"ทำไมพวกสัตว์เหล่านี้มันหลีกเลี่ยงเรา ไหนเจ้าจิ๋วบอกว่ามันพุ่งไปทำร้ายเจ้าจิ๋วนั่นไงแต่ทำไมมันเห็นพวกเรา ณ เวลานี้มันถึงหลีกหนีได้ล่ะ"หลิวเหยียนถามขึ้น"ข้าคิดว่าสถานที่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของมันที่จะปกป้องล่ะมั้งมันน่าจะมีจุดเดียวที่มันปกป้องก็คือจุดกลางป่าที่มีต้นเห็ดยักษ์ที่เจ้าจิ๋วไปเจอก็ได้ เพราะป่านี้อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้นนั่นแหละ ดูอย่างเช่นตัวอึ่งอ่างนั้นนะสิใหญ่โตกว่าอึ่งอ่างปกติเป็นไหนๆ"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น ทุกคนก็สนใจแต่เก็บเห็ดพิษสีของตัวเองที่ตัวเองรับผิดชอบเมื่อเก็บได้แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็พบกับเห็ดพิษยักษ์ที่เจ้ากระต่ายหยกนั้นกล่าวถึง ห่าวอู๋อวี่รวบรวมเห็ดพิษทั้งหมดและเขาก็ค่อยๆนำไปหยอดตรงรูที่เท่ากับกำปั้นนั้นแต่ละสี หลิวเหยียนที่ไม่ค่อยเชื่อเจ้ากระต่ายหยกสักเท่าไหร่เลยคิดที่จะลองดีเพราะมันเห็นพวกสัตว์อสูรที่เจ้ากระต่ายหยกบอกว่ากำลังจะวิ่งลุมมัน แต่ในตอนที่เห็นกลุ่มเขานั้นต่างก็เดินหลีกหนีพวกเขาไป หลังจากที่เขาได้ยื่นถุงเห็ดพิษให้ห่าวอู๋อวี่ แล้วเขาก็ทำท่าเดินๆอยู่ด้านหลังของสหายทุกคน เมื่อมองแล้วไม่มีสหายผู้ใดสนใจเขาจึงวิ่งตรงไปยังอีกฟากของต้นเห็ดพิษยักษ์
เมื่อพวกเขาเดินมาสักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าอากาศนั้นอบอ้าวมาก คล้ายๆกับฤดูฝนที่ฝนจะตกแต่ไม่ตก พอเดินมาสักพักก็พบกับอากาศที่แห้งแล้ง"เราน่าจะเข้าสู่ฤดูสุดท้ายแล้วเป็นแน่ ฤดูร้อน หวังว่าคราวนี้จะไม่มีผู้ใดทำให้พวกเราเกิดอันตรายอีกแล้วนะ"จางซินกล่าวขึ้นยังมิวายที่จะพูดเหน็บแนมหลิวเหยียน แต่เขาไม่ได้มีท่าทางที่จะโกรธเคืองมากมายนัก พวกเขาเดินไปเรื่อยๆก็รู้สึกกระหายน้ำ ซิงอีจึงแจกน้ำอมฤตแก่ทุกคน เมื่อทุกคนกินแล้วก็เดินทางไปเรื่อยๆด้วยความที่ร้อนและเหนื่อย แต่พวกเขาทุกคนก็อดทน ห่าวอู๋อวี่แบกจินเป่าด้วย เขาไม่คิดว่ามันเหนื่อยไปด้วยซ้ำ เพราะเขาป้องกันตัวเองตลอดเวลาด้วยเกาะวรยุทธของเขานั้น เขาสามารถทำให้มันอุ่นได้ร้อนได้เย็นได้ทั้งนั้น ผู้ที่มีวรยุทธที่เด่นแล้วมักจะไม่พหนาวไม่ร้อน เขาจะควบคุมให้ตัวเองรู้สึกสบายอยู่ตลอดเวลา "ข้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่อยู่ใต้พื้นทรายที่เราเดินมา เอาเป็นว่าพวกเราต้องคอยระวังแล้วล่ะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ตอนนี้ไม่มีผู้ใดคัดค้านพวกเขาจ้องที่จะระวังตัวตลอดเวลา ห่าวอู๋อวี่กระชับจินเป่าแล้วเขาก็เดินไปด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าวแต่เมื่อเดินไปราวๆครึ่งก้านธูปก็ไม่มี
"เจ้าจิ๋วกลับมาแล้วมันไม่ได้รับอันตรายใดๆด้วยเจ้าจัดการสัตว์ประหลาดเหล่านั้นสำเร็จแล้วหรือทำไมเจ้าถึงขึ้นมาได้"จางซินถามขึ้น แต่เจ้ากระต่ายหยกก็ค้านที่จะคุยกับจางซินเช่นเคย มันต้องสื่อสารกับเจ้านายของมันเป็นดีที่สุดไม่ต้องพูดให้คนพวกนี้เยาะเย้ยตนด้วย"มันจะปล่อยพวกเราไปแล้ว แต่เราดันทำลูกของมันตายไปสองตน มันต้องการให้เราคืนชีวิตของลูกมัน ถึงจะปล่อยเราไปไม่อย่างนั้นเราก็ต้องสู้กับมันให้ถึงที่สุดตอนนี้มันเหลือลูกอยู่เจ็ดตัว ส่วนตัวแม่มันก็ตัวใหญ่มาก"จินเป่ากล่าวแทนเจ้ากระต่ายจิ๋ว เจ้ากระต่ายจิ๋วคายหญ้าตายฝืนออกมาสองเส้นแล้วยื่นให้กับจินเป่า"สมุนไพรตายฝื้น เจ้าพอจะกลั่นได้หรือไม่จางซิน "จินเป่ากล่าวถามและนางก็ยื่นสมุนไพรตายฟื้นให้กับจางซินและนำเห็ดสมุนไพรสีเขียวขี้ม้าให้อีกสองต้น จ้างซินรับมาทั้งสองอย่าง แล้วนางก็ย้อนดูตำราว่ามีตำราเล่มไหนบ้างที่ตนเคยพบเกี่ยวกับสมุนไพรชุบชีวิตบ้าง"สมุนไพรชุบชีวิตน่าจะใช้ได้นะ ข้าก็จำไม่ได้แล้วว่ามันมีตัวสมุนไพรตัวไหนบ้าง ที่ข้าจำได้ว่ามันน่าจะมีหญ้าตายแล้วฟื้นหนึ่งอย่าง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จางซินจึงส่งกระแสจิตเข้าไปในมิติ แล้วหาตำราสมุนไพรชุบชีวิตและ
"ดินแดนต่อไปเป็นภาพที่ว่างเปล่าที่มารดาของข้าวาดไว้สิ้นสุดที่แห่งนี้ก็จะถึงแล้วล่ะ"ไป๋อวิ่นตอนนี้เขาไม่ได้มีท่าทีที่ตื่นเต้นอีกแล้ว ท่าทางเขาราวกับเหนื่อยมากๆ ที่ผ่านมาไม่สนุกเลยสักนิด ทุกคนอยู่ในอันตรายแทบตลอดเวลา ตอนที่เขามาเพียงลำพังไม่อันตรายถึงเพียงนี้ "แล้วพวกเราจะพบกับอะไรอีกนะ"ซิงอีถามกับทุกคน ไม่มีใครรู้และตอบอะไรทั้งนั้นต่างคนต่างเร่งเดินทาง พวกเขาเดินทางผ่านอากาศร้อนราวๆสองวัน พวกเขามีน้ำอมฤตกินระหว่างทางจึงรู้สึกไม่เหนื่อยมาก หลังจากทุกคนรู้สึกว่าไม่ค่อยร้อนสักเท่าไหร่แล้ว ก็รู้ตัวแล้วว่าออกจากดินแดนฤดูร้อนแล้ว"ข้าว่าเราพักผ่อนสักหน่อยดีกว่าจะได้มีแรงที่จะเดินต่อ ทั้งสิบสองพากันนั่งพัก หลังจากนั่งพักกันเสร็จ ทั้งสิบสองก็พากันเดินทางต่อ พวกเขาเดินผ่านป่าที่สองข้างทางเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตพอสมควร บ้างก็มีเถาวัลย์พันไปพันมารอบต้นไม้มีเสียงนกเสียงลิงเสียงค้างที่ดังตลอดเวลา ทำให้พวกเขาเพลิดเพลินกับการเดินทางครั้งนี้มาก มีหลายครั้งที่ห่าวอู๋อวี่สัมผัสถึงสิ่งที่แปลกประหลาดแต่เขาก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามีสิ่งใดที่จะเป็นอันตรายต่อพวกเขา เพราะพวกเขาเดินมานั้นมันก็เป็นธรรมชาติที่สมบูรณ
ไม้ที่พยุงร่างของทั้งสามนั้นไว้พวกเขาอยู่ได้เพียงสักครู่ก็ค่อยๆเลื่อนลงไปเรื่อยๆและตอนนี้โคลนที่ดูดพวกเขาลงไปนั้นก็เกือบจะถึงคางอยู่แล้ว ห่าวอู๋อวี่คิดว่ายิ่งตัวเองส่งวรยุทธลงไปยังโคลนดูดนั้นมันก็จะดูดบุคลที่อยู่ข้างในลงไปเรื่อยๆ และผู้ที่อยู่ด้านบนไม่มีใครยอมให้ใครลงไปยังคนดูดเนื่องจากว่ารู้ดีว่าไม่สามารถที่จะช่วยได้หรือจะทำให้ตัวเองลงไปข้างใต้นั่นอีกทำให้ท้องเพิ่มภาระผู้ที่อยู่ด้านบนอีก "เกือบจะถึงปากพวกเขาอยู่แล้วพวกเราทำอย่างไรดีล่ะเจ้าจิ๋วเราทำอย่างไรดีตอนนี้พวกข้าต้องพึ่งเต้าแล้วอ่ะ"จางซินกล่าวขึ้น เจ้ากระต่ายจิ๋วมองหน้าเจ้านายของตัวเองและสื่อสารให้เจ้านายรู้ว่ามันจะพุ่งลงไป ให้เจ้านายคอยเรียกมันถ้าถึงเวลาอันสมควร หากว่ามันสื่อสารกับเจ้านายไม่ได้เนื่องจากมันไม่สามารถตรวจดูได้ว่าด้านล่างนั้นมีสิ่งใดอยู่ จึงไม่รู้ว่าอันตรายหรือไม่ และไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับเจ้านายได้หรือไม่ มันกระโดดเข้าในคนดูทันทีทุกคนต่างด้าวใจเพราะไม่อยากให้มันลงไปเสี่ยงเลย จางซินจึงโทษตัวเองว่าพูดกดดันมันจนมันต้องกระโดดลงไป"จินเป่าข้าขอโทษเรื่องที่ข้าทำให้เจ้าจิ๋วนั้นคิดที่จะกระโดดลงไป ข้าแค่คิดว่ามันจะหน้ามี
"ตู้ม"เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของทั้งสามที่เปื้อนไปด้วยโคลนนอนราบอยู่บนพื้น และทั้งสองที่ยืนมองเกราะใสๆแล้วมีตัวทูตอยู่ด้านใน ยืนอยู่ตรงกลางของทั้งสามคนที่นอนอยู่ โคลนที่มีอยู่นั้นเหือดแห้งไปหมด ทิ้งไว้เพียงร่องรอยที่อยู่บนร่างของบุรุษทั้งสามที่เคยตกลงไปเท่านั้น บริเวณพื้นดินไม่มีหลุมไม่มีบ่อแต่อย่างใดเป็นพื้นเรียบเหมือนไม่เคยมีโคลนเกิดขึ้นมาก่อน หากร่างกายของทั้งสามไม่เปื้อนโคลน ก็ต้องคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาแน่นอนแต่ภาพของทั้งสามยังนอนป้าพูดกับพื้นแล้วร่างกายเปิดควรไปเกือบที่จะถึงจมูกด้วยซ้ำเจ้าซินจึงนำน้ำอมฤตไปล้างบุรุษทั้งสาม ไม่นานพวกเขาทั้งสามก็ลุกขึ้นได้และพากันยืนมองตัวทูตที่มีเกาะใสๆน้ำหุ้มอยู่ "นั่นมันตัวทูตวิญญาณหนึ่ง มันเป็นของดีเลยทีเดียวข้าว่าในการเดินทางนั้นพวกเจ้าแต่ละคนได้รับแต่สิ่งของดีๆซึ่งพวกข้าเองยังไม่ได้รับเลย และครั้งนี้ก็เป็นที่พวกข้าถูกโคลนดูดไว้ จึงทำให้พวกเจ้าได้เจออย่างนี้ พวกเจ้าไม่คิดจะแบบสิ่งนี้กับผู้อื่นบ้างรู้หรือ พวกข้ามาเสี่ยงที่ป่าอมตะนี้ก็เพื่อแม่นางผู้นั้น ใจว่าอยากกลับมาที่ใดกันในเมื่อมาแล้วของดีๆก็น่าจะแบบกันบ้าง"หลิวเหยียนกล่าวขึ้น ทุกคนที่ไ
ไม่นานทั้งสิบสองก็เดินทางผ่านมาราวๆห้าวันแล้ว แต่ก็ไม่พบว่าจะออกจากดินแดนแห่งนี้ได้เลย พวกเขายังรู้สึกว่าภายนอกยังมีเสียงลิงร้องนกร้องบ้าง บางครั้งก็ยังมีเสียงจั๊กจั่นเรไร บรรยากาศที่เดินผ่านมานั้นไม่มีเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว ไป๋อวิ้นนำแผนที่มากางออก "ในแผนที่ก็ไม่ได้บอกด้วยสิว่าจุดที่มีสมุนไพรเขากวางสามร้อยยอดนั้น มีสิ่งใดที่อยู่ข้างๆพอที่จะสังเกตได้บ้าง นางเพียงแต่บอกว่าผ่านจุดนี้ไปก็จะพบแต่เราเดินอยู่จุดนี้มานานแล้ว ยังไม่สิ้นสุดเลยหรือ หรือว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ทูตวิญญาณตนนั้นตนเดียว จะมีอย่างอื่นอีกก็เป็นได้"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น หลิวเหยียนได้แต่เปิดห่อผ้าดูเจ้าทูตวิญญาณที่ตอนนี้เกราะนั้นเริ่มระเหยออกไปมากแล้วเหลืออีกไม่กี่วันแล้วมันน่าจะออกจากเกาะได้แล้ว"ต้องรอถามเจ้าทูตตัวนั้น"เจ้ากระต่ายจิ๋วกล่าวขึ้น"ใครอนุญาตให้เจ้าถามมันกันล่ะ ในเมื่อตอนที่มันอยู่จุดเดิมนั่นไม่มีใครต้องการมัน เป็นข้าผู้เดียวที่แบกมาเจ้ารู้หรือไม่ว่าเกราะนี้หนักเอาการอยู่ ในเมื่อข้าเป็นผู้แบกมา เพราะฉะนั้นข้าก็ต้องได้ครอบครองเจ้าทูตวิญญาณนี้ และข้าจะไม่ให้พวกเจ้าถามมันด้วย ว่าเขากวางสามร้อยยอดนั้นอยู่
เมื่อหลิวเหยียนรับรู้ว่าแรงต้านมันหายไป ตัวเขาก็พุ่งขึ้นไปด้านบนทันทีส่วนเจ้าตัวฑูตวิญญาณนั้นมันก็ถลาลงไปด้านล่าง "ไม่ถูกต้องทำไมรู้สึกว่าเจ้าสมุนไพรเขากวางสามร้อยยอดสีแดงที่เคยอยู่บนยอดของกองหินนี้หายไป "หลิวเหยียนคิดขณะที่ กำลังวิ่งขึ้นบนก้อนหิน มือของเขาก็ปีนป่ายไปเรื่อยๆ ด้วยความเร่งรีบเพราะกลัวว่าทั้งสามจะพุ่งขึ้นมา เจ้ากระต่ายจิ๋วเมื่อพันร่างของทั้งสองเสร็จแล้ว มันก็พุ่งลงด้านล่างทันที ทุกคนที่อยู่ด้านล่างเห็นปฏิกิริยาของทั้งสี่ที่อยู่ด้านบนก็ตกใจ เพราะเขาเห็นว่าเจ้าทูตวิญญาณนั้นมันได้สมุนไพรเขากวางสามยอดแล้ว ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ผิดหวังเพราะจินเป่าจะไม่สามารถรักษาโรคนี้ได้ เมื่อผู้อื่นเป็นคนจับมา ผู้แรกที่นำมันมาได้เท่านั้นที่จะสามารถใช้งานมันได้ แต่เหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป บรรยากาศต่างๆกำลังจะเปลี่ยนไป"ตู้มๆๆๆ"เสียงดังสนั่นกองหินที่ยื่นข้างไปด้านบนเมื่อคู่แตกกระจายร่างของหลิวเหยียนไม่รู้ว่าตกอยู่ที่ใด ส่วนร่างของจินเป่าและห่าวอู๋อวี่ถูกร่างของเจ้ากระต่ายหยกนั้นห่อหุ้มอยู่ ผู้ที่อยู่ด้านล่างนั้นนอนกองอยู่กับพื้น กระอักเลือดออกมาคนละหลายๆคำ จินเป่ารู้สึกตัวขึ้นเมื่อเจ้าท
เพื่อพวกเขาเข้ามาเสร็จแล้วก็ต้องพบกับความประหลาด ด้านในนี้มีแก้วแหวนเงินทองอยู่มากมาย ตรงกลางโถงกว้างมีไข่ขนาดใหญ่หนึ่งใบวางอยู่ ลวดลายของใข่ใบนั้นมีลวดลายที่งามวิจิตรยิ่งนัก และไอวิเศษที่เข้มข้นก็ไหลออกมาจากไข่ใบนี้นี้เอง แต่ช่างแปลกเมื่อพวกเขาทั้งเจ็ดเข้ามาในนี้แล้ว ไอวิเศษนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายใดๆกับพวกเขาทั้งเจ็ดนั้นได้ "ไข่นั้นมันเป็นไข่อะไรกัน ลวดลายแปลกตาจัง"ซิงอีถามขึ้นเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน"มันน่าจะเป็นไข่มังกรข้าเคยศึกษามา น่าจะเป็นไข่มังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ รวดลายของมันช่างมากมายขนาดนี้ มันน่าจะเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขั้นที่สูงๆเป็นแน่ แต่เราจะนำมันออกจากไข่ได้อย่างไรกัน หรือว่าเราจะพามันออกจากถ้ำนี้ได้อย่างไร"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น ซิงอีจึงพยายามลองเก็บของที่อยู่ในนี้ดู เหมือนของเหล่านี้จะไม่ยอมเข้ามาในมิติของนางเลยสักชิ้น รวมถึงไข่ที่ต้าเหว่ยบอกว่าเป็นไข่มังกรด้วย มันไม่ยอมเข้ามาเลยสักนิด "ข้าเกรงว่าสมบัติที่อยู่ในนี้พวกเราไม่สามารถที่จะครอบครองมันได้ รวมทั้งไข่มังกรที่เจ้าว่าด้วย"จางซินกล่าวขึ้น ด้านข้างนอกนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของพญาวานรนั้นกำลังอาละวาดอยู่ เพร
ความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตัวใหญ่นั้นเงียบลงแล้ว แสดงว่ามันน่าจะสงบลงพวกเขาจึงวางแผนกันใหม่ว่าจะเข้าไปยังถิ่นที่อยู่ของมันได้อย่างไรเนื่องจากไอวิเศษที่เข้มข้นพวกเขาไม่สามารถที่จะทนกลับไอวิเศษที่อยู่รอบๆตัวของมันได้เลย "ข้าว่าหากพวกเราเข้าไปใกล้ๆมันแล้วไอวิเศษนั้นมันเข้มข้นมากพวกเราจะไม่ตายเพราะไอวิเศษนั้นหรอกหรือ มันมีสิ่งใดบ้างที่จะทำให้ไอวิเศษนั้นลดน้อยลงได้หรือว่าเราสัมผัสกับไอวิเศษนั้นได้น้อยลงล่ะ"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"มันไม่น่าจะลดไอวิเศษนั้นได้เนื่องจากว่าเรานั่งเสพไอวิเศษนั้นอยู่สามวันมันก็ยังไม่ลดเลยใครมีวิธีดีๆบ้างล่ะ"ไป๋อวิ้นกล่าวถามคนอื่น"เราใช้วิธีหลอกล่อดีหรือไม่ ให้คนกลุ่มนึงอยู่ฝั่งด้านในโน้น หากว่าคนกลุ่มหนึ่งหลอกล่อมันออกไปยังจุดนี้แล้ว คนกลุ่มที่อยู่ด้านในนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าไปดูว่าข้างในมีสิ่งใด วิธีนี้พวกเราจะแบ่งกันเป็นสามคนและสี่คนดีหรือไม่"จางหยงกล่าวขึ้น"แล้วมันจะไม่รู้หรือว่ายังมีอีกกลุ่มที่อยู่ด้านในถ้ำนี้ไม่ได้หลอกล่อมันออกไปนอกถ้ำ"ต้าเหว่ยถามขึ้น"ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่ามันตาบอดเพียงแค่เราอยู่ด้านไหนและกบกินกายของเราแล้วเราอยู่เฉยๆอะไรการเคลื่อนไหว
ทางด้านทั้งหกและสัตว์อสูรหนึ่งตนที่ตอนนี้กำลังนั่งบำเพ็ญอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขารับรู้ได้ถึงพลังงานภายในห่างพวกเขาออกไปหากเดินทางเข้าไปไม่เกินครึ่งก้านผู้พวกเขาต้องเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่มีแรงกดดันมหาศาล อยู่ในนั้นพวกเขาเลือกจุดนี้เพราะว่าไอวิเศษนั้นมาถึงกลุ่มของพวกเขาทำให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากไอวิเศษของสิ่งเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปส่มวันจู่ๆก็รู้สึกว่าตัวของเขานั้นเย็นวูบน่าจะสามครั้งได้ นางยิ้มด้วยความดีใจเพราะวรยุทธของนางอยู่เฉยๆก็เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะผู้เป็นนายของเขานั้นมีวรยุทธเพิ่มขึ้นก็ได้ ทุกคนมองหันมาที่ลี่หลินเพียงคนเดียวเพราะพวกเขาทุกคนสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันก่อนที่วรยุทธนั้นจะเพิ่มขึ้น"ไม่ใช่ว่าเจ้าจะบรรลุวรยุทธอีก 3 ขั้นแล้วหรือ"ไป๋อวิ้นถามขึ้น"ข้านั่งฝึกวรยุทธภายในอยู่สามวัน ข้าไม่คิดว่าร่างกายของข้าจะเพิ่มวรยุทธขึ้นได้มากขนากนี้ ข้าคิดว่าผู้เป็นนายของข้าน่าจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นข้าถึงได้ผลประโยชน์ขนาดนี้"ลี่หลินพูดด้วยความดีใจ"ลี่หลินเจ้าเสื่อกับผู้เป็นนายของเจ้าได้แล้วหรือ พวกเขาอยู่ที่ใดกัน พวกเราจะรีบตามพวกเขาไป"ซิงอีกล่าวขึ้น ลี่หลินได้แต่ส่ายหัวมันรับ
หลังจากกลุ่มของจินเป่าไปตกอยู่สถานที่หนึ่งนั้นราวๆสามวันพวกเขาทั้งสามนั้นก็รู้สึกตัว พวกเขาเหี่ยวสถานที่หนึ่งเหมือนเป็นกองฟางและมีแอ่งตรงกลางแต่กองฟางที่พวกเขานอนนั้นมองแล้วลักษณะเป็นสีขาวไข่มุก ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ห่าวอู๋อวี่ลุกขึ้นได้จึงนั่งขับเคลื่อนวรยุทธของตัวเอง เส้นลมปานของเขานั้นเสียหายไปสามส่วน เลือดยังคลั่งอยู่ที่สมองเขาก็กระอักเลือดออกมาคำตอบ เจ้าอีกาดำสามขาจื่ออี้เฉินงั้นถึงกับปีกหักและขาที่สามของมันก็หักเลยทีเดียว ร่างกายของมันกระทบกับของแข็งประเภทใดตัวมันเองก็ยังไม่รู้ จินเป่าเมื่อลืมตาขึ้นมาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นมหาศาลถาโถมเข้าตัวของตัวนางเอง นางรู้สึกเย็นวูบวาบสามครา นางลืมตาแล้วมองมือของตัวเองทั้งสองข้างวรยุทธของนางนั้นเพิ่มขึ้นอีกแล้วตั้งสามขั้น แต่นางสงสัยยิ่งนักวรยุทธของผู้อื่นนั้นสูงขึ้นนั้นจะเกิดทัฑคาด แต่ทำไมนางซึ่งวรยุทธสูงเลยระดับมามหาศักดิ์สิทธิ์มาเกินสามขั้นแล้ว นางยังไม่ถูกทัณฑฆาตเสียเลย นางมองไปรอบๆก็เห็นเจ้าอีกาดำสามขาที่นอนหมดแรงอยู่กับฟางสีขาวไข่มุกนั้น นางจึงหยิบยาสมุนไพรรักษาเส้นลมปราณธรรมดาออกมาให้มันกินไปพลางๆ และยื่นน้ำอมฤตให้ นางมองดูหน้าข
พญาหงส์ขาวที่กำลังต่อสู้นั้นหยุดชะงักและม้วนตัวพุ่งไปหาต้นขจีทันที ห่าวอู๋อวี่เองยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ พญาหงส์ขาวที่ต่อสู้กันอยู่ดีๆก็พุ่งไปหาจินเป่า จินเป่าที่ตอนนี้เห็นท่าไม่ดีเขากำลังอยู่ใกล้ต้นขจีเพียงนิดเดียวหากเขาหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าต้นขจีก็มัวแต่พลักดันนักยุทธให้ถ่อยกลับไปแต่มันไม่ได้ใช้ตามองจินเป่า เนื่องจากว่ากลิ่นอายของนางนั้นเป็นต้นหลิวต้องแสงจันทร์ในเมื่อนางนั้นได้กลืนกินพลังของต้นหลิวต้องแสงจันทร์แล้ว นางก็ปล่อยพลังของมันออกมา จึงทำให้ต้นขจีซึ่งเป็นพืชวิเศษเหมือนกันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นมนุษย์มันจึงไม่ได้ระวังตัวจากจินเป่าเลย แต่พญาหงส์ขาวรับรู้การไปของจินเป่าดีจึงพุ่งไปหานางและพ่นไฟใสทันที นางแบมือเก็บไฟดังเดิม แต่คราวนี้เจ้าพญาหงส์ขาวนั้นพุ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทันระวังและเก็บมันเข้าไปในมิติทันที หลังจากที่มันเข้าไปในมิติแล้วจินเป่าจึงใช้กริชที่กรีดเลือดของตัวเองนั้นแทงเข้าไปยังรากของต้นขจีทันที "วี้ดๆๆๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆ วี้ดๆๆๆๆๆ"เสี่ยงต้นขจีกรีดร้องและเอนไปเอนมาตอนนี้รากของมันถอนขึ้นจากดินเสียแล้ว จินเป่าได้ทีจึงโบกมือและเก็บต้นขจีก่อนที่มันจากอาละ
ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักก็เข้าใจกันส่าตะจัดการเช่นไร"นั่นไงทั้งสองคนอยู่ตรงนั้นกำลังคุยกันอยู่แล้วแผนของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อล่ะลี่หลิน"จางซินกล่าวถาม"แผนของพวกเขาคือให้พวกเราทุกคนระวังตัวเองและแก้ไขสถานการณ์ไปตามเหตุการณ์ต่างๆ"ลี่หลินกล่าวขึ้น ทุกคนก็มองไปยังลี่หลินเพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่านางได้สื่อสารกับผู้เป็นนายจริงหรือไม่ เนื่องจากพอถามพบนางก็ตอบทันที "งั้นพวกเราก็ต้องดูแลตัวเองและปกป้องด้วยให้ได้ เพื่อที่จะไม่เป็นตัวถ่วงของพวกสองคนนั้น"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น"แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าสงสัยยิ่งนัก ทำไมข้าที่อยู่มิติแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยรับรู้ถึงเรื่องนี้เลยล่ะ เรื่องที่มีผลขจีสุกอะไรนั่น ทำไมหรือพอดูดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสัตว์อสูรต่างๆก็รายล้อมเข้ามา และนักยุทธต่างๆก็เหมือนสนใจสิ่งเหล่านี้ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่ามันเป็นสิ่งใด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น"ข้าเองก็สงสัยว่าทางราชสำนักไม่ได้ส่งผู้ใดมาเข้าชิงผลขจีเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าทางราชสำนักนั้นไม่สนใจกับสมุนไพรชนิดนี้ เจ้าที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นจึงไม่รู้ว่ามีของดีแบบนี้"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น ทุกคนขอพยักหน้าพร้อมที่จ
เมื่อถึงยามเที่ยงคืนแล้วสัตว์อสูรตนนั้นก็ออกมาจากต้นขจีมันเป็นสัตว์อสูรสีขาวสว่างไสว มองไกลๆราวกลับนกกินรีสีขาวแต่พอมองดีๆก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่กินรีแต่อย่างใด"นั่นมันพญาหงส์นิสัตว์มหาอสูรที่เฝ้าอยู่ต้นขจีมันคือพญาหงส์นี่เอง"บุรุษกลุ่มที่จับตัวทั้งสองคนมากล่าวขึ้น "พวกเจ้าแกะมัดมือข้าทั้งสองได้แล้วกระมังข้าจะได้หาวิธีที่จะเอาชนะสัตว์มหาอสูรตนนั้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น กลุ่มคนที่จับตัวพวกเขามาจึงปรึกษากันไม่นานเขาก็แกะเชือกวิญญาณนั้นออก "ข้าทั้งสองจำเป็นที่จะต้องโจมตีพร้อมๆกันแล้วพวกเจ้ามีใครที่ต้องการที่จะลงมือบ้าง ข้าจะได้วางแผนเผื่อพวกเจ้า"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ทั้งหมดที่จับตัวทั้งสองคนมานั่นนั่งเงียบทันทีไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดเพราะไม่มีใครต้องการที่จะลงมือ "ทำไมพวกท่านไม่คิดที่จะลงมือเลยหรอ ในเมื่อต้องการของแต่ถ้าไม่ลงมือพวกท่านจะมีหน้ารับของพวกนี้ได้อย่างไร"จินเป่าถามขึ้ม"เอาเป็นว่าพวกข้าไม่ลงมือต่อสู้กับสัตว์มหาสูรแต่พวกข้าจะลงมือแย่งชิงกับผู้มียุทธเหล่านั้นเอง ถ้าพวกข้าได้ผลขจีมามากพอพวกข้าจะแบ่งให้พวกเจ้า "บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น"ข้าเองจะไปสู้กับสัตว์อสูรเหล่านั้นแต่ข้าเอง
เมื่อยามค่ำคืนเข้ามากล้ำกรายในห้องห่าวอู๋อวี่กับจินเป่านอนด้วยกันบนเตียงนอน"ข้าอยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปจังที่เราสองคนได้นอนกอดกันบนเตียงนุ่มแบบนี้ หากเราช่วยท่านพ่อตากับแม่ยายได้แล้วเราแต่งงานกันนะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวออกมาอย่างหยอกล่อและจิงจังในท่าที จินเป่าไม่ได้กล่าวอะไรนางได้ยินเสียงกุกกักนอกประตูนางรู้ดีว่าห่าวอู่อวี่รับรู้ได้ก่อนนางเสียอีกแต่เขาก็แกล้งพูดไปต่างๆนานา เมื่อด้านนอกได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เขาก็ไม่กล้าที่จะบุกเข้ามา ห่าวอู๋อวี่สังเกตเห็นถึงข้อนี้"ข้านอนแล้วนะเจ้าเองก็นอนเถอะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เพื่อจะได้เดินตามแผนของกลุ่มคนที่มาดักจับสองคนเขา สักพักใหญ่ๆเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องก็สงบลง บุรุษผู้หนึ่งโบกมือเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังค่อยๆเปิดประตูโรงเตี้ยมให้ แล้วค่อยๆบุกเข้าไปจับตัวทั้งสองได้ เมื่อถูกจับทั้งสองคนก็แกล้งทำเป็นหลับไหลไม่ได้สติ จินเป่าทำท่าทางตกใจตื่นขึ้นมา"หวกเจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงมาจับพวกข้าเช่นนี้ พวกข้าทั้งสองไปทำอะไรให้พวกเจ้าโกรธเคืองกัน"จินเป่าพูดขึ้น"แม่นางอย่าดิ้นรนเลย อย่าต่อรองกับการจับกุมในครั้งนี้ พวกเราวางแผนมานานแล้ว แล้วคนที่จับต
ป่ากระดังงาที่พวกเขาเดินทางเข้าไปนั้นร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่เล็กประปรายกันอยู่ มีโขดหินใหญ่โขดหินเล็กและมีเสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมาย เสียงนกร้องสักพักและบินจากไปเพื่อหาอาหาร"เราจะอยู่ผจญภัยอยู่ที่ป่าอัสดงกันจนจะมีวรยุทธเพิ่มขึ้นเท่าใดดี เราต้องตั้งเป้าหมายและล่ะ"จางซินกล่าวขึ้น"ข้าไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่าจนกว่าพวกเราทั้งจะพอใจกันดีกว่า"ห่าวอู๋มูลี่กล่าวขึ้น"แล้วต้าเสว่ยล่ะท่านคิดว่ามาผจญภัยยังภายนอกแล้วท่านยังคิดว่ายังอยากติดตามพวกเราต่อหรือไม่"จินเป่าถามขึ้น"ถ้าไปกับพวกเจ้าแน่นอน ข้ารู้สึกสนุกรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกท้าทายแล้วพวกเจ้าก็มีจิตใจที่ดีช่วยเหลือชาวบ้านถ้าคิดว่าข้าต้องติดตามพวกเจ้าไปให้ถึงที่สุด"ต้าเหว่ยกล่าวขึ้น พวกเขาเดินทางในป่ากระดังงาราวๆเจ็ดวันก็ออกจากป่ากระดังงา เดินทางด้วยความราบรื่นตอนกลางวันเดิน กลางคืนก็พักผ่อนพวกเขาไปถึงหมู่บ้านอัสดงในเวลาเที่ยงของวันที่เจ็ด เมื่อพวกเขาไปถึงก็หาโรงเตี้ยมเพื่อนั่งกินอาหารกัน และจะได้ฟังข่าวจากนักยุทฑท่านอื่นด้วย พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะกลางสุดเพราะจะได้ฟังเสียงข้างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น "ป่าอัสดงทุกวันนี้ทำไมข้าไม