"เป็นพวกคุณหนูใหญ่เอง เราหนีกันเถอะ"ซิงอีที่เห็นมู๋จินเป่าแล้วจึงเอ่ยขึ้นก่อนจะกระอักเลือดออกมา"พี่ซิงอีเราเล่นกับพวกนางสักหน่อยเถอะ เอาถุงมิติมาก่อนแล้วเราไปร่วมเล่นกัน สัตว์อสูรทั้งหลายพวกเจ้าเล่นสนุกได้ในรูปแบบของมนุษย์นะ พวกเจ้าเหนื่อยกับการหาอัญมณีสีแดงมานานแล้ว เล่นกับพวกเขาหน่อยเถอะ"มู๋จินเป่ากล่าว พลางมองผู้ทดสอบทั้งหลายต่อสู้กับจรเข้ตาไฟอยู่ ตอนนี้จรเข้ตาไฟสบักสบอมมาก มู๋จินเป่าเลยโบกมือเก็บมันเข้าไปในมิติของนางเอง พร้อมกับถุงมิติสองใบของซิงอี และหยิบขวดน้ำอมฤตออกมาให้สัตว์อสูรของนางกับซิงอีได้ดื่ม พอทุกคนได้ดื่มก็หายเหนื่อย"อ๊ามาแล้วหรือน้องสาว ไม่เจอกันนานเจ้ามีวรยุทธ์กับเขาด้วยหรือ แต่ก่อนเจ้ามีวรยุทธเหนือข้ามากนะแต่ตอนนี้ เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก เจ้ามีเพื่อนกับเขาด้วยหรือ 5555+ ทิ้งให้พี่เลี้ยงสู้ผู้เดียวเกือบตายแต่ตัวเองก็ไปมีเพื่อนใหม่ วรยุทธของเพื่อนเจ้ามากจนข้ามองไม่ออกแล้วอย่างไรเล่า พวกข้ามีคนมากกว่าเจ้านิ5555+ ทุกคนจับพวกนี้แล้วยึดป้ายหยกมาทำลายเดียวนี้ เรื่องสัตว์อสูรตนนั้นเดียวออกจากที่นี่ไปก่อนค่อยว่ากันใหม่"มู๋จินเหอเอ่ยขึ้น ทุกคนจึงกรูเข้าไปเพื่อแย่งป้ายหย
หลังจากออกจากป่าอาคมแล้ว ทั้งสองก็ได้มาอยู่ดินแดนต้องห้าม พอทั้งสองเกาะกลุ่มกันแล้วก็มาปรากฏตัวอยู่ในที่เดียวกัน "ครั้งนี้มีผู้เข้าทดสอบที่ผ่านด่านจากป่าอาคมสองร้อยห้าสิบสามคน ในดินแดนต้องห้ามมีป้ายเข้าสำนักเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบป้าย ผู้ใดหาป้ายเข้าสำนักได้และรักษาได้เป็นเวลาสามวันถือว่าผ่านด่าน ป้ายชั้นดีมีสีม่วงมีห้าป้าย ป้ายชั้นกลางมีสีเขียวมีสี่สิบห้าป้าย ป้ายชั้นต่ำมีสีแดงหนึ่งร้อยป้าย เริ่มทำภาระกิจหาป้ายได้ในบัดนี้"เสียงประกาศดังขึ้น "ป้ายเข้าสำนักเป็นแบบไหนน่ะ แล้วที่พี่ซิงอี บอกว่าข้าจะต้องได้ที่หนึ่งในสิบข้าต้องได้ป้ายสีม่วงหรือไม่ก็ป้ายสีเขียว ถ้าเราหาป้ายสีเขียวหรือสีม่าวได้เราต้องหาสองอัน เราจะได้ลำดับพอพอกัน เพื่อในการเรียนเราจะได้เรียนในระดับเดียวกัน เราเริ่มกันเถอะเดียวจะไม่ทันเขา"มู๋จินเป่ากล่าวกับซิงอี"ไม่มีใครบอกอะไรเราเลยจริงๆ เราก็ลืมถามเสียด้วยว่ามันคือสิ่งใด แล้วจะหาได้อย่างไรกัน"ซิงอีกกล่าว และทั้งสองก็เดินไปเรื่อยๆ "เราให้สัตว์อสูรออกมาเป็นเพื่อนดีกว่าไหมเพราะเราไม่พบใครเลยสักคน"ซิงอีกล่าวอีก"ก็ดีเหมือนกันเนาะจะได้ให้สัตว์อสูรไปสอบถามกับสัตว์อสูรด้วย"ม
หลังจากทั้งสองนอนก็ถอดจิตไปยังมิติล่องหนของมู๋จินเป่า "อะไรกันนิเจ้าได้ป้ายสีม่วงอีกแล้วหรือ เราก็ไม่ต้องหาอีกแล้วสินะ แล้วนี้อะไรล่ะ"ซิงอีถามขึ้นอย่างดีใจ"เราไม่ต้องการหาอีกแล้วก็จริงแต่เราจะต้องรักษาป้ายไว้ให้ได้ตลอดการทดสอบนี้ ทางทีดีเราต้องหาป้ายสีแดงมาบังหน้าก่อนไม่อย่างนั้นคนอาจรู้ได้ว่าเรามีมันแล้ว และนี้ก็คือต้นไม้ที่เจ้ากระต่ายหยกขุดมาไง"มู๋จินเป่ากล่าวพลางเดินไปที่ต้นหยางเหมยที่ตอนนี้ตื่นแล้วและมีชีวิตชีวาขึ้นมากเพราะ อยู่ในที่ที่มีไอวิเศษที่อบอุ่นและใกล้แหล่งน้ำอมฤต"ข้าจะให้เจ้าออกไปได้ข้าไม่ต้องการกักขังเจ้าหรอก ข้าต้องการแค่ป้ายสีม่วงเข้าสำนักตะวันเลือนก็เท่านั้น ถ้าเจ้าตกลงมอบป้ายให้ข้า ข้าจะเอาเจ้าไปส่งทันที"มู๋จินเป่ากล่าว พลางมองต้นหยางเหมยที่สั่นลำต้นไปมา พลางกล่าวออกมา ในน้ำเสียงที่เป็นเสียงเด็กน้อยที่แสบอยู่พอตัว"ข้าให้ป้ายเจ้าก็ได้ไม่เห็นจะยากเลยสักนิด แต่ข้าไม่ออกไปหรอก ข้าจะอยู่ในนี้ ไม่ไป! ไม่ไป! ไม่ไป! ข้าจะอยู่ ข้าให้เจ้าเลย แต่ข้าต้องได้อยู่ที่นี่ ให้ไอ้กระต่ายมันขุดรูตรงนี้ให้ข้าด้วยข้าจะอยู่ใกล้ๆบ่อน้ำอมฤต ถ้าเจ้าต้องการพืชวิเศษไว้ใช้งาน ข้าไม่ใช้ปร
ร่างทั้งสี่ก็โผล่บริเวณแหล่งน้ำชั้นสาม เป็นแหล่งน้ำทีอุดมสมบรูณ์ มีพื้นดินอยู่ไม่มากนัก มองแล้วคล้ายๆทะเล ไม่มีต้นไม้สักต้น มีเพียงโขดหิน ถึงว่าทำไม่ ชั้นนี้มีการต่อสู่แย่งป้ายกันง่ายดายเหลือเกิน เพราะไม่มี ที่ใดให้หลบหนีด้วยซ้ำ ซิงอีลากสังขารของมู๋จินเป่าเดินไปหาที่นั่งพัก นางรู้ดีว่ามู๋จินเป่าไว้ใจตนจึงส่งกระแสจิตเข้าไปในมิติ ปล่อยให้ตนดูแลร่างของนางภายในมิติ ทุกคนมุงดูจิ้งจอกเก้าหาง และเจ้าก้อนหิมะสีขาวที่มีแขนมีขาวิ่งได้ มันกำลังพองตัวและพ่นหิมะออกมาเป็นจำนวนมากจนห่อหุ้มร่างของจิ้งจอกเก้าหางสักพักใหญ่ๆร่างจิ้งจอกเก้าหางก็เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์และลุกขึ้นนั่งสมาธิ"เพียงสามวันสัตว์อสูรตนนี้ก็จะมีสัญาญชีพที่ปกติ"เสียงเจ้าก้อนหิมะกล่าวและมันก็พุ่งตัวลงน้ำแล้วเงียบไปทันที มู๋จินเป่าจึงส่งกระแสจิตออกจากมิติไป นางพบร่างของนางนอนอยู่บนโขดหินโดยซิงอีกำลังย่างปลาที่สือยวี่จับมาให้ หลังจากที่เห็นมู๋จินเป่าตื่นแล้วซิงอีก็เรียกมากินปลา"เป็นยังไงบ้างลี่หลินมีอาการน่าเป็นห่วงหรือไม่"ซิงอีถามด้วยความเป็นห่วง พลางมองมู๋จินเป่าเดินเข้ามาหาและนั่งลงข้างๆนาง"เหลือเพียงอีกชั้นเดียวแล้วเราก็ไปครบ
หลังจากที่ทุกคนปรากฏตัวขึ้นใต้แท่นพิธีคัดนักศึกษาเข้าสำนัก มีอาจารย์ที่คัดเลือกอยู่เพียงสิบกว่าท่านแค่นั้น ส่วนผู้เข้าศึกษาบางคนก็ไม่ได้เข้าทดสอบเพราะรู้จักคนใหญ่คนโตในสำนัก หลีชุนชุนเป็นคนหนึ่งที่ได้เข้าศึกษา ทั้งที่ไม่ได้เข้าทดสอบ นางมองมายังมู๋จินเป่าพร้อมกับทำท่าทีเย้ยหยันอย่างเต็มที่ นางคิดว่ามู๋จินเป่าจะไม่ติดหนึ่งในสิบด้วยซ้ำเพราะนางไม่ได้ป้ายเข้าสำนักสีม่วง ทางด้านมู๋จินเป่าออกมาจากดินแดนต้องห้ามก็เดินตามหาซิงอีเพื่อจะได้ให้ป้ายเข้าสำนักสีม่วงและอัญมณีสีแดงกับป้ายหยกที่มีรายชื่อของซิงอีติดอยู่ก็เจอเข้ากับกลุ่มของบุรุษที่เคยช่วยนางเอาไว้ "กลุ่มพวกท่านได้ป้ายสีเขียวครบทุกคนแล้วหรือ"มู๋จินเป่าถามขึ้นอย่างแผ่วเบา"ขาดอีกสองป้ายเหมือนเดิมนั้นแหละช้้นเวหาไม่พบของดีๆกันเลย ดีนะที่เอาชีวิตรอดได้ พวกเจ้าเอาป้ายเขียวหรือไม่ เดียวพวกข้าสี่คนใช้ป้ายสีแดงได้ เดียวเข้าไปแล้วค่อยหาทางไปอยู่ร่วมกัน"บุรุษผู้นั้นกล่าวพลางมองมู๋จินเป่าด้วยใจจริง สักพัก จางหยงกับจางซินและซิงอีก็เดินมาหานาง พอดี"นี้ป้ายเข้าสำนักสีเขียวสองป้ายของพวกเจ้า รับไปเถอะแล้วก็เอาป้ายเข้าสำนักสีแดงออกมาให้ข้าด้วย"จางซ
หลังจากทดสอบเข้าสำนักได้สำเร็จแล้ว ก็เป็นเวลาพักผ่อนเจ็ดวัน ที่ทางสำนักให้เวลากับนักศึกษาทุกคน มู๋จินเป่าและซิงอีถูกผู้นำตระกูลห่าวอู๋เรียกไปพบถึงสามครั้ง แต่ห่าวอู๋อวี่ไม่พาไปเพราะสตรีที่ชื่อหลี่ชุนชุนอยู่ที่เรือนใหญ่ของตระกูลห่าวอู๋ตลอดเวลา ตนไม่ต้องการพบหน้านางจึงปฏิเสธทุกครั้งที่มีคนมาชวนไปเรือนใหญ่ ก่อนวันเข้าสำนักห่าวอู๋อวี่ได้เข้าไปพบอาจารย์ใหญ่ในสำนัก ซึ่งคือปรมาจารย์ไป๋อวิ่นที่ดำรงตำแหน่งนี้อยู่"ไม่พบกันเสียตั้งนาน ตอนที่ข้าเรียกเจ้ามาเรื่องทดสอบเด็กใหม่เข้าสำนักเจ้าก็รีบไปยิ่งนัก ข้ายังไม่ได้พบกับเจ้าเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ เจ้าว่าเด็กจินเป่าเด็กใหม่ลำดับหนึ่งเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ข้าว่าในตัวนางมีสิ่งมหัศจรรย์อยู่แน่นอน"อาจารย์ไป๋อวิ่นกล่าวขึ้น"ข้ามาก็เพื่อสิ่งนี้แหละท่านอาจารย์ สัตว์อสูรงูเห่าดำตัวนั้นมันเป็นของข้าเองนั้นแหละ ข้ามาวันนี้ข้าต้องการให้ท่านอาจารย์ดูแลนางแทนข้า นางน่าจะศึกษาสำเร็จภายในหนึ่งปี และเราจะออกเดินทางดังที่ข้าเคยหวังไว้ในอดีต ที่ข้าเคยถามอาจารย์เรื่องมิติอื่นๆ เราสองคนมีใจตรงกันที่จะออกเดินทางท่องโลก และนี้ผลหลิวต้องแสงจันทร์ที่ข้าไปตามหามารักษาพี
"ในชั้นเรียนวิชานี้ข้าจะให้ลูกศิษย์ทุกคนทดสอบทางด้านจิตใจ ข้ามีห้องให้ทั้งหมดสิบห้อง แต่ละห้องจะให้นักศึกษาแต่ละคนเลือกเข้าไปด้านใน ให้อยู่ในนั้นเป็นเวลาห้าชั่วโมง ถ้าครบห้าชั่วยามโดยจอภาพหน้าห้องว่างปล่าวผู้นั้นถือว่าผ่าน ข้ามีอัญมณีสีม่วงให้ทั้งหมดสิบก้อนถ้าใครผ่านจะได้รับอัญมณีสีม่วงในจำนวนที่เท่าๆกัน ผู้ที่ผ่านแล้วครั้งหน้าจะไม่ได้เข้าจนกว่าเพื่อนจะผ่านหมด แต่ครั้งหน้าข้าไม่มีอัญมณีสีม่วงให้แล้วนะ555 ได้เฉพาะคนที่ทดสอบจิตใจได้ครั้งแรกเท่านั้น วิธีที่ง่ายคือเข้าไปข้างในแล้วทำจิตใจให้สงบห้ามคิดสิ่งใด เพราะถ้าพวกเจ้าคิดสิ่งใด ข้าก็จะเห็นทันที555 ถ้าเจ้าคิดถึงบุรุษหรือสตรีคนรักข้าก็จะเห็นกับเจ้าด้วย หรือถ้าผู้ใดเผลอหลับข้าก็จะเห็นความฝันของคนนั้น ข้าจะนั้งตรงกลางเพื่อสังเกตุเห็นจอหน้าห้องของทุกๆคนไม่ต้องห่วง "อาจารย์วิชาด้านจิตใจสอน เพราะผู้ที่อยู่ระดับสูงมักจะต้องจิตใจเข้มแข็งอยู่แล้ว ทุกคนเดินตามอาจารย์ไปก็เห็นห้องที่มีประตูเรียงกันสิบห้องเป็นขนาดครึ่งวงกลม เหมือนที่อาจารย์กล่าวไว้ไม่มีผิด มีตั่งนั่งตรงกลางไว้เพื่อนั่งมองหรือจะนอนก็ได้มองเห็นได้ทุกๆห้องที่เรียงกันเป็นครึ่งวงกลม มี
"ท่านอาจารย์เรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่หรือ เมื่อคืนพวกข้าอยู่กับแม่นางทั้งสองทั้งคืนเลยนะ แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปทำร้ายพวกเขากันล่ะ"บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ในลำดับสูงกล่าวกับท่านอาจารย์ "พวกเจ้าอยู่ระดับเดียวกันไม่รู้หรอกหรือว่าซิงอีมีสัตว์อสูรเป็นจระเข้ตาไฟมันจะลงมือตอนไหนก็ได้นิ"มู๋จินฮุยกล่าว"แล้วพวกเจ้าก็เห็นแล้วนิว่ามีแส้อะไรที่ไหนแล้วกระจกที่พวกเจ้าขโมยไปก็ไม่เห็นมี แล้วเมื่อคืนแม่นางซีอีกับแม่นางจินเป่าก็นำสัตว์อสูรออกมาอยู่กับพวกเราทั้งคืน แล้วพวกเราก็นำสัตว์อสูรของพวกเราออกมาด้วยถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ถามอีก 7 คนที่อยู่ในนี้สิเพราะพวกเราอยู่ด้วยกันทั้งคืน"บุรุษผู้นั้นกล่าว "พวกเราก็เพิ่งรู้ว่าแม่นางซิงอีกับแม่นางจินเป่าเป็นแค่สาวชาวป่าธรรมดา แต่พวกเราก็ไม่รังเกียจนางหรอกนะที่จะศึกษากับพวกเราในสำนัก พวกเจ้าไม่ต้องคิดแทนพวกข้าขนาดนั้น เพราะพวกเราอยู่ในระดับเดียวกัน ย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรท่านอาจารย์โปรดเห็นใจแม่นางทั้งสองเถอะ ที่ถูกใส่ร้ายที่ถูกขโมยของ และข้าก็เป็นคนนึงที่เป็นพยานให้แม่นางทั้งสองได้"สตรีในระดับสูงกล่าว การกระทำทุกอย่างท่านอาจารย์ที่เพิ่งสอนวิชาด้านจิตใ
ทางด้านสำนักศึกษาพายัพก็ได้มาโผล่ตรงจุดบริเวณป่าดงดิบซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ซึ่งเวลานี้เป็นเวลากลางวันจึงทำให้มองแล้วต้นไม้สวยงามดี สำนักศึกษาพายัพนี้มีบุรุษที่เข้าร่วมเพียงสองคนและส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะเป็นสตรี ซึ่งสตรีทุกคนก็ชอบดอกไม้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว "ท่านพี่ลี่อินดูดอกไม้พวกนี้สิเหมาะกับท่านจริงๆนะ"สตรีนางหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้นพลางชี้ให้ดู ดอกไม้สีแดงสดที่บานสะพรั่งเป็นป่าสวยงามยิ่งนัก"ดูอย่างเดียวก็พอนะ พวกสตรีนี่ช่างน่าเบื่อเสียจริงๆ ดอกไม้งามแต่เจ้าได้ฟังท่านอาจารย์บอกหรือไม่ว่า ป่าแห่งนี้มีพืชพันธุ์ที่มีพิษ เห็นดอกไม้งามก็หลงเสียแล้ว โปรดจำไว้ทุกอย่างในที่นี่ย่อมอันตรายเสมอ"บุรุษในกลุ่มกล่าวขึ้นอย่างเบื่อหน่ายที่พวกสตรีสนใจดอกไม้"ป่าดงดิบในหุบเขาบรรพกาลนี้อยู่ทางทิศไหนของป่าหรือ ผู้ใดที่รับแผนที่มา จากท่านอาจารย์ช่วยแจ้งข้าได้หรือไม่ว่าตอนนี้เราอยู่ทิศใดกัน"มู๋ลี่อินถามขึ้นหลังจากที่ตื่นจากภวังค์ เมื่อบุรุษผู้หนึ่งกล่าวเตือนสติให้หลุดจากดอกไม้ที่สวยงาม เพราะมีผู้กล่าวถึงเรื่องพิษของพืชพันธุ์จึงทำให้นางตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง"ข้าเองข้าเป็นผู้รับแผนที่มา ถ้าจำไม่ผ
หลังจากร่ำเรียนอย่างเอาจริงเอาจังมาเป็นเวลาเดือนครึ่งก็ถึงเวลาแล้วที่จะได้เข้าแข่งขันระดับสำนักกันแล้ว ในตอนเช้าปรมาจารย์ไป๋อวิ่น ก็พานักศึกษาทุกคนที่อยู่ระดับสูง ออกไปจากสำนักเดินทางไปในทางทิศใต้ของสำนัก ใช้เวลาเดินทางเพียง หนึ่งก้านธูปก็เจอกับสำนักอีกสองสำนักที่พานักศึกษามาสำนักล่ะสิบคน"ทั้งสามสำนักก็มากันครบแล้ว วันนี้ทั้งสามสำนักจะทำการแข่งขันกัน โดยที่ทั้งสามสำนัก จะส่งตัวแทนของนักศึกษา แต่ละสำนัก สำนักละสิบคน สำนักแรกสำนักศึกษาตะวันเลือนของปรมาจารย์ไป๋อวิ่น สำนักที่สองสำนักศึกษาพระจันทร์เสี้ยวของปรมาจารย์หรูตรงหยาง สำนักที่สามสำนักศึกษาพายัพของปรมาจารย์หวงเฟยเฟย ซึ่งนักเรียนทั้งสามสิบคนต้องเข้าไปในหุบเขาบรรพกาล ในเวลาครึ่งเดือน นักศึกษาจะทำการ ค้นหาไข่มุกแห่งบรรพกาลทั้งสี่ทิศ เมื่อหาครบทั้งสี่ทิศแล้ว จะมีเพียงผู้เดียวที่สามารถนำไข่มุกไปยังกลางหุบเขาบรรพกาล และนำไปเปิดหีบกลางหุบเขาบรรพกาลสำเร็จ สำนักนั้นถือว่าชนะ ในครั้งนี้มีอยู่แค่สามสำนัก หากสำนักใดได้ไข่มุกแห่งบรรพกาลถึงสองทิศสามารถรวบรวมไข่มุกทั้งสี่ เข้าไปในใจกลางหุบเขาบรรพกาลได้เป็นสำนักแรก แต่มีกฎว่าต้องเป็นสตร
หลังจากที่เรียนวิชาปรุงสมุนไพรแล้วซิงอีรู้สึกว่าตนถนัดวิชานี้ นางจึงศึกษาตำราที่ท่านห่าวอู๋อวี่ให้นางมา ส่วนมู๋จินเป่าเองก็ฝึกฝนวิชามิติโน้มถ่วง โดยการบีบเส้นลมปราณให้เข้ากับมิติล่องหนของตนหลังจากใช้เวลานานเกือบถึงเดือน นางก็ผลึกเส้นลมปราณทั้งสิบสองเส้นกับมิติเข้ากันเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้แล้ว หลังจากที่มิติล่องหนกับเส้นลมปราณทั้งสิบสองเชื่อมต่อกัน มู๋จินเป่าเองก็รู้สึกว่าร่างกายของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงเวลาที่นางสร้างเกราะป้องกันนางเพียงแค่คิดก็มีเกาะป้องกันโปร่งใสแต่มันดูไม่แข็งแกร่งเท่าเกาะป้องกันอย่างวรยุทธ์เอาเสียเลย มันเป็นเหมือนจะนุ่มเสียมากกว่า "พี่ซิงอีท่านลองแทงข้าทีเถอะ ถ้าอยากรู้ว่าเกาะป้องกันของข้าจะเหนียวนุ่มขนาดไหน " มู๋จินเป่ากล่าว "เจ้าจะบ้าหรือจะให้ข้าแทงเจ้าได้อย่างไร " ซิงอีกล่าวด้วยความตกใจ "ก็แค่ลองแทงดูเฉยๆ ข้ าแค่อยากรู้ขอบเขตของเกาะป้องกัน เอาแบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวข้าไปหาท่านอาจารย์ใหญ่ดีกว่า ข้าจะได้ให้เขาสอนต่อไป" มู๋จินเป่ากล่าวแล้วเดินจากไป "เจ้าผลึกเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้นกับมิติล่องหนได้แล้วหรือถึงมาหาข้า หรือว่าช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยได้เรียนเพราะพ
เช้าวันต่อมาก็ถึงเวลาเรียนวิชาปรุงยา ลำดับแรกอาจารย์ก็สอนให้แยกสมุนไพรว่าสมุนไพรไหนสดที่เพิ่งเก็บมาใหม่ และสมุนไพรไหนเก็บมานานแล้ว หลังจากสอนให้จำแนกเสร็จแล้วก็ให้ทดสอบทุกคนในชั้นทดสอบได้ดี โดยเฉพาะจางหยงและจางซิน หลังจากเรียนเรื่องสมุนไพรเก่าใหม่แล้ว อาจารย์ก็ให้นักศึกษาทุกคนไปเก็บสมุนไพรกันได้และพรุ่งนี้เช้าก็จะมาเข้าเรื่องการปรุงสมุนไพร "อาจารย์ให้ไปเก็บสมุนไพรแต่ให้เราอ่านแค่ลักษณะของสมุนไพรแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นสมุนไพร ที่ท่านอาจารย์ต้องการกันล่ะ แต่ที่ท่านอาจารย์สอนเรามาว่าให้สัมผัสลูปไปลูปมาก็จะรู้ว่าสมุนไพรไหนเก่าสมุนไพรใหม่ๆ แต่ข้าไม่ได้ทำตามที่อาจารย์เลยนะ ก็รู้สึกว่าข้าแค่สัมผัสและได้กลิ่นสมุนไพร ข้าก็รู้แล้วว่าอันไหนใหม่ว่าอันไหนเก่า ข้ารู้แล้วแหละจินเป่าถ้าจะศึกษาวิชาปรุงสมุนไพรแบบเต็มตัว ข้าดูแล้วว่าสิ่งนี้แหละที่เหมาะกับข้า" ซิงอีกล่าว "ซิงอีเจ้าเองก็สัมผัสสมุนไพรเก่าสมุนไพรใหม่เหมือนกับคนตระกูลข้าเลย ครอบครัวข้าเป็นนักปรุงสมุนไพรข้าเลยได้เลือดจากตระกูลมา มีแต่พี่จางหยงนั้นแหละที่ไม่ได้กลิ่นของสมุนไพร แต่พี่เขาเก่งไงถึงจำแนกมันออกได้เร็วกว่าข้าเสียอีก"
มู๋จินเป่าเดินมาถึงเรือนอาจารย์ใหญ่ก็พบกับห่าวอู๋อวี่ทำให้นางดีใจเป็นอย่างมาก พออาจารย์ใหญ่เห็นมู๋จินเป่ากับหลี่หลินเดินมาก็เรียกทั้งสองนั่งลง" แม่นางจิ้งจอกเก้าหางขนของเจ้าตอนนี้ก็ขาวราวหิมะงดงามยิ่งนัก "อาจารย์ใหญ่ปรมาจารย์ไป๋อวิ่นกล่าวขึ้นพลางลืมตัว มู๋จินเป่าเห็นสายตาที่ปรมาจารย์มองลี้หลินก็เกิดสงสัยในตัวปรมาจารย์"นี่คือสัตว์อสูรของข้า งั้นเดี๋ยวข้าเก็บสัตว์อสูรของข้าก่อนก็แล้วกัน แล้วจะได้คุยกันสะดวกขึ้น"มู๋จินเป่ากล่าวพลางเก็บลี่หลินเข้ามิติล่องหน"งั้นเจ้าสองคนจะคุยอะไรกันก็คุยเถอะ แม่นางจินเป่าเดี๋ยวเจ้าคุยกับลูกศิษย์เก่าของข้าแล้ว ข้าขอคุยอะไรกับเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"ปรมาจารย์กล่าวขึ้น"งั้นท่านอาจารย์ก็คุยกับจินเป่าก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าคุยธุระของข้าทีหลัง เพราะข้าน่าจะคุยนานอยู่"ห่าวอู๋อวี่กล่าว"ข้าก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากหรอก ข้าแค่อยากบอกว่าต่อไปนี้ที่เจ้าเรียนเสร็จทุกวันให้เจ้ามาหาข้าที่เรือน ข้าจะสอนวิชาควบคุมมิติให้เจ้า ก็แค่เท่านั้น เพราะตอนนี้ข้าดูดูเจ้านมิติของเจ้าก็เป็นได้แค่ที่เก็บของดีๆนี้เอง"ปรมาจารย์กล่าวขึ้น ทำให้จินเป่าตกใจกับคำพูดของปรมาจารย์มาก"ไ
หลังจากที่ทั้งสี่ ไปจับจ่ายสิ่งของมาทำหม้อไฟเสร็จทุกคนก็ช่วยกันเตรียมหม้อไฟ พอถึงเวลาจัดงานเลี้ยง มู๋จินเป่าเห็นว่าทุกคนเหนื่อยล้ากับการเรียนวิชาการต่อสู้วันนี้ นางจึงทำชาดอกฮวาซึ่งต้มด้วยน้ำอมฤตทำให้ผู้ดื่มกระชุ่มกระชวยยิ่งนัก ในการนั่งกินหม้อไปคืนนี้ทุกคนก็คุยกันแต่เรื่องของคุณชายตระกูลห่าวอู๋กับคุณหนูตระกูลหลี่ จนทำให้ซิงอีโมโหขึ้นมา พอซิงอีหันมามองมู๋จินเป่านางก็สนุกสนานไปกับพวกเขาทำให้ซิงอีโกรธไปกันใหญ่ ทางด้านหลี่ชุนชุน เมื่อรู้ว่าหลายคนรับรู้เรื่องของนางแล้ว นางจึงต้องการความจริงว่าข่าวของนางมาได้อย่างไร นางจึงแอบไปพบกับห่าวอู๋หรง"เรื่องอยู่ในจวนเจ้าในวันนั้นมีผู้ใดรับรู้บ้าง ข้าสงสัยเหลือเกินว่าทำไมผู้คนที่อยู่ในสำนักตะวันเลือนเขาถึงรู้กัน คนผู้นั้นคือแม่นางซิงอี นางพูดเหมือนรู้เรื่องของข้ายังไงยังงั้น ทั้งที่ข้าไม่เคยเห็นนางออกจากสำนักเลยแม้แต่น้อย ที่ๆพวกนางไปก็มีแต่ป่าตะวันแค่นั้นเอง ต้องมีคนในจวนเจ้าออกมาพูดเรื่องนี้ แล้วเจ้าคิดดูเถอะว่าข้าจะเสียหายขนาดไหนถ้ามีคนมาพูดแบบนี้กับข้า"หลีชุนชุนกล่าวกับสหาย"เรื่องของวันนั้นในส่วนของข้า ท่านพ่อก็ให้ทุกคนปิดข่าวเรื่องนี้
วันนี้ก็เป็นวันที่กลับมาเรียนอีกครั้งของเดือนใหม่ และวันนี้ต้องเรียนวิชาการต่อสู้ มู๋จินเป่าและซิงอี ได้ฝึกฝนการควบคุมวรยุทธโดยการใช้จิตเพ่งไปที่ฝ่ามือแล้วก่อให้เกิดวรยุทธที่ฝ่ามือขึ้นได้แล้ว นางสองคนใช้เวลาสามวันที่กลับมาจากป่านภาตะวัน ในการฝึกฝนจึงทำให้ตอนนี้เริ่มชำนาญมากขึ้นแล้ว พอรู้ว่าตัวเองจะเรียนวิชาอะไรทุกคนก็เดินไปยังลานต่อสู้ทันที หลังจากทุกคนมาถึงลานต่อสู้แล้ว ข่าวของหลี่ชุนชุน กับคุณชายสี่ตระกูลห่าวอู๋ เรื่องมาถึงหูของซิงอีทำให้นางเดือดดานเป็นอย่างมาก"เจ้าได้ยินหรือไม่จินเป่า ข่าวของแม่นางหลี่ชุนชุน กับท่านห่าวอู๋อวี่มันคือสิ่งใดกัน เจ้าไม่ได้อยู่กับเขาเพียงแค่ 2 เดือนเขาก็เปลี่ยนใจไปจากเจ้าแล้วหรือ แล้วแบบนี้เจ้าจะทำเช่นไร"ซิงอีกระซิบถามมู๋จินเป่า"มันไม่มีสิ่งใดหรอกพี่ซิงอี แม่นางหลี่ชุนชุน ให้บิดาของนาง ไปขอสานความสัมพันธ์ให้นางและห่าวอู๋อวี่ แต่บิดาของท่านห่าวอู่อวี่ไม่ได้ตกลง จึงเรียกท่านห่าวอู๋อวี่ไปคุยกันเรียบร้อยแล้วไม่มีสิ่งใดหรอกท่านพี่"มู๋จินเป่ากล่าว"เจ้ารู้สิ่งนี้ได้อย่างไรกันในเมื่อเจ้าก็อยู่กับข้าในสำนักนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เจ้าแอบไปหากันตอนใดหรือ"ซิงอี
หลังจากที่มู๋จินเป่าแทงกริชไปที่หน้าท้องของเสือดาวแล้ว ก็กลิ้งหลบเสือดาวทันที เสือดาวที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก็กระโดดหันหน้ามาใส่มู๋จินเป่าอีกครั้งและมองหน้านาง มู๋จินเป่าจึงเตรียมท่าต่อสู้อีกครั้ง สัตว์อสูรเสือดาวก็ร้องโฮ่ง! และวิ่งหนีไป เมื่อเพื่อนมันเห็นว่ามีตัวหนึ่งวิ่งไปแล้วพวกมันจึงออกวิ่งตามกันไป คนที่ต่อสู้กับเสือเสือดาวเมื่อสักครู่นี้ร่างกายของเขาก็มีบาดแผลเป็นจำนวนมาก"ดีจริงๆที่พวกท่านมาช่วยข้าไว้ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้านมันไม่ไหวเป็นแน่ เดิมทีข้าคิดว่าเสือดาวแค่ไม่กี่ตัว แต่พอข้ามาต่อสู้กับมันจริงๆมันเรียกพวกมันมา ข้าต่อสู้ทุกกระบวนท่าแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย แล้วเราก็สมควรที่จะไปจากตรงนี้เถอะข้ากลัวว่าที่มันหนีหายไปมันอาจจะไปตามพวกมันมาก็ได้"บุรุษที่ต่อสู้อยู่กับเสือดาวเมื่อคู่นี้กล่าวขึ้น พลางมองหน้ามู๋จินเป่าและก็เห็นวรยุทธของนางก็ตกใจว่านางมีวรยุทธที่ต่ำ แต่ทำไมถึงแทงเข้าไปในหนังของเสือดาวตัวนั้นได้ ตนใช้วรยุทธอยู่สักพักก็ไม่สามารถทำให้สัตว์อสูรเสือดาวเป็นอะไรได้สักตัวเดียว"กริชของเจ้าช่างคมอะไรเช่นนี้ ให้ข้าขอดูหน่อยจะได้หรือไม่"บุรุษแปลกหน้าที่ต่
หลังจากจบคาบเรียนในวันนั้น มู๋จินเป่ากับซิงอีก็ขอคำปรึกษาจากจางหยงอยู่บ่อยๆ เพราะตนกลัวว่าในคาบเรียนต่อไปจะเป็นการต่อสู้แบบใช้พลังวรยุทธ ซึ่งทั้งสองคนไม่เก่งด้านนี้เลยสักนิดแต่ในคาบเรียนครั้งหน้าก็เป็นอีกเดือนต่อไปแล้ว ทั้งสี่จึงปรึกษากันว่าหลังจากครึ่งเดือนที่เรียนในสำนักเสร็จสิ้นแล้วจะต้องออกหาประสบการณ์"ท่านพี่ถ้าครั้งหน้าท่านพี่กับจินเป่าเหลือเพียงสองคนเท่านั่น แล้วที่ท่านพี่สอนนางไป ท่านพี่จะไม่เสียดายหรอกหรือที่ต้องมาสู้กับคนที่ตัวเองสอน555"จางซินถามพลางหัวเราะและมองหน้าจางหยง"จะเหลือสองคนได้อย่างไรกัน ข้าพึ่งร่ำเรียนวิชาการต่อสู้โดยการใช้วรยุทธเพียงเท่านี้ แค่ครึ่งเดือนข้าคิดว่ายังไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าไรหรอก ข้าแค่ไม่อยากขายหน้าก็แค่เท่านั้น จึงให้ท่านจางหยงสอนให้เล็กน้อย แต่ถ้าเหลือสองคนจริงๆ ข้าและท่านจางหยงจะทำให้ดีที่สุด จะได้รู้ว่าอาจารย์หรือลูกศิษย์ที่เก่งกว่ากันฮ่าๆๆเป็นไง"มู๋จินเป่ากล่าว "ถึงเจ้าจะไม่เคยเรียนการต่อสู้ด้วยวรยุทธก็ตาม แต่ดูเจ้าแล้วเจ้าหัวไว้ใช้ได้เลยทีเดียว ข้าก็เกรงเหมือนกันว่าในการเรียนครั้งหน้าในวิชาต่อสู้ ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะชนะข้าได้เพรา