควบคุมน้ำขั้นมายา ฝึกสัตว์อสูรขั้นมายา ตำราร่ายรำแส้สะท้านปฐพี มีแต่ในระดับขั้นมายาสงสัยผู้เป็นเจ้าของจะอยู่ขั้นมายา เดินมาก็ไกลแล้วเจ้าหิวหรือไม่พักดื่มน้ำก่อนไหม เรายังเหลือเวลาอีกหลายวัน พักบ้างก็ได้นะ"ซิงอีกล่าวกับมู๋จินเป่าและคนอื่นๆ ในเมื่อหยุดพักสือยวี่ก็นำปลาที่ติดตัวมาด้วยมาย่างให้ทุกคนกินและนำน้ำสาหร่ายมาให้ดื่ม "ข้าว่าพี่ซิงอีให้สือยวี่เข้าไปอยู่ในมิติเชื่อมอสูรดีกว่าไหม ข้าเองก็อยากให้ลี่หลินเข้าไปในมิติเชื่อ
เมื่อไปถึงจุดที่ต้นหลิวต้องแสงจันทร์อยู่ในระแวกนั้น มีผู้คนจำนวนมากตั้งกระโจมอยู่บ้าง บางคนแค่มีเบาะรองนั่งอันเดียว บางคนนั่งขัดสมาธิโดยไม่มีผู้ยืนคุ้มกัน บางคนนั่งขัดสมาธิโดยมีคนยืนดูสถานการณ์อยู่ บางคนก็ยืนเฝ้าเพื่อคอยคุ้มกัน ขนาดเหลือเวลาอีกเป็นสองสามวันก่อนถึงพระจันทร์เต็มดวงหรือว่าวันเพ็ญ แต่คนดูหนาตามาก ต้นไม้ก็ขึ้นมากมาย ขนาดยังไม่ถึงต้นหลิวต้องแสงจันทร์เลย สีหน้าของซิงอีและเหล่าสัตว์อสูรที่ตนพามาดีใจอย่างเห็นได้ชัด"พี่ซิงอีท่านเป็นอะไรไป ทำท่าดีใจราวกับได้ผลหลิวต้องแสงจันทร์มาครอบครองแล้วอย่างใดอย่างนั้น"มู๋จินเป่าถามด้วยความสงสัย"เจ้าไม่รู้สึกสิ่งใดเลยหรือ ข้ารู้สึกเหมือนรอบตัวจะมีแรงกดดัน รู้สึกเหมือนจะมีไอวิเศษอยู่รอบตัว ถ้าได้นั่งฝึกอยู่ที่นี่ไม่น่าจะเกินอาทิตย์ข้าต้องเลื่อนวรยุทธได้เป็นแน่ แต่เจ้าไม่รับรู้สิ่งใดเลยหรอ"ซิงอีกล่าว พลางถามกลับไปด้วยความตกใจตนเดินมาถึงจุดนี้มีแรงกดดันและผ่อนคลายไปในตัว ถึงว่าเห็นผู้คนเหล่านั้นนั่งขับเคลื่อนวรยุทธในร่างกาย และคงจะเสพไอวิเศษเหล่านี้เป็นแน่"จินเป่านางคงไม่มีวรยุทธอยู่ในตัว นางเลยไม่มีผลกระทบใดๆต่อไอวิเศษ ไม่เจอแรงต้า
หลังจากที่มู๋จินเป่าหลับไป ห่าวอู๋อวี่ก็เก็บป้ายหยกที่อาจารย์ จากมิตินิมิตให้มาใส่ในถุงมิติของตน เพราะต้องการจะเสพไอวิเศษของต้นหลิวต้องแสงจันทร์ และต้องการรู้ว่าแรงกดดันที่อยู่ตำแหน่งนี้ ตนจะรับได้มากน้อยเพียงใดถ้าไม่มีป้ายหยก พอเก็บป้ายหยกเข้าไปในถุงมิติทันใดนั้น ก็มีแรงกดดันมหาศาลพุ่งเข้าหาห่าวอู๋อวี่ช่างหนักหน่วงเหลือเกิน และผ่อนคลายไปในตัว ร่างกายของห่าวอู๋อวี่เสพไอวิเศษอย่างตะกละตะกลาม ทุกรูขุมขนเลยก็ว่าได้หลังจากนั้นไม่นานห่าวอู๋อวี่ก็ดิ่งสู่ห่วงฝึกฝนทันที หลังจากที่มู๋จินเป่าหลับได้เกือบสองวันก็สะดุ้งตื่น เพราะอยู่ดีๆก็รู้สึกเย็นวูบๆ พอตื่นขึ้นมาก็เห็นห่าวอู๋อวี่ยังนั่งสมาธิอยู่ และอยู่ๆนางก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นมาอีก นางเป็นอะไรไป สักพักก็เย็นขึ้นอีกครั้ง"เจ้านายข้าเลื่อนวรยุทธได้สามระดับแล้ว ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นจิตตราระดับหกดาว พวกเรากำลังย้ายที่สำหรับขับเคลื่อนวรยุทธกัน ทุกคนยกเว้นจื่ออี้เฉินก็เลื่อนวรยุทธคนละสามระดับกัน"ลี่หลินสื่อกับมู๋จินเป่า น้ำเสียงแสดงถึงความดีใจอย่างเห็นได้ชัด"เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าถึงได้รับรู้ว่าอยู่ๆตัวข้าก็รู้สึกเย็นวูบๆจึงทำให้ข้าตื่นจากพวัง พวกเจ้าท
เมื่อคืนวันเพ็ญบรรยากาศรอบ ๆ ก็มีผู้คนหนาตาขึ้นมามาก ณ วันนี้ มู๋จินเป่าเองก็รับรู้ได้ว่า ไม่มีผู้ใดเข้าออกจากอาณาเขตที่ห่าวอู๋อวี่กางไว้ ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาห้าทุ่มแล้ว แต่ห่าวอู๋อวี่ไม่มีวีแววที่จะตื่นด้วยซ้ำ อยู่ๆนางก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นแสดงว่าลี่หลินออกจากสมาธิแล้ว ครั้นนี้นางรู้สึกเย็นวูบรั่ว ๆ จนไม่ได้นับเพราะกังวลกับเวลาที่จะมาถึง คนที่อยู่ข้างหน้ายังไม่มีวีแววที่จะตื่นด้วย ไม่รู้จะตื่นทันหรือไม่ ครั้นจะไปปลุกก็กลัว เพราะสีหน้าของห่าวอู๋อวี่เยือกเย็น บางครั้งมีไอเย็นออกมาและอยู่ๆก็หายไป แล้วกลับมาอีกวนเวียนอยู่แบบนี้จนนางเองก็ตกใจ"เจ้านายพวกข้าเตรียมพร้อมกันแล้ว ข้ามีวรยุทธเพิ่มอีกห้าระดับตอนนี้อยู่ขั้นมายาระดับที่หนึ่งระดับมนตรา ของข้าเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ตอนนี้พวกข้าก็เข้าใกล้ต้นหลิวต้องแสงจันทรไม่ได้เลย พวกข้าน่าจะต้องเตรียมการอยู่ที่นี้ "ลี่หลินสื่อกับมู๋จินเป่า ว่าตนเลื่อนวรยุทธได้แล้วแต่เข้าใกล้ต้นหลิวไม่ได้อยู่ดี"พวกเจ้าทำได้ดีมาก บริเวณที่ข้าอยู่ใกล้ตนหลิวต้องแสงจันทร์อยู่มาก มองเห็นต้นหลิวต้องแสงจันทร์ แต่มองไม่เห็นผลของมันเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลหลิวต้องแสงจันทร์ อย
ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงและสีฟ้าพันกันเป็นเส้นวงกลมพุ่งลงมาจากฟ้ามายังร่างของห่าวอู๋อวี่ และจื่ออี้เฉิน ทุกอย่างก็สว่างขึ้นมาทันที ร่างของทั้งสองลอยขึ้นอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อยสักระยะหนึ่งก็กลับมาอยู่ที่เดิม"เจ้านายของข้าทำสำเหร็จแล้ว ข้าและเจ้านายมีวรยุทธเพิ่มขึ้นแล้ว"จื่ออี้เฉินร้องขึ้นด้วยความดีใจ พลางมองฝูงสัตว์อสูรวิ่งกรูหนีออกมาจากทิศทางที่ต้นหลิวต้องแสงจันทร์อยู่ซึ่งเมื่อครู่มีสายฟ้าฟาดลงมาเหมือนกับตำแหน่งของจื่ออี้เฉินยืน ณ จุดบริเวณนั้นน่าจะเป็นนายของตนเป็นแน่ นายท่านของเค้าไม่ใช่แค่เลื่อนวรยุทธแต่ยังสามารถควบคุมพลังอะไรสักอย่าง ของต้นหลิวต้องแสงจันทร์ได้เป็นแน่ เพราะจะมีสายฟ้าไม่กี่ครั้งที่เจ้านายของตนเลื่อนวรยุทธ ครั้งแรกที่ตนติดตามเจ้านายมาก็เพราะ เจ้านายควบคุมสายน้ำอมฤตพิฆาตที่อยู่ในถ้ำตะวันได้ตนจึงต้องติดตามมา ตอนนั้นมีสายฟ้าสีรุ้งฟาดลงมาด้วย ซึ่งแรกๆตนไม่อยากติดตามจ้านายด้วยซ้ำแต่พอเห็นความสามารถ และความพยายามในตอนนั้น ทำให้ตนปลื้มอยู่ไม่ใช้น้อยหลังติดตามมาแล้วก็ได้เจอะเจอของดี ๆเรื่อยมาจึงทำให้ตนรู้สึกว่าตนไม่น่าผิดหวังเลยสักนิด ที่ติดตามนายท่าน ตอนนี้ไม่รู้ว่านายท่านจะ
หลังจากที่จื่ออี้เฉินกรายร่างเป็นอีกาดำสามขา แล้วหอบกลุ่มของพี่ซิงอี และสัตว์อสูรทั้งสองไปรับเจ้านาย ห่าวอู๋อวี่ และมู๋จินเป่าหลบหนี้ผู้คนไปยังถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อวางแผนต่อไป หลังจากวางทุกคนลงแล้วตัวของจื่ออี้เฉินก็กรายร่างมาเป็นบุรุษรูปงามในชุดสีดำดังเดิม"จินเป่า! จินเป่า!จินเป่า!เจ้าเป็นอะไรไป"ซิงอีเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นพลางวิ่งเข้าไปหามู๋จินเป่า ที่ห่าวอู๋อวี่อุ้มอยู่ พอห่าวอู๋อวี่วางมู๋จินเป่าลง เจ้าต้นหลิวต้องแสงจันทร์จิ๋วก็กระโดดลงจากตัวของมู๋จินเป่าพร้อมกับกระต่ายหยกตัวจิ๋ว ที่ตอนนี้หน้าตาตื่นๆผิดกับก่อนหน้านี้ที่แข็งแรงและตัวใหญ่โตมาก กระต่ายหยกจิ๋วมองหน้าห่าวอู๋อวี่ และหลับตาปริบๆ เจ้าต้นหลิวต้องแสงจันทร์จิ๋วเดินไปหาห่าวอู๋อวี่และดึงชายเสื้อของห่าวอู๋อวี่ และกระเถิบๆเข้าหาห่าวอู๋อวี่ ทุกคนก็ตกใจกับการกระทำของมัน มีแต่กระต่ายหยกตัวเดียวที่เดินเข้าไปหาต้นหลิวต้องแสงจันทร์ เพราะมันเข้าใจกัน ลี่หลินจึงกรายร่างเป็นสัตว์อสูรจิ้งจอกเก้าหางและทำการคุยภาษาสัตว์กับกระต่ายหยก เมื่อรู้ทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้วจึงกลับร่างเป็นดรุณีน้อยและสื่อสารกับมนุษย์"ตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนแล้วท่านห่าว
"ที่พวกข้ามานี้ไม่ได้ต้องการอะไรหรอกนะ พวกข้าแค่ไม่เคยเห็นหน้าเจ้านะ แล้วผลหยางเหมยนี้ล่ะเอามาจากที่ใดกันข้าได้ข่าวว่าถ้าพบก็ต้องเป็นสิบๆลูกนิ เจ้าเอามาจากที่ใดล่ะถึงมีเพียงลูกเดียวไม่ใช่ว่ามีหลายลูกแต่ไม่เอาออกมาหรอกหรือ"บุรุษผู้หนึ่งถามเจ้ากระต่ายหยกขึ้น เจ้ากระต่ายหยกทำหน้าบูดขึ้นทันทีมันไม่ตอบแต่มองกลับไปก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้ละโมบอยากได้ผลหยางเหมยหมดทุกผลรวมกับเบี้ยที่เสียมาด้วย"ทำไมไม่ตอบล่ะเจ้ารู้หรือป่าวว่าลูกพี่ของข้าคือผู้ที่เก่งที่สุดในมิติแห่งนี้ท่านตงหมิงของข้าผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งของศึกมังกรเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว"บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น แต่กระต่ายหยกเองก็ยังเมินเฉยอยู่"หรือเจ้าไม่รู้ภาษามนุษย์กันถึงได้เงียบแบบนี้"บุรุษอีกผู้ถามขึ้น"พวกเจ้ามีปัญหาอะไรกันหรือป่าว"จินเป่ากล่าวถาม"พวกข้าจะเป็นอย่างไรแล้วพวกเจ้าจะมีปัญหาอะไรกัน"บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นจึงทำให้กลุ่มคนของตงหมิงราวๆแปดคนมองมาที่จินเป่าเพียงคนเดียว ทันใดนั้นด้วยความงามของนางก็ทำให้คนที่เห็นถึงกับตกตลึงทันที"อ่ะเจ้าจะมาพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกหรอกนะ ถ้าสตรีผู้นี้จะมาเกี่ยวข้องข้าเองก็เต็มใจยิ่งนัก ข้ามีนามว่าตงหมิงที่ศ
"ข้าว่าท่านประมุขในมิติแห่งนี้ก็ฉลาดมากนักนะ สงสัยองค์ชายรัชทายาทต้องฟื้นแล้วล่ะ และนี้คงจะเป็นการล่อคนออกมาเป็นแน่ หรือจะจัดเพื่อเอาใจเรากันนะ"จางซินกล่าวขึ้น"ข้าว่าน่าสนุกออกเราไปขอให้องค์ชายหกให้พวกเราเข้าร่วมด้วยดีกว่าเราจะได้ประสบการณ์ด้วย แถมเคล็ดวิชานี้ก็น่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง ดัชนีสุริยัน ข้าได้ยินแล้วสนใจยิ่งนัก ถ้าท่านได้ศึกษาเคล็ดวิชานี้ท่านต้องไปได้ไกลแน่ๆ"จินเป่ากล่าวขึ้นพลางนึกคึกขึ้นมา และมองหน้าห่าวอู๋อวี่ เพราะจินเป่าต้องการเคล็ดวิชานี้เพื่อเขา"เจ้าอยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ "ห่าวอู๋อวี่ถามขึ้น"ยังกับท่านไม่อยากจะลองประลองในครั้งนี้ ข้าว่าตัวท่านแหละต้องการประลองในครั้งนี้มากกว่าข้าเสียอีก แล้วอีกอย่างเราเป็นคนจากมิติอื่นเขาไม่น่าจะสังหารเราหรอกมั้ง"จินเป่ากล่าวขึ้น"ข้าคิดว่ามันก็เป็นการดีนะถ้าเราจะลองประลองฝีมือในครั้งนี้ แต่ข้าว่าเราน่าจะช่วยกันหาผลหยางเหมยก่อนดีหรือป่าวเพราะเราต้องเตรียมสมุนไพรรักษาเส้นลมปรานเสียก่อนไม่อย่างนั้นถ้าบาดเจ็บมาเราแย่แน่"จางหยงกล่าวขึ้น"ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราไปหาองค์ชายหกกันเพื่อจะคุยเรื่องการเข้าร่วมประลอง ส่วนเ
หลังจากที่ท่านประมุขรู้ทุกอย่างที่บุตรชายของตนเล่าให้ฟัง จึงส่งคนไปตามหาพระชายาและจับตัวพระชายามา แต่ทหารที่จะไปตามตัวพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นยังไม่ได้ออกจากตำหนักก็พบว่าพระชายาได้เดินทางเข้าวังหลวงเสียแล้ว หลังจากที่นางรู้สึกถึงสายฟ้าฟาดเข้ามาในวังหลวง บุรุษผู้เป็นสามีก็ให้นางรีบเข้ามาดูสถานการณ์ เพราะคนของพวกนางถูกสับเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่มีใครคอยสืบข่าว หลังจากที่นางเข้ามาในวังหลวงก็ถูกทหารจับตัวทันที"พวกเจ้าจับข้าทำไมกัน ข้าคือชายาขององค์ชายรัชทายาทนะปล่อยข้ากับลูกเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทำกับข้าแบบนี้ไม่กลัวถูกตัดหัวหรือไร"พระชายาร้องตกใจที่ตัวเองถูกจับกุมไว้ ทั้งๆที่นางก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกี่ยวกับตัวของนางแน่นอน"ไปกับพวกข้าซะดีๆเถอะเดี๋ยวท่านก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงท่านได้รับความเป็นธรรมแน่นอน"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางลากตัวคนที่สนิทของพระชายาไป"เจ้าจะพานางไปไหนปล่อยนางเดี๋ยวนี้นะ นี่เป็นคำสั่งของข้า พระชายาขององค์ชายทายาท"เมื่อคนรับใช้ข้างกายของตนถูกจับจึงทำให้พระชายาทนอยู่เฉยๆไม่ได้ร้องโวยวายออกมา เพราะคนข้างกายนั้นคือน้องสามีของนางเอง ไม่นานพระชายาก
หลังจากที่ท่านประมุขรู้ทุกอย่างที่บุตรชายของตนเล่าให้ฟัง จึงส่งคนไปตามหาพระชายาและจับตัวพระชายามา แต่ทหารที่จะไปตามตัวพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นยังไม่ได้ออกจากตำหนักก็พบว่าพระชายาได้เดินทางเข้าวังหลวงเสียแล้ว หลังจากที่นางรู้สึกถึงสายฟ้าฟาดเข้ามาในวังหลวง บุรุษผู้เป็นสามีก็ให้นางรีบเข้ามาดูสถานการณ์ เพราะคนของพวกนางถูกสับเปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่มีใครคอยสืบข่าว หลังจากที่นางเข้ามาในวังหลวงก็ถูกทหารจับตัวทันที"พวกเจ้าจับข้าทำไมกัน ข้าคือชายาขององค์ชายรัชทายาทนะปล่อยข้ากับลูกเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทำกับข้าแบบนี้ไม่กลัวถูกตัดหัวหรือไร"พระชายาร้องตกใจที่ตัวเองถูกจับกุมไว้ ทั้งๆที่นางก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกี่ยวกับตัวของนางแน่นอน"ไปกับพวกข้าซะดีๆเถอะเดี๋ยวท่านก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงท่านได้รับความเป็นธรรมแน่นอน"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางลากตัวคนที่สนิทของพระชายาไป"เจ้าจะพานางไปไหนปล่อยนางเดี๋ยวนี้นะ นี่เป็นคำสั่งของข้า พระชายาขององค์ชายทายาท"เมื่อคนรับใช้ข้างกายของตนถูกจับจึงทำให้พระชายาทนอยู่เฉยๆไม่ได้ร้องโวยวายออกมา เพราะคนข้างกายนั้นคือน้องสามีของนางเอง ไม่นานพระชายาก
กลางคืนอันเงียบสงบก็เกิดพายุลมแรงขึ้นเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ทั้งหกที่นอนอยู่ในห้องรีบวิ่งออกมาด้านนอกรวมตัวกัน"มันเกิดสิ่งใดหรือทำไมท้องฟ้าแปรปรวนเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะมีผู้เลื่อนวรยุทธหรอกหรือ"ห่าวอู๋มูลี่กล่าวขึ้น"น่าจะมีผู้ที่มีวรยุทธลึกล้ำที่กำลังจะเลื่อนวรยุทธนะท่านพี่ ข้าว่ามิตินิมิตแห่งนี้มีผู้ที่วรยุทธลึกล้ำไม่มีอันใดแปลก หรอก หรือว่าจะเป็นองค์ชายรัชทายาทที่ต้องฟื้นภายในวันนี้แต่เขาไม่ฟื้น กลับมาฟื้นกลางดึกแบบนี้ แล้วร่างกายได้รับความกดดันพลังภายในเป็นเวลานานจึงทำให้วรยุทธเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น อยู่ๆก็มีสายฟ้าฟาดเข้ามาในพระราชวัง สายตาทั้งหกคู่ที่มองเห็นแทบจะบอดเลยทีเดียว ทุกคนต่างหลับตาและอุดหู"โน้นสายฟ้าฟาดเข้าไปในวังน่าจะตำแหน่งของตำหนักองค์ชายรัชทายาทเป็นแน่"จินเป่าร้องขึ้นพลางชี้มือไปที่ปลายสายของสายฟ้านั้น สายฟ้าผ่าลงไปสักพักแสงก็เลือนหายไป ทุกคนที่อยู่ตำหนักขององค์ชายรัชทายาทนั้นสลบทันที ผู้เป็นมารดาขององค์ชายรัชทายาทลุกขึ้นมาเพราะเสียงฟ้าผ่า นางตื่นขึ้นมาก็กระอักเลือดไปสามที แต่ด้วยความที่นางเป็นห่วงบุตรชาย จึงรีบเดินออกไปดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น และรีบว
หลังจากมอบยาให้กับท่านประมุขแล้วทั้งหกก็ไม่ได้เข้าไปตำหนักใหญ่อีกเลย ทำราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ให้ความร่วมมือกับท่านประมุขแต่อย่างใด องค์ชายหกยังแวะเวียนมาเยี่ยมทั้งหก และพาพวกเขาออกไปด้านนอกตามเคย "ห๊ะทั้งหกไม่ได้เข้าไปรักษาองค์ชายรัชทายาทหรอกหรือ แสดงว่าที่เราขู่เขาได้ผลล่ะสิ แล้วผู้ที่ข้าส่งไปทำไม่ยังไม่กลับมารายงานอีกหรือพวกเจ้าจัดการเก็บเรียบร้อยแล้วหรือ"เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น "กลุ่มคนที่ถูกส่งไปไม่ได้มีใครกลับออกมาแบบมีชีวิตเลยขอรับ ทางการน่าจะจับตายหมดแล้ว ตอนนี้กำลังสืบอยู่ขอรับ"ผู้ที่มาส่งข่าวรายงาน"ท่านพี่แต่เห็นคนบอกว่าต้นไม้จันทน์แดงนั้นถูกเก็บออกไปเสียแล้ว ข้าเกรงว่าไม่ช้าองค์ชายรัชทายาทต้องฟื้นมาเป็นแน่ เราต้องหาสิ่งใดไปแทนหรือไม่ ข้าต้องการให้ลูกชายของเราทั้งสอง ห้าขวบเร็วๆจังจะได้กำจัดมันไปเสียที"เสียงสตรีกล่าวขึ้น ขณะที่ทุกคนคิดว่านางไปต่างเมื่องเพื่อเยี่ยมมารดาของนาง"เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นแหละเจ้าจะได้กำจัดมันแล้ว ถ้าไม่มีต้นจันทร์แดงอยู่เพียงสามเดือนมันก็จะฟื้นแต่นั้นมันก็นานพอดู เอาเป็นว่าข้าจะหาวิธีใหม่ก็แล้วกัน แต่กลุ่มคนเหล่านนั้นมันรู้ได้อย่างไรว่าต้
"ห๊ะอะไรนะ ชายาขององค์ชายรัชทายาทหนีไปแล้วหรือ "จางซินร้องขึ้นเมื่อได้ฟังองค์ชายหกเล่าเรื่องในวังให้ฟัง"นางคงไปดูแลมารดาที่ป่วยนะ องค์ชายหกก็บอกอยู่ว่านางกล่าวเช่นนั้น"จินเป่าพูดอย่างไม่ใส่ใจ "เจ้าเชื่อแบบนั้นจริงๆหรือ ที่เจ้ากล่าวตอนกลางวันข้าก็นำไปทูลเสด็จพ่อ กับฮองเฮาพวกเขายังตรัสถามเลยว่าเจ้าสงสัยชายาขององค์ชายรัชทายาทหรือ แต่พอเรามาเล่าให้ฟังว่าเขาอ้างว่ากลับไปเยี่ยมมารดาเจ้ากลับเชื่อ"องค์ชายหกกล่าวขึ้น จินเป่าจึงมองหน้าห่าวอู๋อวี่เขาเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าคืนนี้จะมีผู้ลงมือกับพวกเขาเป็นแน่"วันนี้องค์ชายหกให้เกียรติพวกเราถึงขนาดมาเยี่ยมพวกเราที่เรือน เอาแบบนี้ละกันวันนี้องค์ชายหกพอมีเวลารับประทานอาหารเย็นร่วมกับพวกเราหรือไม่"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น"5555แน่นอน เดียวเราสั่งคนไปนำสุราอาหารมา"องค์ชายหกกล่าวขึ้น"ท่านให้คนไปนำสุราก็เพียงพอแล้ว ที่เราเคยบอกไว้เรื่องอาหารปลาหลี่น้ำจิ้มซีฟู้ด วันนี้พวกข้าจะตอบแทนที่ท่านพาพวกข้าเที่ยวทั้งวันดีหรือไม่"จางซินกล่าวขึ้นเพราะเห็นว่าห่าวอู่อวี่ต้องการรั่งองค์ชายหกให้อยู่ต่อ"อ้าดีเลย ข้าก็อยากที่จะลิ้มรสมันเหมือนกัน เดียวข้าสั่งคนไปซื้อป
"อย่าบอกนะว่าเจ้าสงสัยพระชายานั้นจึงสอบถามองค์ชายหกแบบนั้น"จางซินถามจินเป่าขึ้นหลังจากกลับมาถึงเรือนแล้ว"ก็มันน่าสงสัยนี่เจ้าคิดดูสิว่าจะมีผู้ใดได้ผลประโยชน์ในเรื่องนี้ณเวลานี้ พวกองค์ชายทุกคนจะได้ผลประโยชน์เมื่อท่านประมุขนั้นสิ้นแล้วเท่านั้น ถ้าองค์ชายรัชทายาทไม่อยู่ เพราะข้าคิดได้แบบนี้"จินเป่ากล่าวขึ้น"แต่ก็ไม่แน่เหมือนที่องค์ชายหกบอกเองนั่นแหละ ว่าพวกอนุเองก็น่าจะมีความคิดที่อยากทำแบบนี้ ณ เวลานี้เราจะตัดสินใจลงมือทำสิ่งใดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก ถ้าเราจะจัดการให้องค์ชายรัชทายาทหายจากพิษเลยก็กลัวที่จะมีปัญหากับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง"จินเป่ากล่าวขึ้น"แล้วเราจะรักษาให้เขาหรือป่าวล่ะ"จางซินถาม"รักษาสิ เจ้ามีตัวยาใดที่จะรักษาได้หรือป่าว"จินเป่าถามขึ้น"ก็ผลหลิวต้องแสงจันทร์ไงที่รักษาได้ "จางซินกล่าวขึ้น"ถ้าไม่ใช้ผลหลิวต้องแสงจันทร์เรามีตัวอย่าอื่นรักษาแทนได้หรือป่าว ทำให้เขาค่อยๆดีขึ้นนะ"จินเป่ากล่าวขึ้น"ทุกตัวยาที่ข้าคิดได้ต้องใช้ผลหลิวต้องแสงจันทร์เป็นตัวปรุงอยู่ดี"จางซินตอบพลางมองไปยังพี่ชายของตน"งั้นก็ปรุงยาตัวที่ง่ายที่สุดที่พวกเรามีสมุนไพรอยู
"มีสิ่งใดหรือเข้ามาสิ"องค์ชายหกตอบรับขึ้น บ่าวก็วิ่งเปิดประตูเข้ามา"ด้านล่างองค์หญิงสามกับองค์หญิงสี่ กำลังมาที่โรงเตี๊ยมนี้ขอรับน่าจะรู้ว่าองค์ชายหกพาแขกจากมิติสามัญมาดื่มน้ำชาก็เลยจะตามมาขอรับ น่าจะมาแอบฟังพวกท่านสนทนากันกระมังขอรับ"บ่าวรายงานขึ้น"ช่างพวกนางเถอะข้าไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักหน่อยข้าแค่ถามสารทุกสุขดิบการเดินทางไปมาของพวกเขาเท่านั้นเจ้าไม่ต้องกังวลหรอกออกไปเถอะ"องค์ชายหก กล่าวขึ้นแต่สีหน้าของเขานั้นเปลี่ยนไป สีหน้าของเขาทำราวกับเป็นเรื่องยุ่งยากมาก สักพักก็ได้ยินผู้คนเดินมามากมายและเปิดประตูห้องข้างๆของพวกเขา น่าจะเป็นองค์หญิงทั้งสองที่มาฟังพวกเขาสนทนากัน"องค์ชายหกท่านเคยกินปลาหลีกับน้ำจิ้มซีฟู้ดหรือไม่"ซิงอีถามขึ้น เพราะต้องการให้องค์ชายหก รับรู้ว่าพวกตนจะเปลี่ยนแนวการสนทนามาพูดเรื่องชีวิตประจำวันกันแล้วเขาจะได้ไม่ซีเรียส เพราะว่าถามจริงๆพวกเขาก็คงจะคิดว่าองค์ชายหก จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาทมีความเป็นไปได้สูงว่าสองคนนี้มาสืบเรื่องของพวกเขา"อะไรนะปลาหลี่น่ะข้าเคยกินแต่น้ำจิ้มซีฟู้ดอะไรนั่นข้าไม่เห็นจะรู้จัก"องค์ชายหกกล่าวขึ้น"รู้ไหมมันเป็นอาหารเลิศรสของเ