หลังจากออกจากป่าอาคมแล้ว ทั้งสองก็ได้มาอยู่ดินแดนต้องห้าม พอทั้งสองเกาะกลุ่มกันแล้วก็มาปรากฏตัวอยู่ในที่เดียวกัน "ครั้งนี้มีผู้เข้าทดสอบที่ผ่านด่านจากป่าอาคมสองร้อยห้าสิบสามคน ในดินแดนต้องห้ามมีป้ายเข้าสำนักเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบป้าย ผู้ใดหาป้ายเข้าสำนักได้และรักษาได้เป็นเวลาสามวันถือว่าผ่านด่าน ป้ายชั้นดีมีสีม่วงมีห้าป้าย ป้ายชั้นกลางมีสีเขียวมีสี่สิบห้าป้าย ป้ายชั้นต่ำมีสีแดงหนึ่งร้อยป้าย เริ่มทำภาระกิจหาป้ายได้ในบัดนี้"เสียงประกาศดังขึ้น "ป้ายเข้าสำนักเป็นแบบไหนน่ะ แล้วที่พี่ซิงอี บอกว่าข้าจะต้องได้ที่หนึ่งในสิบข้าต้องได้ป้ายสีม่วงหรือไม่ก็ป้ายสีเขียว ถ้าเราหาป้ายสีเขียวหรือสีม่าวได้เราต้องหาสองอัน เราจะได้ลำดับพอพอกัน เพื่อในการเรียนเราจะได้เรียนในระดับเดียวกัน เราเริ่มกันเถอะเดียวจะไม่ทันเขา"มู๋จินเป่ากล่าวกับซิงอี"ไม่มีใครบอกอะไรเราเลยจริงๆ เราก็ลืมถามเสียด้วยว่ามันคือสิ่งใด แล้วจะหาได้อย่างไรกัน"ซิงอีกกล่าว และทั้งสองก็เดินไปเรื่อยๆ "เราให้สัตว์อสูรออกมาเป็นเพื่อนดีกว่าไหมเพราะเราไม่พบใครเลยสักคน"ซิงอีกล่าวอีก"ก็ดีเหมือนกันเนาะจะได้ให้สัตว์อสูรไปสอบถามกับสัตว์อสูรด้วย"ม
หลังจากทั้งสองนอนก็ถอดจิตไปยังมิติล่องหนของมู๋จินเป่า "อะไรกันนิเจ้าได้ป้ายสีม่วงอีกแล้วหรือ เราก็ไม่ต้องหาอีกแล้วสินะ แล้วนี้อะไรล่ะ"ซิงอีถามขึ้นอย่างดีใจ"เราไม่ต้องการหาอีกแล้วก็จริงแต่เราจะต้องรักษาป้ายไว้ให้ได้ตลอดการทดสอบนี้ ทางทีดีเราต้องหาป้ายสีแดงมาบังหน้าก่อนไม่อย่างนั้นคนอาจรู้ได้ว่าเรามีมันแล้ว และนี้ก็คือต้นไม้ที่เจ้ากระต่ายหยกขุดมาไง"มู๋จินเป่ากล่าวพลางเดินไปที่ต้นหยางเหมยที่ตอนนี้ตื่นแล้วและมีชีวิตชีวาขึ้นมากเพราะ อยู่ในที่ที่มีไอวิเศษที่อบอุ่นและใกล้แหล่งน้ำอมฤต"ข้าจะให้เจ้าออกไปได้ข้าไม่ต้องการกักขังเจ้าหรอก ข้าต้องการแค่ป้ายสีม่วงเข้าสำนักตะวันเลือนก็เท่านั้น ถ้าเจ้าตกลงมอบป้ายให้ข้า ข้าจะเอาเจ้าไปส่งทันที"มู๋จินเป่ากล่าว พลางมองต้นหยางเหมยที่สั่นลำต้นไปมา พลางกล่าวออกมา ในน้ำเสียงที่เป็นเสียงเด็กน้อยที่แสบอยู่พอตัว"ข้าให้ป้ายเจ้าก็ได้ไม่เห็นจะยากเลยสักนิด แต่ข้าไม่ออกไปหรอก ข้าจะอยู่ในนี้ ไม่ไป! ไม่ไป! ไม่ไป! ข้าจะอยู่ ข้าให้เจ้าเลย แต่ข้าต้องได้อยู่ที่นี่ ให้ไอ้กระต่ายมันขุดรูตรงนี้ให้ข้าด้วยข้าจะอยู่ใกล้ๆบ่อน้ำอมฤต ถ้าเจ้าต้องการพืชวิเศษไว้ใช้งาน ข้าไม่ใช้ปร
ร่างทั้งสี่ก็โผล่บริเวณแหล่งน้ำชั้นสาม เป็นแหล่งน้ำทีอุดมสมบรูณ์ มีพื้นดินอยู่ไม่มากนัก มองแล้วคล้ายๆทะเล ไม่มีต้นไม้สักต้น มีเพียงโขดหิน ถึงว่าทำไม่ ชั้นนี้มีการต่อสู่แย่งป้ายกันง่ายดายเหลือเกิน เพราะไม่มี ที่ใดให้หลบหนีด้วยซ้ำ ซิงอีลากสังขารของมู๋จินเป่าเดินไปหาที่นั่งพัก นางรู้ดีว่ามู๋จินเป่าไว้ใจตนจึงส่งกระแสจิตเข้าไปในมิติ ปล่อยให้ตนดูแลร่างของนางภายในมิติ ทุกคนมุงดูจิ้งจอกเก้าหาง และเจ้าก้อนหิมะสีขาวที่มีแขนมีขาวิ่งได้ มันกำลังพองตัวและพ่นหิมะออกมาเป็นจำนวนมากจนห่อหุ้มร่างของจิ้งจอกเก้าหางสักพักใหญ่ๆร่างจิ้งจอกเก้าหางก็เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์และลุกขึ้นนั่งสมาธิ"เพียงสามวันสัตว์อสูรตนนี้ก็จะมีสัญาญชีพที่ปกติ"เสียงเจ้าก้อนหิมะกล่าวและมันก็พุ่งตัวลงน้ำแล้วเงียบไปทันที มู๋จินเป่าจึงส่งกระแสจิตออกจากมิติไป นางพบร่างของนางนอนอยู่บนโขดหินโดยซิงอีกำลังย่างปลาที่สือยวี่จับมาให้ หลังจากที่เห็นมู๋จินเป่าตื่นแล้วซิงอีก็เรียกมากินปลา"เป็นยังไงบ้างลี่หลินมีอาการน่าเป็นห่วงหรือไม่"ซิงอีถามด้วยความเป็นห่วง พลางมองมู๋จินเป่าเดินเข้ามาหาและนั่งลงข้างๆนาง"เหลือเพียงอีกชั้นเดียวแล้วเราก็ไปครบ
หลังจากที่ทุกคนปรากฏตัวขึ้นใต้แท่นพิธีคัดนักศึกษาเข้าสำนัก มีอาจารย์ที่คัดเลือกอยู่เพียงสิบกว่าท่านแค่นั้น ส่วนผู้เข้าศึกษาบางคนก็ไม่ได้เข้าทดสอบเพราะรู้จักคนใหญ่คนโตในสำนัก หลีชุนชุนเป็นคนหนึ่งที่ได้เข้าศึกษา ทั้งที่ไม่ได้เข้าทดสอบ นางมองมายังมู๋จินเป่าพร้อมกับทำท่าทีเย้ยหยันอย่างเต็มที่ นางคิดว่ามู๋จินเป่าจะไม่ติดหนึ่งในสิบด้วยซ้ำเพราะนางไม่ได้ป้ายเข้าสำนักสีม่วง ทางด้านมู๋จินเป่าออกมาจากดินแดนต้องห้ามก็เดินตามหาซิงอีเพื่อจะได้ให้ป้ายเข้าสำนักสีม่วงและอัญมณีสีแดงกับป้ายหยกที่มีรายชื่อของซิงอีติดอยู่ก็เจอเข้ากับกลุ่มของบุรุษที่เคยช่วยนางเอาไว้ "กลุ่มพวกท่านได้ป้ายสีเขียวครบทุกคนแล้วหรือ"มู๋จินเป่าถามขึ้นอย่างแผ่วเบา"ขาดอีกสองป้ายเหมือนเดิมนั้นแหละช้้นเวหาไม่พบของดีๆกันเลย ดีนะที่เอาชีวิตรอดได้ พวกเจ้าเอาป้ายเขียวหรือไม่ เดียวพวกข้าสี่คนใช้ป้ายสีแดงได้ เดียวเข้าไปแล้วค่อยหาทางไปอยู่ร่วมกัน"บุรุษผู้นั้นกล่าวพลางมองมู๋จินเป่าด้วยใจจริง สักพัก จางหยงกับจางซินและซิงอีก็เดินมาหานาง พอดี"นี้ป้ายเข้าสำนักสีเขียวสองป้ายของพวกเจ้า รับไปเถอะแล้วก็เอาป้ายเข้าสำนักสีแดงออกมาให้ข้าด้วย"จางซ
หลังจากทดสอบเข้าสำนักได้สำเร็จแล้ว ก็เป็นเวลาพักผ่อนเจ็ดวัน ที่ทางสำนักให้เวลากับนักศึกษาทุกคน มู๋จินเป่าและซิงอีถูกผู้นำตระกูลห่าวอู๋เรียกไปพบถึงสามครั้ง แต่ห่าวอู๋อวี่ไม่พาไปเพราะสตรีที่ชื่อหลี่ชุนชุนอยู่ที่เรือนใหญ่ของตระกูลห่าวอู๋ตลอดเวลา ตนไม่ต้องการพบหน้านางจึงปฏิเสธทุกครั้งที่มีคนมาชวนไปเรือนใหญ่ ก่อนวันเข้าสำนักห่าวอู๋อวี่ได้เข้าไปพบอาจารย์ใหญ่ในสำนัก ซึ่งคือปรมาจารย์ไป๋อวิ่นที่ดำรงตำแหน่งนี้อยู่"ไม่พบกันเสียตั้งนาน ตอนที่ข้าเรียกเจ้ามาเรื่องทดสอบเด็กใหม่เข้าสำนักเจ้าก็รีบไปยิ่งนัก ข้ายังไม่ได้พบกับเจ้าเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ เจ้าว่าเด็กจินเป่าเด็กใหม่ลำดับหนึ่งเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ข้าว่าในตัวนางมีสิ่งมหัศจรรย์อยู่แน่นอน"อาจารย์ไป๋อวิ่นกล่าวขึ้น"ข้ามาก็เพื่อสิ่งนี้แหละท่านอาจารย์ สัตว์อสูรงูเห่าดำตัวนั้นมันเป็นของข้าเองนั้นแหละ ข้ามาวันนี้ข้าต้องการให้ท่านอาจารย์ดูแลนางแทนข้า นางน่าจะศึกษาสำเร็จภายในหนึ่งปี และเราจะออกเดินทางดังที่ข้าเคยหวังไว้ในอดีต ที่ข้าเคยถามอาจารย์เรื่องมิติอื่นๆ เราสองคนมีใจตรงกันที่จะออกเดินทางท่องโลก และนี้ผลหลิวต้องแสงจันทร์ที่ข้าไปตามหามารักษาพี
"ในชั้นเรียนวิชานี้ข้าจะให้ลูกศิษย์ทุกคนทดสอบทางด้านจิตใจ ข้ามีห้องให้ทั้งหมดสิบห้อง แต่ละห้องจะให้นักศึกษาแต่ละคนเลือกเข้าไปด้านใน ให้อยู่ในนั้นเป็นเวลาห้าชั่วโมง ถ้าครบห้าชั่วยามโดยจอภาพหน้าห้องว่างปล่าวผู้นั้นถือว่าผ่าน ข้ามีอัญมณีสีม่วงให้ทั้งหมดสิบก้อนถ้าใครผ่านจะได้รับอัญมณีสีม่วงในจำนวนที่เท่าๆกัน ผู้ที่ผ่านแล้วครั้งหน้าจะไม่ได้เข้าจนกว่าเพื่อนจะผ่านหมด แต่ครั้งหน้าข้าไม่มีอัญมณีสีม่วงให้แล้วนะ555 ได้เฉพาะคนที่ทดสอบจิตใจได้ครั้งแรกเท่านั้น วิธีที่ง่ายคือเข้าไปข้างในแล้วทำจิตใจให้สงบห้ามคิดสิ่งใด เพราะถ้าพวกเจ้าคิดสิ่งใด ข้าก็จะเห็นทันที555 ถ้าเจ้าคิดถึงบุรุษหรือสตรีคนรักข้าก็จะเห็นกับเจ้าด้วย หรือถ้าผู้ใดเผลอหลับข้าก็จะเห็นความฝันของคนนั้น ข้าจะนั้งตรงกลางเพื่อสังเกตุเห็นจอหน้าห้องของทุกๆคนไม่ต้องห่วง "อาจารย์วิชาด้านจิตใจสอน เพราะผู้ที่อยู่ระดับสูงมักจะต้องจิตใจเข้มแข็งอยู่แล้ว ทุกคนเดินตามอาจารย์ไปก็เห็นห้องที่มีประตูเรียงกันสิบห้องเป็นขนาดครึ่งวงกลม เหมือนที่อาจารย์กล่าวไว้ไม่มีผิด มีตั่งนั่งตรงกลางไว้เพื่อนั่งมองหรือจะนอนก็ได้มองเห็นได้ทุกๆห้องที่เรียงกันเป็นครึ่งวงกลม มี
"ท่านอาจารย์เรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่หรือ เมื่อคืนพวกข้าอยู่กับแม่นางทั้งสองทั้งคืนเลยนะ แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปทำร้ายพวกเขากันล่ะ"บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ในลำดับสูงกล่าวกับท่านอาจารย์ "พวกเจ้าอยู่ระดับเดียวกันไม่รู้หรอกหรือว่าซิงอีมีสัตว์อสูรเป็นจระเข้ตาไฟมันจะลงมือตอนไหนก็ได้นิ"มู๋จินฮุยกล่าว"แล้วพวกเจ้าก็เห็นแล้วนิว่ามีแส้อะไรที่ไหนแล้วกระจกที่พวกเจ้าขโมยไปก็ไม่เห็นมี แล้วเมื่อคืนแม่นางซีอีกับแม่นางจินเป่าก็นำสัตว์อสูรออกมาอยู่กับพวกเราทั้งคืน แล้วพวกเราก็นำสัตว์อสูรของพวกเราออกมาด้วยถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ถามอีก 7 คนที่อยู่ในนี้สิเพราะพวกเราอยู่ด้วยกันทั้งคืน"บุรุษผู้นั้นกล่าว "พวกเราก็เพิ่งรู้ว่าแม่นางซิงอีกับแม่นางจินเป่าเป็นแค่สาวชาวป่าธรรมดา แต่พวกเราก็ไม่รังเกียจนางหรอกนะที่จะศึกษากับพวกเราในสำนัก พวกเจ้าไม่ต้องคิดแทนพวกข้าขนาดนั้น เพราะพวกเราอยู่ในระดับเดียวกัน ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรท่านอาจารย์โปรดเห็นใจแม่นางทั้งสองเถอะ ที่ถูกใส่ร้ายที่ถูกขโมยของ และข้าก็เป็นคนนึงที่เป็นพยานให้แม่นางทั้งสองได้"สตรีในระดับสูงกล่าว การกระทำทุกอย่างท่านอาจารย์ที่เพิ่งสอนวิชาด้านจิตใ
หลังจากจบคาบเรียนในวันนั้น มู๋จินเป่ากับซิงอีก็ขอคำปรึกษาจากจางหยงอยู่บ่อยๆ เพราะตนกลัวว่าในคาบเรียนต่อไปจะเป็นการต่อสู้แบบใช้พลังวรยุทธ ซึ่งทั้งสองคนไม่เก่งด้านนี้เลยสักนิดแต่ในคาบเรียนครั้งหน้าก็เป็นอีกเดือนต่อไปแล้ว ทั้งสี่จึงปรึกษากันว่าหลังจากครึ่งเดือนที่เรียนในสำนักเสร็จสิ้นแล้วจะต้องออกหาประสบการณ์"ท่านพี่ถ้าครั้งหน้าท่านพี่กับจินเป่าเหลือเพียงสองคนเท่านั่น แล้วที่ท่านพี่สอนนางไป ท่านพี่จะไม่เสียดายหรอกหรือที่ต้องมาสู้กับคนที่ตัวเองสอน555"จางซินถามพลางหัวเราะและมองหน้าจางหยง"จะเหลือสองคนได้อย่างไรกัน ข้าพึ่งร่ำเรียนวิชาการต่อสู้โดยการใช้วรยุทธเพียงเท่านี้ แค่ครึ่งเดือนข้าคิดว่ายังไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าไรหรอก ข้าแค่ไม่อยากขายหน้าก็แค่เท่านั้น จึงให้ท่านจางหยงสอนให้เล็กน้อย แต่ถ้าเหลือสองคนจริงๆ ข้าและท่านจางหยงจะทำให้ดีที่สุด จะได้รู้ว่าอาจารย์หรือลูกศิษย์ที่เก่งกว่ากันฮ่าๆๆเป็นไง"มู๋จินเป่ากล่าว "ถึงเจ้าจะไม่เคยเรียนการต่อสู้ด้วยวรยุทธก็ตาม แต่ดูเจ้าแล้วเจ้าหัวไว้ใช้ได้เลยทีเดียว ข้าก็เกรงเหมือนกันว่าในการเรียนครั้งหน้าในวิชาต่อสู้ ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะชนะข้าได้เพรา
"คู่ต่อไปน่าจะไปได้แล้วล่ะ เสียงเงียบหายไปแล้ว"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น เนื่องจากส่วนมากเขามาเพียงลำพังย่อมไม่รู้สถานการณ์เมื่อมาหลายคน และเขาก็คิดเองว่าหากเดินผ่านสายฝนศาสตราวุธนั้น หากใช้คนเดินทางน้อยก็จะสะดวกต่อการกำจัดศาสตราวุธพวกนั้นแต่หากรวมกันเป็นกลุ่มเกรงว่าจะทำร้ายผู้ที่เดินทางร่วมกันเสี่ยงมากกว่าจึงตัดสินใจให้เดินไปครั้งละสองคน"เจ้าพาจินเป่าไปเถอะ พร้อมกับเจ้าสัตว์อสูรนี้ด้วย"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จินเป่าจึงขึ้นหลังห่าวอู๋อวี่ และกระต่ายหยกเองก็กรายร่างของมันเป็นเหมือนดังวัตถุโปร่งแสงสีเขียวหยกแล้วคลุมตัวของจินเป่าไว้ แล้วลี่หลินก็ยืนข้างห่าวอู๋อวี่แล้วออกเดินพร้อมกัน เมื่อลงพื้นดินไปสักพักก็ไม่เห็นพวกเขาแล้ว และก็ได้ยินเสียงกระทบกันดังขึ้น เหมือนเสียงนั้นจะดังกว่าครั้งที่แล้วเสียงโลหะกระทบกันถี่มาก แต่ไม่มีเสียงร้องใดๆเลย จินเป่ามองเห็นสายฝนสตราวุธลงมาห่าใหญ่ ร่างกายของเขาเองไร้รอยขีดข่วนใดๆทั้งสิ้น เพราะตัวกระต่ายหยกเองห่อหุ้มนางไว้ ลี่หลินใช้กริชด้ามสั้นที่ตนเคยให้ในการต่อต้านสายฝนศาสตราวุธเหล่านั้น นางร่ายรำดั่งเช่นนางรำทั้งหลบทั้งปัดสตราวุธเหล่านั้น ทางด้านห่าวอู๋อวี่เองถึงแม้ว
เมื่อปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนี้เป็นคนแรกที่จะปีนขึ้นไปด้านบนเนินสูงนั้น ห่าวอู๋อวี่ก็วางจินเป่าลงและนำสมุนไพรต้มที่มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นต้มให้ออกมาอุ่นและส่งให้ซิงอีเพื่อที่จะป้อนสมุนไพรให้จินเป่า ซิงอีรับน้ำยามาแล้วก็ยิ้มก่อนที่จะป้อน เดียวพวกเจ้าไปกันก่อนนะข้ากับจางหยงจะรอดูพวกเจ้าขึ้นไปก่อน หากมีเหตุผิดพลาดอย่างไรพวกข้าจะได้ช่วยเจ้าได้"ซิงอีหันหน้าไปกล่าวกับห่าวอู๋อวี่ หากจินเป่าตกลงมานางกับจางหยงก็จะต้องคอยรับ ถึงแม้จะไม่สูงมากแต่นางไม่มีแรงเลยสักนิดหากตกมาเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้นางเสียชีวิตได้เลย"เจ้านายเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปดูข้างบนเสียก่อนหากว่ามีอันตรายใดๆข้าจะได้จัดการให้"ลี่หลินกล่าวขึ้น เจ้ากระต่ายหยกก็พยักหัวตาม"ข้าอยากรู้จังว่าเจ้ากระต่ายหยกนั้นมันชื่ออะไร มันเหมือนไม่ค่อยรู้ภาษามนุษย์เลยเจ้านาย มันต้องเรียนภาษามนุษย์อีก"ข้าไม่ได้มีชื่อเรียกเหมือนพวกสัตว์อสูรแบบเจ้าหรอก แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษามนุษย์มากมาย เพราะข้าแค่อาศัยสื่อสารกับสิ่งที่ข้าองครักษ์ก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องให้สัตว์อสูรหรือมนุษย์มารับรู้'เสียงเด็กน้อยพูดขึ้น ทำให้ลี่หลินขันท่าทีของมัน ที่ไม่ต้องการสื่
หลังจากออกเดินทางจากวังหลวงก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอันตรายจึงทำให้พวกเขาใช้เวลาเพียงสองวันก็ถึงหมู่บ้านอมตะแล้ว ทำให้จางซินรู้สึกไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยเพราะตอนไปพวกเขารีบร้อน มารดาของของท่านอาจารย์ไป๋อวิ้นก็เอาแต่หยุดพักผ่อนตลอดเส้นทางทำให้พวกเขาล่าช้า "วันนี้พวกเจ้าพักผ่อนในหมู่บ้านข้าเสียก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปกัน อวิ้นจะพาพวกเจ้าเดินทาง"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น ทั้งเจ็ดจึงไปพักผ่อน"ที่ตอนพวกข้าเดินทางไปวังหลวงนะพวกเจ้ารู้ไหม มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนั้นหยุดพักผ่อนเป็นว่าเล่นเลย"จางซินระบายความโกรธออกมา"ปรมาจารย์ของเจ้าก็ชี้แจงแล้วนิ ว่ามารดาของเขาสามารถรับรู้ภัยได้ นางจึงจำเป็นต้องพาพวกเราหยุดบ่อยๆไง เพื่อป้องกันความผิดพลาดและภัยที่เกิดขึ้น"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"จินเป่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเหน็ดเหนื่อยหรือไม่"ซิงอีถามขึ้นพร้อมกับป้อนน้ำอมฤตให้นาง ตลอดเส้นทางนางถูกห่าวอู๋อวี่อุ้มแทบตลอดเวลา เวลาลงเดินเองสักพักก็เหนื่อยหอบ จนซิงอีทนไม่ไหวเอ่ยปากให้ห่าวอู๋อวี่อุ้มนางบ้าง ให้นางขึ้นหลังบ้างแต่ห่าวอู๋อวี่เองก็เต็มมาก ครั้นหยุดพักซิงอีก็ปฏิบัติห่าวอู๋อวี่ดังน้องชายตัวเอง ทำให้ห่าวอู๋อวี่
"ปรมาจารย์ไป๋อวิ้น ทำไมมารดาของท่านกล่าวว่านางไม่สามารถที่จะเข้าไปในป่าอมตะนั้นได้ ในเมื่อพวกท่านก็อยู่หมู่บ้านอมตะนั้น"จางซินถามขึ้น จึงทำให้จินเป่าสนใจ จึงมองไปดูผู้ที่จางซินกำลังซักถามอยู่ก็เป็นปรมาจารย์ไป๋อวิ้น"ท่านอาจารย์"จินเป่ากล่าวออกมาได้เท่านี้ก็หมดแรง นางไม่สามารถพูดยาวๆได้ เพียงแค่ใช้แรงในการพูดก็หมดแรงเสียแล้วจะให้นางเดินทางไปได้อย่างไรกัน"เจ้าไม่ต้องพูดแล้วลูกศิษย์เจ้าพักผ่อนเถอะ แล้วเรื่องที่มารดาของข้าไม่สามารถเข้าป่าอมตะนั้นได้ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นกินรีชั้นสูง ที่พวกเจ้ารับรู้นั่นแหละ ถึงว่าข้าจะได้เป็นกินรีชั้นสูงแล้วแต่ข้าก็ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับมารดาของข้า นางสามารถรับรู้อันตรายที่อยู่เบื้องหน้าได้นางสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนข้าจุดนี้ค่ายังไม่สามารถที่จะฝึกฝนมันได้ ข้าจึงคิดว่าข้าจะไปกับพวกเจ้าได้ เพราะในเมื่อถ้าหากว่าคาดการณ์ถึงอันตรายได้แล้ว เราก็จะเลี่ยงอันตรายเหมือนที่เราเดินทางเข้ามาในวังหลวงนี้ไง เมื่อถึงจุดอันตรายมารดาของข้าก็จะให้พวกเราหยุดขบวนเดิน แล้วให้ผู้ที่เก่งกาจเข้าไปจัดการกับอันตราย แล้วเราก็เดินมากันแบบไร้อันตรายใดๆ แล้วที่มาร
ระหว่างที่จินเป่าฟังห่าวอู๋อวี่ท่องเกร็ดวิชาไปเรื่อยๆ ตอนนี้นางเองทำสิ่งใดไม่ได้ จึงลองขับเคลื่อนวรยุทธ์ภายในและจดจำเคล็ดวิชาที่ห่าวอู๋อวี่ท่องออกมา นางรู้สึกว่าภายในของนางนั้นปั่นป่วนยิ่งนักไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนวรยุทธเหมือนเดิมอีกแล้ว นางจึงล้มเลิกความพยายามแล้วหันมาจดจ่อกับเคล็ดวิชานั้นแทน นางจดจำทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของห่าวอู๋อวี่ได้ดีทุกคำ จนในที่สุดก็ครบเจ็ดวันจินเป่าค่อยค่อยลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำอันโตของนางมองไปซ้ายมองไปขวา เหมือนกับหลายวันก่อนไม่มีผิด นางอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีม่วงลาเวนเดอร์ และมีน้ำสีดำม่วงอยู่รอบๆ กลิ่นน้ำนี้ก็หอมสมุนไพรเอาเสียมากๆ น้ำอุ่นกำลังพอดี จินเป่ารู้สึกไม่สบายหัว จึงมุดลงไปในน้ำสมุนไพรนั้นแล้วโพล่หัวขึ้นมา นางรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก นางมองออกว่าตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่สามารถกลับไปฝึกยุทธได้อีก แต่นางก็เคยไร้วรยุทธ์มาแล้วนิ แต่ตอนนั้นตอนที่นางมาอยู่ร่างนี้ใหม่ๆ ร่างกายนางไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนี้เท่านั้นเอง แต่สักวันคงจะดีขึ้น "วันนี้ครบวันที่เจ็ดแล้ว ร่างกายแม่นางน่าจะไม่เย็นอีกแล้วล่ะป่ะพวกเจ้าไปช่วยข้าเอาแม่นางขึ้นมาจากหม้อกัน"หว่าฮว่ากล่าว
"เอาเข้าจริงๆข้าก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันอะไรนั่นแค่เพียงท่านห่าวอู๋อวี่ท่องให้จินเป่าฟังแล้วนางจะดีขึ้น"ซิงอีกล่าวถามความคิดเห็นของสหายท่านอื่น"เจ้าต้องรู้จักเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันก่อนเจ้าลองถามองค์ชายรัชทายาทดูสิว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งใด"จางซินพูดขึ้น"ในเมื่อองค์ชายรัชทายาทนั้นเคยร่ำเรียนตำราดัชนีสุริยันต์แล้วทำไมไม่ให้องค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องให้จินเป่าฟังล่ะ"ซิงอีกล่าวขึ้นพลางมองไปยังองค์ชายรัชทายาท"ทำเป็นว่าหากองค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องเกล็ดวิชาดัชนีสุริยันให้จินเป่าฟังแล้วเจ้าจะยินยอมอย่างไรอย่างนั้น"จางหยงกล่าวถามขึ้น"มันก็ใช่ที่เจ้าพูดแต่ข้าก็ไม่รู้ไงว่าในเมื่อท่านห่าวอู๋อวี่ไม่รู้เคล็ดวิชาดัชนีสุริยันต์แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าไปท่องให้จินเป่าฟังแล้วจะดีขึ้น"ซิงอีถามขึ้นอีก"ผู้ใดท่องก็ดีขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าน้ำเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่แม่นางผู้นี้คุ้นเคย และเจ้าสัตว์อสูรจิ๋วนั้นก็เลือกบุรุษผู้นั้นให้ท่องให้เจ้านายมันฟัง มันก็คงจะรู้ความพิเศษพิโสของบุรุษผู้นั้นอยู่ แม่นางผู้นี้ข้ามองดูเจ้าเป็นห่วงแม่นางที่อยู่ในหม้อกลั่นสมุนไพรอยู่หรอก แต่เจ้าก็ต้องหัดฟัง
เมื่อเจ้ากระต่ายกับลี่ลินเข้าไปอยู่ในห้องที่มีหม้อตุ๋นสมุนไพรของจินเป่าอยู่ ลี่หลินเองก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ หม้อหยกใบนั้น นางขับวรยุทธภายใน นางเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในป่านางต้องฝึกควบคุมวรยุทธไปด้วย ส่วนกระต่ายหยกนั้นเป็นสัตว์อสูรประจำต้นหลิวต้องแสงจันทร์ไม่จำเป็นต้องศึกษาเคล็ดวิชาหรือตำราใดๆและไม่ต้องขับเคลื่อนวรยุทธ หากว่ามันบาดเจ็บเพียงรักษาสักพักก็หายขึ้น มันไม่เหมือนสัตว์อสูรแบบหลีหลินถ้ามันบำเพ็ญตบะได้สูงมันก็จะไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกอะไรทั้งสิ้น"เจ้ากระต่ายหยกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าดัชนีสุริยันต์เล่มนี้มีอะไรพิเศษเจ้าถึงเร่งให้ข้าทวงจากองค์ชายรัชทายาทนัก"เสียงห่าวอู๋อวี่ดังขึ้น ทำให้เจ้ากระต่ายหยกดีใจยิ่งนัก ทีห่าวอู๋อวี่มาและเขาก็นำดัชนีสุริยันมาด้วย"ท่อง ต้องท่องเคล็ดวิชา ท่านอ่านเคล็ดวิชาให้เจ้านายฟังได้"เจ้ากระต่ายหยกพยายามพูดภาษามนุษย์พร้อมกับทำท่าทางชี้ไปที่ปากของตัวเองแล้วก็หูของมันเอง"เจ้าจะให้ข้าท่องเคร็ดวิชาดัชนีสุริยันให้นางฟังหรือ"ห่าวอู๋อวี่เองก็ถามขึ้นอย่างสงสัย เจ้าเด็ดน้อยพยักหน้าหงึกๆด้วยความดีใจ เขาเข้าใจความหมายของมัน หลี่หลินจึงลืมตาขึ้นมาดูว่าเขาพูดถึงอะไรกัน ห
"เสวุ่ยเจ้าไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่มาหนึ่งใบอยู่ในท้องพระคลังน่าจะมีอยู่หนึ่งหม้อ เจ้าไปตรวจดูแล้วให้องครักษ์ยกมาที่เรือนรับรอง"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น องค์ชายหกเลยพาทหารองครักษ์ไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่ ในท้องพระคลังมา เมื่อเขาเข้าไปดูก็พบหม้อสมุนไพรใบใหญ่สีเขียวหยกหนึ่งใบ ซึ่งน่าจะให้สตรีผู้นั้นเข้าไปได้จึงสั่งให้ทหารองครักษ์ยกออกมาให้ หมอหยกใบนั้นเป็นหยกสีเขียวมันแพะดูแล้วมีค่ายิ่งนัก เมื่อนำมาเรือนรับรองแล้วก็วางไว้กลางห้อง"ข้าขอเพียงสมุนไพรเท่านั้น แล้วบุรุษน่าจะออกไปด้านนอกได้แล้วกระมังเพราะว่าสตรีผู้นี้ต้องถอดเสื้อผ้าก่อนที่จะลงหม้อ จางซินข้าต้องพึ่งเจ้าอยู่หากเจ้ายังมีธุระที่จัดการยังไม่เสร็จ ช่วยข้าสักพักแล้วเดี๋ยวค่อยไป"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น"ข้าคือสัตว์อสูรของเจ้านายข้าสามารถช่วยเจ้านายได้เจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยท่านนะเจ้าคะ"ลี่หลินรีบพูดขึ้น"นางคือน้องสาวของข้าเหมือนกันเจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยอีกแรงนะเจ้าคะ"ซิงอีรีบกล่าวขึ้น"ได้เลยแม่หนูเพราะข้าต้องให้สตรีช่วยอยู่แล้วล่ะ ลำพังข้าคนเดียวไม่ไหวหรอก บุรุษทั้งหลายออกไปได้แล้วกระมัง เจ้าเด็กน้อยเจ้าอยู่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหน"หว่าฮว่ากล่าวข
"แม่ก็ว่าอยู่แล้วหล่ะว่านางต้องเจ็บสาหัดบ้าง ดูสิอยากได้เคล็ดวิชาดัชนีสุรียันนั้น เป็นไงล่ะจะได้ใช้อยู่หรือนั้น ทำกับลูกเราไว้เยอะเลย เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาททำให้เขามีสภาพย่ำแย่แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน"ฮองเฮากล่าวขึ้น นางนึกย้อนที่เห็นบุตรชายของตัวเองสภาพย่ำแย่ในการประลองยุทธในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุ"ท่านแม่หากเขาต้องการ เขาก็สมควรที่จะได้รับมัน ท่านแม่ดูไม่ออกเลยหรือว่าเป็น ลูกรับมือเขาไม่ได้ทุกกระบวนท่า แต่เขาก็ยอมให้ลูกชนะเขา เพื่อชื่อเสียงของลูกในยุทธภพแห่งนี้ และเป็นบุรุษผู้นั้นที่เอาชนะตงหมิงได้"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น"แต่ก็เป็นลูกไม่ใช่หรอที่ใช้ห่วงสันนิบาตนั้น ทำให้ตรงหมิงนั้นตายไปมันก็เท่ากับลูกเอาชนะเขาได้"ผู้เป็นแม่ยังอยากที่จะให้ลูกได้ชื่อเสียง"ฮองเฮาท่านไม่ใช่ว่าดูไม่ออกกระมัง เพียงแค่เจ้าเห็นองค์ชายรัชทายาทนั้นสบักสะบอมขนาดนั้น เจ้าก็มีความคิดแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ต้องยอมรับว่าคนที่อยู่มิติล่างเหล่านั้นทำให้เรื่องมันจบแบบง่ายๆ ครั้งนี้ข้าคิดว่าข้าจะให้เขาได้ลำดับหนึ่งของเวทีประลองยุทธในครั้งนี้ ในเมื่อสตรีผู้นั้นต้องการดัชนีสุริยันขนาดนั้นเจ้าต้องการมอบให้เขาหรือไม