"ปาร์ตี้คืนนี้ถือว่าจัดงานเลี้ยงให้พวกเธอทุกคนนะ"หัวหน้าแก๊งนักฆ่าอันดับหนึ่งของประเทศเอ่ยประกาศ งานปาร์ตี้ขนาดเล็กมีคนประมาณยี่สิบกว่าคนทุกคนล้วนเป็นนักฆ่า งานที่รับส่วนมากจะเป็นตามหาของหายากให้กับคนมีเงินเป็นบอดี้การ์ดให้กับคนรวยๆ งานไหนเสี่ยงๆที่ได้เงินดีๆ บ้างก็เป็นสายลับต่างๆ และบางครั้งก็มีงานลอบสังหาร แล้วแต่บอสใหญ่จะจัดให้"แล้วฉันก็อยากจะมอบรางวัลให้คนที่ทำภาระกิจนี้สำเร็จ จินเป่า"หัวหน้าแก๊งกล่าวและเรียก จินเป่าเพื่อเข้ามารับรางวัลจินเป่านักฆ่าอันดับห้าของแก๊ง รับงานไหนมาไม่เคยผิดพลาด ทำงานดีมีไหวพริบ จนทำให้เพื่อนรวมแก๊ง ชื่นชมในตัวเธอ และก็อิจฉาเธอเช่นเดียวกันจินเป่าเดินมารับรางวัล ผู้คนในงานตบมือแสดงความดีใจกันทุกคน จินเป่ามองดูเต่ามังกรหยกสีน้ำผึ้งสวยงามมาก หลังจากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋าเสื้อ "จินเป่าฉันดีใจกับเธอด้วยจริงๆนะ เธอเก่งมากเลย"ชิงเหยียนกล่าวแล้วก็เข้าไปกอดจินเป่าแล้วลูบหลังเบาๆหลังจากนั้นชิงเหยียนก็หายไปกับอวิ้น "คุณจัดการแล้วใช้ไหมอวิ้นงานนี้ถ้าเราทำสำเร็จฉันก็จะได้ขึ้นเป็นลำดับที่ห้าตามคุณไปเรื่อยๆ"ชิงเหยียนคุยกับอวิ้นเบาๆ "ไม่ใช้ว่าคุณให้ผมช่วยกำจ
หลังจากรถระเบิด จินเป่าก็ตกใจสุดขีด และพยายามควบคุมสติให้ได้ แต่แล้วก็เห็นรถชิงเหยียนพุ่งเข้ามาชนจนรถของเธอกระเด็นตกหน้าผา ในใจก็คิดได้ว่านี้คงจะเป็นแผนของเพื่อนตัวเองแน่ๆ ปกติถ้าชวนชิงเหยียนกลับเธอไม่เคยปฏิเสธเขาเลยสักครั้ง แต่มาครั้งนี้กลับปฏิเสธง่ายดาย แม้จะคะยั้นคะยอสักเพียงใดชินเหยียนก็ปฏิเสธที่จะกลับกับจินเป่า เพราะมันเป็นแผนของชิงเหยียนที่ต้องการให้ตนตายแน่ๆ แต่ทำไมเพื่อนของเธอต้องการชีวิตของเธอขนาดนี้ ทำไมชิงเหยียนต้องต้องการฆ่าจินเป่ากันนะ มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยสักนิด ทั้งๆที่จินเป่าช่วยชิงเหยียนทุกอย่าง แต่ก่อนชิงเหยียนอยู่ในแก๊งแทบจะเป็นลำดับรั้งท้ายด้วยซ้ำ เพราะความเก่งของจินเป่าเลยช่วยชิงเหยียนให้ขึ้นมาลำดับที่หกได้ บางครั้งจินเป่าต้องเอาผลงานตัวเองให้ชิงเหยียนด้วยซ้ำ แต่ในเวลานี้ทำไมกันนะ ทำไมไม่เป็นคนอื่น หรือว่ามีคนบังคับให้ชิงเหยียนทำอย่างงั้นหรอ จินเป่าจากที่ตกใจ และกลัวกับเหตุการณ์นี้ แต่ตอนนี้กลายเป็นสิ้นหวัง คิดไม่ตกเพราะเพื่อนรักทรยศเธอ ไม่รู้ว่าเพื่อนรักทรยศเองหรือทำงานให้ใครกันแน่ แต่ก็เป็นเพื่อนรักกัน สามารถคุยกันได้นิ แต่ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว จินเป่าปล่อย
ณ ห่วงเวลาอีกมิติหนึ่งทรมานเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดจนแทบอดทนไม่ไหวอยู่แล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งอาเจียนออกมาอย่างทรมาน หลังจากดื่มชาเลือดนกนางแอ่นไปได้ไม่กี่อึก ก็รู้สึกทรมานและอาเจียนออกมา"คุณหนู คุณหนูเป็นอะไรมากหรือป่าวเจ้าคะ"ซิงอีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน พลางถ่ายทอดพลังมายังด้านหลังของ มู๋จินเป่า ทันใดนั้นความทรงจำมากมายก็ถาโถมเข้ามาโดยไม่หยุดหย่อยดรุณีผู้นี้คือมู๋จินเป่า คุณหนูสามตระกูลมู๋ อายุ14ปี แต่ก่อนนางเคยมีวรยุทธอันดีเด่นตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนหกขวบนางได้กราบเป็นศิษย์ ในสำนักชื่อดัง แม้นางจะเป็นเพียงลูกอนุ แต่นางก็ได้เข้าสำนักศึกษาชั้นต้นของเมือง เพราะนางมีความโดดเด่นทั้งเรื่องหน้าตาและวรยุทธจึงทำบิดาเอ็นดูเป็นพิเศษกว่าบุตรทุกๆคน มู๋จืออันคือบิดาของมู๋จินเป่า มู๋จืออันเป็นแม่ทัพของวังหลวง มีลูกทั้งหมดสี่คน คนโตเกิดจากฮูหยินเป็นหญิงมีนามว่า มู๋จินฮุย เป็นคุณหนูใหญ่ คนที่สองเกิดจากอนุ มู๋จินเหอ คุณหนูสอง และ มู๋จินเป่าเป็นลูกคนที่สามที่เกิดจากอนุอีกคน เป็นคุณหนูสาม ส่วนคนสุดท้ายเป็นลูกที่เกิดจากฮูหยิน มู๋ฉี่ฉ่าง คุณชายสี่ แม่ของมู๋จินเป่า กับมู๋จินเหอ ตายตั้งนานแล
หลังจากที่จินเป่าฟื้นมาในร่างของ มู๋จินเป่า ในใจก็รู้สึกสมเพชตัวเองมาก ตอนร่างนี้แข็งแรงและมีวรยุทธที่สูง ตัวเธอเองก็ไม่ได้อยู่ในร่างนี้ แต่พอไม่หลงเหลืออะไรแม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็เก่าซอมซ่อขนาดนี้ ก่อนตายจากร่างเดิมก็ถูกหักหลังจากเพื่อนรัก"คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านต้องทานข้าวทานยานะเจ้าคะ"ซิงอีสาวใช้ข้างกายของมู๋จินเป่าเอยขึ้น วันที่คุณหนูของนางถูกวางยาครั้งล่าสุดนางใจหายมาก ต่อมานางไม่เคยรับของจากจวนมู๋อีกเลย นางร่ำเรียนวรยุทธก็จริงแต่นางก็เรียนได้ย่ำแย่มาก ณ เวลานี้นางมีวรยุทธในระดับสองขั้นกลางเท่านั้น เรื่องยาพิษต่างๆนางไม่ได้ร่ำเรียนเลย ทำให้นางมองไม่ออก ถ้าคุณหนูของนางไม่เกิดเรื่องขึ้นทำให้พลังยุทธหายไปนั้น คุณหนูของนางต้องมองออกเป็นแน่ ตอนนี้ซิงอีหาอาหารให้ มู๋จินเป่า กินเองกับมือ แม่ตอนนี้แทบไม่มีเงินติดตัว ซิงอีต้องไปขุดมัน ขุดเผือก ล่าเนื้อสัตว์เล็กเช่น นก ปลา มาเพื่อที่จะประทังชีวิตของสองคน ซิงอีมองหน้าคุณหนูแล้วก็เศร้าใจคุณหนูของนางเคยโดดเด่น แต่ตอนนี้กลับซูบผอม ซิงอีไม่อยากคาดเดาอะไรทั้งนั้นว่าฮูหยินต้องการชีวิตคุณหนูของนาง ซิงอีไม่เคยพูดแต่ก็พอจะดูออกบ้างแล้ว "วันนี้มีอะไรกินล่
หลังจากเหตุการณ์ที่ มู๋จินเป่า คุณหนูสามไม่อยู่เรือนจนทำให้บ่าวรับใช้ข้างกายตามหาทำให้ทหารไปช่วยตามพวกทหารจึงไปรายงานกับฮูหยิน ทำให้ฮูหยินคิดหาแผนที่จะกำจัด มู๋จินเป่าอีกครั้ง นางเคยให้บ่าวนำอาหารใส่ยาพิษไปให้มู๋จินเป่ากินแต่นางก็ไม่ตาย นางเหมือนแมวเก้าชีวิต พักหลังๆบ่าวรับใช้คนนั้นที่ชื่อซิงอี ไม่เคยรับของที่เรือนใหญ่ส่งไปให้เลย แบบนี้จะทำอย่างไรดี ฮูหยินปรึกษามู๋จินฮุยบุตรสาวของนาง "งั้นวันนี้ลูกกับน้องจินเหอไปเยี่ยมมันดีกว่า มันแข็งแรงดีแล้วกระมัง เดียวลูกกับน้องจินเหอไปเล่นเป็นเพื่อนมันสักหน่อย"มู๋จินฮุยคุยกับแม่หลังคุยกันเสร็จมู๋จินฮุยก็กลับเรือนตัวเองเพื่อไปเตรียมตัวชวนน้องสาวไปเล่นสนุกๆกับน้องสาวอีกคนณ เรือนเก่าที่ไกลจากตัวเรือนหลักอยู่มาก ต้นไม้เล็กใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด ดรุณีน้อยสองนางเดินเข้าไปโดยไม่พาบ่าวมาสักคน ก่อนที่จะถึงตัวเรือน ซิงอีเห็นก่อนก็เลยไปรายงานคุณหนู "คุณหนูเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองมาเจ้าค่ะ ไม่มีบ่าวมาสักคนน่าจะมารังแกคุณหนูแน่เลยเจ้าค่ะ เราจะทำยังไงดีแล้วค่ะ"ซิงอีรีบมารายงานมู๋จินเป่า พลางดูคุณหนูของตัวเองกำลังอ่านตำราเก่าๆที่เคยใช้เรียน แล้วรู้สึกสงส
หลังจากแอบตามคุณหนูไปด้วยใจที่กังวล พอเห็นคุณหนูกำลังจะถูกกลั่นแกล้งทีแรกซิงอีกำลังจะวิ่งไปปกป้อง แต่แล้วสถานการก็พลิกผัน คุณหนูของนางหลบจากการผลักของคุณหนูรองได้ และแกล้งเป็นลมล้มลงไป นางก็อุ่นใจขึ้นและคิดว่าต้องทำยังไงดีนะ คุณหนูก็มองมาที่นางแล้วยิ้มแถมขยิบตาให้อีก อ๋อ สักพักใหญ่ๆ"คุณหนูคุณหนูเจ้าค่ะเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ ฮือๆๆๆๆ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าค่ะ ไหนว่าจะไปเล่นกับคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองล่ะเจ้าค่ะร่างกายของคุณหนูก็ไม่แข็งแรง ฮือๆๆๆ"หลังจากที่ซิงอีโวยวายพลางร้องไห้เสร็จก็แบกคุณหนูสามกลับเรือนทันที โดยไม่ได้ฟังเสียงของคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองที่อยู่ก้นสระเลยสักนิด นางแกล้งไม่ได้ยิน"เจ้านิก็ร้ายไม่เบาเลยนะ ได้ยินคนตะโกนให้ช่วยแต่ไม่ช่วยพวกนางเดียวเจ้าก็ถูกลงโทษหรอก วางข้าลงเถอะตัวข้าหนักจะตาย"พอห่างจากบึงพอประมาณมู๋จินเป่าก็พูดขึ้น"ก็คุณหนูร้ายก่อนนิเจ้าค่ะ บ่าวแค่เล่นต่อจากคุณหนูผิดหรือเจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูสองคนไปฟ้องท่านแม่ทัพ บ่าวก็จะอ้างว่าบ่าวตกใจกลัวคุณหนูเป็นอะไรไปเพราะคุณหนูไม่แข็งแรง และไม่ได้ยินเสียงอันใดทั้งสิ้นเพราะบ่าวมัวแต่ร้องไห้ ดีไหมเจ้าค่ะ และบ่าวก็ไม่ให้คุณ
หลังจากซิงอีแอบตามทหารกับบรรดาบ่าวของคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองไปก็พบว่า คนเหล่านั้นถือว่าไม่โง่เลยซักนิด นางพยายามบอกหลายครั้งหลายคลาว่าพบคุณหนูสามนอนสลบอยู่ที่ริมบึงใต้ต้นไม้ใหญ่ คนเหล่านั้นก็มุ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ทันที"คุณหนูใหญ่คุณหนูรองเจ้าค่ะ ลงไปอะไรกันที่นั่น"เสียงบ่าวคนหนึ่งตะโกนลั่นพอคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองเห็นบรรดาบ่าวๆก็ดีใจ ทั้งอับอายจนกลายเป็นโกรธด้วยซ้ำ กว่าจะตามหาพวกนางจบพบทั้งหนาวทั้งหิว ทั้งอับอายที่บรรดาบ่าวและทหารเจอพวกตนในสภาพเช่นนี้ เรื่องนี้ทั้งหมดต้องโทษมู๋จินเป่าคนเดียวในครั้งที่พวกเขาชวนมู๋จินเป่ามาก็เพื่อที่จะจัดการให้นางตกน้ำตายแต่ทำไมคนที่ป่วยไม่มีแรงขนาดนั้นยังหลบนางได้ มู๋จินเป่าไม่มี วรยุทธแม้แต่น้อยทำไมหลบนางได้กันคิดแล้วก็น่าโมโห พวกนางสองคนพยายามปีนแล้วก็ขึ้นไม่ได้ ป่ายปีนจนมือเจ็บไปหมดทั้งใช้วรยุทธที่ตนเรียนมาก็ไม่สามารถออกไปได้ พวกบ่าวก็แหกปากร้องอยู่นั้นแทนที่จะรีบๆมาช่วยพวกนาง พอทหารช่วยคุณหนูทั้งสองขึ้นมาแล้วด้วยความยากลำบากมากเนื่องจากหน้าแล้งน้ำใกล้หมดไปจากบึง ทำให้พื้นกับก้นบึงอยู่ห่างกันมาก แม้ผู้ที่ฝึกวรยุทธในขั้นสิบก็ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นมาได้ พวก
ทันทีที่มู๋จินเป่านั่งก็หันหน้าไปหาพี่สาวสองคนแล้วทำท่าตกใจ"ท่านพี่ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ เมื่อวานข้าเห็นท่านพี่ทั้งสองคนตกบึงไปต่อหน้าต่อตาข้าก็ตกใจกลัวจนเป็นลมล้มไป กว่าข้าจะได้สติตื่นขึ้นมาก็รุ่งเช้าแล้ว พอข้าถามซิงอีนางก็บอกว่านางพบข้านอนสลบอยู่ผู้เดียว ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น ข้าเลยถามว่าแล้วในบึงใหญ่นั่นเจ้าได้ดูหรือป่าว นางก็บอกว่าไม่ได้ดู มัวแต่รีบแบกข้ากับเรือน ข้าเป็นห่วงท่านพี่ทั้งสองมากเจ้าคะ"มู๋จินเป่ารีบกล่าวเพื่อปัดความผิดของซิงอีลองดูว่าถ้านางกล่าวขนาดนี้แล้วบิดายังจะมาป้ายความผิดให้บ่าวของตนอีกหรือไมพอฟังคำของมู๋จินเป่ากล่าว ทุกคนก็เงียบเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี จะพูดยังไงให้สองคนนั้นผิดได้ ในเมื่อนางกล่าวปิดทางทุกทางไว้เช่นนี้แล้ว"วันนี้ที่พ่อเรียกเจ้ามาเพราะว่าเรื่องเมื่อวานนั้นแหละ เจ้าเป็นลมขนาดนั้นบ่าวเจ้าไม่พาเจ้าไปหาหมอแต่กลับพาเจ้ากลับไปยังเรือนไม่กลัวเจ้านายเจ้าเป็นอะไรไปหรอ สลบไปทั้งวันทั้งคืนขนานนั้น เจ้าเป็นบ่าวไม่ร้อนใจบ้างหรือ ซิงอี"ท่านแม่ทัพที่หาเรื่องจากบ่าวอย่างซิงอีให้ลูกมู๋จินเหอกับลูกมู๋จินฮูยไม่ได้ จึงหันมาหาเรื่องบ่าวให้ลูกมู๋จินเป่
เมื่อหลิวเหยียนรับรู้ว่าแรงต้านมันหายไป ตัวเขาก็พุ่งขึ้นไปด้านบนทันทีส่วนเจ้าตัวฑูตวิญญาณนั้นมันก็ถลาลงไปด้านล่าง "ไม่ถูกต้องทำไมรู้สึกว่าเจ้าสมุนไพรเขากวางสามร้อยยอดสีแดงที่เคยอยู่บนยอดของกองหินนี้หายไป "หลิวเหยียนคิดขณะที่ กำลังวิ่งขึ้นบนก้อนหิน มือของเขาก็ปีนป่ายไปเรื่อยๆ ด้วยความเร่งรีบเพราะกลัวว่าทั้งสามจะพุ่งขึ้นมา เจ้ากระต่ายจิ๋วเมื่อพันร่างของทั้งสองเสร็จแล้ว มันก็พุ่งลงด้านล่างทันที ทุกคนที่อยู่ด้านล่างเห็นปฏิกิริยาของทั้งสี่ที่อยู่ด้านบนก็ตกใจ เพราะเขาเห็นว่าเจ้าทูตวิญญาณนั้นมันได้สมุนไพรเขากวางสามยอดแล้ว ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ผิดหวังเพราะจินเป่าจะไม่สามารถรักษาโรคนี้ได้ เมื่อผู้อื่นเป็นคนจับมา ผู้แรกที่นำมันมาได้เท่านั้นที่จะสามารถใช้งานมันได้ แต่เหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป บรรยากาศต่างๆกำลังจะเปลี่ยนไป"ตู้มๆๆๆ"เสียงดังสนั่นกองหินที่ยื่นข้างไปด้านบนเมื่อคู่แตกกระจายร่างของหลิวเหยียนไม่รู้ว่าตกอยู่ที่ใด ส่วนร่างของจินเป่าและห่าวอู๋อวี่ถูกร่างของเจ้ากระต่ายหยกนั้นห่อหุ้มอยู่ ผู้ที่อยู่ด้านล่างนั้นนอนกองอยู่กับพื้น กระอักเลือดออกมาคนละหลายๆคำ จินเป่ารู้สึกตัวขึ้นเมื่อเจ้าท
ไม่นานทั้งสิบสองก็เดินทางผ่านมาราวๆห้าวันแล้ว แต่ก็ไม่พบว่าจะออกจากดินแดนแห่งนี้ได้เลย พวกเขายังรู้สึกว่าภายนอกยังมีเสียงลิงร้องนกร้องบ้าง บางครั้งก็ยังมีเสียงจั๊กจั่นเรไร บรรยากาศที่เดินผ่านมานั้นไม่มีเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว ไป๋อวิ้นนำแผนที่มากางออก "ในแผนที่ก็ไม่ได้บอกด้วยสิว่าจุดที่มีสมุนไพรเขากวางสามร้อยยอดนั้น มีสิ่งใดที่อยู่ข้างๆพอที่จะสังเกตได้บ้าง นางเพียงแต่บอกว่าผ่านจุดนี้ไปก็จะพบแต่เราเดินอยู่จุดนี้มานานแล้ว ยังไม่สิ้นสุดเลยหรือ หรือว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ทูตวิญญาณตนนั้นตนเดียว จะมีอย่างอื่นอีกก็เป็นได้"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น หลิวเหยียนได้แต่เปิดห่อผ้าดูเจ้าทูตวิญญาณที่ตอนนี้เกราะนั้นเริ่มระเหยออกไปมากแล้วเหลืออีกไม่กี่วันแล้วมันน่าจะออกจากเกาะได้แล้ว"ต้องรอถามเจ้าทูตตัวนั้น"เจ้ากระต่ายจิ๋วกล่าวขึ้น"ใครอนุญาตให้เจ้าถามมันกันล่ะ ในเมื่อตอนที่มันอยู่จุดเดิมนั่นไม่มีใครต้องการมัน เป็นข้าผู้เดียวที่แบกมาเจ้ารู้หรือไม่ว่าเกราะนี้หนักเอาการอยู่ ในเมื่อข้าเป็นผู้แบกมา เพราะฉะนั้นข้าก็ต้องได้ครอบครองเจ้าทูตวิญญาณนี้ และข้าจะไม่ให้พวกเจ้าถามมันด้วย ว่าเขากวางสามร้อยยอดนั้นอยู่
"ตู้ม"เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของทั้งสามที่เปื้อนไปด้วยโคลนนอนราบอยู่บนพื้น และทั้งสองที่ยืนมองเกราะใสๆแล้วมีตัวทูตอยู่ด้านใน ยืนอยู่ตรงกลางของทั้งสามคนที่นอนอยู่ โคลนที่มีอยู่นั้นเหือดแห้งไปหมด ทิ้งไว้เพียงร่องรอยที่อยู่บนร่างของบุรุษทั้งสามที่เคยตกลงไปเท่านั้น บริเวณพื้นดินไม่มีหลุมไม่มีบ่อแต่อย่างใดเป็นพื้นเรียบเหมือนไม่เคยมีโคลนเกิดขึ้นมาก่อน หากร่างกายของทั้งสามไม่เปื้อนโคลน ก็ต้องคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาแน่นอนแต่ภาพของทั้งสามยังนอนป้าพูดกับพื้นแล้วร่างกายเปิดควรไปเกือบที่จะถึงจมูกด้วยซ้ำเจ้าซินจึงนำน้ำอมฤตไปล้างบุรุษทั้งสาม ไม่นานพวกเขาทั้งสามก็ลุกขึ้นได้และพากันยืนมองตัวทูตที่มีเกาะใสๆน้ำหุ้มอยู่ "นั่นมันตัวทูตวิญญาณหนึ่ง มันเป็นของดีเลยทีเดียวข้าว่าในการเดินทางนั้นพวกเจ้าแต่ละคนได้รับแต่สิ่งของดีๆซึ่งพวกข้าเองยังไม่ได้รับเลย และครั้งนี้ก็เป็นที่พวกข้าถูกโคลนดูดไว้ จึงทำให้พวกเจ้าได้เจออย่างนี้ พวกเจ้าไม่คิดจะแบบสิ่งนี้กับผู้อื่นบ้างรู้หรือ พวกข้ามาเสี่ยงที่ป่าอมตะนี้ก็เพื่อแม่นางผู้นั้น ใจว่าอยากกลับมาที่ใดกันในเมื่อมาแล้วของดีๆก็น่าจะแบบกันบ้าง"หลิวเหยียนกล่าวขึ้น ทุกคนที่ไ
ไม้ที่พยุงร่างของทั้งสามนั้นไว้พวกเขาอยู่ได้เพียงสักครู่ก็ค่อยๆเลื่อนลงไปเรื่อยๆและตอนนี้โคลนที่ดูดพวกเขาลงไปนั้นก็เกือบจะถึงคางอยู่แล้ว ห่าวอู๋อวี่คิดว่ายิ่งตัวเองส่งวรยุทธลงไปยังโคลนดูดนั้นมันก็จะดูดบุคลที่อยู่ข้างในลงไปเรื่อยๆ และผู้ที่อยู่ด้านบนไม่มีใครยอมให้ใครลงไปยังคนดูดเนื่องจากว่ารู้ดีว่าไม่สามารถที่จะช่วยได้หรือจะทำให้ตัวเองลงไปข้างใต้นั่นอีกทำให้ท้องเพิ่มภาระผู้ที่อยู่ด้านบนอีก "เกือบจะถึงปากพวกเขาอยู่แล้วพวกเราทำอย่างไรดีล่ะเจ้าจิ๋วเราทำอย่างไรดีตอนนี้พวกข้าต้องพึ่งเต้าแล้วอ่ะ"จางซินกล่าวขึ้น เจ้ากระต่ายจิ๋วมองหน้าเจ้านายของตัวเองและสื่อสารให้เจ้านายรู้ว่ามันจะพุ่งลงไป ให้เจ้านายคอยเรียกมันถ้าถึงเวลาอันสมควร หากว่ามันสื่อสารกับเจ้านายไม่ได้เนื่องจากมันไม่สามารถตรวจดูได้ว่าด้านล่างนั้นมีสิ่งใดอยู่ จึงไม่รู้ว่าอันตรายหรือไม่ และไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับเจ้านายได้หรือไม่ มันกระโดดเข้าในคนดูทันทีทุกคนต่างด้าวใจเพราะไม่อยากให้มันลงไปเสี่ยงเลย จางซินจึงโทษตัวเองว่าพูดกดดันมันจนมันต้องกระโดดลงไป"จินเป่าข้าขอโทษเรื่องที่ข้าทำให้เจ้าจิ๋วนั้นคิดที่จะกระโดดลงไป ข้าแค่คิดว่ามันจะหน้ามี
"ดินแดนต่อไปเป็นภาพที่ว่างเปล่าที่มารดาของข้าวาดไว้สิ้นสุดที่แห่งนี้ก็จะถึงแล้วล่ะ"ไป๋อวิ่นตอนนี้เขาไม่ได้มีท่าทีที่ตื่นเต้นอีกแล้ว ท่าทางเขาราวกับเหนื่อยมากๆ ที่ผ่านมาไม่สนุกเลยสักนิด ทุกคนอยู่ในอันตรายแทบตลอดเวลา ตอนที่เขามาเพียงลำพังไม่อันตรายถึงเพียงนี้ "แล้วพวกเราจะพบกับอะไรอีกนะ"ซิงอีถามกับทุกคน ไม่มีใครรู้และตอบอะไรทั้งนั้นต่างคนต่างเร่งเดินทาง พวกเขาเดินทางผ่านอากาศร้อนราวๆสองวัน พวกเขามีน้ำอมฤตกินระหว่างทางจึงรู้สึกไม่เหนื่อยมาก หลังจากทุกคนรู้สึกว่าไม่ค่อยร้อนสักเท่าไหร่แล้ว ก็รู้ตัวแล้วว่าออกจากดินแดนฤดูร้อนแล้ว"ข้าว่าเราพักผ่อนสักหน่อยดีกว่าจะได้มีแรงที่จะเดินต่อ ทั้งสิบสองพากันนั่งพัก หลังจากนั่งพักกันเสร็จ ทั้งสิบสองก็พากันเดินทางต่อ พวกเขาเดินผ่านป่าที่สองข้างทางเป็นต้นไม้ที่ใหญ่โตพอสมควร บ้างก็มีเถาวัลย์พันไปพันมารอบต้นไม้มีเสียงนกเสียงลิงเสียงค้างที่ดังตลอดเวลา ทำให้พวกเขาเพลิดเพลินกับการเดินทางครั้งนี้มาก มีหลายครั้งที่ห่าวอู๋อวี่สัมผัสถึงสิ่งที่แปลกประหลาดแต่เขาก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามีสิ่งใดที่จะเป็นอันตรายต่อพวกเขา เพราะพวกเขาเดินมานั้นมันก็เป็นธรรมชาติที่สมบูรณ
"เจ้าจิ๋วกลับมาแล้วมันไม่ได้รับอันตรายใดๆด้วยเจ้าจัดการสัตว์ประหลาดเหล่านั้นสำเร็จแล้วหรือทำไมเจ้าถึงขึ้นมาได้"จางซินถามขึ้น แต่เจ้ากระต่ายหยกก็ค้านที่จะคุยกับจางซินเช่นเคย มันต้องสื่อสารกับเจ้านายของมันเป็นดีที่สุดไม่ต้องพูดให้คนพวกนี้เยาะเย้ยตนด้วย"มันจะปล่อยพวกเราไปแล้ว แต่เราดันทำลูกของมันตายไปสองตน มันต้องการให้เราคืนชีวิตของลูกมัน ถึงจะปล่อยเราไปไม่อย่างนั้นเราก็ต้องสู้กับมันให้ถึงที่สุดตอนนี้มันเหลือลูกอยู่เจ็ดตัว ส่วนตัวแม่มันก็ตัวใหญ่มาก"จินเป่ากล่าวแทนเจ้ากระต่ายจิ๋ว เจ้ากระต่ายจิ๋วคายหญ้าตายฝืนออกมาสองเส้นแล้วยื่นให้กับจินเป่า"สมุนไพรตายฝื้น เจ้าพอจะกลั่นได้หรือไม่จางซิน "จินเป่ากล่าวถามและนางก็ยื่นสมุนไพรตายฟื้นให้กับจางซินและนำเห็ดสมุนไพรสีเขียวขี้ม้าให้อีกสองต้น จ้างซินรับมาทั้งสองอย่าง แล้วนางก็ย้อนดูตำราว่ามีตำราเล่มไหนบ้างที่ตนเคยพบเกี่ยวกับสมุนไพรชุบชีวิตบ้าง"สมุนไพรชุบชีวิตน่าจะใช้ได้นะ ข้าก็จำไม่ได้แล้วว่ามันมีตัวสมุนไพรตัวไหนบ้าง ที่ข้าจำได้ว่ามันน่าจะมีหญ้าตายแล้วฟื้นหนึ่งอย่าง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จางซินจึงส่งกระแสจิตเข้าไปในมิติ แล้วหาตำราสมุนไพรชุบชีวิตและ
เมื่อพวกเขาเดินมาสักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าอากาศนั้นอบอ้าวมาก คล้ายๆกับฤดูฝนที่ฝนจะตกแต่ไม่ตก พอเดินมาสักพักก็พบกับอากาศที่แห้งแล้ง"เราน่าจะเข้าสู่ฤดูสุดท้ายแล้วเป็นแน่ ฤดูร้อน หวังว่าคราวนี้จะไม่มีผู้ใดทำให้พวกเราเกิดอันตรายอีกแล้วนะ"จางซินกล่าวขึ้นยังมิวายที่จะพูดเหน็บแนมหลิวเหยียน แต่เขาไม่ได้มีท่าทางที่จะโกรธเคืองมากมายนัก พวกเขาเดินไปเรื่อยๆก็รู้สึกกระหายน้ำ ซิงอีจึงแจกน้ำอมฤตแก่ทุกคน เมื่อทุกคนกินแล้วก็เดินทางไปเรื่อยๆด้วยความที่ร้อนและเหนื่อย แต่พวกเขาทุกคนก็อดทน ห่าวอู๋อวี่แบกจินเป่าด้วย เขาไม่คิดว่ามันเหนื่อยไปด้วยซ้ำ เพราะเขาป้องกันตัวเองตลอดเวลาด้วยเกาะวรยุทธของเขานั้น เขาสามารถทำให้มันอุ่นได้ร้อนได้เย็นได้ทั้งนั้น ผู้ที่มีวรยุทธที่เด่นแล้วมักจะไม่พหนาวไม่ร้อน เขาจะควบคุมให้ตัวเองรู้สึกสบายอยู่ตลอดเวลา "ข้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่อยู่ใต้พื้นทรายที่เราเดินมา เอาเป็นว่าพวกเราต้องคอยระวังแล้วล่ะ"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น ตอนนี้ไม่มีผู้ใดคัดค้านพวกเขาจ้องที่จะระวังตัวตลอดเวลา ห่าวอู๋อวี่กระชับจินเป่าแล้วเขาก็เดินไปด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าวแต่เมื่อเดินไปราวๆครึ่งก้านธูปก็ไม่มี
"ทำไมพวกสัตว์เหล่านี้มันหลีกเลี่ยงเรา ไหนเจ้าจิ๋วบอกว่ามันพุ่งไปทำร้ายเจ้าจิ๋วนั่นไงแต่ทำไมมันเห็นพวกเรา ณ เวลานี้มันถึงหลีกหนีได้ล่ะ"หลิวเหยียนถามขึ้น"ข้าคิดว่าสถานที่นี้ไม่ใช่หน้าที่ของมันที่จะปกป้องล่ะมั้งมันน่าจะมีจุดเดียวที่มันปกป้องก็คือจุดกลางป่าที่มีต้นเห็ดยักษ์ที่เจ้าจิ๋วไปเจอก็ได้ เพราะป่านี้อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้นนั่นแหละ ดูอย่างเช่นตัวอึ่งอ่างนั้นนะสิใหญ่โตกว่าอึ่งอ่างปกติเป็นไหนๆ"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น ทุกคนก็สนใจแต่เก็บเห็ดพิษสีของตัวเองที่ตัวเองรับผิดชอบเมื่อเก็บได้แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็พบกับเห็ดพิษยักษ์ที่เจ้ากระต่ายหยกนั้นกล่าวถึง ห่าวอู๋อวี่รวบรวมเห็ดพิษทั้งหมดและเขาก็ค่อยๆนำไปหยอดตรงรูที่เท่ากับกำปั้นนั้นแต่ละสี หลิวเหยียนที่ไม่ค่อยเชื่อเจ้ากระต่ายหยกสักเท่าไหร่เลยคิดที่จะลองดีเพราะมันเห็นพวกสัตว์อสูรที่เจ้ากระต่ายหยกบอกว่ากำลังจะวิ่งลุมมัน แต่ในตอนที่เห็นกลุ่มเขานั้นต่างก็เดินหลีกหนีพวกเขาไป หลังจากที่เขาได้ยื่นถุงเห็ดพิษให้ห่าวอู๋อวี่ แล้วเขาก็ทำท่าเดินๆอยู่ด้านหลังของสหายทุกคน เมื่อมองแล้วไม่มีสหายผู้ใดสนใจเขาจึงวิ่งตรงไปยังอีกฟากของต้นเห็ดพิษยักษ์
หลังจากที่เจ้ากระต่ายหยก วิ่งออกไปถามทางกลางสายฝน ก็พบเข้ากับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นจำนวนมาก พวกมันต่างมานั่งร้องเสียงระงมไปทั่วทุกทิศ ไม่ว่าจะเป็นอึ่งอ่าง กบและเขียดต่างๆ นั้นต่างก็ร้องแล้วโยกตัวไปมา สัตว์ในป่าแห่งนี้แลดูจะใหญ่กว่าธรรมชาติเสียเหลือเกินเจ้ากระต่ายหยกมันพุ่งไปทางทิศตรงข้ามกับที่มันเดินมา มันต้องการรู้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีจุดสิ้นสุดอยู่หรือไม่ แต่มันยังไปได้ไม่นานนัก มันก็พบกับเห็ดพิษชนิดหนึ่ง แต่ต้นมันใหญ่ราวๆกับมนุษย์เลยทีเดียว และบนลำต้นของมันก็มีรูขนาดกำมือยัดเข้าไปได้ และแต่ละรูนั้นเป็นสีต่างๆ เมื่อมันมองแล้วมันกะจะวิ่งผ่านต้นเห็ดต้นนั้นก็เหมือนมีแรงผลักมันให้ล้มลง เหล่าคางคกกบและเขียดต่างๆกระโดดเข้ามารุมมัน เสียงร้องดังวี๊ดๆเกิดขึ้น ดังลั่นสนั่นทั่วทั้งผืนดินแล้วก็เหมือนมีสัตว์หรืออะไรสักอย่างที่พุ่งเข้ามายังจุดกลางที่มันอยู่ มันไม่สามารถที่จะต้านทานพวกเหล่านี้ได้ มันส่งกระแสจิตสื่อสารไปหาเจ้านายมันทันที ก่อนที่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายจะกระโดดเข้าไปรุมมัน มันก็หายแว๊บไปทันตา ภายใต้เรือนที่จางซินนำออกมา ให้พวกเขาอยู่ซึ่งอยู่ดีๆก็มีเสียงร้องกรีด และเสียงสนั่นหวั่นไหวเหม