หลังจากพักผ่อนแบบหลับสนิททั้งคืนพอตื่นขึ้นมา ซิงอีก็รู้สึกผิดเพราะไม่ได้เฝ้ายาม พอลุกขึ้นได้ก็เห็นลี่หลินเตรียมอาหารเช้าให้แล้ว ซิงอีเห็นปลาย่างก็ไม่สบายใจไปกันใหญ่ นางหวาดระเวงลี่หลินอยู่แล้วด้วย มู๋จินเป่าเห็นซิงอีทำหน้าแปลกๆจึงถามขึ้น"พี่ซิงอีเป็นอะไรไป เมื่อคืนพี่เฝ้ายามดึกเลยเผลอหลับไปแล้วนอนไม่เต็มอิ่มหรือไรกัน ลงมากินปลาย่างเถอะวันนี้ลี่หลินจับปลามาได้ตัวโตเชียว" ซิงอีเลยกระโดดลงมาและก็กินปลากัน"พวกท่านอยากกินสัตว์อะไรที่ไม่ใช่ปลาหรือไม่ถ้าอยากก็บอกข้าได้เลยข้าจับสัตว์ได้เก่งนะ"ลี่หลินกล่าวในเมื่อนางยอมติดตามมู๋จินเป่าแล้วนางก็จะทำประโยชน์สูงสุดให้มู๋จินเป่า และเมื่อคืนได้สื่อสารกับเต่ามังกรหยกสีน้ำผึ้งแล้วก็รู้ว่าจินเป่าต้องการไปหาผลหลิวต้องแสงจันทร์ และน้ำอมฤตมารักษาอาการฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ และรู้ด้วยว่าในร่างกายนี้ยังขับพิษออกไม่หมดเพราะได้รับพิษชนิดเดียวกันถึงสามครา ถึงกระนั้นก็ไม่อาจฆ่าคนผู้นี้ได้ น่านับถือจริงๆ ในการเดินทางมาหนึ่งวันนางเองก็รู้ว่าทั้งสองเป็นคนดี พอนางย้อนนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนถ้านางฆ่าทั้งสองคนแล้วนางต้องรู้สึกผิดแน่ๆ นางอยากบอกทั้งสองว่านางเป็นตัว
หลังจากที่ลี่หลินกล่าวจบ ทุกคนก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเขารู้แต่ว่าพวกเขาต้องเดินทางไปที่เขาป่าต้องแสงจันทร์ด้วยกัน แต่การพูดคุยอื่นๆก็ยังปกติดี ในการเดินทางวันนี้ก็ได้เห็นเมืองอีกเมืองที่อยู่ข้างหน้า เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองจันทราและถ้าผ่านเมื่องจันทราไปได้ก็จะเป็นหมู่บ้านต้องแสงจันทร์ "พวกเราเข้าพักที่เมืองจันทราก่อนดีไหม จะได้รู้ความเคลื่อนไหวของที่นี่ด้วย และพูดคุยกับชาวเมืองด้วย หรือว่าพักในป่าแถบชานเมืองและค่อยเข้าไปสืบดูดีนะ "มู๋จินเป่าเอ่ย ยังไม่ได้คำตอบก็เจอเข้ากับชายชุดดำผู้หนึ่งท่าทางแปลกๆจ้องมองพวกเขาอยู่หลังต้นไม้ พอพวกนางมองกลับก็หนีหายไป ลี่หลินจึงกระโจนตามไปทันที"คนผู้นั้นมองดูไม่น่าจะใช่มนุษย์นะ พี่ซิงอีว่าจะเป็นสัตว์อสูรหรือป่าว"มู๋จินเป่ากล่าวขณะรอลี่หลินกลับมา "จะใช้หรือไม่ก็รอดูลี่หลินแล้วกันว่าจะตามคนผู้นั้นได้ทันหรือไม่ และสักพักลี่หลินก็กลับมาเพียงคนเดียว"ข้าตามมันไม่ทันจริงๆ มันน่าจะเป็นสัตว์ระดับสูงเลยทีเดียว"ลี่หลินกล่าว"ตามไม่ทันก็ช่างมันเถอะ เราเข้าหมู่บ้านไปหาโรงเตี้ยมพักกันดีกว่า ป่านี้มีสัตว์อสูรขั้นสูงขนาดนี้คงไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเราเป็นแน่ ข
หลังจากมู๋จินเป่าสลบไปสามวันก็ตื่นขึ้นมา ซิงอีก็จัดเตรียมอาหารมาให้นางแล้ว พอตื่นขึ้นมาจิตของนางก็สื่อถึงลี่หลินทันที"ข้าคือจิ้งจอกเก้าหางนามว่าลี่หลิน วรยุทธ์จิตตราสามดาวขอคาราวะเจ้านาย"เสียงของลี่หลินดังขึ้นในห่วงจิตของมู๋จินเป่า มู๋จินเป่ามองซ้ายมองขวาทำหน้างวยงงเดิมทีนางคิดว่านางน่าจะมึนๆที่พึ่งตื่นแต่พอมองไปเห็นลี่หลินโค้งตัวให้ก็ตกใจและนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งตื่น ลี่หลินนางคือจิ้งจอกเก้าหาง วรยุทธนางขั้นจิตตราระดับสามดาวเลยหรอ พอคิดได้นางก็พลางมองตัวเองหลับตาและตรวจดูตัวนางเอง ทำไมไม่มีวรยุทธ ทั้งที่มีสัตว์อสูรในพันธสัญญาถึงขั้นจิตตราสามดาว ตัวนางเองก็น่าจะมีวรยุทธด้วยนี้หน่า ขั้นวรยุทธของผู้มียุทธและสัตว์อสูรรวมไปถึงพืชวิญญาณจะมีระดับเหมือนๆกันคือขั้น 1-9 จะมีระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูงขั้นศิลา 1-9 ดาวขั้นจิตตรา 1-9 ดาวขั้นมายา 1-9 ดาวขั้นนภา 1-9 ดาวขั้นเทวะ 1-9 ดาวขั้นศักดิ์สิทธิ์ 1-9 ดาว และสูงขึ้นไปวรยุทธก่อนที่มู๋จินเป่าเองจะต้องพิษนางอยู่แค่ขั้นสี่ระดับสูงเอง ส่วนตอนนี้ซิงอีเองก็เข้าสู่ขั้นสี่ระดับสูงได้สักระยะแล้ว ว่ากันว่าผู้ที่มีวรยุทธขั้นจิตตราสี่ดาวถึงจะกำหร
หลังจากซิงอีควบคุมวรยุทธให้มั่นคงได้แล้วก็ออกเดินทางต่อ ผู้มียุทธไม่จำเป็นต้องดื่มต้องกินต้องนอนคือเรื่องจริงที่สุด แต่มู๋จินเป่าคือผู้ไม่มีวรยุทธใดๆ จึงทำให้ทุกคนต้องพักกินดื่มเหมือนเดิม "พี่ซิงอีข้าสังเกตุเห็นท่านไม่ค่อยจะหิวและไม่ง่วงบ้างเลย ท่านมีสิ่งใดผิดไปจากเดิมหรือไม่"มู๋จินเป่าถามซิงอีขนะที่ตนเองกินขนมปัง ไก่ป่าย่าง เหมือนซิงอีจะเตรียมไว้ให้นางผู้เดียว บางครั้งตอนกลางคืนเหมือนทั้งสองไม่ได้นอนด้วยซ้ำ"ข้าไม่ค่อยหิวหรอก เจ้ากินเถอะอาหารและน้ำมันจำเป็นต่อร่างกายของเจ้ามาก ตอนนี้ไม่ค่อยมีแหล่งน้ำและแหล่งอาหารมากนัก สัตว์อสูรมีค่อนข้างมากทำให้มีสัตว์ธรรมดาที่เรากินได้น้อย ข้ามีวรยุทธอดอาหารก็ทนได้ส่วนเจ้าไม่สามารถทนได้"ซิงอีกล่าวกับมู๋จินเป่า ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในป่าสัตว์ป่าก็น้อยลงน่าจะเป็นเพราะลี่หลินเป็นสัตว์อสูรที่มีวรยุทธสูงเลยทำให้สัตว์อื่นๆกลัว ที่พวกนางจับได้ก็มีแค่ไก่ป่าสามตัวซิงอีจึงย่างไว้และทะยอยออกมาให้มู๋จินเป่ากิน ส่วนลำธารนั้นไม่เจอเลยตั้งแต่เดินมาจึงทำให้น้ำเหลือน้อยจนซิงอีกับลี่หลินหยุดดื่มน้ำกันเพื่อจะเหลือให้มู๋จินเป่าดื่ม" ป่าแห่งนี้แปลกพิกลนักข้าสัมผัส
หลังจากไต่ตรองดีแล้ว ทั้งสามก็ตกลงที่จะไปรังของจรเข้ตาไฟ หลังจากเหตุการณ์ที่ จรเข้ตาไฟกระเด็นไปลี่หลินก็รับรู้แล้วว่า อันญมณีสีแดงได้ทำการคุ้มครองซิงอีเหมือนที่หยกสีน้ำผึ้งทำการคุ้มครองนายของตน แต่การที่จะคุ้มครองนั้นต้องถึงจุด วิกฤตจริง จะคุ้มครองให้ชีวิตคงอยู่แต่ก็ไม่สามารถคุ้มครองให้ปลอดภัยในการบาดเจ็บต่างๆได้ เหมือนกับตอนที่เจ้านายของนางพิษสำแดงฤทธิ์อีกครั้งหยกสีน้ำผึ้งก็สื่อกับนางให้นางทำพันธะสัญญาเพื่อการรักษาชีวิตเจ้านายไว้ หยกสีน้ำผึ้งฉลาดแต่ก็มีกฏเกณฑ์ของมันอยู่หลังจากทั้งสามลงไปยังรังของจรเข้ตาไฟ ซึ่งเป็นถ่ำเล็กๆ จรเข้ตาไฟอาศัยอยู่ตัวเดียว ภายในถ่ำเป็นสีแดง มีสาหร่ายขึ้นมากมาย มีสาหร่ายหลากสีสันมองแล้วเพลิดเพลินยิ่งนัก พอถึงรังจรเข้ตาไฟก็จัดหาอาหารให้มู๋จินเป่าเพราะมนุษย์ผู้นี้ไม่มีวรยุทธ์ยังจำเป็นต้องกินต้องดื่ม อาหารที่ทำจากเนื้อปลา และสาหร่ายเป็นส่วนใหญ่ น้ำก็เป็นน้ำสาหร่าย ทุกคนนั่งกินอาหารเป็นเพื่อนมู๋จินเป่า หลังจากอิ่มแล้ว จรเข้ตาไฟก็อนุญาตให้ลี่หลินกับมู๋จินเป่าพักผ่อนได้ และจรเข้ตาไฟก็กางอาณาเขตเพื่อรักษาความปลอดภัยของบึงน้ำในระหว่างที่ตนทำพันธสัญญา และเนื่องจากจรเ
หลังจากโต๊ะข้างๆนั่งลงแล้วก็มองมายังกลุ่มตนแล้วยิ้มๆ "เจ้านายบุรุษผู้นั้นที่เป็นมนุษย์ที่มีน้ำอมฤต ส่วนบุรุษอีกผู้ที่ใส่ชุดดำคือสัตว์อสูรที่อยู่หน้าหมู่บ้านจันทราที่เราผ่านมาแล้วข้าตามไม่ทัน ทั้งสองมีวรยุทธเหนือกว่าข้าไม่สามารถประเมินได้"ลี่หลินสื่อสารทางจิตกับมู๋จินเป่า มู๋จินเป่าก็มองบุรุษในชุดสีเขียวและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร คนผู้นี้มีน้ำอมฤต จริงๆหรือแล้วคนผู้นี้จะพกน้ำอมฤตไว้ทำไมกัน แล้วทำไมสัตว์อสูรของบุรุษผู้นั้นต้องบังเอิญพบพวกนางที่หน้าหมู่บ้านที่เมืองจันทราด้วย มันมีความเกี่ยวข้องกับนางหรือป่าวนะ บุรุษผู้นี้รู้จักนางหรือไร รู้ว่านางต้องพิษและนำน้ำอมฤตติดตัวมาให้นางหรือ และก็มองไปที่บุรุษชุดสีดำที่เป็นสัตว์อสูรที่ตนมองที่แรกว่าหน้าคุ้นๆที่แท้นางเคยเห็นมาก่อนแล้ว เป็นสัตว์อสูรประเภทใดกันนะวรยุทธสูงเสียด้วย หรือว่าสัตว์อสูรจะชอบน้ำอมฤตกันนะ "ลี่หลินเจ้ารู้หรือไม่ว่าน้ำอมฤตมีสรรพคุณอะไรบ้างสัตว์อสูรชอบน้ำอมฤตหรือไม่ ที่ข้าศึกษาตำราเกี่ยวกับน้ำอมฤตข้ารู้แค่ว่ามันรักษาพิษได้ทุกชนิดและปลดผลึกที่ต้องพิษได้ และอยู่ที่ถ้ำตะวันเท่านั้น"มู๋จินเป่าถามเพราะคร่ำครวญคิดก็มีแค่เรื่องเดียว
หลังจากออกจากโรงเตี๊ยม กลุ่มของมู๋จินเป่าก็ตั้งใจจะกลับเขาป่าเพื่อพักผ่อนในป่า ในการเดินทางมาในหมู่บ้านนี้ไม่ได้เสียเที่ยวซะทีเดียวได้รู้ว่าผลหลิวต้องแสงจันทร์มีตั้งแปดผล ได้รู้ว่าสัตว์ที่รักษาดูแลคือกระต่ายหยก และเรื่องที่น่าสนใจก็คือมีน้ำอมฤตอยู่จริงๆ ซึ่งบุรุษชุดเขียวมีมันอยู่ด้วยแต่การที่จะได้มันมาไม่ง่ายเลย หากบุรุษผู้นั้นอาศัยน้ำอมฤตในการล่อกระต่ายหยกแล้วเขาได้ผลหลิวต้องแสงจันทร์ไป พวกของตนไม่มีโอกาสที่จะได้แตะผลหลิวต้องแสงจันทร์แม้แต่ปลายก้อยเลยด้วยซ้ำ ถ้าต้องการจะซื้อ เบี้ยที่มีอยู่ก็น้อยเหลือเกิน และผลหลิวต้องแสงจันทร์ต้องมีมูลค่ามากแน่ๆ ระหว่างเดินทางเข้าป่าลี่หลินก็หยุดชะงักและเอ่ยขึ้นว่าระวังตัว แต่มันสายไปเสียแล้ว พวกของนางถูกโจมตีจากผู้ที่มีวรยุทธที่เหนือกว่ากลุ่มพวกนางมาก ทันใดนั้นลี่หลินกับสือยวี่ก็กลายร่างกลับเป็นสัตว์อสูรทันที และก็เกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ มู๋จินเป่าก็หลบการโจมตีจากผู้มีวรยุทธขั้นศิลาได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้มีวรยุทธขั้นศิลาโกรธมากเนื่องจากตนโจมตีสตรี ที่ไม่มีวรยุทธใดๆเลย ไม่ได้จึงรีบออกกระบวนท่าพลางประชิดตัวมู๋จินเป่าทันที มู๋จินเป่าหยิบมีดสั้นขนาด
คนผู้หนึ่งที่ถูกมัดด้วยเถาวัลย์กำลังจะใช้วรยุทธเพื่อทำให้เถาวัลย์ขาดแต่ก็ถูกสือยวี่ซัดเข้าที่หน้าท้องหนึ่งที "อย่าคิดหนีเลย พวกข้ามีมากกว่าพวกเจ้า ตอบในสิ่งที่ข้าถามจะดีกว่า พวกเจ้าต้องการอะไร"สือยวี่ถามอีกรอบ"ถ้าข้าบอกว่าต้องการจิ้งจอกเก้าหางของพวกเจ้าล่ะ เจ้าจะให้ข้าหรือป่าว"ชายหนุ่มที่มีวรยุทธสูงที่สุดกล่าว"พวกเจ้าคิดว่ามีความสามารถมากหรือไรที่จะมาขอสัตว์อสูรของผู้อื่นได้ง่ายๆ ไม่กี่กระบวนท่าพวกข้าก็ชนะพวกเจ้าได้แล้ว ดูสิหนึ่งในนั้นที่ถูกข้าเล่นงานปางตายเช่นนี้ พวกเจ้าไปได้วรยุทธมาจากที่ใดกันทำไม่สู้พวกข้าไม่ได้สักนิด วรยุทธพวกเจ้าสูงส่งอย่างไรกัน"มู๋จินเป่าเป็นผู้กล่าวเนื่องจากตนรู้ว่าผู้คนเหล่านั้นตกตะลึงที่เห็นนางยังมีชีวิตอยู่หลังจากต่อสู้กับผู้มีวรยุทธขั้นศิลาทำให้ผู้นั้นปางตายขนาดนี้ได้ มู๋จินเป่าแค่ยากจะข่มคนเหล่านี้ไว้เพราะตนไม่ต้องการปะทะคนกลุ่มนี้อีกในเมือคนกลุ่มนี้รู้ว่าสัตว์อสูรของนางเป็นอะไรแล้วเกิดละโมบนางต้องสั่งสอนให้ผู้คนเหล่านี้หลาบจำ ถ้านางยอมเลยตามเลยจะทำให้คนเหล่านี้ได้ใจและหาโอกาศลงมืออีกเป็นแน่ นางจึงต้องทำตัวแข็งแรง ทำเป็นว่านางไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับ
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่พวกข้าหาเจ้าจนเจอนั้นเป็นเพราะอะไร"หลู่ฮาลาถาจินเป่าขึ้นพลางมานั่งใกล้นางเพราะนางต้องการส่วนแบ่งในครั้งนี้ ปลาหลี่ที่จินเป่ากินอยู่นั้นหอมตลบอบอวลไปด้วยไอวิเศษ ทำให้นางน้ำลายสอเป็นอย่างมาก"เป็นเพราะอะไรหรือ พวกเจ้าจึงหาข้าพบได้อย่างไรข้าเองก็อยากรู้"จินเป่ากล่าวขึ้นเพราะสงสัย "ก็เป็นเพราะว่าเจ้ากินปลาหลี่เผาแล้วแม่นางหลู่ได้กลิ่นของมันพวกเราเลยตามกลิ่นนั้นไป ก็พบเจ้านั่นแหละ เพราะฉะนั้นเจ้าจงแบ่งปลาแก่แม่นางหลู่ด้วย เพราะเขาเหมือนจะอยากกินมาก"หลิวเหยียนตอบพรางมองดูท่าทีของหลู่ฮาลา"มีแบบนี้ด้วยหรือ งั้นเจ้าก็กินสิแม่นางหลู่แล้วก็ทุกคนด้วยนะข้ายังมีปลาหลี่อีกมากมาย จินเป่าเอาปลาหลี่ออกมาใส่ถุงมิติให้ซิงอี เพราะถ้าหมดฤทธิ์ของไข่มุกลวี่แล้วนางก็จะไม่สามารถเปิดมิติได้จึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้วก็พักผ่อนแต่คราวนี้พวกเขารู้แล้วว่าต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยธาตุไฟ ห่าวอู๋มู๋ลี่มีปัญหากับการเรียกไฟมากที่สุดห่าวอู๋อวี่ก็แบ่งวรยุทธของตัวเองก่อเป็นเกาะคลุมพวกเขาทั้งสิบเอ็ดไว้ ไม่นานแสงตะวันก็ค่อยๆเลือนหายไป ต้นซิวกั่วค่อยๆปิดปากลงเรื่อยๆ"เราน่าจะถึงเว
เมื่อองค์ชายหกถูกเถาวัลย์กะชากลงไปในต้นซิวกั่ว เขาก็ตกใจมากเพราะตอนที่เถาวัลย์กะชากเขาไปนั้น เขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่อยู่ๆเหมือนมายืนอยู่ในหม้อที่เป็นสีเขียว แล้วตอนนี้ฝาก็กำลังจะปิด เขารู้ได้ทันทีว่าเขาอยู่ในพืชกินคนแล้ว ที่เมื่อสักครู่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ เมื่อเขาเข้ามาแล้วก็ตกใจกลัว พอตั้งสติได้เขาก็ใช้วรยุทธกระแทกเข้ากับผนังของหม้อนั้น แต่ก็ไม่เป็นผลน้ำย่อยสีเขียวๆที่แฉะๆอยู่ด้านล่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขายังไม่แน่ใจว่ามีสิ่งใดที่ต้นนี้มันกลัว เพราะจากที่เขาฟังบุรุษที่อยู่มิติสามัญพูดคุย ยังจับใจความไม่ได้เลยว่าพืชชนิดนี้ต้องจัดการอย่างไร และในชีวิตนี้เขาไม่เคยได้ยินสมุนไพรที่ชื่อว่าซิวกั่วนี้เลย เขานึกเสียใจกับตัวเองที่ศึกษาตำราไม่มากพอ ขนาดแค่พืชชนิดหนึ่งยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดจากมันได้อย่างไร ขนาดเข้ามาเพียงแป๊บเดียวน้ำย่อยนั้นก็ขึ้นมาสูงแล้ว เขาจึงไม่แน่ใจว่าสตรีทั้งสามจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่เพราะจากที่เขามาถึงจุดนี้ก็ใช้เวลาเกือบค่อนวันเสียแล้ว เหลืออีกไม่กี่ชั่วยามก็จะค่ำแล้ว ทางด้านนอกเมื่อห่าวอู๋อวี่รับรู้ว่าปกติหากไม่มีสิ่งใดอยู่ในซิวกั่วตอนกลางวันมันจะอ้าปากออกแต่หากว
"เหมือนข้าจะได้กลิ่นไอวิเศษที่คุ้นๆ เหมือนกับกลิ่นปลาทำนองนั้น น่าจะเป็นปลาเผาที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นไอวิเศษ มันอยู่ทิศเหนือโน้นเราไปดูกันดีหรือไม่"หลู่ฮาลากล่าวขึ้น เมื่อนางได้สัมผัสถึงกลิ่นปลาที่สุกแล้วและทำให้นางนั้นน้ำลายสออยู่"เจ้าจะบอกว่าเจ้าหิวแล้วกระมังแค่ได้กลิ่นไอวิเศษของปลาเผาก็ทำให้เจ้าน้ำลายสอแล้ว เรารีบตามหาคนเราไม่ได้ต้องการที่จะรีบไปกินเสียหน่อย"หลินเหยียนกล่าวขึ้น"แต่ข้าว่าใครกันจะมาเผาปลาให้เจ้าได้รับรู้กลิ่นขนาดนั้น มันไม่ใช่กับดักหรอกหรือ"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ากินรีตระกูลหลู่จมูกดีเรื่องของกิน"กลิ่นนั้นอยู่ทิศทางใดล่ะเราตามมันไปเถอะ มันอาจจะเป็นกลลวงแต่เราก็จะได้รู้ว่ากลลวงนั้นคือสิ่งใด ถ้าเราไม่เข้าไปหาจุดที่อันตรายที่สุดเราก็จะไม่สามารถหาคนทั้งสามพบ หากเราเจอกลลวงนั้นแล้วหากเราแก้ไขปริศนาของกลลวงได้ เราก็น่าจะตามหาคนได้สำเร็จเร็วขึ้น"ห่าวอู๋อวี่กล่าวขึ้น เมื่อได้ยินเขาพูดทุกคนก็คล้อยตาม ถึงแม้นจะเป็นกลลวงจริงๆเขาก็ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย หลู่ฮาลาจึงพาทั้งแปดเดินไปทิศทางที่ตนได้กลิ่นปลาเผานั้น ไม่นานพวกเขาก็พบสิ่งที่น่าประหลาดก็คือกลุ่มของพืชชนิ
อยู่ดีๆจินเป่าก็รู้สึกวุบขึ้นมา นางไม่ได้มีความเจ็บปวด ถึงแม้ความรู้สึกว่าถูกลากเลย เป็นความรู้สึกวุบอย่างเดียวเท่านั้น แต่อยู่ๆก็เหมือนอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีเขียวๆ จินเป่ามองซ้ายมองขวาก็พบว่าเหมือนตัวเองอยู่ในหม้อปรุงสมุนไพร เหมือนตอนที่นางอยู่เมืองหลวงนั้น แต่สีนั้นกลับแตกต่างกันไป ตรงพื้นด้านล่างที่เป็นเมือกๆเหมือนเป็นสีเขียวเข้มด้านข้างๆเป็นสีเขียวอ่อน นางมองซ้ายมองขวา ก็พบกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เหมือนกำลังจะครึ้มฟาครึ้มฝน อยู่ดีๆทำไมครึ้มฟ้าครึ้มฝนได้นะ นางจึงมองไปด้านบนก็พบว่าเหมือนมีแผ่นบางๆกลมๆเลื่อนลงมาปิดปากหม้อที่นางยืนอยู่ลักษณะเป็นดังวงกลมแล้วมีหนามแหลมๆอยู่รอบด้าน สีของฝานั้นเป็นสีน้ำตาลอมเขียวลายเหมือนกับพืชชนิดหนึ่ง ที่เธอเคยเห็นในตำรามา มันคือซิวกั่วพืชกินแมลงชนิดหนึ่ง นางกินรีหว่าฮว่าได้เขียนในแผนที่ว่าต้นไม้กินคน ที่แท้เขาไม่รู้ว่ามันไม่ใช่ต้นไม้อย่างเดียว แต่มันมีพืชชนิดนี้ด้วย นางได้แต่ขบคิดว่าคนที่มาด้วยกันนั้นจะถูกลากไปขังอยู่ในซิวกั่วเหมือนนางหรือไม่นะ แม่นางกำลังที่จะหาวิธีออกจากซิวกั่วนี้ นางหยิบกริชออกจากมิติ ซึ่งตอนนี้นางมีพลังพอที่จะเปิดมิติได้ แต่ใ
เมื่อจินเป่าเกินไข่มุกลวี่ลงไปแล้วได้พักผ่อนเต็มที่ ตอนนี้ตัวนางนั้นก็ดีขึ้นมากแล้ว ในการเดินทางต่อไปนางไม่จำเป็นจะต้องให้ห่าวอู๋อวี่แบกนางอีกแล้ว จางซินจึงจับชีพจรให้จริงเปล่าก็รู้ว่าภายในของนางนั้นดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หายเป็นเปิดทิ้ง"ข้าว่าเจ้าดีมากแล้วนะหรือว่าไข่มุกละวีนั้นรักษาโรคที่เจ้าเป็นได้แล้วแล้วเราก็ไม่ต้องไปหาเขากวางสามร้อยยอดอีกแล้วกระมัง"จางซินกล่าวขึ้น"ไม่หรอกโรคหยินหยางที่จินเป่าเป็นนั้นต้องรักษาด้วยเขากวางสามร้อยยอดเท่านั้น แต่ที่ตอนนี้ยังไม่มีอาการเหนื่อยเหมือนเดิมแล้ว เป็นเพราะว่าตอนนี้ร่างกายมีไข่มุกลวี่อยู่ หากร่างกายนี้ดูดซับไข่มุกลวี่หมดไปแล้วก็จะมีอาการเหมือนเดิมรักษาไม่หายแต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากเพราะฤทธิ์ของไข่มุกลวี่เพียงเท่านั้นเอง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น ทำให้ทุกคนเข้าใจมากขึ้นว่าไข่มุกลวี่ดีขนาดไหน ทุกคนจึงออกเดินทางต่อไปทางทิศที่แผนที่บอกว่าจะพบกับต้นไม้กินคนเมื่อเดินต่อไปก็พบกับบรรยากาศที่ต่างไปเล็กน้อยิอากาศเย็นตัวลงจนทำให้เสียวสันหลังไปหมด ถึงแม้จินเป่าจะเดินได้เองแต่เขาก็เดินอยู่ในตำแหน่งกลางเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทุกมื่อเพราะร่างกายไม่สู้
เมื่อห่าวอู๋อวี่อุ้มจินเป่ามาวางไว้ข้างต้นไม้ใหญ่แล้ว เขาก็ถ่ายทอดวรยุทธรักษาให้จินเป่าเจ้ากระต่ายหยกจึงเปิดปากจินเป่าออก แล้วใส่อะไรสักอย่างที่เป็นเม็ดกลมๆสีเขียวเข้ม เข้าไปด้านในปากขิงนางและปิดปากพร้อมกับลูบคอให้นางกลืนของชิ้นั้น ไม่นานจินเป่าก็ลืมตาขึ้นมา นางไอ สามครั้งก็รู้สึกถึงวรยุทธ์ที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกาย ซิงอีเห็นก็ดีใจมากที่จินเป่าฟื้น"เจ้าเอาอะไรให้นางกินหรือเจ้าจิ๋ว ทำไมนางกินแล้วถึงขึ้นได้หละ"จางซินถามขึ้น เจ้ากระต่ายลุกไม่ได้กล่าวสิ่งใดมันมองหน้าจังซิมแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้งแล้วก็ไปยืนข้างๆซิงอีที่ตอนนี้กำลังใช้ผ้าชุบน้ำอมฤตใบหน้าให้จินเป่าอยู่"เจ้าชู้นี้อารมณ์ไม่ดีง่ายมากเลยนะเจ้าน่ะข้าชอบเจ้าจะตายดูเจ้าทำสีหน้าที่มองข้าเหมือนเจ้าชังค่ามากเสียเหลือเกิน"จางซินกล่าวอีก"มาหาอสูรนั้นไม่ได้ชังมนุษย์หรอกแต่เจ้าก็ชอบไปวุ่นวายกับมันเสียเหลือเกินถามนู่นถามนี่มันให้อะไรจริงเปล่ากินจะไปอยากรู้ทำไมอย่างน้อยมันก็รักสาให้จริงเปล่าดีขึ้นในทันตาและอีกอย่างมันเป็นสัตว์มหาสมนต์ของจริงเปล่ามันไม่สามารถทำร้ายเจ้านายมันได้หรอก"จางหยงพูดขึ้น พลางไปช่วยไป๋อวิ้นดูแผนที่ที่หลิวเหยียนกางออก
ห่าวอู๋อวี่แหวกสายน้ำทะเลลงไปในน้ำนั้นไม่ได้มีความเป็นน้ำอย่างที่คิดมันไม่ระคายเคืองสายตาเลยสักนิดแถมเขารู้สึกว่าเขาหายใจได้ดังอยู่บนพื้นดินธรรมดาด้วยซ้ำ เมื่อเขาไปเจอก็พบกับกระต่ายหยกของจินเป่าที่ตอนนี้กำลังพ่นน้ำสีเขียวใส่เจ้าเต่ามังกรตัวนึง ซึ่งตัวของทั้งสองก็พอๆกัน แถมสีของมันก็คล้ายๆกันหรือว่าเต่าตัวนี้จะเป็นเต่ามังกรหยกในตำนาน แต่อาจจะไม่ใช่เพราะว่าสีเขียวที่เจ้ากระต่ายพ่นออกไปอาจติดกับเต่ามังกรตัวนั้นก็ได้ เมื่อเต่ามังกรตัวนั้นเห็นผู้บุกรุกมาใหม่จึงผละออกจากการต่อสู้กับกระต่ายหยกนั้น มันคิดแต่ว่าทำไมอยู่ๆเจ้ากระต่ายถึงกระโดดลงมาหามันได้ และก็เข้าต่อสู้กับมันทันทีมันจึงต้องการที่จะสู้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่เมื่อมันเห็นมนุษย์บุกลงมามันก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาแล้ว ที่อยู่ๆจะมีทั้งสัตว์มหาอสูรกับมนุษย์บุกลงมาถึงใต้ท้องทะเลของมัน"พวกมนุษย์กับสัตว์มหาอสูรตนนี้พวกเจ้ามาบุกรุกที่ข้า ด้วยเหตุอันใดข้าอยู่มาเป็นล้านๆปีไม่เคยพบเจอกับมนุษย์ และมหาอสูรแบบพวกเจ้า วันนี้มาถึงถิ่นข้าแล้ว ก็มอบชีวิตให้ข้าเถิด เพราะไม่มีใครผ่านเปลวคลื่นของข้าไปได้หรอก ข้างบนอาจจะมีมนุษย์มากมายแต่มันก็ต้องต
หลังจากที่เดินทางมาเป็นเวลาสักพักที่พบเจอกับภาพลวงตาต่างๆนานาที่วนเวียนเข้ามาหาในแต่ละคน แต่พวกเขานั้นก็พยายามที่จะตั้งสติให้ได้ จนในที่สุดภาพลวงตานั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว"ซิงอีทำไมเจ้ามองข้าแปลกๆแล้วตอนที่เจ้าเกิดภาพลวงตานั้น มันเป็นอะไรหรือทำไมเจ้าเรียกชื่อข้าแล้วก็บอกว่าอย่า แล้วก็เรียกจินเป่าด้วยแต่ข้าเองก็ไม่กล้าถามต่อหน้าทุกคน"จางหยงกล่าวถามซิงอีเมื่อตอนที่ไม่มีใครอยู่กับพวกเขา"ที่ท่านเคยรับปากข้าไว้ แม้ว่าเราจะเจอบิดามารดาของพวกเราแล้วท่านจะไม่เปลี่ยนไปจริงๆใช่หรือไม่ อาจจะเป็นเพราะว่าข้าคิดกังวลเรื่องนี้จึงทำให้เกิดภาพลวงตาเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแต่มันก็ฝังใจกับข้ายิ่งนัก จึงทำให้ข้ายากที่จะลืมเลือนว่าข้านั้นพบกับภาพลวงตาแบบใด ข้าพบว่าท่านหลอกลวงให้ข้ากับจินเป่าไปมิติเชื่อมจิตแล้วท่านก็ใช้กริชนั้นแทนพวกข้าทั้งสอง"ซิงอีถามขึ้นและเล่าให้เขาฟังว่าเขาพบเจอเรื่องใดบ้าง"จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรเราก็คุยกันแล้วนี่ว่าข้าจะรักและปกป้องเจ้าตลอดเส้นทางสายนี้ ถึงแม้เราจะอยู่มิติเชื่องจิตแล้ว และหากพบกับมารดาของข้า ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่าข้าจะช่วยบิดาของเราและมารดาของเจ้ากับจินเป่า"จางห
"ท่านอาจารย์ทำไมสถานที่แห่งนี้มันดูมีข้อจำกัดมากมายขนาดนี้ ข้าไม่สามารถนำสัตว์อสูรออกมาจากมิติเชื่อมอสูรได้เลย"ซิงอีถามขึ้น"เส้นทางสายนี้มีข้อจำกัดหลายอย่างเลยทีเดียว สัตว์อสูที่อยู่ในมิติแล้วไม่สามารถที่จะออกมาได้ในระหว่างทางที่เราเดิน ส่วนสัตว์ที่อยู่ด้านนอกแล้วจะไม่สามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวด้านในได้ในระหว่างทางที่เราเดินในป่านี้ วรยุทธบางประเภทเราก็ไม่สามารถใช้ได้เช่นการเหาะการหายตัว แต่เรายังสามารถใช้พลังในการกระโดดได้ ถ้าพวกเจ้าเข้ามาบ่อยๆก็จะรู้เองและก็จะชินกับมัน ข้าไม่มีสัตว์อสูจึงไม่ได้คิดว่ามันจะเดือดร้อนมากนักที่ไม่มีสัตว์อสูรข้างกายเพราะในเวลาข้ามาข้าก็มาเพียงลำพัง"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จางซินจึงพยายามเรียกสัตว์อสูรของตนเองบ้างแต่ก็ไร้หนทางเหมือนกัน แต่ยังดีหน่อยที่มีมิติติดกายของนางนั้นยังสามารถใช้การได้อยู่ นางจึงหยิบน้ำอมฤตในกระบอกมายื่นให้กับทุกๆคน"เส้นทางที่เราจะเดินต่อไปนี้ส่วนมากจะเป็นภาพลวงตา ตอนข้าเคยมานั้นมันจะเป็นภาพที่เรารู้สึกปรารถนาที่สุด และเรากลัวที่สุด ข้าเดินทางมาในหลายๆคร้งก็จะพบว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆครั้ง เราเดินไปเราต้องชนะความปรารถนาของเราและเอาชนะควา