แต่แล้ว สายตาเขาก็สะดุดเข้ากับบางสิ่ง…บางคน ห่างออกไปจากรถบรรทุกไม่กี่เมตร ร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงข้างทาง ท่ามกลางหมอกควันบาง ๆ เธอ…นารา ร่างของเธอสั่นระริก ใบหน้าเปื้อนฝุ่น เลือดซึมจากข้างขมับ เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ตามตัวมีร่องรอยของบาดแผล แต่ดวงตาคู่นั้นยังลืมขึ้น และเธอ…ยังหายใจ ธีภพไม่พูดสักคำ เขาวิ่งพรวดเข้าหาเธอ อ้อมแขนของเขารวบเธอไว้แน่นในวินาทีเดียว “นารา!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโล่งอก ปนสั่นไหว เหมือนคนที่เพิ่งได้หัวใจตัวเองกลับคืนมา เขาประคองเธอออกห่างจากจุดอันตรายนั้น ดวงตาเขาสำรวจร่างเธอทีละส่วน “คุณเจ็บตรงไหน? เดินได้ไหม? หายใจสะดวกไหม?” นาราพยักหน้าทั้งที่น้ำตาคลอ เสียงเธอแหบพร่า แต่ยังคงมีพลัง “ฉันยังไม่ตาย…” ธีภพไม่พูดอะไรอีก เขาช้อนเธอขึ้นในอ้อมแขนแล้วพาเธอเดินฝ่าฝูงชนไปยังรถของเขา ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็สตาร์ทรถ และเหยียบออกไปให้ไกลจากกลิ่นน้ำมันกับควันที่ยังคงลอยฟุ้ง ทิ้งความอันตรายไว้เบื้องหลัง และพาหัวใจของเขา…ที่เขาเกือบจะสูญเสียไปอีกครั้ง กลับคืนมาไว้ในอ้อมแขน เมื่อรถแล่นพ้นเขตรถติดและเสียงไซเรน ธีภพจึงค่อย ๆ ชะล
ธีภพ เหลือบมองคนข้างกายครู่หนึ่ง เห็นเธอนั่งนิ่ง พิงเบาะอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วต่ำ นุ่มลึก “โทรบอกคุณพ่อคุณแม่ของคุณเถอะครับ ว่าวันนี้ไม่ได้ไปแล้ว พวกท่านจะได้ไม่ต้องรอ…เดี๋ยวผมจะพาคุณกลับบ้านเอง” นารา พยักหน้าเบา ๆ แม้ยังไม่หมดความมึนจากแรงกระแทก แต่เธอก็รู้ดีว่า…คนเป็นพ่อเป็นแม่คงรอเธอด้วยใจจดจ่อ เธอกดโทรศัพท์ต่อสายไปยังบ้าน ปลายสายรับอย่างรวดเร็ว ราวกับรออยู่นาน “แม่…พ่อ…หนูขอโทษนะคะ วันนี้หนูไม่ได้ไปแล้ว” เสียงเธอนุ่มแผ่ว แม้พยายามทำให้ฟังดูปกติ แต่คุณบงกชก็จับได้ทันที “นารา หนูเป็นอะไรเสียงไม่เหมือนเดิม…เกิดอะไรขึ้น!” นาราหัวเราะแห้ง ๆ เล็กน้อย “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ หนูไม่เป็นไรมาก ตอนนี้เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล…เดี๋ยวจะกลับบ้านแล้วค่ะ” เสียงของคุณพิรัชต์แทรกเข้ามาอย่างกังวล “แน่ใจนะลูก เจ็บตรงไหนไหม ต้องให้พ่อไปรับไหม” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ…หนูโอเคจริง ๆ ค่ะ” เธอย้ำคำเบา ๆ เพื่อให้ทั้งสองท่านสบายใจ ทั้งสองยังถามอาการอีกพักใหญ่ ก่อนจะยอมวางสายด้วยเสียงที่ผ่อนคลายขึ้น นาราวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะรู้สึกถึงฝ่ามืออ
นารายังคงเงียบ แต่สายตาเธอไม่เคลื่อนจากใบหน้าเขาเลย เหมือนเธอฟังทุกคำ พร้อมกับชั่งน้ำหนักมันในใจ “หลังจากนั้นคุณหายไป” เธอพูดขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงนุ่ม แต่แฝงแววระแวง “แล้วตอนที่คุณหายไป…คุณไปทำอะไร” เธอมองเขาอย่างแน่วแน่ “คุณไม่ได้หลบไปเฉย ๆ แน่ คุณกำลังทำอะไรอยู่ ใช่ไหม” ธีภพนิ่งไปอีกครั้ง แววตาเขาขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนหลบลงต่ำ “ตอนนี้คุณพยายามทำอะไรอยู่กันแน่” นาราถามต่อ เสียงเธอยังสงบ…แต่ทุกรอยนิ่งนั้นเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ธีภพไม่ตอบในทันที ความเงียบระหว่างทั้งสองกลับหนักอึ้งกว่าทุกประโยคที่ผ่านมา เขาลอบมองเธออีกครั้ง ในแววตาของเธอนั้นไม่มีความโกรธ มีแต่ความจริงจัง ที่เธอพร้อมจะฟัง…และอาจพร้อมจะยอมรับ เขากลืนน้ำลายลงช้า ๆ ก่อนจะพูดออกมาเหมือนคำสารภาพอย่างมีเงื่อนไข “ถ้าผมเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง…” “คุณจะให้อภัยผมได้ไหม…” เสียงของเขาแผ่วราวกับไม่อยากได้คำตอบ “…เรื่องของกานต์” ชื่อของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นในห้องอย่างแผ่วเบา แต่มันเหมือนเสียงระเบิดเงียบ ๆ ในใจของใครบางคน คำพูดของธีภพยังคงลอยอยู่ในอากาศ 'ถ้าผมเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง…คุณจะให้อภัยผม
ธีภพกลืนน้ำลายเบา ๆ เขาเหมือนลังเล…แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกช้า ๆ อย่างคนที่เลือกจะไม่ปิดบังอีกต่อไป “ผมรู้ก่อนที่มันจะเกิด…ไม่กี่นาที” “ผมให้คนของผมดูแลคุณ…เพราะผมรู้ว่าเมื่อผมลุกขึ้นต่อต้านเดชาสกุลวงศ์ พวกเขาจะไม่อยู่นิ่งแน่ ผมแค่ไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะกล้าทำถึงขนาดนั้นกับคุณ” “คนของคุณ…” นาราทวนคำ น้ำเสียงเย็นลงเพียงนิดเดียว ในหัวใจเธอเหมือนมีบางอย่างเริ่มเรียงต่อกันได้ “อย่าบอกนะว่า…” ธีภพพยักหน้าช้า ๆ “คีรณัฐ…เขาคือเพื่อนสนิทของผม ผมให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้คุณ เพื่อคอยดูแลคุณแทนผม ผมรู้ว่าคุณต้องไม่พอใจ…แต่ผมไม่มีทางเลือก” นาราหลบตา ลึก ๆ แล้ว เธอรู้สึกเหมือนถูกควบคุม…ถูกปิดบัง แม้จะด้วยเจตนาดี มันก็ยังเจ็บ เธอเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดช้า ๆ “ฉันควรจะโกรธคุณ…ที่คุณวางแผนกับชีวิตฉัน” เธอเงยหน้าขึ้น แววตาเธอทั้งนิ่งและเศร้า “แต่พอคิดถึงตอนที่คุณเสี่ยงชีวิตมาหาฉัน ตอนที่คุณพูดกับฉันทางโทรศัพท์…ทั้งที่คุณยังหลบซ่อนตัวอยู่ ฉันก็ทำไม่ลง” ธีภพไม่พูดอะไร เพียงแค่สบตาเธอ และยอมรับทุกคำของเธอในความเงียบนั้น นาราสูดลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบของบางอย่างจ
บ้านยังเงียบ แต่ทว่าไม่ว่างเปล่า กลิ่นอ่อน ๆ ของข้าวต้มหอมกรุ่นลอยมาตามอากาศ เธอชะงัก…สูดกลิ่นนั้นเข้าเต็มปอด นาราเดินตามกลิ่นไปจนถึงห้องครัว แล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพตรงหน้า… ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตพับแขน ใส่ผ้ากันเปื้อน กำลังยืนอยู่หน้าเตา มือหนึ่งจับกระบวย อีกมือคอยเปิดฝาหม้ออย่างตั้งอกตั้งใจ “คุณธีภพ…” เขาหันมามองเธอทันที แววตาเขาอ่อนแสงลงทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ…” เขายิ้มน้อย ๆ “กำลังจะเอาไปให้พอดีเลย” นาราไม่ตอบ เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป นารายืนพิงขอบประตูห้องครัวอย่างเงียบ ๆ สายตาเธอมองชายหนุ่มตรงหน้า คนที่ในยามปกติยืนอย่างสง่ากลางฝูงชนในแวดวงธุรกิจ แต่ในเช้านี้กลับใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าเตา พร้อมกลิ่นข้าวต้มที่ค่อย ๆ หอมขึ้นทุกที เธอเอ่ยถามเบา ๆ “คุณ…อยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ” ธีภพชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาเธอ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปาก แววตาอ่อนลงกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น “ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณ…ทั้งคืน” “เมื่อคืนคุณหลับสนิท ผมเลยนอนที่โซฟาข้างล่าง จะได้รู้ทันทีถ้ามีอะไรผิดปกติ” นารานิ่งไปเพียงอึ
นารานิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ฉันจะให้ฝ่ายกฎหมายเดินเรื่องทั้งหมด” “ฉันจะดำเนินการฟ้องร้องในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง” “ฉันจะไม่ยอมความกับเรื่องนี้เด็ดขาด” นาราพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงราบเรียบแต่แน่วแน่จนไม่มีช่องให้เข้าแทรก “ไม่ใช่แค่ศักดิ์ดา…แต่ปกรณ์ด้วย ฉันมีหลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือ และฉันตั้งใจจะเดินหน้าให้ถึงที่สุด” ธีภพเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองเธอโดยไม่หลบตา สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาเข้มขึ้นชัดเจน “ผมเข้าใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “และผมก็รู้ว่าคุณมีเหตุผลเต็มที่ที่จะทำแบบนั้น” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม “แต่ผมอยากให้คุณถอยออกมาจากเรื่องนี้” นาราชะงักเล็กน้อย เธอหันมามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณกำลังขอให้ฉันถอยเหรอ?” ธีภพพยักหน้าช้า ๆ แววตาของเขาไม่ได้แข็งกร้าว แต่นิ่งลึก และหนักแน่น ไม่ใช่คำขอร้องที่หว่านล้อม แต่เป็นความตั้งใจแน่วแน่จากคนที่เคยยืนอยู่ในเงามืดมานาน และพร้อมจะเดินออกมาเผชิญหน้าแทนเธอ “ใช่…ผมขอให้คุณถอย” “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนถือดาบฟาดฟันศัตรูตลอดเวลา คุณทำมามากพอแล
ธีภพก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบใกล้ใบหูเธอ น้ำเสียงเขาต่ำทุ้ม และอ่อนหวานในแบบที่เธอไม่คุ้นชิน “สงสัยเรื่องคืนนั้นมันผ่านไปนานจนคุณจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะรื้อฟื้นความทรงจำให้กับคุณนะ” นาราหลบสายตา ใจเต้นแรงผิดจังหวะ แต่ยังเอ่ยเสียงแผ่ว “นี่...คุณ" "ฉัน...ยังบาดเจ็บอยู่นะ” ธีภพยิ้มมุมปาก แตะปลายนิ้วที่แก้มเธอเบา ๆ “งั้นผมจะอ่อนโยนกับคุณให้มากที่สุด” เขาไม่ได้รอคำตอบ เพียงแค่ก้มตัวลง ประคองเธอขึ้นในอ้อมแขนอย่างมั่นคง นารานิ่งไป นาทีนี้เธออายจนพูดอะไรไม่ออก สัมผัสของเขาช่างอบอุ่น…และปลอดภัย ราวกับไม่มีอะไรในโลกจะเข้าถึงเธอได้หากมีเขาอยู่ตรงนี้ เธอซุกใบหน้าลงบนไหล่เขาอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นช้าแต่มั่นคง ในอ้อมกอดของผู้ชายที่เธอเคยผลักไส แต่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่า…เขาคือที่พักสุดท้ายของใจเธอจริง ๆ เมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก ธีภพก้าวเข้าไปอย่างเงียบงัน พร้อมกับร่างของนาราที่อยู่ในอ้อมแขน ทุกย่างก้าวของเขานุ่มนวล ราวกับกลัวจะรบกวนลมหายใจของเธอ เขาเดินตรงไปยังเตียงกว้างกลางห้อง ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลง วางเธอลงบนผืนผ้านุ่มอย่างแผ่วเบา นารากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่
ศักดิ์ดาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยความยากลำบาก แสงไฟเหนือหัวส่องลงบนใบหน้าคมเข้มของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ในตอนแรกเขาคิดว่าแสงนั้นหลอกตา แต่เมื่อสายตาเริ่มปรับชัด...หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น ธีภพ... คนที่เขาได้ยินข่าวว่าล้มป่วยหนัก คนที่เขารู้มาแน่นอนว่า เดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ คนที่โลกธุรกิจทั้งวงการพากันเข้าใจว่า ถอนตัวจากทุกตำแหน่งเพราะสุขภาพไม่เอื้ออำนวย …แต่ตอนนี้เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า ในสภาพที่เต็มไปด้วยพลัง อำนาจ และสายตาเฉียบขาดจนศักดิ์ดารู้สึกหนาวสั่นตั้งแต่ต้นคอจรดปลายสันหลัง “ค…คุณ…” เสียงของศักดิ์ดาขาดเป็นช่วง ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา “ไม่ใช่ว่า...คุณ...ป่วย…” ธีภพไม่ตอบในทันที เขาแค่เดินเข้ามาใกล้…ช้า ๆ ชั่วขณะที่เสียงฝีเท้าแตะกับพื้นซีเมนต์ ทุกเสียงรอบตัวเหมือนหายไปจากโกดังนั้น เขาหยุดยืนตรงหน้าศักดิ์ดา โน้มตัวลงเล็กน้อย สายตาคู่นั้น เย็นจนไม่มีไออุ่นหลงเหลือ “ข่าวลือมันมักจะเชื่อง่ายกว่าความจริงเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่อยากให้ฉันหายไป” เขากล่าวเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงกลับเหมือนกรีดลึกลงกลางอกของคนฟัง “และมันก็ง่าย…ที่แกกับปกรณ์จะหลงคิดว่า นาราไม
สำนักงานใหญ่ “ซาเลียน อินโนเวชั่น” เสียงประตูรถเปิดออกเบา ๆ ธีภพก้าวเท้าลงจากรถคันเดิมที่เขาเคยใช้เดินทางอย่างเงียบ ๆ ในวันที่ยังหลบอยู่เบื้องหลัง แต่วันนี้ ทุกย่างก้าวของเขา ชัดเจน มั่นคง และไม่หลบสายตาใครอีกต่อไป แสงแดดบ่ายคล้อยสะท้อนกระจกหน้าตึกสำนักงานใหญ่ ร่างสูงในสูทสีเข้มเดินตรงเข้าสู่ล็อบบี้โดยไร้เงาของผู้ติดตาม เพราะเขาไม่ใช่แขกของที่นี่อีกต่อไป วันนี้…ทุกคนจะได้รู้ว่า ใครคือเจ้าของตัวจริงของ “ซาเลียน อินโนเวชั่น” ภายในห้องประชุมกระจกชั้นบนสุด ภานุวัฒน์ กำลังยืนมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าของเมือง เขาหันมาทันทีเมื่อเห็นธีภพก้าวเข้ามา ริมฝีปากยกยิ้มบาง ๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำต้อนรับ “ทุกคนเริ่มรู้แล้ว” ภานุวัฒน์เอ่ย “ก็ควรรู้” ธีภพตอบเสียงเรียบ เขาวางแฟ้มลงบนโต๊ะ หยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ แล้วกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่แน่วแน่ “ปกรณ์จะเริ่มดิ้น” ภานุวัฒน์พยักหน้า ดวงตาคมกริบพลางผลักเอกสารบางส่วนไปให้เพื่อนตรงหน้า “และดิ้นแรงด้วย” ธีภพเหลือบตามองเอกสารในมือ ไม่ต้องอ่านก็รู้ว่าภายในคือรายงานความเคลื่อนไหวที่พวกเขาเฝ้าจับตาอย่างเงียบ ๆ มาตลอด เขาหันไปสบตาเพื่อนสนิท
ดวงตาของพฤกษ์ไพศาลสั่นไหวแรงขึ้น น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อขอบตาแต่ไร้เรี่ยวแรงจะไหลลง เสียงของธีภพต่ำลงอีกเล็กน้อย ไม่ตวาด ไม่แข็งกร้าว แต่มันบาดลึกกว่ามีดใด “คุณปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่ง…ต้องแบกรับความตายของคนรักไว้ทั้งชีวิต” ธีภพเงียบไปเพียงครู่ แล้วเอ่ยช้า ๆ อีกครั้ง “รวมถึง...เรื่องอรดา ก็คงเป็นคุณใช่ไหม ที่สั่งให้เธอหาผู้ชายมาทำร้ายนารา” ไม่มีคำตอบ ไม่มีเสียง มีเพียงดวงตาชราที่สั่นระริก และเปลือกตาที่กะพริบช้าเหมือนยอมรับอย่างไร้ข้อแก้ตัว “คุณไม่ได้ลงมือเอง...แต่คุณสั่งการทุกอย่าง” เขาหยุดนิ่ง สูดลมหายใจลึก คล้ายพยายามกลืนบางอย่างที่ตีขึ้นมาในอก “ทั้งหมดนั้น...ผมรู้ ผมเห็น และผมจำได้ทุกอย่าง” เสียงเครื่องช่วยหายใจยังคงดังเป็นจังหวะ เงียบงันกดดันราวกับเวลาในห้องหยุดนิ่ง “แต่ผมไม่เกลียดคุณอีกแล้ว” เขาก้มลงช้า ๆ ใช้ปลายนิ้วแตะแขนที่อ่อนแรงของผู้เป็นพ่อเบา ๆ สัมผัสนั้นไร้การตอบสนอง แต่มันคือ ‘การปล่อยวาง’ ที่แท้จริง “คุณได้รับกรรมของคุณแล้ว และมันยังไม่จบหรอก…ผมรู้” ธีภพยืดตัวขึ้น สบตากับดวงตาแก่ชราที่เอ่อแววเศร้า ราวกับสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในหัวใจของชายคนนี้…คือความ
หลังอาหารเช้า ถ้วยชามถูกเก็บไปทีละใบโดยธีภพที่ยืนล้างจานอยู่ข้างอ่าง นาราเช็ดโต๊ะ ส่วนลุงอำนวยขยับจะช่วยแต่สุวิมลห้ามไว้ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ไม่ต้องช่วยจ้ะ ลุงเป็นแขกของเราแล้ว” บรรยากาศอบอุ่นหลังมื้ออาหารเต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่สงบอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว จนกระทั่ง…ธีภพวางจานสุดท้ายลง แล้วหันมามองแม่กับนารา “แม่ครับ…นารา…” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย “ผมว่าจะไปเยี่ยมพ่อ” คำพูดนั้นเหมือนหยุดทุกการเคลื่อนไหวไว้ชั่วขณะ คุณสุวิมลเงียบไปทันที มือที่ถือผ้าเช็ดจานอยู่หยุดนิ่ง กลีบปากเม้มเข้าหากันแน่นน้อย ๆ แต่เธอไม่พูดอะไร นาราชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ดวงตาเธอนิ่ง แต่อารมณ์ข้างในเหมือนกำลังเคลื่อนไหวแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอไม่ได้ห้าม แต่เธอสงสัย “…จำเป็นต้องไปหรือคะ” เธอถามเบา ๆ ธีภพพยักหน้าช้า ๆ “ครับ” ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่มีถ้อยคำแสดงความลังเล หรือความโกรธ มีเพียงความหนักแน่นที่นารารู้จักดี น้ำเสียงแบบนี้…เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว คุณสุวิมลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่ง...แต่มือที่กุมกันไว้บนตักกลับสั่นเล็กน้อย “ภพ ลูกรู้ใช่ไหม ว่าคนอย่างเขา…ไม่เคยให้ความหมา
คืนนั้น คุณสุวิมลแยกเข้าห้องพักผ่อนอย่างเงียบ ๆ ขณะที่ธีภพพานาราเดินกลับเข้าห้อง ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสีอุ่นส่องอยู่ตรงหัวเตียง นารากำลังจะเดินไปหยิบเสื้อคลุม แต่เสียงประตูปิดลงช้า ๆ จากด้านหลังทำให้เธอชะงัก ธีภพยืนอยู่ตรงนั้น แววตาทอดมองมาอย่างแน่นิ่ง เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้ามาหาเธอทีละก้าว ทีละก้าว จนเสียงลมหายใจของเขาแตะข้างแก้มเธอ “คุณไม่รู้หรอก ว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน ผมคิดถึงคุณมากขนาดไหน” เขาพูดเบา ๆ นาราหัวเราะนิด ๆ ในลำคอ แต่เสียงหัวใจกลับดังเกินจะซ่อน “ทำไมจะไม่รู้ล่ะคะ…ฉันก็คิดถึงคุณมากเหมือนกัน” ธีภพยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเขาใกล้เสียจนเธอสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจ มือของเขายกขึ้นแตะหลังมือเธอเบา ๆ เหมือนจะยืนยันว่าตัวตนของเธอยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความฝันในคืนเหงา นาราขยับมองเขา แววตาเรียบนิ่งของชายหนุ่มสะท้อนบางสิ่งที่เธอไม่อาจปิดกั้น เขาขยับเข้าใกล้อีกนิด แล้วใช้มืออีกข้างจับไหล่เธอไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงแตะหน้าผากกับเธออย่างช้า ๆ นาราหลับตาลง ราวกับในที่สุดก็ได้ที่พักใจ ไม่มีคำพูดใดต่อจากเขา มีเพียงเสียงลมหายใจชิดกัน และมือที่เลื่อนจา
บ่ายนั้น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ไม่ต้องเสแสร้ง เสียงช้อนกระทบถ้วยชา และกลิ่นหอมของขนมไทยที่นาราอาสานำมา ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะไม้ทรงกลม พูดคุยถึงเรื่องเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน คุณสุวิมลฟังเรื่องราวจากทั้งสองคนเงียบ ๆ บางครั้งก็แทรกด้วยคำแนะนำสั้น ๆ บ้างก็หัวเราะออกมาด้วยความสุข ธีภพเงยหน้ามองแม่ แล้วหันไปมองนารา หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยมีเพียงแววตาแข็งกล้าและเต็มไปด้วยคำถาม… แต่วันนี้ เธอกำลังยิ้มให้กับแม่ของเขาในบ้านหลังนี้ เหมือนคนที่มีสายเลือดเดียวกัน เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบที่เคยแข็งกระด้าง กลับนุ่มลงในพริบตา เพราะสองผู้หญิงตรงหน้า คือหัวใจของเขาทั้งหมด หลังจบบ่ายที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เงียบสงบ และเสียงหัวเราะ ธีภพนั่งอยู่ข้างแม่ของเขาในสวนหลังบ้าน ปลายนิ้วเขาไล้ขอบแก้วน้ำเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก “แม่ครับ…” สุวิมลหันมามองลูกชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “มีอะไรหรือเปล่าลูก?” ธีภพสบตาแม่ ก่อนจะพูดอย่างหนักแน่นแต่ยังอ่อนโยน “ผมกับนาราคุยกันแล้ว ว่าอยากให้แม่ย้ายไปอยู่กับผม…อยู่ที่บ้านนาราครับ” คุณสุวิมลนิ่งไปเล็กน้อย ราวกับเธอกำลังทบทวน “เพราะอะไรจ๊ะ?” “เพราะผม
ปลายสายเงียบพักหนึ่ง แล้วเสียงเธอก็กลับมาอีกครั้ง ช้าลง และอ่อนโยนลง “คุณ…เหนื่อยไหมคะ” เขาชะงัก…ก่อนหัวใจค่อย ๆ ร่วงหล่นลงกลางอก คำถามง่าย ๆ แต่ไม่มีใครเคยถามเขาเลย ไม่มีใคร…ยกเว้นเธอ “เหนื่อยนิดหน่อยครับ…” เขาตอบเบา “แต่มันก็คุ้มค่า” “…แค่ไม่มีเสียงคุณบ้างในบางคืน ผมก็เกือบลืมว่าหัวใจมันควรจะเต้นเพราะอะไร” ปลายสายมีเสียงหัวเราะในลำคอ “ปากหวานนะคะคุณธีภพ…ระวังจะมีใครตกหลุมรักคุณขึ้นมาอีกคน” “ผมไม่เคยหว่านคำหวานให้ใคร…ยกเว้นคุณ” น้ำเสียงของเขาทิ้งท้ายด้วยความอ่อนโยนลึก “แล้วคุณล่ะ…ทำงานเหนื่อยไหมช่วงนี้” “เหนื่อยนิดหน่อย…แต่ก็เหมือนคุณนั่นแหละ มันคุ้มค่าที่จะเหนื่อย” เสียงเธอแผ่วเบา แต่แฝงด้วยพลังใจ “แค่บางคืน…ก็อยากรู้ว่าคนที่ฉันเป็นห่วง เขายังสบายดีอยู่ไหม” เขาหลับตาลงอีกครั้ง ความเงียบไหลวนอยู่ระหว่างทั้งสอง แต่มันไม่ใช่ความอึดอัด มันคือความเงียบที่เหมือนลมหายใจพาดผ่านกัน สัมผัสได้โดยไม่ต้องพูดอะไร “คิดถึงคุณนะครับ” เขาเอ่ยช้า ๆ “ฉันก็คิดถึงคุณ” เธอตอบทันที แล้วเสียงเธอก็เติมอีกเบา ๆ “…อย่าหายไปนานนักนะคะ ฉันไม่ใช่คนเข้มแข็งเหมือนที่คุณ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเกม ภานุวัฒน์กลับไปหาปกรณ์ พร้อมคำปฏิเสธจากมิสเตอร์เค และข้อเสนอแนะที่ฟังดูเหมือนมิตรผู้หวังดี "ถ้านายอยากให้เขาสนใจ นายต้องแสดงให้เห็นว่านายควบคุมเดชาสกุลวงศ์ได้ทั้งหมด" ...และปกรณ์ก็เริ่มเดินหมาก เขารวบรวมหุ้นในเงามืด เข้าหาผู้ถือหุ้นรายย่อย ใช้ทั้งเงิน คำพูด และแรงกดดันจากนามสกุล เขาโน้มน้าวแม่ให้มอบอำนาจ ด้วยภาพอนาคตที่สวยงามเกินใครจะต้านทาน เมื่อเขารวบได้ 80% เขาประกาศจัดตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ "ดอว์มินัส โฮลดิ้งส์" ยุบรวมเดชาสกุลวงศ์ และประกาศตัวเป็นผู้ถืออำนาจเพียงหนึ่งเดียว เขายิ้มอย่างมั่นใจ…เชื่อว่าตัวเองชนะแล้ว แต่ภานุวัฒน์…เพียงแค่ยิ้มตอบเบา ๆ พร้อมพยักหน้าให้ผู้คุมเกมเบื้องหลังเดินหมากต่อไป หลังจากนั้น ปกรณ์เริ่มลงทุนครั้งใหญ่ตามคำแนะนำของภานุวัฒน์ เขากระจายทุนผ่านบริษัทในเครือซาเลียน เชื่อว่ากำลังต่อยอดอาณาจักรใหม่ที่ไม่มีใครหยุดได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่า ทุกเส้นทางที่เขาเดิน…กำลังพาเขาไปสู่ปลายทางที่มืดมิด สิ่งที่เขาไม่เคยล่วงรู้ คือภายใต้บริษัทคู่ค้าที่เขาร่วมทุนด้วย มีหนึ่งในนั้นคือบริษัทเงาที่ธีภพและภานุวัฒน์จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ เพื่
ธีภพเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เขายกนิ้วชี้แตะเบา ๆ ตรงหว่างคิ้วของเธอ ไล้ลงมาตามแนวจมูก ก่อนจะเคาะเบา ๆ ที่ปลายจมูกสองถึงสามครั้ง พร้อมรอยยิ้มขี้เล่น “ฝีมือแต่งหน้าของผมไม่ธรรมดาใช่ไหมครับ” “ต่อไปถ้าคุณอยากได้ช่างแต่งหน้าออกงาน…ก็ไม่ต้องจ้างใครแล้วนะ” นาราชะงักไปทันที ไม่ใช่เพราะคำพูด…แต่เพราะสัมผัสนั้น ปลายนิ้วที่ลากลงเบา ๆ แบบนี้—เป็นสิ่งที่ กานต์ เคยทำกับเธอบ่อยเหลือเกิน เธอไม่ได้พูดอะไรออกไป มีเพียงแววตาที่อ่อนลงอย่างช้า ๆ …ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเขา ประคองเบา ๆ มาวางไว้ที่แก้มของตัวเอง แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปแตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้วนั้น เสียงเธอเบาราวลมหายใจที่อบอุ่น “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร…ฉันแค่ดีใจที่ตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้…อยู่ข้างฉัน” ธีภพนิ่งไป ดวงตาที่เคยแข็งเรียบแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลึกซึ้ง เธอเอียงหน้าเล็กน้อย แนบแก้มกับฝ่ามือเขา ยิ้มบาง…ไม่พูดอะไรอีก แต่แค่เพียงสัมผัสนั้น มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเช้าวันนี้ ...และในที่สุด ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันออกจากบ้าน ธีภพมุ่งหน้าสู่ ซาเลียน อินโนเวชั่น ในนามของชายที่ไม่มีใครรู้จัก ส่วนนารา ก้าวขึ้นรถพร้อมเอกสา
เธอสวมสูทเรียบหรู สีขาวหม่นที่สะท้อนความมั่นคงมากกว่าความอ่อนหวาน เบื้องหลังเธอคือ ปกรณ์ ในชุดสูทสีเข้ม เรียบเฉียบไร้ที่ติ สายตานิ่งมั่น ราวกับพร้อมรับทุกแรงกระแทก คุณวิลัยลักษณ์หยุดที่หน้าห้องประชุม ก่อนจะหันไปสบตาเหล่ากรรมการทีละคนอย่างไม่เร่งรีบ เธอไม่ต้องเคาะโต๊ะ ไม่ต้องเรียกให้ใครเงียบ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น…ห้องก็เงียบลงโดยอัตโนมัติ เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่นุ่มลึกอย่างมีอำนาจ “ดิฉันมาในนามของครอบครัวเดชาสกุลวงศ์ และในนามของคุณพฤกษ์ไพศาล” “เพื่อแจ้งให้ทุกท่านทราบอย่างเป็นทางการว่า…จากนี้ไป การบริหารงานระดับสูงของบริษัท จะเปลี่ยนถ่ายสู่รุ่นต่อไป” บรรยากาศในห้องตึงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม เธอพูดต่อด้วยจังหวะช้าแต่มั่น “คุณปกรณ์ เดชาสกุลวงศ์…จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ดูแลสูงสุดของกลุ่มบริษัทแทนคุณพฤกษ์ไพศาล ด้วยความยินยอม และการแต่งตั้งจากเจ้าของบริษัทโดยตรง” สายตาเธอแนบแน่นกับสีหน้าแต่ละคน ก่อนจะหยุดที่ชายคนหนึ่งซึ่งขยับตัวเล็กน้อย…แววตาไม่เต็มใจนัก เธอเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยต่อ “ดิฉันหวังว่าทุกท่านจะให้ความร่วมมืออย่างที่เคยให้กับประ