อีกด้านหนึ่งของบริษัทซาเลียน อินโนเวชั่น เสียงฝีเท้าเร่งร้อนสะท้อนไปตามทางเดินหินอ่อน ธีภพ พุ่งตัวออกจากอาคารโดยไม่สนสายตาใครทั้งสิ้น โทรศัพท์แนบอยู่ข้างหู มืออีกข้างกำแน่นกับพวงกุญแจรถ “ติดสาย…อีกแล้วเหรอ!” "รับสายผมสักทีสิ..นารา!" เขากดโทรซ้ำ สายที่ห้า…เจ็ด…สิบ ไม่มีคำตอบ ไม่มีแม้แต่เสียงฝากข้อความ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดจนแทบไม่หลงเหลือสีเลือด หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิดออกมากลางอก เขาเหวี่ยงประตูรถเปิดอย่างรุนแรง สอดตัวเข้าไปหลังพวงมาลัย เหยียบคันเร่งกระชากรถออกไปทันที ในหัวมีเพียงชื่อเดียว นารา! ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที คีรณัฐ โทรมา เสียงของเพื่อนสนิทนิ่งผิดปกติ แต่เฉียบคมจนน่าขนลุก “ธีภพ…เราจับภาพได้จากกล้องวงจรปิดในลานจอดรถของวรเมธินทร์ มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวเป็นช่างบำรุง เข้าทำอะไรบางอย่างใต้รถของนารา แล้วตอนนี้…นาราขับรถคันนั้นออกไปแล้ว” คำพูดนั้นทำให้สติของเขาแทบขาดห้วง “เธอจะไปไหน?” “เห็นว่าเมื่อกลางวันเธอไปซื้อของฝาก เหมือนเธอจะกลับบ้านพ่อแม่ที่ชานเมือง” ทันทีที่ได้ยิน…ธีภพไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขาไม่คิดถึงแผนการ ไม่คิดถึง
นาราพยายามหายใจลึก ควบคุมสติ มือหนึ่งประคองพวงมาลัย อีกมือค่อย ๆ เลื่อนเกียร์ลง เสียงเครื่องยนต์เริ่มเปลี่ยนจังหวะ ความเร็วลดลงทีละน้อย…แม้จะไม่มาก แต่ก็เพียงพอให้พอมีหวัง “ดีมาก…อย่ากลัว ผมอยู่กับคุณแล้ว” เสียงของธีภพในสาย ทำให้หัวใจเธอพอจะเกาะความหวังไว้ได้อีกนิด “เปลี่ยนไปเกียร์ 2…แล้วเปิดไฟฉุกเฉิน! ให้รถข้างหลังเห็น! แล้วค่อย ๆ ใช้เบรกมือดึงขึ้นทีละนิด เข้าใจไหม? อย่าดึงแรงเด็ดขาด!” มือของเธอสั่น…แต่ยังมีแรง เธอเปิดไฟฉุกเฉิน และค่อย ๆ ดึงเบรกมือทีละจังหวะ เสียงยางเสียดกับพื้นถนนอย่างหนัก รถสะบัดเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเริ่มชะลอลงทีละเมตร…ทีละวินาที… ... อีกด้านหนึ่งของถนน ธีภพ กำลังขับตามเธอมาอย่างสุดแรง เขารู้เส้นทางนี้ เขารู้ทุกโค้ง ทุกจังหวะ และตอนนี้…เขารู้ว่าเธอกำลังต่อสู้กับความตายอยู่เพียงไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้า เขาภาวนาอยู่ในใจ “ขอให้ทัน…ขอให้คุณไม่เป็นอะไร…” รถของเธอค่อย ๆ ชะลอลง… ชะลอลงทีละเมตร เสียงเครื่องยนต์ยังครางต่ำ เข็มความเร็วลดจากร้อย…ลงมาที่แปดสิบ…เจ็ดสิบ… หัวใจของ นารา ยังเต้นระรัว ฝ่ามือที่จับพวงมาลัยเปียกชื้นด้วยเหงื่อ แต
แต่แล้ว สายตาเขาก็สะดุดเข้ากับบางสิ่ง…บางคน ห่างออกไปจากรถบรรทุกไม่กี่เมตร ร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงข้างทาง ท่ามกลางหมอกควันบาง ๆ เธอ…นารา ร่างของเธอสั่นระริก ใบหน้าเปื้อนฝุ่น เลือดซึมจากข้างขมับ เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ตามตัวมีร่องรอยของบาดแผล แต่ดวงตาคู่นั้นยังลืมขึ้น และเธอ…ยังหายใจ ธีภพไม่พูดสักคำ เขาวิ่งพรวดเข้าหาเธอ อ้อมแขนของเขารวบเธอไว้แน่นในวินาทีเดียว “นารา!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโล่งอก ปนสั่นไหว เหมือนคนที่เพิ่งได้หัวใจตัวเองกลับคืนมา เขาประคองเธอออกห่างจากจุดอันตรายนั้น ดวงตาเขาสำรวจร่างเธอทีละส่วน “คุณเจ็บตรงไหน? เดินได้ไหม? หายใจสะดวกไหม?” นาราพยักหน้าทั้งที่น้ำตาคลอ เสียงเธอแหบพร่า แต่ยังคงมีพลัง “ฉันยังไม่ตาย…” ธีภพไม่พูดอะไรอีก เขาช้อนเธอขึ้นในอ้อมแขนแล้วพาเธอเดินฝ่าฝูงชนไปยังรถของเขา ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็สตาร์ทรถ และเหยียบออกไปให้ไกลจากกลิ่นน้ำมันกับควันที่ยังคงลอยฟุ้ง ทิ้งความอันตรายไว้เบื้องหลัง และพาหัวใจของเขา…ที่เขาเกือบจะสูญเสียไปอีกครั้ง กลับคืนมาไว้ในอ้อมแขน เมื่อรถแล่นพ้นเขตรถติดและเสียงไซเรน ธีภพจึงค่อย ๆ ชะล
ธีภพ เหลือบมองคนข้างกายครู่หนึ่ง เห็นเธอนั่งนิ่ง พิงเบาะอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วต่ำ นุ่มลึก “โทรบอกคุณพ่อคุณแม่ของคุณเถอะครับ ว่าวันนี้ไม่ได้ไปแล้ว พวกท่านจะได้ไม่ต้องรอ…เดี๋ยวผมจะพาคุณกลับบ้านเอง” นารา พยักหน้าเบา ๆ แม้ยังไม่หมดความมึนจากแรงกระแทก แต่เธอก็รู้ดีว่า…คนเป็นพ่อเป็นแม่คงรอเธอด้วยใจจดจ่อ เธอกดโทรศัพท์ต่อสายไปยังบ้าน ปลายสายรับอย่างรวดเร็ว ราวกับรออยู่นาน “แม่…พ่อ…หนูขอโทษนะคะ วันนี้หนูไม่ได้ไปแล้ว” เสียงเธอนุ่มแผ่ว แม้พยายามทำให้ฟังดูปกติ แต่คุณบงกชก็จับได้ทันที “นารา หนูเป็นอะไรเสียงไม่เหมือนเดิม…เกิดอะไรขึ้น!” นาราหัวเราะแห้ง ๆ เล็กน้อย “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ หนูไม่เป็นไรมาก ตอนนี้เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล…เดี๋ยวจะกลับบ้านแล้วค่ะ” เสียงของคุณพิรัชต์แทรกเข้ามาอย่างกังวล “แน่ใจนะลูก เจ็บตรงไหนไหม ต้องให้พ่อไปรับไหม” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ…หนูโอเคจริง ๆ ค่ะ” เธอย้ำคำเบา ๆ เพื่อให้ทั้งสองท่านสบายใจ ทั้งสองยังถามอาการอีกพักใหญ่ ก่อนจะยอมวางสายด้วยเสียงที่ผ่อนคลายขึ้น นาราวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะรู้สึกถึงฝ่ามืออ
นารายังคงเงียบ แต่สายตาเธอไม่เคลื่อนจากใบหน้าเขาเลย เหมือนเธอฟังทุกคำ พร้อมกับชั่งน้ำหนักมันในใจ “หลังจากนั้นคุณหายไป” เธอพูดขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงนุ่ม แต่แฝงแววระแวง “แล้วตอนที่คุณหายไป…คุณไปทำอะไร” เธอมองเขาอย่างแน่วแน่ “คุณไม่ได้หลบไปเฉย ๆ แน่ คุณกำลังทำอะไรอยู่ ใช่ไหม” ธีภพนิ่งไปอีกครั้ง แววตาเขาขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนหลบลงต่ำ “ตอนนี้คุณพยายามทำอะไรอยู่กันแน่” นาราถามต่อ เสียงเธอยังสงบ…แต่ทุกรอยนิ่งนั้นเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ธีภพไม่ตอบในทันที ความเงียบระหว่างทั้งสองกลับหนักอึ้งกว่าทุกประโยคที่ผ่านมา เขาลอบมองเธออีกครั้ง ในแววตาของเธอนั้นไม่มีความโกรธ มีแต่ความจริงจัง ที่เธอพร้อมจะฟัง…และอาจพร้อมจะยอมรับ เขากลืนน้ำลายลงช้า ๆ ก่อนจะพูดออกมาเหมือนคำสารภาพอย่างมีเงื่อนไข “ถ้าผมเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง…” “คุณจะให้อภัยผมได้ไหม…” เสียงของเขาแผ่วราวกับไม่อยากได้คำตอบ “…เรื่องของกานต์” ชื่อของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นในห้องอย่างแผ่วเบา แต่มันเหมือนเสียงระเบิดเงียบ ๆ ในใจของใครบางคน คำพูดของธีภพยังคงลอยอยู่ในอากาศ 'ถ้าผมเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง…คุณจะให้อภัยผม
ธีภพกลืนน้ำลายเบา ๆ เขาเหมือนลังเล…แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกช้า ๆ อย่างคนที่เลือกจะไม่ปิดบังอีกต่อไป “ผมรู้ก่อนที่มันจะเกิด…ไม่กี่นาที” “ผมให้คนของผมดูแลคุณ…เพราะผมรู้ว่าเมื่อผมลุกขึ้นต่อต้านเดชาสกุลวงศ์ พวกเขาจะไม่อยู่นิ่งแน่ ผมแค่ไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะกล้าทำถึงขนาดนั้นกับคุณ” “คนของคุณ…” นาราทวนคำ น้ำเสียงเย็นลงเพียงนิดเดียว ในหัวใจเธอเหมือนมีบางอย่างเริ่มเรียงต่อกันได้ “อย่าบอกนะว่า…” ธีภพพยักหน้าช้า ๆ “คีรณัฐ…เขาคือเพื่อนสนิทของผม ผมให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้คุณ เพื่อคอยดูแลคุณแทนผม ผมรู้ว่าคุณต้องไม่พอใจ…แต่ผมไม่มีทางเลือก” นาราหลบตา ลึก ๆ แล้ว เธอรู้สึกเหมือนถูกควบคุม…ถูกปิดบัง แม้จะด้วยเจตนาดี มันก็ยังเจ็บ เธอเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดช้า ๆ “ฉันควรจะโกรธคุณ…ที่คุณวางแผนกับชีวิตฉัน” เธอเงยหน้าขึ้น แววตาเธอทั้งนิ่งและเศร้า “แต่พอคิดถึงตอนที่คุณเสี่ยงชีวิตมาหาฉัน ตอนที่คุณพูดกับฉันทางโทรศัพท์…ทั้งที่คุณยังหลบซ่อนตัวอยู่ ฉันก็ทำไม่ลง” ธีภพไม่พูดอะไร เพียงแค่สบตาเธอ และยอมรับทุกคำของเธอในความเงียบนั้น นาราสูดลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบของบางอย่างจ
บ้านยังเงียบ แต่ทว่าไม่ว่างเปล่า กลิ่นอ่อน ๆ ของข้าวต้มหอมกรุ่นลอยมาตามอากาศ เธอชะงัก…สูดกลิ่นนั้นเข้าเต็มปอด นาราเดินตามกลิ่นไปจนถึงห้องครัว แล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพตรงหน้า… ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตพับแขน ใส่ผ้ากันเปื้อน กำลังยืนอยู่หน้าเตา มือหนึ่งจับกระบวย อีกมือคอยเปิดฝาหม้ออย่างตั้งอกตั้งใจ “คุณธีภพ…” เขาหันมามองเธอทันที แววตาเขาอ่อนแสงลงทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ…” เขายิ้มน้อย ๆ “กำลังจะเอาไปให้พอดีเลย” นาราไม่ตอบ เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป นารายืนพิงขอบประตูห้องครัวอย่างเงียบ ๆ สายตาเธอมองชายหนุ่มตรงหน้า คนที่ในยามปกติยืนอย่างสง่ากลางฝูงชนในแวดวงธุรกิจ แต่ในเช้านี้กลับใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าเตา พร้อมกลิ่นข้าวต้มที่ค่อย ๆ หอมขึ้นทุกที เธอเอ่ยถามเบา ๆ “คุณ…อยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ” ธีภพชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาเธอ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปาก แววตาอ่อนลงกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น “ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณ…ทั้งคืน” “เมื่อคืนคุณหลับสนิท ผมเลยนอนที่โซฟาข้างล่าง จะได้รู้ทันทีถ้ามีอะไรผิดปกติ” นารานิ่งไปเพียงอึ
นารานิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ฉันจะให้ฝ่ายกฎหมายเดินเรื่องทั้งหมด” “ฉันจะดำเนินการฟ้องร้องในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง” “ฉันจะไม่ยอมความกับเรื่องนี้เด็ดขาด” นาราพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงราบเรียบแต่แน่วแน่จนไม่มีช่องให้เข้าแทรก “ไม่ใช่แค่ศักดิ์ดา…แต่ปกรณ์ด้วย ฉันมีหลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือ และฉันตั้งใจจะเดินหน้าให้ถึงที่สุด” ธีภพเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองเธอโดยไม่หลบตา สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาเข้มขึ้นชัดเจน “ผมเข้าใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “และผมก็รู้ว่าคุณมีเหตุผลเต็มที่ที่จะทำแบบนั้น” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม “แต่ผมอยากให้คุณถอยออกมาจากเรื่องนี้” นาราชะงักเล็กน้อย เธอหันมามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณกำลังขอให้ฉันถอยเหรอ?” ธีภพพยักหน้าช้า ๆ แววตาของเขาไม่ได้แข็งกร้าว แต่นิ่งลึก และหนักแน่น ไม่ใช่คำขอร้องที่หว่านล้อม แต่เป็นความตั้งใจแน่วแน่จากคนที่เคยยืนอยู่ในเงามืดมานาน และพร้อมจะเดินออกมาเผชิญหน้าแทนเธอ “ใช่…ผมขอให้คุณถอย” “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนถือดาบฟาดฟันศัตรูตลอดเวลา คุณทำมามากพอแล
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย