หลังจากที่เดินทางมาเป็นเวลาสักพักที่พบเจอกับภาพลวงตาต่างๆนานาที่วนเวียนเข้ามาหาในแต่ละคน แต่พวกเขานั้นก็พยายามที่จะตั้งสติให้ได้ จนในที่สุดภาพลวงตานั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว"ซิงอีทำไมเจ้ามองข้าแปลกๆแล้วตอนที่เจ้าเกิดภาพลวงตานั้น มันเป็นอะไรหรือทำไมเจ้าเรียกชื่อข้าแล้วก็บอกว่าอย่า แล้วก็เรียกจินเป่าด้วยแต่ข้าเองก็ไม่กล้าถามต่อหน้าทุกคน"จางหยงกล่าวถามซิงอีเมื่อตอนที่ไม่มีใครอยู่กับพวกเขา"ที่ท่านเคยรับปากข้าไว้ แม้ว่าเราจะเจอบิดามารดาของพวกเราแล้วท่านจะไม่เปลี่ยนไปจริงๆใช่หรือไม่ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าคิดกังวลเรื่องนี้จึงทำให้เกิดภาพลวงตาเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแต่มันก็ฝังใจกับข้ายิ่งนัก จึงทำให้ข้ายากที่จะลืมเลือนว่าข้านั้นพบกับภาพลวงตาแบบใด ข้าพบว่าท่านหลอกลวงให้ข้ากับจินเป่าไปมิติเชื่อมจิตแล้วท่านก็ใช้กริชนั้นแทนพวกข้าทั้งสอง"ซิงอีถามขึ้นและเล่าให้เขาฟังว่าเขาพบเจอเรื่องใดบ้าง"จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรเราก็คุยกันแล้วนี่ว่าข้าจะรักและปกป้องเจ้าตลอดเส้นทางสายนี้ ถึงแม้เราจะอยู่มิติเชื่องจิตแล้ว และหากพบกับมารดาของข้า ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่าข้าจะช่วยบิดาของเราและมารดาของเจ้ากับจินเป่า"จางห
ห่าวอู๋อวี่แหวกสายน้ำทะเลลงไปในน้ำนั้นไม่ได้มีความเป็นน้ำอย่างที่คิดมันไม่ระคายเคืองสายตาเลยสักนิดแถมเขารู้สึกว่าเขาหายใจได้ดังอยู่บนพื้นดินธรรมดาด้วยซ้ำ เมื่อเขาไปเจอก็พบกับกระต่ายหยกของจินเป่าที่ตอนนี้กำลังพ่นน้ำสีเขียวใส่เจ้าเต่ามังกรตัวนึง ซึ่งตัวของทั้งสองก็พอๆกัน แถมสีของมันก็คล้ายๆกันหรือว่าเต่าตัวนี้จะเป็นเต่ามังกรหยกในตำนาน แต่อาจจะไม่ใช่เพราะว่าสีเขียวที่เจ้ากระต่ายพ่นออกไปอาจติดกับเต่ามังกรตัวนั้นก็ได้ เมื่อเต่ามังกรตัวนั้นเห็นผู้บุกรุกมาใหม่จึงผละออกจากการต่อสู้กับกระต่ายหยกนั้น มันคิดแต่ว่าทำไมอยู่ๆเจ้ากระต่ายถึงกระโดดลงมาหามันได้ และก็เข้าต่อสู้กับมันทันทีมันจึงต้องการที่จะสู้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่เมื่อมันเห็นมนุษย์บุกลงมามันก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาแล้ว ที่อยู่ๆจะมีทั้งสัตว์มหาอสูรกับมนุษย์บุกลงมาถึงใต้ท้องทะเลของมัน"พวกมนุษย์กับสัตว์มหาอสูรตนนี้พวกเจ้ามาบุกรุกที่ข้า ด้วยเหตุอันใดข้าอยู่มาเป็นล้านๆปีไม่เคยพบเจอกับมนุษย์ และมหาอสูรแบบพวกเจ้า วันนี้มาถึงถิ่นข้าแล้ว ก็มอบชีวิตให้ข้าเถิด เพราะไม่มีใครผ่านเปลวคลื่นของข้าไปได้หรอก ข้างบนอาจจะมีมนุษย์มากมายแต่มันก็ต้องต
เมื่อห่าวอู๋อวี่อุ้มจินเป่ามาวางไว้ข้างต้นไม้ใหญ่แล้ว เขาก็ถ่ายทอดวรยุทธรักษาให้จินเป่าเจ้ากระต่ายหยกจึงเปิดปากจินเป่าออก แล้วใส่อะไรสักอย่างที่เป็นเม็ดกลมๆสีเขียวเข้ม เข้าไปด้านในปากขิงนางและปิดปากพร้อมกับลูบคอให้นางกลืนของชิ้นั้น ไม่นานจินเป่าก็ลืมตาขึ้นมา นางไอ สามครั้งก็รู้สึกถึงวรยุทธ์ที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกาย ซิงอีเห็นก็ดีใจมากที่จินเป่าฟื้น"เจ้าเอาอะไรให้นางกินหรือเจ้าจิ๋ว ทำไมนางกินแล้วถึงขึ้นได้หละ"จางซินถามขึ้น เจ้ากระต่ายลุกไม่ได้กล่าวสิ่งใดมันมองหน้าจังซิมแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้งแล้วก็ไปยืนข้างๆซิงอีที่ตอนนี้กำลังใช้ผ้าชุบน้ำอมฤตใบหน้าให้จินเป่าอยู่"เจ้าชู้นี้อารมณ์ไม่ดีง่ายมากเลยนะเจ้าน่ะข้าชอบเจ้าจะตายดูเจ้าทำสีหน้าที่มองข้าเหมือนเจ้าชังค่ามากเสียเหลือเกิน"จางซินกล่าวอีก"มาหาอสูรนั้นไม่ได้ชังมนุษย์หรอกแต่เจ้าก็ชอบไปวุ่นวายกับมันเสียเหลือเกินถามนู่นถามนี่มันให้อะไรจริงเปล่ากินจะไปอยากรู้ทำไมอย่างน้อยมันก็รักสาให้จริงเปล่าดีขึ้นในทันตาและอีกอย่างมันเป็นสัตว์มหาสมนต์ของจริงเปล่ามันไม่สามารถทำร้ายเจ้านายมันได้หรอก"จางหยงพูดขึ้น พลางไปช่วยไป๋อวิ้นดูแผนที่ที่หลิวเหยียนกางออก
เมื่อจินเป่าเกินไข่มุกลวี่ลงไปแล้วได้พักผ่อนเต็มที่ ตอนนี้ตัวนางนั้นก็ดีขึ้นมากแล้ว ในการเดินทางต่อไปนางไม่จำเป็นจะต้องให้ห่าวอู๋อวี่แบกนางอีกแล้ว จางซินจึงจับชีพจรให้จริงเปล่าก็รู้ว่าภายในของนางนั้นดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หายเป็นเปิดทิ้ง"ข้าว่าเจ้าดีมากแล้วนะหรือว่าไข่มุกละวีนั้นรักษาโรคที่เจ้าเป็นได้แล้วแล้วเราก็ไม่ต้องไปหาเขากวางสามร้อยยอดอีกแล้วกระมัง"จางซินกล่าวขึ้น"ไม่หรอกโรคหยินหยางที่จินเป่าเป็นนั้นต้องรักษาด้วยเขากวางสามร้อยยอดเท่านั้น แต่ที่ตอนนี้ยังไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนเดิมแล้ว เป็นเพราะว่าตอนนี้ร่างกายมีไข่มุกลวี่อยู่ หากร่างกายนี้ดูดซับไข่มุกลวี่หมดไปแล้วก็จะมีอาการเหมือนเดิมรักษาไม่หายแต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากเพราะฤทธิ์ของไข่มุกลวี่เพียงเท่านั้นเอง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้นว่าไข่มุกลวี่ดีขนาดไหน ทุกคนจึงออกเดินทางต่อไปทางทิศที่แผนที่บอกว่าจะพบกับต้นไม้กินคนเมื่อเดินต่อไปก็พบกับบรรยากาศที่ต่างไปเล็กน้อยิอากาศเย็นตัวลงจนทำให้เสียวสันหลังไปหมด ถึงแม้จินเป่าจะเดินได้เองแต่เขาก็เดินอยู่ในตำแหน่งกลางเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทุกมื่อเพราะร่างกายไม่สู้
อยู่ดีๆจินเป่าก็รู้สึกวุบขึ้นมา นางไม่ได้มีความเจ็บปวด ถึงแม้ความรู้สึกว่าถูกลากเลย เป็นความรู้สึกวุบอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่ๆก็เหมือนอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีเขียวๆ จินเป่ามองซ้ายมองขวาก็พบว่าเหมือนตัวเองอยู่ในหม้อปรุงสมุนไพร เหมือนตอนที่นางอยู่เมืองหลวงนั้น แต่สีนั้นกลับแตกต่างกันไป ตรงพื้นด้านล่างที่เป็นเมือกๆเหมือนเป็นสีเขียวเข้มด้านข้างๆเป็นสีเขียวอ่อน นางมองซ้ายมองขวา ก็พบกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เหมือนกำลังจะครึ้มฟาครึ้มฝน อยู่ดีๆทำไมครึ้มฟ้าครึ้มฝนได้นะ นางจึงมองไปด้านบนก็พบว่าเหมือนมีแผ่นบางๆกลมๆเลื่อนลงมาปิดปากหม้อที่นางยืนอยู่ลักษณะเป็นดังวงกลมแล้วมีหนามแหลมๆอยู่รอบด้าน สีของฝานั้นเป็นสีน้ำตาลอมเขียวลายเหมือนกับพืชชนิดหนึ่ง ที่เธอเคยเห็นในตำรามา มันคือซิวกั่วพืชกินแมลงชนิดหนึ่ง นางกินรีหว่าฮว่าได้เขียนในแผนที่ว่าต้นไม้กินคน ที่แท้เขาไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ต้นไม้อย่างเดียว แต่มันมีพืชชนิดนี้ด้วย นางได้แต่ขบคิดว่าคนที่มาด้วยกันนั้นจะถูกลากไปขังอยู่ในซิวกั่วเหมือนนางหรือไม่นะ แม่นางกำลังที่จะหาวิธีออกจากซิวกั่วนี้ นางหยิบกริชออกจากมิติ ซึ่งตอนนี้นางมีพลังพอที่จะเปิดมิติได้ แต่ใ
"เหมือนข้าจะได้กลิ่นไอวิเศษที่คุ้นๆ เหมือนกับกลิ่นปลาทำนองนั้น น่าจะเป็นปลาเผาที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นไอวิเศษ มันอยู่ทิศเหนือโน้นเราไปดูกันดีหรือไม่"หลู่ฮาลากล่าวขึ้น เมื่อนางได้สัมผัสถึงกลิ่นปลาที่สุกแล้วและทำให้นางนั้นน้ำลายสออยู่"เจ้าจะบอกว่าเจ้าหิวแล้วกระมังแค่ได้กลิ่นไอวิเศษของปลาเผาก็ทำให้เจ้าน้ำลายสอแล้ว เรารีบตามหาคนเราไม่ได้ต้องการที่จะรีบไปกินเสียหน่อย"หลินเหยียนกล่าวขึ้น"แต่ข้าว่าใครกันจะมาเผาปลาให้เจ้าได้รับรู้กลิ่นขนาดนั้น มันไม่ใช่กับดักหรอกหรือ"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ากินรีตระกูลหลู่จมูกดีเรื่องของกิน"กลิ่นนั้นอยู่ทิศทางใดล่ะเราตามมันไปเถอะ มันอาจจะเป็นกลลวงแต่เราก็จะได้รู้ว่ากลลวงนั้นคือสิ่งใด ถ้าเราไม่เข้าไปหาจุดที่อันตรายที่สุดเราก็จะไม่สามารถหาคนทั้งสามพบ หากเราเจอกลลวงนั้นแล้วหากเราแก้ไขปริศนาของกลลวงได้ เราก็น่าจะตามหาคนได้สำเร็จเร็วขึ้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เมื่อได้ยินเขาพูดทุกคนก็คล้อยตาม ถึงแม้นจะเป็นกลลวงจริงๆเขาก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย หลู่ฮาลาจึงพาทั้งแปดเดินไปทิศทางที่ตนได้กลิ่นปลาเผานั้น ไม่นานพวกเขาก็พบสิ่งที่น่าประหลาดก็คือกลุ่มของพืชชนิ
เมื่อองค์ชายหกถูกเถาวัลย์กะชากลงไปในต้นซิวกั่ว เขาก็ตกใจมากเพราะตอนที่เถาวัลย์กะชากเขาไปนั้น เขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่อยู่ๆเหมือนมายืนอยู่ในหม้อที่เป็นสีเขียว แล้วตอนนี้ฝาก็กำลังจะปิด เขารู้ได้ทันทีว่าเขาอยู่ในพืชกินคนแล้ว ที่เมื่อสักครู่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ เมื่อเขาเข้ามาแล้วก็ตกใจกลัว พอตั้งสติได้เขาก็ใช้วรยุทธกระแทกเข้ากับผนังของหม้อนั้น แต่ก็ไม่เป็นผลน้ำย่อยสีเขียวๆที่แฉะๆอยู่ด้านล่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขายังไม่แน่ใจว่ามีสิ่งใดที่ต้นนี้มันกลัว เพราะจากที่เขาฟังบุรุษที่อยู่มิติสามัญพูดคุย ยังจับใจความไม่ได้เลยว่าพืชชนิดนี้ต้องจัดการอย่างไร และในชีวิตนี้เขาไม่เคยได้ยินสมุนไพรที่ชื่อว่าซิวกั่วนี้เลย เขานึกเสียใจกับตัวเองที่ศึกษาตำราไม่มากพอ ขนาดแค่พืชชนิดหนึ่งยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดจากมันได้อย่างไร ขนาดเข้ามาเพียงแป๊บเดียวน้ำย่อยนั้นก็ขึ้นมาสูงแล้ว เขาจึงไม่แน่ใจว่าสตรีทั้งสามจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่เพราะจากที่เขามาถึงจุดนี้ก็ใช้เวลาเกือบค่อนวันเสียแล้ว เหลืออีกไม่กี่ชั่วยามก็จะค่ำแล้ว ทางด้านนอกเมื่อห่าวอู๋อวี่รับรู้ว่าปกติหากไม่มีสิ่งใดอยู่ในซิวกั่วตอนกลางวันมันจะอ้าปากออกแต่หากว
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่พวกข้าหาเจ้าจนเจอนั้นเป็นเพราะอะไร"หลู่ฮาลาถาจินเป่าขึ้นพลางมานั่งใกล้นางเพราะนางต้องการส่วนแบ่งในครั้งนี้ ปลาหลี่ที่จินเป่ากินอยู่นั้นหอมตลบอบอวลไปด้วยไอวิเศษ ทำให้นางน้ำลายสอเป็นอย่างมาก"เป็นเพราะอะไรหรือ พวกเจ้าจึงหาข้าพบได้อย่างไรข้าเองก็อยากรู้"จินเป่ากล่าวขึ้นเพราะสงสัย "ก็เป็นเพราะว่าเจ้ากินปลาหลี่เผาแล้วแม่นางหลู่ได้กลิ่นของมันพวกเราเลยตามกลิ่นนั้นไป ก็พบเจ้านั่นแหละ เพราะฉะนั้นเจ้าจงแบ่งปลาแก่แม่นางหลู่ด้วย เพราะเขาเหมือนจะอยากกินมาก"หลิวเหยียนตอบพรางมองดูท่าทีของหลู่ฮาลา"มีแบบนี้ด้วยหรือ งั้นเจ้าก็กินสิแม่นางหลู่แล้วก็ทุกคนด้วยนะข้ายังมีปลาหลี่อีกมากมาย จินเป่าเอาปลาหลี่ออกมาใส่ถุงมิติให้ซิงอี เพราะถ้าหมดฤทธิ์ของไข่มุกลวี่แล้วนางก็จะไม่สามารถเปิดมิติได้จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้วก็พักผ่อนแต่คราวนี้พวกเขารู้แล้วว่าต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยธาตุไฟ ห่าวอู๋มู๋ลี่มีปัญหากับการเรียกไฟมากที่สุดห่าวอู๋อวี่ก็แบ่งวรยุทธของตัวเองก่อเป็นเกาะคลุมพวกเขาทั้งสิบเอ็ดไว้ ไม่นานแสงตะวันก็ค่อยๆเลือนหายไป ต้นซิวกั่วค่อยๆปิดปากลงเรื่อยๆ"เราน่าจะถึงเว
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่พวกข้าหาเจ้าจนเจอนั้นเป็นเพราะอะไร"หลู่ฮาลาถาจินเป่าขึ้นพลางมานั่งใกล้นางเพราะนางต้องการส่วนแบ่งในครั้งนี้ ปลาหลี่ที่จินเป่ากินอยู่นั้นหอมตลบอบอวลไปด้วยไอวิเศษ ทำให้นางน้ำลายสอเป็นอย่างมาก"เป็นเพราะอะไรหรือ พวกเจ้าจึงหาข้าพบได้อย่างไรข้าเองก็อยากรู้"จินเป่ากล่าวขึ้นเพราะสงสัย "ก็เป็นเพราะว่าเจ้ากินปลาหลี่เผาแล้วแม่นางหลู่ได้กลิ่นของมันพวกเราเลยตามกลิ่นนั้นไป ก็พบเจ้านั่นแหละ เพราะฉะนั้นเจ้าจงแบ่งปลาแก่แม่นางหลู่ด้วย เพราะเขาเหมือนจะอยากกินมาก"หลิวเหยียนตอบพรางมองดูท่าทีของหลู่ฮาลา"มีแบบนี้ด้วยหรือ งั้นเจ้าก็กินสิแม่นางหลู่แล้วก็ทุกคนด้วยนะข้ายังมีปลาหลี่อีกมากมาย จินเป่าเอาปลาหลี่ออกมาใส่ถุงมิติให้ซิงอี เพราะถ้าหมดฤทธิ์ของไข่มุกลวี่แล้วนางก็จะไม่สามารถเปิดมิติได้จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้วก็พักผ่อนแต่คราวนี้พวกเขารู้แล้วว่าต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยธาตุไฟ ห่าวอู๋มู๋ลี่มีปัญหากับการเรียกไฟมากที่สุดห่าวอู๋อวี่ก็แบ่งวรยุทธของตัวเองก่อเป็นเกาะคลุมพวกเขาทั้งสิบเอ็ดไว้ ไม่นานแสงตะวันก็ค่อยๆเลือนหายไป ต้นซิวกั่วค่อยๆปิดปากลงเรื่อยๆ"เราน่าจะถึงเว
เมื่อองค์ชายหกถูกเถาวัลย์กะชากลงไปในต้นซิวกั่ว เขาก็ตกใจมากเพราะตอนที่เถาวัลย์กะชากเขาไปนั้น เขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่อยู่ๆเหมือนมายืนอยู่ในหม้อที่เป็นสีเขียว แล้วตอนนี้ฝาก็กำลังจะปิด เขารู้ได้ทันทีว่าเขาอยู่ในพืชกินคนแล้ว ที่เมื่อสักครู่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ เมื่อเขาเข้ามาแล้วก็ตกใจกลัว พอตั้งสติได้เขาก็ใช้วรยุทธกระแทกเข้ากับผนังของหม้อนั้น แต่ก็ไม่เป็นผลน้ำย่อยสีเขียวๆที่แฉะๆอยู่ด้านล่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขายังไม่แน่ใจว่ามีสิ่งใดที่ต้นนี้มันกลัว เพราะจากที่เขาฟังบุรุษที่อยู่มิติสามัญพูดคุย ยังจับใจความไม่ได้เลยว่าพืชชนิดนี้ต้องจัดการอย่างไร และในชีวิตนี้เขาไม่เคยได้ยินสมุนไพรที่ชื่อว่าซิวกั่วนี้เลย เขานึกเสียใจกับตัวเองที่ศึกษาตำราไม่มากพอ ขนาดแค่พืชชนิดหนึ่งยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดจากมันได้อย่างไร ขนาดเข้ามาเพียงแป๊บเดียวน้ำย่อยนั้นก็ขึ้นมาสูงแล้ว เขาจึงไม่แน่ใจว่าสตรีทั้งสามจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่เพราะจากที่เขามาถึงจุดนี้ก็ใช้เวลาเกือบค่อนวันเสียแล้ว เหลืออีกไม่กี่ชั่วยามก็จะค่ำแล้ว ทางด้านนอกเมื่อห่าวอู๋อวี่รับรู้ว่าปกติหากไม่มีสิ่งใดอยู่ในซิวกั่วตอนกลางวันมันจะอ้าปากออกแต่หากว
"เหมือนข้าจะได้กลิ่นไอวิเศษที่คุ้นๆ เหมือนกับกลิ่นปลาทำนองนั้น น่าจะเป็นปลาเผาที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นไอวิเศษ มันอยู่ทิศเหนือโน้นเราไปดูกันดีหรือไม่"หลู่ฮาลากล่าวขึ้น เมื่อนางได้สัมผัสถึงกลิ่นปลาที่สุกแล้วและทำให้นางนั้นน้ำลายสออยู่"เจ้าจะบอกว่าเจ้าหิวแล้วกระมังแค่ได้กลิ่นไอวิเศษของปลาเผาก็ทำให้เจ้าน้ำลายสอแล้ว เรารีบตามหาคนเราไม่ได้ต้องการที่จะรีบไปกินเสียหน่อย"หลินเหยียนกล่าวขึ้น"แต่ข้าว่าใครกันจะมาเผาปลาให้เจ้าได้รับรู้กลิ่นขนาดนั้น มันไม่ใช่กับดักหรอกหรือ"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ากินรีตระกูลหลู่จมูกดีเรื่องของกิน"กลิ่นนั้นอยู่ทิศทางใดล่ะเราตามมันไปเถอะ มันอาจจะเป็นกลลวงแต่เราก็จะได้รู้ว่ากลลวงนั้นคือสิ่งใด ถ้าเราไม่เข้าไปหาจุดที่อันตรายที่สุดเราก็จะไม่สามารถหาคนทั้งสามพบ หากเราเจอกลลวงนั้นแล้วหากเราแก้ไขปริศนาของกลลวงได้ เราก็น่าจะตามหาคนได้สำเร็จเร็วขึ้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เมื่อได้ยินเขาพูดทุกคนก็คล้อยตาม ถึงแม้นจะเป็นกลลวงจริงๆเขาก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย หลู่ฮาลาจึงพาทั้งแปดเดินไปทิศทางที่ตนได้กลิ่นปลาเผานั้น ไม่นานพวกเขาก็พบสิ่งที่น่าประหลาดก็คือกลุ่มของพืชชนิ
อยู่ดีๆจินเป่าก็รู้สึกวุบขึ้นมา นางไม่ได้มีความเจ็บปวด ถึงแม้ความรู้สึกว่าถูกลากเลย เป็นความรู้สึกวุบอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่ๆก็เหมือนอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีเขียวๆ จินเป่ามองซ้ายมองขวาก็พบว่าเหมือนตัวเองอยู่ในหม้อปรุงสมุนไพร เหมือนตอนที่นางอยู่เมืองหลวงนั้น แต่สีนั้นกลับแตกต่างกันไป ตรงพื้นด้านล่างที่เป็นเมือกๆเหมือนเป็นสีเขียวเข้มด้านข้างๆเป็นสีเขียวอ่อน นางมองซ้ายมองขวา ก็พบกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เหมือนกำลังจะครึ้มฟาครึ้มฝน อยู่ดีๆทำไมครึ้มฟ้าครึ้มฝนได้นะ นางจึงมองไปด้านบนก็พบว่าเหมือนมีแผ่นบางๆกลมๆเลื่อนลงมาปิดปากหม้อที่นางยืนอยู่ลักษณะเป็นดังวงกลมแล้วมีหนามแหลมๆอยู่รอบด้าน สีของฝานั้นเป็นสีน้ำตาลอมเขียวลายเหมือนกับพืชชนิดหนึ่ง ที่เธอเคยเห็นในตำรามา มันคือซิวกั่วพืชกินแมลงชนิดหนึ่ง นางกินรีหว่าฮว่าได้เขียนในแผนที่ว่าต้นไม้กินคน ที่แท้เขาไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ต้นไม้อย่างเดียว แต่มันมีพืชชนิดนี้ด้วย นางได้แต่ขบคิดว่าคนที่มาด้วยกันนั้นจะถูกลากไปขังอยู่ในซิวกั่วเหมือนนางหรือไม่นะ แม่นางกำลังที่จะหาวิธีออกจากซิวกั่วนี้ นางหยิบกริชออกจากมิติ ซึ่งตอนนี้นางมีพลังพอที่จะเปิดมิติได้ แต่ใ
เมื่อจินเป่าเกินไข่มุกลวี่ลงไปแล้วได้พักผ่อนเต็มที่ ตอนนี้ตัวนางนั้นก็ดีขึ้นมากแล้ว ในการเดินทางต่อไปนางไม่จำเป็นจะต้องให้ห่าวอู๋อวี่แบกนางอีกแล้ว จางซินจึงจับชีพจรให้จริงเปล่าก็รู้ว่าภายในของนางนั้นดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หายเป็นเปิดทิ้ง"ข้าว่าเจ้าดีมากแล้วนะหรือว่าไข่มุกละวีนั้นรักษาโรคที่เจ้าเป็นได้แล้วแล้วเราก็ไม่ต้องไปหาเขากวางสามร้อยยอดอีกแล้วกระมัง"จางซินกล่าวขึ้น"ไม่หรอกโรคหยินหยางที่จินเป่าเป็นนั้นต้องรักษาด้วยเขากวางสามร้อยยอดเท่านั้น แต่ที่ตอนนี้ยังไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนเดิมแล้ว เป็นเพราะว่าตอนนี้ร่างกายมีไข่มุกลวี่อยู่ หากร่างกายนี้ดูดซับไข่มุกลวี่หมดไปแล้วก็จะมีอาการเหมือนเดิมรักษาไม่หายแต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากเพราะฤทธิ์ของไข่มุกลวี่เพียงเท่านั้นเอง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้นว่าไข่มุกลวี่ดีขนาดไหน ทุกคนจึงออกเดินทางต่อไปทางทิศที่แผนที่บอกว่าจะพบกับต้นไม้กินคนเมื่อเดินต่อไปก็พบกับบรรยากาศที่ต่างไปเล็กน้อยิอากาศเย็นตัวลงจนทำให้เสียวสันหลังไปหมด ถึงแม้จินเป่าจะเดินได้เองแต่เขาก็เดินอยู่ในตำแหน่งกลางเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทุกมื่อเพราะร่างกายไม่สู้
เมื่อห่าวอู๋อวี่อุ้มจินเป่ามาวางไว้ข้างต้นไม้ใหญ่แล้ว เขาก็ถ่ายทอดวรยุทธรักษาให้จินเป่าเจ้ากระต่ายหยกจึงเปิดปากจินเป่าออก แล้วใส่อะไรสักอย่างที่เป็นเม็ดกลมๆสีเขียวเข้ม เข้าไปด้านในปากขิงนางและปิดปากพร้อมกับลูบคอให้นางกลืนของชิ้นั้น ไม่นานจินเป่าก็ลืมตาขึ้นมา นางไอ สามครั้งก็รู้สึกถึงวรยุทธ์ที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกาย ซิงอีเห็นก็ดีใจมากที่จินเป่าฟื้น"เจ้าเอาอะไรให้นางกินหรือเจ้าจิ๋ว ทำไมนางกินแล้วถึงขึ้นได้หละ"จางซินถามขึ้น เจ้ากระต่ายลุกไม่ได้กล่าวสิ่งใดมันมองหน้าจังซิมแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้งแล้วก็ไปยืนข้างๆซิงอีที่ตอนนี้กำลังใช้ผ้าชุบน้ำอมฤตใบหน้าให้จินเป่าอยู่"เจ้าชู้นี้อารมณ์ไม่ดีง่ายมากเลยนะเจ้าน่ะข้าชอบเจ้าจะตายดูเจ้าทำสีหน้าที่มองข้าเหมือนเจ้าชังค่ามากเสียเหลือเกิน"จางซินกล่าวอีก"มาหาอสูรนั้นไม่ได้ชังมนุษย์หรอกแต่เจ้าก็ชอบไปวุ่นวายกับมันเสียเหลือเกินถามนู่นถามนี่มันให้อะไรจริงเปล่ากินจะไปอยากรู้ทำไมอย่างน้อยมันก็รักสาให้จริงเปล่าดีขึ้นในทันตาและอีกอย่างมันเป็นสัตว์มหาสมนต์ของจริงเปล่ามันไม่สามารถทำร้ายเจ้านายมันได้หรอก"จางหยงพูดขึ้น พลางไปช่วยไป๋อวิ้นดูแผนที่ที่หลิวเหยียนกางออก
ห่าวอู๋อวี่แหวกสายน้ำทะเลลงไปในน้ำนั้นไม่ได้มีความเป็นน้ำอย่างที่คิดมันไม่ระคายเคืองสายตาเลยสักนิดแถมเขารู้สึกว่าเขาหายใจได้ดังอยู่บนพื้นดินธรรมดาด้วยซ้ำ เมื่อเขาไปเจอก็พบกับกระต่ายหยกของจินเป่าที่ตอนนี้กำลังพ่นน้ำสีเขียวใส่เจ้าเต่ามังกรตัวนึง ซึ่งตัวของทั้งสองก็พอๆกัน แถมสีของมันก็คล้ายๆกันหรือว่าเต่าตัวนี้จะเป็นเต่ามังกรหยกในตำนาน แต่อาจจะไม่ใช่เพราะว่าสีเขียวที่เจ้ากระต่ายพ่นออกไปอาจติดกับเต่ามังกรตัวนั้นก็ได้ เมื่อเต่ามังกรตัวนั้นเห็นผู้บุกรุกมาใหม่จึงผละออกจากการต่อสู้กับกระต่ายหยกนั้น มันคิดแต่ว่าทำไมอยู่ๆเจ้ากระต่ายถึงกระโดดลงมาหามันได้ และก็เข้าต่อสู้กับมันทันทีมันจึงต้องการที่จะสู้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่เมื่อมันเห็นมนุษย์บุกลงมามันก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาแล้ว ที่อยู่ๆจะมีทั้งสัตว์มหาอสูรกับมนุษย์บุกลงมาถึงใต้ท้องทะเลของมัน"พวกมนุษย์กับสัตว์มหาอสูรตนนี้พวกเจ้ามาบุกรุกที่ข้า ด้วยเหตุอันใดข้าอยู่มาเป็นล้านๆปีไม่เคยพบเจอกับมนุษย์ และมหาอสูรแบบพวกเจ้า วันนี้มาถึงถิ่นข้าแล้ว ก็มอบชีวิตให้ข้าเถิด เพราะไม่มีใครผ่านเปลวคลื่นของข้าไปได้หรอก ข้างบนอาจจะมีมนุษย์มากมายแต่มันก็ต้องต
หลังจากที่เดินทางมาเป็นเวลาสักพักที่พบเจอกับภาพลวงตาต่างๆนานาที่วนเวียนเข้ามาหาในแต่ละคน แต่พวกเขานั้นก็พยายามที่จะตั้งสติให้ได้ จนในที่สุดภาพลวงตานั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว"ซิงอีทำไมเจ้ามองข้าแปลกๆแล้วตอนที่เจ้าเกิดภาพลวงตานั้น มันเป็นอะไรหรือทำไมเจ้าเรียกชื่อข้าแล้วก็บอกว่าอย่า แล้วก็เรียกจินเป่าด้วยแต่ข้าเองก็ไม่กล้าถามต่อหน้าทุกคน"จางหยงกล่าวถามซิงอีเมื่อตอนที่ไม่มีใครอยู่กับพวกเขา"ที่ท่านเคยรับปากข้าไว้ แม้ว่าเราจะเจอบิดามารดาของพวกเราแล้วท่านจะไม่เปลี่ยนไปจริงๆใช่หรือไม่ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าคิดกังวลเรื่องนี้จึงทำให้เกิดภาพลวงตาเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแต่มันก็ฝังใจกับข้ายิ่งนัก จึงทำให้ข้ายากที่จะลืมเลือนว่าข้านั้นพบกับภาพลวงตาแบบใด ข้าพบว่าท่านหลอกลวงให้ข้ากับจินเป่าไปมิติเชื่อมจิตแล้วท่านก็ใช้กริชนั้นแทนพวกข้าทั้งสอง"ซิงอีถามขึ้นและเล่าให้เขาฟังว่าเขาพบเจอเรื่องใดบ้าง"จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรเราก็คุยกันแล้วนี่ว่าข้าจะรักและปกป้องเจ้าตลอดเส้นทางสายนี้ ถึงแม้เราจะอยู่มิติเชื่องจิตแล้ว และหากพบกับมารดาของข้า ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่าข้าจะช่วยบิดาของเราและมารดาของเจ้ากับจินเป่า"จางห
"ท่านอาจารย์ทำไมสถานที่แห่งนี้มันดูมีข้อจำกัดมากมายขนาดนี้ ข้าไม่สามารถนำสัตว์อสูรออกมาจากมิติเชื่อมอสูรได้เลย"ซิงอีถามขึ้น"เส้นทางสายนี้มีข้อจำกัดหลายอย่างเลยทีเดียว สัตว์อสูที่อยู่ในมิติแล้วไม่สามารถที่จะออกมาได้ในระหว่างทางที่เราเดิน ส่วนสัตว์ที่อยู่ด้านนอกแล้วจะไม่สามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวด้านในได้ในระหว่างทางที่เราเดินในป่านี้ วรยุทธบางประเภทเราก็ไม่สามารถใช้ได้เช่นการเหาะการหายตัว แต่เรายังสามารถใช้พลังในการกระโดดได้ ถ้าพวกเจ้าเข้ามาบ่อยๆก็จะรู้เองและก็จะชินกับมัน ข้าไม่มีสัตว์อสูจึงไม่ได้คิดว่ามันจะเดือดร้อนมากนักที่ไม่มีสัตว์อสูรข้างกายเพราะในเวลาข้ามาข้าก็มาเพียงลำพัง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จางซินจึงพยายามเรียกสัตว์อสูรของตนเองบ้างแต่ก็ไร้หนทางเหมือนกัน แต่ยังดีหน่อยที่มีมิติติดกายของนางนั้นยังสามารถใช้การได้อยู่ นางจึงหยิบน้ำอมฤตในกระบอกมายื่นให้กับทุกๆคน"เส้นทางที่เราจะเดินต่อไปนี้ส่วนมากจะเป็นภาพลวงตา ตอนข้าเคยมานั้นมันจะเป็นภาพที่เรารู้สึกปรารถนาที่สุด และเรากลัวที่สุด ข้าเดินทางมาในหลายๆคร้งก็จะพบว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆครั้ง เราเดินไปเราต้องชนะความปรารถนาของเราและเอาชนะควา