ณ เรือนใหญ่ของตระกูลมู๋ บรรดาลูกลูกและฮูหยินของท่านแม่ทัพมู๋นั่งคุยกับ ท่านแม่ทัพอยู่"ท่านบิดาข้าโดนน้องจินเป่าทำร้ายจริงๆนะเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าน้องจินเป่านางมีวรยุทธ์กลับมาตั้งแต่ตอนไหนแล้ว นางคิดจะปกปิดเรื่องวรยุทธ์เพื่ออะไรกัน ไม่แน่ว่านางต้องการให้ท่านบิดาอับอายหรือไม่เจ้าคะ ดูข้าสองคนพี่น้องนี้สิเจ้าค่ะโดนนางแกล้งจนสะบักสะบอมเลยเจ้าคะ" มู๋จินฮุยกล่าวกับบิดา"วรยุทธ์นางกลับมาข้าก็ดีใจนะสิ แต่ทำไมนางไม่บอกข้าหรือต้องการให้ข้าตื่นเต้นไม่น่าจะอยากให้ข้าอับอายหรอก"ท่านแม่ทัพกล่าว ทำให้ฮูหยินกับลูกๆหน้าเปลี่ยนสีเลยที่เดียว เรื่องจะแย่แน่ๆถ้า วรยุทธ์ของมู๋จินเป่ากลับมาจริงๆ ไหนจะจัดการกับนางได้ยากขึ้นอีก ไหนจะท่านแม่ทัพเห็นดีเห็นงามด้วยอีก พวกเขาไม่น่าก่อเรื่องเลย ต่อไปนี้ท่านบิดาก็จะกลับไปเอ็นดูมู๋จินเป่าเหมือนเดิมแน่ๆ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว"ท่านพี่ ท่านพี่คิดดูสิเจ้าค่ะถ้าลูกมีวรยุทธ์กับมาเช่นเดินแล้ว ไม่มาบอกกล่าวกับบิดามารดาแต่ให้พี่ๆไปรู้เองเช่นนี้ นางไม่เห็นท่านพี่อยู่ในสายตาเลยนะเจ้าคะ น้องเองไม่เท่าไหร่หรอกเจ้าค่ะเพราะน้องคือมารดาเลี้ยง แต่ท่านพี่ไม่คิดน้อยใจบ้างหรือเจ้าค่ะ"ฮูหยิน
หลังจากคุยกันเสร็จสิ้นทั้งสองก็จัดสิ่งของที่จำเป็น และดูของที่ขาดแคลน วันรุ่งขึ้นจะได้ไปจัดซื้อเตรียมหา "เบี้ยของเราสองคนก็เหลือน้อยเต็มที ก่อนที่เราจะไปเขาป่าต้องแสงจันทร์ไม่แน่ใจว่าเบี้ยเราจะหมดกันหรือป่าว "ซิงอีเป็นผู้ตรวจสอบของที่ขาดกล่าวขึ้น"คืนนี้เดียวพี่ซิงอีเอาตำราฝึกสัตว์อสูรไปศึกษาก่อนดีไหม ข้าก็อยากฝึกอยู่หรอก แต่ข้าไม่มีวรยุทธ์ข้าคิดว่าข้าคงกำหราบสัตว์อสูรไม่ได้แถมยังจะทำให้ตัวข้าเองถึงตายได้ เราต้องหาสัตว์อสูรแถบๆชายป่ามาเพื่อขายก่อนจะได้เอาเบี้ยไปซื้อของอย่างอื่น "มู๋จินเป่ากล่าว"สัตว์อสูรมันกำหราบง่ายสะที่ไหนกัน ต้องเรียนเป็นสิบปีถึงจะกำหราบได้ ที่เราหาตำรามาทั้งฝึกสัตว์อสูร ทั้งปรุงยา ทั้งหล่อหลอมอีกมันใช้เวลาอยู่พอสมควรนะ"ซิงอีพูดแบบปรงๆ"เอาแบบนี้ดีไหมเราไปหาสมุนไพรชายป่าหรือว่าเข้าไปอีกสักหน่อยดีกว่า เอามาขาย แล้วเราจะได้มีเบี้ย ข้าก็พอจำสมุนไพรได้เป็นบางชนิด ถ้าข้ายังปกติอยู่นะ ข้าว่าข้าจะรับงานตามสมาคมรับจ้างนะ แต่ตอนนี้งานสมาคมรับจ้างมันน่าจะหนักเกินไป นอกเสียจากจะทำเป็นกลุ่ม"มูจินเป่ากล่าว"งานสมาคมรับจ้างเดี่ยวหรือกลุ่ม เขาก็ต้องดูวรยุทธด้วย ใครจะกล้าจ้
หลังจากมู๋จินเป่ากับซิงอีค้นตำราที่ท่านแม่ทัพสั่งให้บ่าวนำมาให้ ก็ไม่มีตำราสักเล่มที่น่าสนใจเลย มีแต่แผนที่หนึ่งแผ่น ที่เป็นเหมือนผังเมือง เหมือนเป็นผังบอกตำแหน่งที่ต่างๆของเมืองที่นางอยู่ รวมไปถึงเมืองข้างเคียงด้วย มองๆดูแล้วเหมือนผังของแคว้นทั้งแคว้นเลยทีเดียว ซึ่งมีเขาป่าต้องแสงจันทร์อยู่ริมบนขวาสุดของแผนที่ น่าจะเป็นแค่แคว้นเดียวเท่านั้น สถานที่แห่งนี้น่าจะมาหลายแคว้นแน่ๆ นางมองตำแหน่งที่นางอยู่และมองไปที่เขาป่าต้องแสงจันทร์ หากใช้เวลาเดินทางเท้านางต้องใช้เวลานานแน่เลยเพราะนางไม่มีวรยุทธ ส่วนซิงอีเองนางก็มีวรยุทธเพียงป้องกันตัวเท่านั้นยังไม่สามารถลอยตัวได้ด้วยซ้ำ หลังจากดูแผนที่แล้วซิงอีก็นำตำราไปเก็บ และรีบพักผ่อน ยามเช้าก่อนฟ้าสว่างทั้งสองก็เตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองแต่งชุดสบายๆออกไปทางบุรุษเลยทีเดียว ทั้งสองเดินมุ่งไปทางท้ายจวนไม่ได้ออกไปด้านหน้าจวน ซิงอีแอบปีนต้นไม้มองดูลาดลาว พอดูว่าไรวีแววผู้คนก็ปีนข้ามกำแพงไป มู๋จินเป่าก็โยนถุงผ้าที่บรรจุขนมปังที่ซิงอีทำขึ้นมา และถุงผ้าที่บรรจุของใช้ในยามจำเป็นให้ซิงอี และปีนข้ามตามไป ขนาดแค่ปีนกำแพงผู้ไม่มีวรยุทธนี้ยังลำบากมาก
หลังจากพักผ่อนแบบหลับสนิททั้งคืนพอตื่นขึ้นมา ซิงอีก็รู้สึกผิดเพราะไม่ได้เฝ้ายาม พอลุกขึ้นได้ก็เห็นลี่หลินเตรียมอาหารเช้าให้แล้ว ซิงอีเห็นปลาย่างก็ไม่สบายใจไปกันใหญ่ นางหวาดระเวงลี่หลินอยู่แล้วด้วย มู๋จินเป่าเห็นซิงอีทำหน้าแปลกๆจึงถามขึ้น"พี่ซิงอีเป็นอะไรไป เมื่อคืนพี่เฝ้ายามดึกเลยเผลอหลับไปแล้วนอนไม่เต็มอิ่มหรือไรกัน ลงมากินปลาย่างเถอะวันนี้ลี่หลินจับปลามาได้ตัวโตเชียว" ซิงอีเลยกระโดดลงมาและก็กินปลากัน"พวกท่านอยากกินสัตว์อะไรที่ไม่ใช่ปลาหรือไม่ถ้าอยากก็บอกข้าได้เลยข้าจับสัตว์ได้เก่งนะ"ลี่หลินกล่าวในเมื่อนางยอมติดตามมู๋จินเป่าแล้วนางก็จะทำประโยชน์สูงสุดให้มู๋จินเป่า และเมื่อคืนได้สื่อสารกับเต่ามังกรหยกสีน้ำผึ้งแล้วก็รู้ว่าจินเป่าต้องการไปหาผลหลิวต้องแสงจันทร์ และน้ำอมฤตมารักษาอาการฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ และรู้ด้วยว่าในร่างกายนี้ยังขับพิษออกไม่หมดเพราะได้รับพิษชนิดเดียวกันถึงสามครา ถึงกระนั้นก็ไม่อาจฆ่าคนผู้นี้ได้ น่านับถือจริงๆ ในการเดินทางมาหนึ่งวันนางเองก็รู้ว่าทั้งสองเป็นคนดี พอนางย้อนนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนถ้านางฆ่าทั้งสองคนแล้วนางต้องรู้สึกผิดแน่ๆ นางอยากบอกทั้งสองว่านางเป็นตัว
หลังจากที่ลี่หลินกล่าวจบ ทุกคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเขารู้แต่ว่าพวกเขาต้องเดินทางไปที่เขาป่าต้องแสงจันทร์ด้วยกัน แต่การพูดคุยอื่นๆก็ยังปกติดี ในการเดินทางวันนี้ก็ได้เห็นเมืองอีกเมืองที่อยู่ข้างหน้า เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองจันทราและถ้าผ่านเมื่องจันทราไปได้ก็จะเป็นหมู่บ้านต้องแสงจันทร์ "พวกเราเข้าพักที่เมืองจันทราก่อนดีไหม จะได้รู้ความเคลื่อนไหวของที่นี่ด้วย และพูดคุยกับชาวเมืองด้วย หรือว่าพักในป่าแถบชานเมืองและค่อยเข้าไปสืบดูดีนะ "มู๋จินเป่าเอ่ย ยังไม่ได้คำตอบก็เจอเข้ากับชายชุดดำผู้หนึ่งท่าทางแปลกๆจ้องมองพวกเขาอยู่หลังต้นไม้ พอพวกนางมองกลับก็หนีหายไป ลี่หลินจึงกระโจนตามไปทันที"คนผู้นั้นมองดูไม่น่าจะใช่มนุษย์นะ พี่ซิงอีว่าจะเป็นสัตว์อสูรหรือป่าว"มู๋จินเป่ากล่าวขณะรอลี่หลินกลับมา "จะใช้หรือไม่ก็รอดูลี่หลินแล้วกันว่าจะตามคนผู้นั้นได้ทันหรือไม่ และสักพักลี่หลินก็กลับมาเพียงคนเดียว"ข้าตามมันไม่ทันจริงๆ มันน่าจะเป็นสัตว์ระดับสูงเลยทีเดียว"ลี่หลินกล่าว"ตามไม่ทันก็ช่างมันเถอะ เราเข้าหมู่บ้านไปหาโรงเตี้ยมพักกันดีกว่า ป่านี้มีสัตว์อสูรขั้นสูงขนาดนี้คงไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเราเป็นแน่ ข
หลังจากมู๋จินเป่าสลบไปสามวันก็ตื่นขึ้นมา ซิงอีก็จัดเตรียมอาหารมาให้นางแล้ว พอตื่นขึ้นมาจิตของนางก็สื่อถึงลี่หลินทันที"ข้าคือจิ้งจอกเก้าหางนามว่าลี่หลิน วรยุทธ์จิตตราสามดาวขอคาราวะเจ้านาย"เสียงของลี่หลินดังขึ้นในห่วงจิตของมู๋จินเป่า มู๋จินเป่ามองซ้ายมองขวาทำหน้างวยงงเดิมทีนางคิดว่านางน่าจะมึนๆที่พึ่งตื่นแต่พอมองไปเห็นลี่หลินโค้งตัวให้ก็ตกใจและนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งตื่น ลี่หลินนางคือจิ้งจอกเก้าหาง วรยุทธนางขั้นจิตตราระดับสามดาวเลยหรอ พอคิดได้นางก็พลางมองตัวเองหลับตาและตรวจดูตัวนางเอง ทำไมไม่มีวรยุทธ ทั้งที่มีสัตว์อสูรในพันธสัญญาถึงขั้นจิตตราสามดาว ตัวนางเองก็น่าจะมีวรยุทธด้วยนี้หน่า ขั้นวรยุทธของผู้มียุทธและสัตว์อสูรรวมไปถึงพืชวิญญาณจะมีระดับเหมือนๆกันคือขั้น 1-9 จะมีระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูงขั้นศิลา 1-9 ดาวขั้นจิตตรา 1-9 ดาวขั้นมายา 1-9 ดาวขั้นนภา 1-9 ดาวขั้นเทวะ 1-9 ดาวขั้นศักดิ์สิทธิ์ 1-9 ดาว และสูงขึ้นไปวรยุทธก่อนที่มู๋จินเป่าเองจะต้องพิษนางอยู่แค่ขั้นสี่ระดับสูงเอง ส่วนตอนนี้ซิงอีเองก็เข้าสู่ขั้นสี่ระดับสูงได้สักระยะแล้ว ว่ากันว่าผู้ที่มีวรยุทธขั้นจิตตราสี่ดาวถึงจะกำหร
หลังจากซิงอีควบคุมวรยุทธให้มั่นคงได้แล้วก็ออกเดินทางต่อ ผู้มียุทธไม่จำเป็นต้องดื่มต้องกินต้องนอนคือเรื่องจริงที่สุด แต่มู๋จินเป่าคือผู้ไม่มีวรยุทธใดๆ จึงทำให้ทุกคนต้องพักกินดื่มเหมือนเดิม "พี่ซิงอีข้าสังเกตุเห็นท่านไม่ค่อยจะหิวและไม่ง่วงบ้างเลย ท่านมีสิ่งใดผิดไปจากเดิมหรือไม่"มู๋จินเป่าถามซิงอีขนะที่ตนเองกินขนมปัง ไก่ป่าย่าง เหมือนซิงอีจะเตรียมไว้ให้นางผู้เดียว บางครั้งตอนกลางคืนเหมือนทั้งสองไม่ได้นอนด้วยซ้ำ"ข้าไม่ค่อยหิวหรอก เจ้ากินเถอะอาหารและน้ำมันจำเป็นต่อร่างกายของเจ้ามาก ตอนนี้ไม่ค่อยมีแหล่งน้ำและแหล่งอาหารมากนัก สัตว์อสูรมีค่อนข้างมากทำให้มีสัตว์ธรรมดาที่เรากินได้น้อย ข้ามีวรยุทธอดอาหารก็ทนได้ส่วนเจ้าไม่สามารถทนได้"ซิงอีกล่าวกับมู๋จินเป่า ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในป่าสัตว์ป่าก็น้อยลงน่าจะเป็นเพราะลี่หลินเป็นสัตว์อสูรที่มีวรยุทธสูงเลยทำให้สัตว์อื่นๆกลัว ที่พวกนางจับได้ก็มีแค่ไก่ป่าสามตัวซิงอีจึงย่างไว้และทะยอยออกมาให้มู๋จินเป่ากิน ส่วนลำธารนั้นไม่เจอเลยตั้งแต่เดินมาจึงทำให้น้ำเหลือน้อยจนซิงอีกับลี่หลินหยุดดื่มน้ำกันเพื่อจะเหลือให้มู๋จินเป่าดื่ม" ป่าแห่งนี้แปลกพิกลนักข้าสัมผัส
หลังจากไต่ตรองดีแล้ว ทั้งสามก็ตกลงที่จะไปรังของจรเข้ตาไฟ หลังจากเหตุการณ์ที่ จรเข้ตาไฟกระเด็นไปลี่หลินก็รับรู้แล้วว่า อันญมณีสีแดงได้ทำการคุ้มครองซิงอีเหมือนที่หยกสีน้ำผึ้งทำการคุ้มครองนายของตน แต่การที่จะคุ้มครองนั้นต้องถึงจุด วิกฤตจริง จะคุ้มครองให้ชีวิตคงอยู่แต่ก็ไม่สามารถคุ้มครองให้ปลอดภัยในการบาดเจ็บต่างๆได้ เหมือนกับตอนที่เจ้านายของนางพิษสำแดงฤทธิ์อีกครั้งหยกสีน้ำผึ้งก็สื่อกับนางให้นางทำพันธะสัญญาเพื่อการรักษาชีวิตเจ้านายไว้ หยกสีน้ำผึ้งฉลาดแต่ก็มีกฏเกณฑ์ของมันอยู่หลังจากทั้งสามลงไปยังรังของจรเข้ตาไฟ ซึ่งเป็นถ่ำเล็กๆ จรเข้ตาไฟอาศัยอยู่ตัวเดียว ภายในถ่ำเป็นสีแดง มีสาหร่ายขึ้นมากมาย มีสาหร่ายหลากสีสันมองแล้วเพลิดเพลินยิ่งนัก พอถึงรังจรเข้ตาไฟก็จัดหาอาหารให้มู๋จินเป่าเพราะมนุษย์ผู้นี้ไม่มีวรยุทธ์ยังจำเป็นต้องกินต้องดื่ม อาหารที่ทำจากเนื้อปลา และสาหร่ายเป็นส่วนใหญ่ น้ำก็เป็นน้ำสาหร่าย ทุกคนนั่งกินอาหารเป็นเพื่อนมู๋จินเป่า หลังจากอิ่มแล้ว จรเข้ตาไฟก็อนุญาตให้ลี่หลินกับมู๋จินเป่าพักผ่อนได้ และจรเข้ตาไฟก็กางอาณาเขตเพื่อรักษาความปลอดภัยของบึงน้ำในระหว่างที่ตนทำพันธสัญญา และเนื่องจากจรเ
ณ ถ้ำอสรพิษหลังจากมู๋จินเป่าตื่นขึ้นจากพวังฝึกฝนก็มีวรยุทธเพิ่มขึ้น นางมองออกไปก็พบกับห่าวอู๋อวี่ที่กำลังนั่งฝึกฝนอยู่ ตนจึงเดินออกสำหรวจสิ่งของนางเจอกำไลนิลกาฬที่ดูแล้วสะดุดตายิ่งนักกำลังจะสัมผัส สตรีในชุดสีเหลืองอ่อนก็เข้ามาและห้ามปรามไว้"ท่านเก็บของทุกอย่างที่เป็นสีเหลืองอมส้ม หรือสมบัติของหยกสีน้ำผึ้งได้เท่านั้น"หญิงสาวได้กล่าว มู๋จินเป่าจึงกวาดของที่มีสีน้ำผึ้งเข้ามิติทันทีโดยไม่ปิดบังหญิงชุดเหลืองแม่แต่น้อย หญิงชุดเหลืองในอดีตคือคนรับใช้ของหยกสีน้ำผึ้ง นางไม่สามารถกล่าวเรื่องนี้กับผู้อื่นได้ ว่านางมีของดี มีมิติล่องหนอยู่ ในมิติล่องหนของนางใช้ที่เก็บของธรรมดาเสียที่ไหน มีทั้งต้นไม้สมุนไพรบ่อน้ำอมฤต และที่เก็บของนางตั้งใจจะทำบ้านในนั้นให้ลี่หลินอาศัยอยู่ด้วย นางเก็บของแล้วก็ส่งกระแสจิตเข้าไป จัดสิ่งของไม่นานก็ได้ยินลี่หลินสื่อกระแสจิตมาหาตน พอคุยกันเสร็จมู๋จินเป่าก็ออกมา และเดินสำหรวจรอบถ้ำต่อเพื่อรอห่าวอู๋อวี่ตื่นขึ้นมา เดินดูของในถ้ำมากมายของที่ถูกตาถูกใจก็มีแต่สีดำของนิลกาฬ นางตั้งใจแล้วว่าถ้าห่าสอู๋อวี่ออกจากพวังฝึกฝนแล้วตนจะของให้หมดเลย หลังจากดูของทุกอย่างและยิ้มด้วยควา
หลังจากที่ห่าวอู๋หรงสั่งให้คนไปบุกเรือนคุณชายใหญ่ก็ไม่พบใคร จึงทำให้ห่าวอู๋หรงเดือดดาลเป็นอย่างมาก"พวกเจ้าไม่มีตากันเลยหรือไร เฝ้าเรือนปล่าๆมาสองคืนสองวัน ยังไม่รู้เรื่องไม่เห็นอีกหรือว่าใครไปไหน ให้คนจับตาดูที่เรือนคุณชายสี่ และถ้ำตะวันไว้ ทางที่ดีประตูทางเข้าเมืองตะวันด้วยดีกว่า ข้าจะหาผู้ที่ไว้ใจได้นำคนไปเฝ้าประตูไว้ไม่ให้คุณชายสี่กลับมา"ห่าวอู๋หลงกล่าว"ท่านพี่ผลหลิวต้องแสงจันทร์ ถ้าเด็ดออกมาจากต้นแล้วมีเวลาเก็บรักษาได้สามวันนิ ถ้าเกินนั้นก็ไม่มีผลแล้ว และบางทีอาจหายไปแล้วก็ได้"ห่าวอู๋ไห่กล่าวกับพี่สาว เขาถูกกักบริเวณแต่ก็เข้าออกเรือนพี่สาวของตนได้ จึงต้องมาวางแผนกันเป็นประจำ นี้ก็หกเจ็ดวันแล้วที่ข่าวผลหลิวต้องแสงจันทร์สุก น่าจะใช้การไม่ได้แล้ว"เจ้านั้นมันบื้อนักถ้าน้องสี่กินผลหลิวต้องแสงจันทร์เข้าไปแล้วกลับมา กลั่นไอวิเศษออกจากเลือดได้เล่าเจ้าจะว่าอย่างไร"ห่าวอู๋หรงกล่าว"ท่านพี่ท่านไม่คิดบ้างเลยหรือ ว่าถ้าหากคุณชายใหญ่ไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล ก็มีคุณชายสี่อีกคนที่เป็นลูกของฮูหยินไม่ใช้ลูกอนุแบบเรา"ห่าวอู๋ไห่ถามพี่สาวแบบตรงๆ คุณชายสี่ทั้งโดดเด่นหยิ่งยโส และฉลาดออก "
หลังจากที่จื่ออี้เฉินหักหยกมิติที่ห่าวอู๋มู่ลี่มอบให้ทำให้ทุกคนเข้าไปเมืองตะวันทันที่ ณ เมืองตะวัน คนที่เฝ้าถ้ำตะวันพากันวิ่งวุ่นวายมีสัตว์อสูรและหญิงสาวลอยขึ้นมาจากน้ำอมฤต มีคนมารายงานคุณชายใหญ่ตระกูลห่าวอู๋ เพราะตระกูลห่าวอู๋นั้นถือว่าเป็นเจ้าของของถ้ำแห่งนี้ เดิมที่ถ้ำแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกายเข้าไป เพราะมีสัตว์อสูรอีกาดำสามขาเฝ้าอยู่แต่ตอนนี้บุตรชายคนเล็กของตระกูลห่าวอู๋ได้กำหราบอีกาดำสามขาได้แล้ว จึงให้อีกาดำสามขาเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาและติดตามตนไป เดิมทีไม่มีคนคอยเฝ้าก็ไม่มีผู้คนเขามาอยู่แล้ว แต่ห่าวอู๋มู่ลี่ได้ส่งคนไปเฝ้าเผื่อน้องชายตนกลับมาจะได้รู้ทันที"มีผู้หญิงหนึ่งคนที่เป็นมนุษย์ เจ้าอีกาดำสามขา อีแร้งยักษ์เหมือนตัวที่เคยเป็นสัตว์ในพันะสัญญาของคุณชายเลยขอรับ แล้วก็มีจรเข้หนึ่งตัว แล้วก็จิ้งจอกเก้าหางหนึ่งตัวขอรับ"ผู้ที่เฝ้าอยู่ในถ้ำรายงาน เขากำลังนอนหลับอยูดีดีก็ได้ยินเสียงปังๆอยู่ๆก็มีร่างห้าร่างโพลขึ้นมาจากน้ำ พวกเขาจึงลงไปลากร่างขึ้นมาปรากฏว่ายังมีชีวิตอยู่"แล้วคุณชายห่าวอู๋วี่ล่ะ ยังไม่กลับมาหรอกหรอแต่สัตว์อสูรในพันธะสัญญากลับมาแล้วเนี้ยนะ ไปข้าจะไปดู"ห่าวอู
หลังจากที่ห่าวอู๋อวี่ปรับตัวได้ก็พร้อมที่จะต่อสู้ มู๋จินเป่ารับรู้ได้ว่าห่าวอู๋อวี่พร้อมสู้แล้ว"พวกท่านจะสู้หรือเจรจากับพวกข้าดี ถ้าจะเจรจาก็รีบๆกล่าวมาหัวหน้าของท่านกำลังไล่ตามพวกข้ามา ข้าสังเกตุว่าเขาน่าจะมีพิษที่ทำให้ลูกน้องตัวเองตายไปทีละคนได้ แต่เขาไม่ทำสิ่งใดพวกข้าแค่ต้องการจับตัวเขารู้ยังไงก็เอาชนะพวกข้าได้ และกำจัดลูกน้องไปทีล่ะคน ข้าเองไม่รู้หรอกว่าเพื่ออะไร แต่ข้าขอสันนิษฐานว่าเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่ลูกน้องทุกคนตายหมด แต่เขาเป็นหัวหน้าจับพวกข้าสองคนได้ ที่เขาไล่ต้อนพวกข้ามาทางนี้อาจจะอยากให้พวกท่านจับพวกข้า และเขาก็จัดการกับพวกท่านที่หลังไง หรือไม่ก็ยืมมือพวกข้าจัดการกับพวกท่านแล้วค่อยจับพวกข้าทีหลังไง"มู๋จินเป่าเริ่มพูดให้เขาคลางแคลงใจกัน เมื่อทางโน้นได้ฟังก็เกิดคล้อยตาม ทุกคนเริ่มค่อยๆตายไปทีละคน และหัวหน้าเองก็ถามเขาว่าทำไมเจ้าไม่ตาย มันต้องใช้แน่ๆมันเป็นแบบนังตัวดีพูดจริงๆ ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคิดมู๋จินเป่าก็พยังหน้าให้ห่าวอู๋อวี่ ห่าวอู๋อวี่รู้งาน"จะชักช้าอยู่ใยกันรีบลงมือเถอะเดียวหัวหน้ามันก็มาเราจะหลบหนีไม่ทันเอา"ห่าวอู๋อวี่กล่าวพลางซัดพลังใส่คนที่หนีไปคราแรกอย่า
"เจ้าพักผ่อนเถอะ เดียวพรุ่งนี้ก็รู้ว่าจะมีคนจากมิติเชื่อมจิตเหลือกี่คน"ห่าวอู๋อวี่กล่าว แผนนี้เหมือนจะลอบกัดแต่เอาชีวิตรอดก็ถือว่าดีแล้ว แต่ก่อนเขาเป็นคนบุ่มบ่าม ไม่เคยคิดเรื่องแผนการแบบนี้ เพราะตนมีวรยุทธสูง และติดว่ากำปั้นใครหนักผู้นั้นมีสิทธิ์อยู่ แต่สตรีที่อยู่ข้างหน้าของตนคือคนที่ไร้วรยุทธมาก่อนจึงมีกลอุบายเพื่อเอาชีวิตรอดมาได้ และตอนนี้นางมีทั้งวรยุทธที่สูงและกลอุบายที่มากมายเหมือนกัน แต่ก่อนชีวิตของเขาไร้ชีวิตชีวา แต่ตอนนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น เมื่อก่อนเข้าพร้อมสู้จนตัวตายเพราะไม่มีใครที่ทำให้เขาเป็นห่วง คนรอบข้างของเขาแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก เขาบุกน้ำลุยไฟจนมีวรยุทธที่แข็งแกร่งเหมือนทุกวันนี้ แต่ถ้าเขามีมู๋จินเป่าตั้งแต่แรกเขาคงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้แน่ เพราะถ้าเขาเป็นอะไรไปนางจะอยู่อย่างไร และอีกอย่างมีคนคอยจ้องจะทำร้ายนางอยู่ "ท่านไหวหรือไม่ "มู๋จินเป่ากล่าว เดิมทีนางอยากจะดูว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นไร แต่คิดอีกทีนางพักผ่อนดีกว่าถ้าเป็นไปตามที่ต้นหลิวต้องแสงจันทร์กล่าวจะเหลือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดถึงสามคน ถึงนางจะช่วยห่าวอู๋อวี่ไม่ค่อยได้เท่าไหร่แต่นางก็จะคิดหาวิธีรับมือเม
มู๋จินเป่าเรียกเจ้าต้นไม้จิ๋วออกมาจากมิติที่นางพึ่งปลดผลึกได้ และทุกคนก็ร่วมปรึกษากัน เพราะคนของตนมีแค่สามคนส่วนอีกฝ่ายมีเป็นสิบห้าคน เดิมทีหากไม่มีข่ายอาคมกันตาคนกลุ่มนั้นก็คงจะกรุเข้ามาเพื่อจับตัวทั้งสองแล้ว"ถ้าพวกเจ้าอยู่ห่างจากอาคมกันตาคนเหล่านั้นก็จะจับเจ้าได้ "ห่าวอู๋อวี่กล่าว"แต่ถ้าข้าไม่ออกไปแล้วจะได้สู้หรือ5555 อาคมกันตาของท่านก็ดีอยู่หรอกแต่ข้ามีแผนของข้า ลอบกำจัดผู้ที่อยู่ใกล้ข่ายอาคมก่อนไม่ให้ผู้อื่นรู้ตัว เมื่อคนอยู่ใกล้หมดหรือพวกเข้ารู้ตัว เจ้าต้นไม้จิ๋วเจ้าทำตัวให้ใหญ่และโอบข้าไว้ ข้าจะรอจัดการคนเดินผ่านไปมา ส่วนท่านก็ล่อคนมาให้ข้าจัดการ"มู๋จินเป่ากล่าวสิ่งที่ตนคิดออกไป"เจ้าจะเก่งเพียงนั้นเลยหรือ คนกลุ่มนี้มีวรยุทธก็เหนือเจ้าทั้งนั้น แต่แผนแรกก็เข้าท่าดีข้าคิดว่ากำจัดคนที่อยู่ใกล้ก่อนนี้แหละ"ห่าวอู๋อวี่กล่าว"ถ้าท่านไม่เก็บข่ายอาคมไปแล้วข้าจะออกไปได้หรือจะจัดการกับคนพวกนั้นได้อย่างไร"มู๋จินเป่ากล่าว เพราะเขาเคยเห็นข่ายอาคมของห่าวอู๋อวี่ในตอนที่อยู่เขาป่าต้องแสงจันทร์แล้ว เขาออกไปไหนไม่ได้เลย"เดียวข้าแสดงให้เจ้าดูเอง"ห่าวอู๋อวี่กล่าวน้ำเสียงของเขาสนุกสนานในที แล
เมื่ออีแร้งยักษ์บินออกจากนครวิหกแล้ว ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจ "จื่ออี้เฉินพวกเราหาประสบการณ์ในป่าแห่งนี้ก่อนดีไหม ข้ากับลี่หลินและเจ้าสือยวี่จะได้มีประสบการณ์กันมากขึ้น ขามาป่าต้องแสงจันทร์พวกข้าผจญภัยในหลายรูปแบบ ตอนที่มีวรยุทธน้อยๆอยู่ ตอนนี้ข้ามีวรยุทธมากขึ้นแล้วข้าอยากผจญภัยแบบผู้มียุทธกัน"ซิงอีกล่าว เพราะป่าแถบนี้ร่มรื่นและมีไอวิเศษอ่อนๆน่าอยู่อาศัยพลางยิ้มและจินตราการว่าจะดีไม่น้อยถ้าได้จญภัยอยู่ที่นี้สักระยะ"ถ้าหากตอนนี้ข้ากับเจ้านายยังสื่อสารกันได้ข้าก็อยากให้ท่านได้หาประสบการณ์ ได้ผจญภัยอยู่หรอกแต่ตอนนี้ข้าติดต่อเจ้านายไม่ได้นะสิ และอีกอย่างเรามีของที่คนหมู่มากต้องการอยู่ ข้าเองก็ไม่วางใจนัก หมู่บ้านต้องแสงจันทร์ก็คงจะมีประกาศติดตามหาตัวพวกเราแล้ว ถ้าพวกที่มียุทธและมีกระจกสมปราถนาแบบที่เรามีก็จะแย่เอา ข้าต้องการกลับให้ถึงเมืองตะวัน ก่อนและแจ้งให้บิดาของเจ้านายข้าออกตามหาเจ้านาย เมื่อเราพบกลุ่มเจ้านายแล้วค่อยหาที่ฝึกประสบการณ์และผจญภัยดีหรือไม่"จื่ออี้เฉินกล่าวความคิดของตนให้คนอื่นฟัง "ข้ารู้สึกว่ามีผู้จับตาดูเราอยู่ ข้าว่าเรารีบกลับเมืองตะวันของเจ้ากันเถอะ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว
ทางด้านซิงอีกเมื่อรู้ว่ามู๋จินเป่าปลอดภัยนางก็เริ่มกินผลไม้ที่นกยักษ์เอามาทิ้งให้ได้ และหยดน้ำอมฤตให้จิ้งจอกเก้าหางขนสีน้ำผึ้งกับ อีกาดำสามขาทุกวันจนในที่สุดทั้งสองก็รู้สึกตัวในวันที่สามของการหลบหนีมา หลังจากที่ร่างกายได้รับไอวิเศษของผลหลิวต้องแสงจันทร์ ก็ทำให้ร่างกายทั้งสองแข็งแรงมาก เหมือนไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน "นี้มันที่ใดกัน เรามาทีนี้ได้อย่างไรกัน ข้าจำได้ว่าข้าถูกพลังยุทธของผู้มียุทธระดับสูงซัดใส่อย่างเต็มที ข้าคิดว่าพวกเราทุกคนไม่น่าจะรอดแล้วตกลงเรารอดแล้วหรือ"จื่ออี้เฉินกล่าวขึ้นพลางมองไปรอบ ๆ ก็เห็นเป็นลักษณะเหมือนรังนก และกลิ่นอายก็คุ้นเคยยิ่งนัก พลางมองทุกคนที่ตอนนี้ปลอดภัยดี จื่ออี้เฉินคิดถึงเจ้านายเป็นคนแรกจึงลองสื่อสารดูแต่ไร้ผล เจ้านายของเขาติดต่อไม่ได้อีกแล้ว พลางมองไปยังลี่หลินที่มีท่าทีเศร้าเช่นกัน"เจ้าก็สื่อสารกับเจ้านายไม่ได้ล่ะซิ ข้าติดต่อไม่ได้แต่ข้ารู้เจ้านายของข้าฟื้นแล้วและยังมีวรยุทธที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้วรยุทธของข้าก้าวกระโดดยิ่งนัก "ลี่หลินกล่าวพลางมองร่างกายตัวเองและภูมิใจมาก เดิมที่นางมีร่างกายเป็นมนุษยแต่บางครั้งการทำสีหน้าก็ไม่ค่อยมีชีวิตชีว
ทางด้านมู๋จินเป่าเมื่อนั่งถ่ายทอดพลังรักษาให้ห่าวอู๋อวี่ พลังในร่างกายของนางก็ปั้นป่วน เหมือนกำลังกดดันพลังบางอย่างเอาไว้ พอเริ่มถ่ายพลังออกไปเรื่อยๆ พลังของห่าวอู๋อวี่ก็ผลักดันพลังนางกลับมาทุกที ทำให้มู๋จินเป่าที่ทีแรงมีพลังในตัวถูกกดทับเอาไว้ก็เริ่มคลายตัวลง มู๋จินเป่าจึงเร่งที่จะถ่ายพลังให้ห่าวอู๋อวี่มากขึ้นเพราะพลังต้านในตัวของห่าวอู๋อวี่ทำให้ตนรู้สึกว่าอีกไม่นานตนน่าจะเลื่อนวรยุทธแล้ว พลังในตัวบุรุษผู้นี้เป็นพลังที่กลหลไม่รู้ว่าหนาวหรือร้อนปนเปกันไปหมด แต่พลังนี้มันดีต่อตัวนางใช้น้อย ทันใดนั้นนางก็เลื่อนวรยุทธทันที และห่าวอู๋อวี่เองก็กระอักเลือดออกมาและฟื้นทันที"เจ้าจะรีบถ่ายทอดพลังรักษาให้ข้าหายเร็ว หรือเพื่อเพิ่มวรยุทธของเจ้ากันแน่ ถ้าข้าไม่ตื่นเสียก่อนร่างกายของข้าคงระเบิดไปนานแล้ว พลังรักษาใครเขารีบร้อนถ่ายให้กัน ต้องค่อยๆสิ ข้าก็เคยถ่ายให้เจ้าตั้งสองครั้งไม่เห็นเจ้าจะกะอักเลือดออกมาเลย"ห่าวอู๋อวี่พูดพลางเช็ดเลือดออกจากมุมปาก และหยิบน้ำอมฤตมาดื่มก็รู้สึกว่าร่างกายของตนแปลก อยู่เฉยๆก็รู้สึกว่าพลังในร่างกายปั่นป่วน หรือจะเป็นพลังของนางที่ถ่ายทอดให้ตนเพื่อการรักษากันนะ"ข้าใช