หลังจากตกลงกันแล้วว่าจะต้องหาโอกาสนำสมุนไพรชนิดนี้มากลั่นเป็นสมุนไพรบำรุงให้จินเป่าแล้ว ในการเดินทางจึงสังเกตพฤติกรรมของต้นซิวกั่วเป็นพิเศษ"แล้วปกติเจ้านำส่วนใดของมันไปหรือ ที่ไปทำสมุนไพรที่เจ้าเคยใช้"จินเป่าถามจางซิน"ข้าเคยเก็บมันไปแล้วไปผ่าเอาตรงกลางเหมือนจะเป็นวุ้นๆที่อยู่ข้างในของมัน ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้นใหญ่จะมีหรือไม่ "จางซินตอบ"งั้นก็ไปดูต้นที่เจ้ากระต่ายหยกช่วยข้าออกมาต้นนั้นมันปริแตกแล้วเราลองไปดูว่าข้างในนั้นเป็นอะไร"จินเป่ากล่าขึ้น ทุกคนจึงเร่งเดินทางไปยังต้นที่ช่วยจินเป่าออกมาก็พบว่าอยู่ข้างๆจะมีต้นเล็กเกิดขึ้นเป็นหัวนูนออกมาเหมือนมันกำลังจะเกิดใหม่ ต้นเล็กของมันนั้นก็เท่ากับเด็กทารกคนหนึ่งคนได้เลยทีเดียว "เราจะผ่าดูด้านในได้อย่างไรในเมื่อไม่มีสิ่งใดแข็งแรงพอที่จะผ่ามันได้ เพราะตอนที่ข้าอยู่ข้างในข้าพยายามใช้กริชกรีดมันออกมาแล้วก็ไม่สามารถที่จะกรีดมันออกมาได้แต่ตอนนี้เจ้าใช้อะไรถึงได้ขาดครึ่งได้ขนาดนี้"จางซินถามขึ้น"ข้าไม่ได้ใช้อะไรหรอกเป็นเจ้ากระต่ายหยกที่มันกรีดให้ข้าออกมา"จินเป่าพูดขึ้นพลางมองไปที่มัน กระต่ายหยกก็มองกลับคืนมามันไม่ได้ใช้สิ่งใดกรีดเลยมัน
หลังจากวางแผนเสร็จทุกคนก็เดินทางกันต่อเดินผ่านต้นซิวกั่วครั้งแรกพวกเขานั้นเกินกลัวอยู่บ้าง แต่พอเดินไปเรื่อยๆพวกเขาก็เริ่มชินแล้ว ต้นไม้กินคนขนาดใหญ่อยู่ขนาดสองข้างทางแต่พวกเขาทั้งสิบสองก็เดินโดนปราศจากความกลัวเสียแล้ว ดังที่ว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เพราะรู้ว่ามันกลัวความร้อนทุกคนก็ต่างของหุ้มร่างกายด้วยความร้อน เมื่อตกค่ำพวกเขาก็พักอยู่กลางป่าต้นซิวกั่วและเผาปลาหลี่กินตามเคย "ครั้งหน้าเราต้องหาสัตว์ชนิดอื่นมาไว้เป็นอาหารแล้วแหละ ตอนนี้เราก็กินแต่ปลาอย่างเดียวเลย"จางซินกล่าวขึ้น เมื่อเขากินปลาเสร็จแล้วเขาก็ส่งกระแสจิตเข้าไปในมิติเพื่อที่จะกลั่นสมุนไพรบำรุงร่างกายให้จินเป่า สมุนไพรในมิติของนางเองก็มีมากมายนางเลือกหยิบสมุนไพรในมิติแนวราวๆห้าชนิด แต่นางก็ขาดผลยางเหมยไปอีกหนึ่งอย่าง"เจ้าจิ๋วครานั้นข้าเห็นว่าเจ้านำผลของหยางเหมยออกมาให้มารดาท่านอาจารย์ไป๋อวิ้นได้ใช้ เจ้ายังมีมันหรือไม่ ข้าต้องการผลยางเหมยเพื่อที่จะกลั่นสมุนไพรให้จินเป่า"จางซินกระซิบถามกระต่ายหยก"เจ้าต้องการสิ่งใดแล้วเจ้าไม่ถามข้าเล่า เจ้ากระต่ายหยกมีสิ่งใดข้าเป็นเจ้านายมันข้าก็ต้องมีอยู่แล้ว"จินเป่ากระซิ
เมื่อพวกเขาออกเดินทางบนหิมะนานๆเข้า ก็พบว่าเมื่อเดินเข้าไปลึกมากเท่าไรหิมะยิ่งตกหนักเท่านั้น รอยเท้าของพวกเขาปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน จินเป่าที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงมากเท่าไหร่ ความหนาวจึงทำให้นางนั้นหน้าซีดเลยทีเดียว"ข้าว่าเราต้องหาสมุนไพรเพื่อที่จะอบอุ่นร่างกายแล้วล่ะเพราะดูจินเป่าท่าทางจะไม่ไหวเสียแล้ว"จางซินกล่าวขึ้นจึงทำให้ห่าวอู๋อวี่ที่อยู่ด้านล่างของจินเป่านั้นถ่ายทอดวรยุทธให้กับจินเป่า และก็สร้างเกราะป้องกันให้นางพร้อมกับทำให้นางอบอุ่นภายในเกาะป้องกันของเขาไม่นานนักตัวจินเป่าเองก็รู้สึกอบอุ่นขึ้ นและหน้าตาของนางก็มิได้ซีดอีกแล้ว ทางด้านจางซินก็ค้นในมิติของตนเพื่อจะหาสมุนไพรทำให้ร่างกายอุ่นแต่เขาก็ไม่เจออะไรนอกจากโถเหล้าหมักโถหนึ่ง แต่นางเองก็ไม่ได้เอาโถเหล้าหมักนั้นออกมาเพราะกลัวว่าทุกคนจะแย่งกันกินแล้วจะเมามายจึงตัดใจไม่ค้นหาสิ่งของแล้ว เดินตามพวกเขาต่อไปอากาศที่หนาวแต่นางก็สังเหตุเห็นจินเป่าที่เปลี่ยนไป เพราะเมื่อหิมะตกลงมาปกติต้องติดผมของจินเป่าแต่ตอนนี้เหมือนมันจะถูกอะไรสักอย่างแล้วปลิวลงไปด้านล่างเลยตัวนางกับตัวห่าวอู๋อวี่ไร้หิมะเกาะบนร่างกาย จางซินได้แต่คิดในใจว่าผู้มีวรยุท
หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันก็ยังสรุปไม่ได้เลยว่าจะจัดการกับมันอย่างไร"มันคือสัตว์อสูรที่เกิดเฉพาะท่ามกลางหิมะมันมีนามว่าเนียนเสวี่ย และข้าสันนิษฐานว่าไม่ได้มีเพียงตัวเดียวหากเราเอาชนะตัวนี้ได้มันก็จะมีอีกหลายๆตัวเป็นแน่"เจ้ากระต่ายหยกพูดขึ้นปกติมันไม่ค่อยชอบพูดภาษามนุษย์อยู่แล้ว แต่มันขี้เกียจที่จะต่อสู้กับหลายๆตัวหากเอาชนะตัวนี้แล้วมันต้องพบเจอกับอีกหลายๆตัวเพราะสัตว์ประเภทนี้มันไม่ได้มีเพียงตัวเดียว เจ้าสัตว์อสูรเนียนเสวี่ย นั้นก็ไม่ได้จู่โจมพวกเขาทันที หลังจากที่มันโผล่ขึ้นมาจากหิมะมันก็มองพวกเขาด้วยสายตาที่ดำมืด เหมือนกำลังเฝ้าคอยให้พวกเขาลงมือหรือมันกำลังฟังว่าพวกเขาจะจัดการกับมันอย่างไรกันแน่"เจ้ารู้ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดใดแล้วเจ้าสามารถผ่านมันไปแบบง่ายๆได้หรือไม่ล่ะ"หลิวเหยียนถามขึ้น เจ้ากระต่ายหยกมองหน้ากินรีพวกนั้นด้วยความดูแคลน"หากว่ามันผ่านไปได้ง่ายๆจะเรียกถิ่นนี้ว่าป่าอมตะหรอกหรือ"กระต่ายหยกพูดขึ้นแล้วก็เงียบไปทันที มันค้านที่จะพูดคุยกับพวกมนุษย์เพราะมันรู้ดีว่ามันพูดจาไม่ค่อยตรงกับคำวามหมายที่จะสื่อออกไปจะทำให้พวกนั้นหัวเราะเยาะเขาได้ "มันก็จริงดังที่เจ้าจิ๋วมันว่าหากว่
เมื่อทั้งสิบสองพักจนร่างกายภายในหายดีแล้ว ก็ได้ยินเสียงแผ่นหิมะเขยื้อนอีกครั้งแล้ว พวกเขามีวรยุทธที่คงที่ แต่ใบหน้าและร่างกายของเขายังมีร่องรอยของการต่อสู้อยู่ ทุกคนไม่มีกระจิตกระใจที่จะจัดการกับทรงผมและเสื้อผ้าแม้แต่น้อย"คลื่นๆๆๆ เปรี๊ยะๆๆ"เสียงหิมะลั่นและเคลื่อนตัว พื้นหิมาแตกเป็นวงกว้างและอยู่ๆร่างมหึมาของเนียนเสวี่ยก็โพล่ขึ้นมา มันตัวใหญ่กว่าตัวเดิมมากนัก มันน่าจะเป็นหัวหน้าฝูงของเนียนเสวี่ยแน่นอน สายตาที่ดำของมันมองมายังพวกเขานั้นแตกต่างออกไป มันไม่ได้มีตาสีดำเหมือนกับเนียนเสวี่ยตัวที่พวกเขาพิชิตมันได้ ดวงตาของมันเป็นสีเทาออกไปทางขาว"ข้าว่าดวงตาของเจ้าเนียนเสวี่ยนั้นมันน่าจะมีปัญหากระมัง มันเหมือนมองสิ่งใดไม่เห็น ดวงตาสีน้ำข้าวตัวนี้ราวกับว่ามันตาบอด"จินเป่ากล่าวขึ้น"เจ้านายดวงตามันน่าจะมีปัญหาจริง แต่ข้าเชื่อว่าหูมันไม่น่าจะบอกตำแหน่งผิดแน่นอน ตอนที่ท่านพูดขึ้นหูของมันกระดิกเหมือนตรวจหาสิ่งใดอยู่"กระต่ายหยกสื่อสารกับเจ้านายด้วยกระแสจิตเพราะว่ามันกลัวว่าถ้ามันเอ่ยสิ่งใดออกไปจะทำให้เนียนเสวี่ยตัวนี้รู้ว่ามีสัตว์มาหาอสูรแบบมันอยู่ด้วย"อ้า กลิ่นของพวกเจ้าไม่เลวเลย และที่เจ้าก
พวกเขานั่งรอกันไม่นาน หิมะก็เกิดสั่นไหวอีกหนึ่งรอบและเจ้าเนียนเสวี่ยตัวหัวหน้าฟูงก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้แววตาของมันดำมืด มันสามารถมองเห็นทั้งสิบสองได้แล้ว ถามว่ามันดีใจไหนมันบอกเลยว่าดีใจมาก แล้วเหล่าเนียนเสวียนนั้นเมื่อพูดแล้วเขาก็ต้องทำให้ได้ ทั้งเสียดายเลือดที่หอมนั้นที่เต็มไปด้วยคุณค่าที่มันก็ต้องการอยู่ แต่เมื่อแลกกับดวงตาที่สดใสแล้วมันย่อมแลกกับดวงตามากกว่า"ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีดวงตาที่มองเห็นอีกครั้ง พวกเจ้าจงไปเถอะเหล่าเนียนเสวี่ยของพวกข้าจะไม่ติดตามพวกเจ้าไป ให้พวกเจ้าเดินทางไปกันเอง หากพวกเจ้าเดินทางไปยังหิมะนี้ราวๆสองวัน พวกเจ้าก็จะออกจากดินแดนหิมะนี้ได้แล้ว"หัวหน้าเนียนเสวี่ยกล่าวขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่เสียดายอยู่ไม่น้อยแล้วมันก็จากไป"แค่นี้เองหรือ พวกเรารักษาดวงตาให้มัน แต่มันกลับขึ้นมาบอกว่าให้เราไปกันเอง อีกสองวันก็ จะออกจากดินแดนแห่งนี้ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ เจ้าตัวยักษ์นี่ช่างแร้งน้ำใจเสียเหลือเกินช่างตระหนี่ถี่เหนียวเสียเหลือเกินจะให้สิ่งใดพวกเราตอบแทนบ้างก็ไม่ได้"หลิวเหยียนกล่าวขึ้น เขาไม่เห็นด้วยที่มันจากไปดื้อๆแบบนี้"ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการจะต่อสู้กับ
หลังจากที่เจ้ากระต่ายหยก วิ่งออกไปถามทางกลางสายฝน ก็พบเข้ากับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นจำนวนมาก พวกมันต่างมานั่งร้องเสียงระงมไปทั่วทุกทิศ ไม่ว่าจะเป็นอึ่งอ่าง กบและเขียดต่างๆ นั้นต่างก็ร้องแล้วโยกตัวไปมา สัตว์ในป่าแห่งนี้แลดูจะใหญ่กว่าธรรมชาติเสียเหลือเกินเจ้ากระต่ายหยกมันพุ่งไปทางทิศตรงข้ามกับที่มันเดินมา มันต้องการรู้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีจุดสิ้นสุดอยู่หรือไม่ แต่มันยังไปได้ไม่นานนัก มันก็พบกับเห็ดพิษชนิดหนึ่ง แต่ต้นมันใหญ่ราวๆกับมนุษย์เลยทีเดียว และบนลำต้นของมันก็มีรูขนาดกำมือยัดเข้าไปได้ และแต่ละรูนั้นเป็นสีต่างๆ เมื่อมันมองแล้วมันกะจะวิ่งผ่านต้นเห็ดต้นนั้นก็เหมือนมีแรงผลักมันให้ล้มลง เหล่าคางคกกบและเขียดต่างๆกระโดดเข้ามารุมมัน เสียงร้องดังวี๊ดๆเกิดขึ้น ดังลั่นสนั่นทั่วทั้งผืนดินแล้วก็เหมือนมีสัตว์หรืออะไรสักอย่างที่พุ่งเข้ามายังจุดกลางที่มันอยู่ มันไม่สามารถที่จะต้านทานพวกเหล่านี้ได้ มันส่งกระแสจิตสื่อสารไปหาเจ้านายมันทันที ก่อนที่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายจะกระโดดเข้าไปรุมมัน มันก็หายแว๊บไปทันตา ภายใต้เรือนที่จางซินนำออกมา ให้พวกเขาอยู่ซึ่งอยู่ดีๆก็มีเสียงร้องกรีด และเสียงสนั่นหวั่นไหวเหม
"ทำไมพวกสัตว์เหล่านี้มันหลีกเลี่ยงเรา ไหนเจ้าจิ๋วบอกว่ามันพุ่งไปทำร้ายเจ้าจิ๋วนั่นไงแต่ทำไมมันเห็นพวกเรา ณ เวลานี้มันถึงหลีกหนีได้ล่ะ"หลิวเหยียนถามขึ้น"ข้าคิดว่าสถานที่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของมันที่จะปกป้องล่ะมั้งมันน่าจะมีจุดเดียวที่มันปกป้องก็คือจุดกลางป่าที่มีต้นเห็ดยักษ์ที่เจ้าจิ๋วไปเจอก็ได้ เพราะป่านี้อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้นนั่นแหละ ดูอย่างเช่นตัวอึ่งอ่างนั้นนะสิใหญ่โตกว่าอึ่งอ่างปกติเป็นไหนๆ"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น ทุกคนก็สนใจแต่เก็บเห็ดพิษสีของตัวเองที่ตัวเองรับผิดชอบเมื่อเก็บได้แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็พบกับเห็ดพิษยักษ์ที่เจ้ากระต่ายหยกนั้นกล่าวถึง ห่าวอู๋อวี่รวบรวมเห็ดพิษทั้งหมดและเขาก็ค่อยๆนำไปหยอดตรงรูที่เท่ากับกำปั้นนั้นแต่ละสี หลิวเหยียนที่ไม่ค่อยเชื่อเจ้ากระต่ายหยกสักเท่าไหร่เลยคิดที่จะลองดีเพราะมันเห็นพวกสัตว์อสูรที่เจ้ากระต่ายหยกบอกว่ากำลังจะวิ่งลุมมัน แต่ในตอนที่เห็นกลุ่มเขานั้นต่างก็เดินหลีกหนีพวกเขาไป หลังจากที่เขาได้ยื่นถุงเห็ดพิษให้ห่าวอู๋อวี่ แล้วเขาก็ทำท่าเดินๆอยู่ด้านหลังของสหายทุกคน เมื่อมองแล้วไม่มีสหายผู้ใดสนใจเขาจึงวิ่งตรงไปยังอีกฟากของต้นเห็ดพิษยักษ์
เพื่อพวกเขาเข้ามาเสร็จแล้วก็ต้องพบกับความประหลาด ด้านในนี้มีแก้วแหวนเงินทองอยู่มากมาย ตรงกลางโถงกว้างมีไข่ขนาดใหญ่หนึ่งใบวางอยู่ ลวดลายของใข่ใบนั้นมีลวดลายที่งามวิจิตรยิ่งนัก และไอวิเศษที่เข้มข้นก็ไหลออกมาจากไข่ใบนี้นี้เอง แต่ช่างแปลกเมื่อพวกเขาทั้งเจ็ดเข้ามาในนี้แล้ว ไอวิเศษนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายใดๆกับพวกเขาทั้งเจ็ดนั้นได้ "ไข่นั้นมันเป็นไข่อะไรกัน ลวดลายแปลกตาจัง"ซิงอีถามขึ้นเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน"มันน่าจะเป็นไข่มังกรข้าเคยศึกษามา น่าจะเป็นไข่มังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ รวดลายของมันช่างมากมายขนาดนี้ มันน่าจะเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่สูงๆเป็นแน่ แต่เราจะนำมันออกจากไข่ได้อย่างไรกัน หรือว่าเราจะพามันออกจากถ้ำนี้ได้อย่างไร"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น ซิงอีจึงพยายามลองเก็บของที่อยู่ในนี้ดู เหมือนของเหล่านี้จะไม่ยอมเข้ามาในมิติของนางเลยสักชิ้น รวมถึงไข่ที่ต้าเหว่ยบอกว่าเป็นไข่มังกรด้วย มันไม่ยอมเข้ามาเลยสักนิด "ข้าเกรงว่าสมบัติที่อยู่ในนี้พวกเราไม่สามารถที่จะครอบครองมันได้ รวมทั้งไข่มังกรที่เจ้าว่าด้วย"จางซินกล่าวขึ้น ด้านข้างนอกนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของพญาวานรนั้นกำลังอาละวาดอยู่ เพร
ความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตัวใหญ่นั้นเงียบลงแล้ว แสดงว่ามันน่าจะสงบลงพวกเขาจึงวางแผนกันใหม่ว่าจะเข้าไปยังถิ่นที่อยู่ของมันได้อย่างไรเนื่องจากไอวิเศษที่เข้มข้นพวกเขาไม่สามารถที่จะทนกลับไอวิเศษที่อยู่รอบๆตัวของมันได้เลย "ข้าว่าหากพวกเราเข้าไปใกล้ๆมันแล้วไอวิเศษนั้นมันเข้มข้นมากพวกเราจะไม่ตายเพราะไอวิเศษนั้นหรอกหรือ มันมีสิ่งใดบ้างที่จะทำให้ไอวิเศษนั้นลดน้อยลงได้หรือว่าเราสัมผัสกับไอวิเศษนั้นได้น้อยลงล่ะ"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"มันไม่น่าจะลดไอวิเศษนั้นได้เนื่องจากว่าเรานั่งเสพไอวิเศษนั้นอยู่สามวันมันก็ยังไม่ลดเลยใครมีวิธีดีๆบ้างล่ะ"ไป๋อวิ้นกล่าวถามคนอื่น"เราใช้วิธีหลอกล่อดีหรือไม่ ให้คนกลุ่มนึงอยู่ฝั่งด้านในโน้น หากว่าคนกลุ่มหนึ่งหลอกล่อมันออกไปยังจุดนี้แล้ว คนกลุ่มที่อยู่ด้านในนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าไปดูว่าข้างในมีสิ่งใด วิธีนี้พวกเราจะแบ่งกันเป็นสามคนและสี่คนดีหรือไม่"จางหยงกล่าวขึ้น"แล้วมันจะไม่รู้หรือว่ายังมีอีกกลุ่มที่อยู่ด้านในถ้ำนี้ไม่ได้หลอกล่อมันออกไปนอกถ้ำ"ต้าเหว่ยถามขึ้น"ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่ามันตาบอดเพียงแค่เราอยู่ด้านไหนและกบกินกายของเราแล้วเราอยู่เฉยๆอะไรการเคลื่อนไหว
ทางด้านทั้งหกและสัตว์อสูรหนึ่งตนที่ตอนนี้กำลังนั่งบำเพ็ญอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขารับรู้ได้ถึงพลังงานภายในห่างพวกเขาออกไปหากเดินทางเข้าไปไม่เกินครึ่งก้านผู้พวกเขาต้องเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่มีแรงกดดันมหาศาล อยู่ในนั้นพวกเขาเลือกจุดนี้เพราะว่าไอวิเศษนั้นมาถึงกลุ่มของพวกเขาทำให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากไอวิเศษของสิ่งเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปส่มวันจู่ๆก็รู้สึกว่าตัวของเขานั้นเย็นวูบน่าจะสามครั้งได้ นางยิ้มด้วยความดีใจเพราะวรยุทธของนางอยู่เฉยๆก็เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะผู้เป็นนายของเขานั้นมีวรยุทธเพิ่มขึ้นก็ได้ ทุกคนมองหันมาที่ลี่หลินเพียงคนเดียวเพราะพวกเขาทุกคนสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันก่อนที่วรยุทธนั้นจะเพิ่มขึ้น"ไม่ใช่ว่าเจ้าจะบรรลุวรยุทธอีก 3 ขั้นแล้วหรือ"ไป๋อวิ้นถามขึ้น"ข้านั่งฝึกวรยุทธภายในอยู่สามวัน ข้าไม่คิดว่าร่างกายของข้าจะเพิ่มวรยุทธขึ้นได้มากขนากนี้ ข้าคิดว่าผู้เป็นนายของข้าน่าจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นข้าถึงได้ผลประโยชน์ขนาดนี้"ลี่หลินพูดด้วยความดีใจ"ลี่หลินเจ้าเสื่อกับผู้เป็นนายของเจ้าได้แล้วหรือ พวกเขาอยู่ที่ใดกัน พวกเราจะรีบตามพวกเขาไป"ซิงอีกล่าวขึ้น ลี่หลินได้แต่ส่ายหัวมันรับ
หลังจากกลุ่มของจินเป่าไปตกอยู่สถานที่หนึ่งนั้นราวๆสามวันพวกเขาทั้งสามนั้นก็รู้สึกตัว พวกเขาเหี่ยวสถานที่หนึ่งเหมือนเป็นกองฟางและมีแอ่งตรงกลางแต่กองฟางที่พวกเขานอนนั้นมองแล้วลักษณะเป็นสีขาวไข่มุก ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ห่าวอู๋อวี่ลุกขึ้นได้จึงนั่งขับเคลื่อนวรยุทธของตัวเอง เส้นลมปานของเขานั้นเสียหายไปสามส่วน เลือดยังคลั่งอยู่ที่สมองเขาก็กระอักเลือดออกมาคำตอบ เจ้าอีกาดำสามขาจื่ออี้เฉินงั้นถึงกับปีกหักและขาที่สามของมันก็หักเลยทีเดียว ร่างกายของมันกระทบกับของแข็งประเภทใดตัวมันเองก็ยังไม่รู้ จินเป่าเมื่อลืมตาขึ้นมาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นมหาศาลถาโถมเข้าตัวของตัวนางเอง นางรู้สึกเย็นวูบวาบสามครา นางลืมตาแล้วมองมือของตัวเองทั้งสองข้างวรยุทธของนางนั้นเพิ่มขึ้นอีกแล้วตั้งสามขั้น แต่นางสงสัยยิ่งนักวรยุทธของผู้อื่นนั้นสูงขึ้นนั้นจะเกิดทัฑคาด แต่ทำไมนางซึ่งวรยุทธสูงเลยระดับมามหาศักดิ์สิทธิ์มาเกินสามขั้นแล้ว นางยังไม่ถูกทัณฑฆาตเสียเลย นางมองไปรอบๆก็เห็นเจ้าอีกาดำสามขาที่นอนหมดแรงอยู่กับฟางสีขาวไข่มุกนั้น นางจึงหยิบยาสมุนไพรรักษาเส้นลมปราณธรรมดาออกมาให้มันกินไปพลางๆ และยื่นน้ำอมฤตให้ นางมองดูหน้าข
พญาหงส์ขาวที่กำลังต่อสู้นั้นหยุดชะงักและม้วนตัวพุ่งไปหาต้นขจีทันที ห่าวอู๋อวี่เองยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ พญาหงส์ขาวที่ต่อสู้กันอยู่ดีๆก็พุ่งไปหาจินเป่า จินเป่าที่ตอนนี้เห็นท่าไม่ดีเขากำลังอยู่ใกล้ต้นขจีเพียงนิดเดียวหากเขาหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าต้นขจีก็มัวแต่พลักดันนักยุทธให้ถ่อยกลับไปแต่มันไม่ได้ใช้ตามองจินเป่า เนื่องจากว่ากลิ่นอายของนางนั้นเป็นต้นหลิวต้องแสงจันทร์ในเมื่อนางนั้นได้กลืนกินพลังของต้นหลิวต้องแสงจันทร์แล้ว นางก็ปล่อยพลังของมันออกมา จึงทำให้ต้นขจีซึ่งเป็นพืชวิเศษเหมือนกันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นมนุษย์มันจึงไม่ได้ระวังตัวจากจินเป่าเลย แต่พญาหงส์ขาวรับรู้การไปของจินเป่าดีจึงพุ่งไปหานางและพ่นไฟใสทันที นางแบมือเก็บไฟดังเดิม แต่คราวนี้เจ้าพญาหงส์ขาวนั้นพุ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันระวังและเก็บมันเข้าไปในมิติทันที หลังจากที่มันเข้าไปในมิติแล้วจินเป่าจึงใช้กริชที่กรีดเลือดของตัวเองนั้นแทงเข้าไปยังรากของต้นขจีทันที "วี้ดๆๆๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆๆ"เสี่ยงต้นขจีกรีดร้องและเอนไปเอนมาตอนนี้รากของมันถอนขึ้นจากดินเสียแล้ว จินเป่าได้ทีจึงโบกมือและเก็บต้นขจีก่อนที่มันจากอาละ
ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักก็เข้าใจกันส่าตะจัดการเช่นไร"นั่นไงทั้งสองคนอยู่ตรงนั้นกำลังคุยกันอยู่แล้วแผนของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อล่ะลี่หลิน"จางซินกล่าวถาม"แผนของพวกเขาคือให้พวกเราทุกคนระวังตัวเองและแก้ไขสถานการณ์ไปตามเหตุการณ์ต่างๆ"ลี่หลินกล่าวขึ้น ทุกคนก็มองไปยังลี่หลินเพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่านางได้สื่อสารกับผู้เป็นนายจริงหรือไม่ เนื่องจากพอถามพบนางก็ตอบทันที "งั้นพวกเราก็ต้องดูแลตัวเองและปกป้องด้วยให้ได้ เพื่อที่จะไม่เป็นตัวถ่วงของพวกสองคนนั้น"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น"แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าสงสัยยิ่งนัก ทำไมข้าที่อยู่มิติแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้เลยล่ะ เรื่องที่มีผลขจีสุกอะไรนั่น ทำไมหรือพอดูดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสัตว์อสูรต่างๆก็รายล้อมเข้ามา และนักยุทธต่างๆก็เหมือนสนใจสิ่งเหล่านี้ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่ามันเป็นสิ่งใด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น"ข้าเองก็สงสัยว่าทางราชสำนักไม่ได้ส่งผู้ใดมาเข้าชิงผลขจีเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าทางราชสำนักนั้นไม่สนใจกับสมุนไพรชนิดนี้ เจ้าที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นจึงไม่รู้ว่ามีของดีแบบนี้"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น ทุกคนขอพยักหน้าพร้อมที่จ
เมื่อถึงยามเที่ยงคืนแล้วสัตว์อสูรตนนั้นก็ออกมาจากต้นขจีมันเป็นสัตว์อสูรสีขาวสว่างไสว มองไกลๆราวกลับนกกินรีสีขาวแต่พอมองดีๆก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่กินรีแต่อย่างใด"นั่นมันพญาหงส์นิสัตว์มหาอสูรที่เฝ้าอยู่ต้นขจีมันคือพญาหงส์นี่เอง"บุรุษกลุ่มที่จับตัวทั้งสองคนมากล่าวขึ้น "พวกเจ้าแกะมัดมือข้าทั้งสองได้แล้วกระมังข้าจะได้หาวิธีที่จะเอาชนะสัตว์มหาอสูรตนนั้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น กลุ่มคนที่จับตัวพวกเขามาจึงปรึกษากันไม่นานเขาก็แกะเชือกวิญญาณนั้นออก "ข้าทั้งสองจำเป็นที่จะต้องโจมตีพร้อมๆกันแล้วพวกเจ้ามีใครที่ต้องการที่จะลงมือบ้าง ข้าจะได้วางแผนเผื่อพวกเจ้า"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ทั้งหมดที่จับตัวทั้งสองคนมานั่นนั่งเงียบทันทีไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดเพราะไม่มีใครต้องการที่จะลงมือ "ทำไมพวกท่านไม่คิดที่จะลงมือเลยหรอ ในเมื่อต้องการของแต่ถ้าไม่ลงมือพวกท่านจะมีหน้ารับของพวกนี้ได้อย่างไร"จินเป่าถามขึ้ม"เอาเป็นว่าพวกข้าไม่ลงมือต่อสู้กับสัตว์มหาสูรแต่พวกข้าจะลงมือแย่งชิงกับผู้มียุทธเหล่านั้นเอง ถ้าพวกข้าได้ผลขจีมามากพอพวกข้าจะแบ่งให้พวกเจ้า "บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น"ข้าเองจะไปสู้กับสัตว์อสูรเหล่านั้นแต่ข้าเอง
เมื่อยามค่ำคืนเข้ามากล้ำกรายในห้องห่าวอู๋อวี่กับจินเป่านอนด้วยกันบนเตียงนอน"ข้าอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปจังที่เราสองคนได้นอนกอดกันบนเตียงนุ่มแบบนี้ หากเราช่วยท่านพ่อตากับแม่ยายได้แล้วเราแต่งงานกันนะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวออกมาอย่างหยอกล่อและจิงจังในท่าที จินเป่าไม่ได้กล่าวอะไรนางได้ยินเสียงกุกกักนอกประตูนางรู้ดีว่าห่าวอู่อวี่รับรู้ได้ก่อนนางเสียอีกแต่เขาก็แกล้งพูดไปต่างๆนานา เมื่อด้านนอกได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เขาก็ไม่กล้าที่จะบุกเข้ามา ห่าวอู๋อวี่สังเกตเห็นถึงข้อนี้"ข้านอนแล้วนะเจ้าเองก็นอนเถอะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เพื่อจะได้เดินตามแผนของกลุ่มคนที่มาดักจับสองคนเขา สักพักใหญ่ๆเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องก็สงบลง บุรุษผู้หนึ่งโบกมือเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังค่อยๆเปิดประตูโรงเตี้ยมให้ แล้วค่อยๆบุกเข้าไปจับตัวทั้งสองได้ เมื่อถูกจับทั้งสองคนก็แกล้งทำเป็นหลับไหลไม่ได้สติ จินเป่าทำท่าทางตกใจตื่นขึ้นมา"หวกเจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงมาจับพวกข้าเช่นนี้ พวกข้าทั้งสองไปทำอะไรให้พวกเจ้าโกรธเคืองกัน"จินเป่าพูดขึ้น"แม่นางอย่าดิ้นรนเลย อย่าต่อรองกับการจับกุมในครั้งนี้ พวกเราวางแผนมานานแล้ว แล้วคนที่จับต
ป่ากระดังงาที่พวกเขาเดินทางเข้าไปนั้นร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่เล็กประปรายกันอยู่ มีโขดหินใหญ่โขดหินเล็กและมีเสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมาย เสียงนกร้องสักพักและบินจากไปเพื่อหาอาหาร"เราจะอยู่ผจญภัยอยู่ที่ป่าอัสดงกันจนจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นเท่าใดดี เราต้องตั้งเป้าหมายและล่ะ"จางซินกล่าวขึ้น"ข้าไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่าจนกว่าพวกเราทั้งจะพอใจกันดีกว่า"ห่าวอู๋มูลี่กล่าวขึ้น"แล้วต้าเสว่ยล่ะท่านคิดว่ามาผจญภัยยังภายนอกแล้วท่านยังคิดว่ายังอยากติดตามพวกเราต่อหรือไม่"จินเป่าถามขึ้น"ถ้าไปกับพวกเจ้าแน่นอน ข้ารู้สึกสนุกรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกท้าทายแล้วพวกเจ้าก็มีจิตใจที่ดีช่วยเหลือชาวบ้านถ้าคิดว่าข้าต้องติดตามพวกเจ้าไปให้ถึงที่สุด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น พวกเขาเดินทางในป่ากระดังงาราวๆเจ็ดวันก็ออกจากป่ากระดังงา เดินทางด้วยความราบรื่นตอนกลางวันเดิน กลางคืนก็พักผ่อนพวกเขาไปถึงหมู่บ้านอัสดงในเวลาเที่ยงของวันที่เจ็ด เมื่อพวกเขาไปถึงก็หาโรงเตี้ยมเพื่อนั่งกินอาหารกัน และจะได้ฟังข่าวจากนักยุทฑท่านอื่นด้วย พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะกลางสุดเพราะจะได้ฟังเสียงข้างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น "ป่าอัสดงทุกวันนี้ทำไมข้าไม