นารายังคงเงียบ แต่สายตาเธอไม่เคลื่อนจากใบหน้าเขาเลย เหมือนเธอฟังทุกคำ พร้อมกับชั่งน้ำหนักมันในใจ “หลังจากนั้นคุณหายไป” เธอพูดขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงนุ่ม แต่แฝงแววระแวง “แล้วตอนที่คุณหายไป…คุณไปทำอะไร” เธอมองเขาอย่างแน่วแน่ “คุณไม่ได้หลบไปเฉย ๆ แน่ คุณกำลังทำอะไรอยู่ ใช่ไหม” ธีภพนิ่งไปอีกครั้ง แววตาเขาขยับเพียงเล็กน้อย ก่อนหลบลงต่ำ “ตอนนี้คุณพยายามทำอะไรอยู่กันแน่” นาราถามต่อ เสียงเธอยังสงบ…แต่ทุกรอยนิ่งนั้นเต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ธีภพไม่ตอบในทันที ความเงียบระหว่างทั้งสองกลับหนักอึ้งกว่าทุกประโยคที่ผ่านมา เขาลอบมองเธออีกครั้ง ในแววตาของเธอนั้นไม่มีความโกรธ มีแต่ความจริงจัง ที่เธอพร้อมจะฟัง…และอาจพร้อมจะยอมรับ เขากลืนน้ำลายลงช้า ๆ ก่อนจะพูดออกมาเหมือนคำสารภาพอย่างมีเงื่อนไข “ถ้าผมเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง…” “คุณจะให้อภัยผมได้ไหม…” เสียงของเขาแผ่วราวกับไม่อยากได้คำตอบ “…เรื่องของกานต์” ชื่อของผู้ชายคนนั้นดังขึ้นในห้องอย่างแผ่วเบา แต่มันเหมือนเสียงระเบิดเงียบ ๆ ในใจของใครบางคน คำพูดของธีภพยังคงลอยอยู่ในอากาศ 'ถ้าผมเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง…คุณจะให้อภัยผม
ธีภพกลืนน้ำลายเบา ๆ เขาเหมือนลังเล…แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกช้า ๆ อย่างคนที่เลือกจะไม่ปิดบังอีกต่อไป “ผมรู้ก่อนที่มันจะเกิด…ไม่กี่นาที” “ผมให้คนของผมดูแลคุณ…เพราะผมรู้ว่าเมื่อผมลุกขึ้นต่อต้านเดชาสกุลวงศ์ พวกเขาจะไม่อยู่นิ่งแน่ ผมแค่ไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะกล้าทำถึงขนาดนั้นกับคุณ” “คนของคุณ…” นาราทวนคำ น้ำเสียงเย็นลงเพียงนิดเดียว ในหัวใจเธอเหมือนมีบางอย่างเริ่มเรียงต่อกันได้ “อย่าบอกนะว่า…” ธีภพพยักหน้าช้า ๆ “คีรณัฐ…เขาคือเพื่อนสนิทของผม ผมให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้คุณ เพื่อคอยดูแลคุณแทนผม ผมรู้ว่าคุณต้องไม่พอใจ…แต่ผมไม่มีทางเลือก” นาราหลบตา ลึก ๆ แล้ว เธอรู้สึกเหมือนถูกควบคุม…ถูกปิดบัง แม้จะด้วยเจตนาดี มันก็ยังเจ็บ เธอเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดช้า ๆ “ฉันควรจะโกรธคุณ…ที่คุณวางแผนกับชีวิตฉัน” เธอเงยหน้าขึ้น แววตาเธอทั้งนิ่งและเศร้า “แต่พอคิดถึงตอนที่คุณเสี่ยงชีวิตมาหาฉัน ตอนที่คุณพูดกับฉันทางโทรศัพท์…ทั้งที่คุณยังหลบซ่อนตัวอยู่ ฉันก็ทำไม่ลง” ธีภพไม่พูดอะไร เพียงแค่สบตาเธอ และยอมรับทุกคำของเธอในความเงียบนั้น นาราสูดลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบของบางอย่างจ
บ้านยังเงียบ แต่ทว่าไม่ว่างเปล่า กลิ่นอ่อน ๆ ของข้าวต้มหอมกรุ่นลอยมาตามอากาศ เธอชะงัก…สูดกลิ่นนั้นเข้าเต็มปอด นาราเดินตามกลิ่นไปจนถึงห้องครัว แล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพตรงหน้า… ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตพับแขน ใส่ผ้ากันเปื้อน กำลังยืนอยู่หน้าเตา มือหนึ่งจับกระบวย อีกมือคอยเปิดฝาหม้ออย่างตั้งอกตั้งใจ “คุณธีภพ…” เขาหันมามองเธอทันที แววตาเขาอ่อนแสงลงทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ…” เขายิ้มน้อย ๆ “กำลังจะเอาไปให้พอดีเลย” นาราไม่ตอบ เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป นารายืนพิงขอบประตูห้องครัวอย่างเงียบ ๆ สายตาเธอมองชายหนุ่มตรงหน้า คนที่ในยามปกติยืนอย่างสง่ากลางฝูงชนในแวดวงธุรกิจ แต่ในเช้านี้กลับใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าเตา พร้อมกลิ่นข้าวต้มที่ค่อย ๆ หอมขึ้นทุกที เธอเอ่ยถามเบา ๆ “คุณ…อยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ” ธีภพชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาเธอ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปาก แววตาอ่อนลงกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็น “ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณ…ทั้งคืน” “เมื่อคืนคุณหลับสนิท ผมเลยนอนที่โซฟาข้างล่าง จะได้รู้ทันทีถ้ามีอะไรผิดปกติ” นารานิ่งไปเพียงอึ
นารานิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ฉันจะให้ฝ่ายกฎหมายเดินเรื่องทั้งหมด” “ฉันจะดำเนินการฟ้องร้องในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง” “ฉันจะไม่ยอมความกับเรื่องนี้เด็ดขาด” นาราพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงราบเรียบแต่แน่วแน่จนไม่มีช่องให้เข้าแทรก “ไม่ใช่แค่ศักดิ์ดา…แต่ปกรณ์ด้วย ฉันมีหลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือ และฉันตั้งใจจะเดินหน้าให้ถึงที่สุด” ธีภพเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองเธอโดยไม่หลบตา สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาเข้มขึ้นชัดเจน “ผมเข้าใจ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “และผมก็รู้ว่าคุณมีเหตุผลเต็มที่ที่จะทำแบบนั้น” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม “แต่ผมอยากให้คุณถอยออกมาจากเรื่องนี้” นาราชะงักเล็กน้อย เธอหันมามองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณกำลังขอให้ฉันถอยเหรอ?” ธีภพพยักหน้าช้า ๆ แววตาของเขาไม่ได้แข็งกร้าว แต่นิ่งลึก และหนักแน่น ไม่ใช่คำขอร้องที่หว่านล้อม แต่เป็นความตั้งใจแน่วแน่จากคนที่เคยยืนอยู่ในเงามืดมานาน และพร้อมจะเดินออกมาเผชิญหน้าแทนเธอ “ใช่…ผมขอให้คุณถอย” “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนถือดาบฟาดฟันศัตรูตลอดเวลา คุณทำมามากพอแล
ธีภพก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบใกล้ใบหูเธอ น้ำเสียงเขาต่ำทุ้ม และอ่อนหวานในแบบที่เธอไม่คุ้นชิน “สงสัยเรื่องคืนนั้นมันผ่านไปนานจนคุณจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะรื้อฟื้นความทรงจำให้กับคุณนะ” นาราหลบสายตา ใจเต้นแรงผิดจังหวะ แต่ยังเอ่ยเสียงแผ่ว “นี่...คุณ" "ฉัน...ยังบาดเจ็บอยู่นะ” ธีภพยิ้มมุมปาก แตะปลายนิ้วที่แก้มเธอเบา ๆ “งั้นผมจะอ่อนโยนกับคุณให้มากที่สุด” เขาไม่ได้รอคำตอบ เพียงแค่ก้มตัวลง ประคองเธอขึ้นในอ้อมแขนอย่างมั่นคง นารานิ่งไป นาทีนี้เธออายจนพูดอะไรไม่ออก สัมผัสของเขาช่างอบอุ่น…และปลอดภัย ราวกับไม่มีอะไรในโลกจะเข้าถึงเธอได้หากมีเขาอยู่ตรงนี้ เธอซุกใบหน้าลงบนไหล่เขาอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นช้าแต่มั่นคง ในอ้อมกอดของผู้ชายที่เธอเคยผลักไส แต่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่า…เขาคือที่พักสุดท้ายของใจเธอจริง ๆ เมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก ธีภพก้าวเข้าไปอย่างเงียบงัน พร้อมกับร่างของนาราที่อยู่ในอ้อมแขน ทุกย่างก้าวของเขานุ่มนวล ราวกับกลัวจะรบกวนลมหายใจของเธอ เขาเดินตรงไปยังเตียงกว้างกลางห้อง ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลง วางเธอลงบนผืนผ้านุ่มอย่างแผ่วเบา นารากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่
ศักดิ์ดาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยความยากลำบาก แสงไฟเหนือหัวส่องลงบนใบหน้าคมเข้มของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ในตอนแรกเขาคิดว่าแสงนั้นหลอกตา แต่เมื่อสายตาเริ่มปรับชัด...หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น ธีภพ... คนที่เขาได้ยินข่าวว่าล้มป่วยหนัก คนที่เขารู้มาแน่นอนว่า เดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ คนที่โลกธุรกิจทั้งวงการพากันเข้าใจว่า ถอนตัวจากทุกตำแหน่งเพราะสุขภาพไม่เอื้ออำนวย …แต่ตอนนี้เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า ในสภาพที่เต็มไปด้วยพลัง อำนาจ และสายตาเฉียบขาดจนศักดิ์ดารู้สึกหนาวสั่นตั้งแต่ต้นคอจรดปลายสันหลัง “ค…คุณ…” เสียงของศักดิ์ดาขาดเป็นช่วง ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา “ไม่ใช่ว่า...คุณ...ป่วย…” ธีภพไม่ตอบในทันที เขาแค่เดินเข้ามาใกล้…ช้า ๆ ชั่วขณะที่เสียงฝีเท้าแตะกับพื้นซีเมนต์ ทุกเสียงรอบตัวเหมือนหายไปจากโกดังนั้น เขาหยุดยืนตรงหน้าศักดิ์ดา โน้มตัวลงเล็กน้อย สายตาคู่นั้น เย็นจนไม่มีไออุ่นหลงเหลือ “ข่าวลือมันมักจะเชื่อง่ายกว่าความจริงเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่อยากให้ฉันหายไป” เขากล่าวเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงกลับเหมือนกรีดลึกลงกลางอกของคนฟัง “และมันก็ง่าย…ที่แกกับปกรณ์จะหลงคิดว่า นาราไม
ธีภพยืนสงบนิ่งกลางแสงไฟสีหม่น แสงสลัวสะท้อนใบหน้าคมที่สงบเกินจะคาดเดาได้ แต่ในดวงตายังคงเรืองประกายบางอย่างที่บอกชัดว่า เกมนี้ยังไม่จบ เขาหันไปมองภานุวัฒน์กับคีรณัฐ เพียงการสบตา...ทุกอย่างก็ถูกส่งต่อโดยไม่ต้องใช้คำ “เตรียมพร้อมขั้นต่อไป” “ถึงเวลาจัดการกับปกรณ์” เสียงของเขาเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ใครบางคนล้มทั้งยืน ไม่มีคำถาม ไม่มีการทบทวน เพราะทุกคนรู้ดี ว่าเมื่อธีภพเอ่ยคำว่า 'จัดการ' สิ่งที่ตามมา ไม่เคยมีคำว่าลังเลอยู่ในนั้น เมื่อภารกิจถูกส่งผ่าน ธีภพคลายเนกไท ถอดสูทพาดไว้กับแขน ปลายนิ้วกดแอปฯ ร้านอาหารในมือถือ ก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วก้าวออกไปอย่างเงียบงัน ... เสียงแตรเบา ๆ ดังขึ้นหน้าประตูบ้านวรเมธินทร์ ลุงอำนวยที่กำลังเช็ดทำความสะอาดรูปปั้นหินเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างทันทีที่เห็นร่างชายหนุ่มในตัวรถ “คุณธีภพ กลับมาแล้วเหรอครับ” “ครับ” ธีภพยิ้มบาง ยื่นถุงของสดและอาหารในมือให้ “มีปลานึ่งแบบที่เธอชอบ ฝากช่วยเตรียมจานกับหม้อซุปหน่อยนะครับ” "ส่วนถุงนี้ ของลุงครับ" ลุงอำนวยเอ่ยขอบคุณแล้วรับถุงอย่างคล่องแคล่ว พร้อมพยักหน้า พลางพูดด้วยแววตาที่อบอุ่นกว
ไนท์คลับหรู ใจกลางเมือง ห้อง VIP เสียงเบสดังกระหึ่มลอดผ่านผนังผ้ากำมะหยี่ แสงไฟสีม่วงอมฟ้าสาดส่องเป็นจังหวะ ทำให้ห้องที่เงียบสงบดูเหมือนถูกล้อมด้วยจังหวะชีพจรของเมืองทั้งเมือง ปกรณ์นั่งตัวตรงอยู่บนโซฟาหนังสีเข้ม มือกุมแก้วเหล้าไว้แน่น สีหน้าดูไม่ต่างจากตอนอยู่ในอาคารสูง เพียงแต่ตอนนี้ แววตาของเขาฉายความล้าแบบที่เขาไม่เคยยอมให้ใครเห็นมาก่อน ภานุวัฒน์เอนตัวพิงพนักอย่างสบาย ดวงตาคมทอดมองอีกฝ่ายราวกับเพื่อนที่ห่วงใย “มีอะไรก็บอกมาเถอะปกรณ์ ฉันไม่เคยเห็นนายเป็นคนอื่น” ปกรณ์ไม่พูดในทันที เขาเพียงแค่ยกแก้วขึ้นจิบ แล้วปล่อยให้แอลกอฮอล์ลื่นไหลลงคอราวกับหวังให้มันพาเรื่องหนักออกไปจากใจ “วรเมธินทร์...” เขาเอ่ยช้า ๆ เสียงแผ่วลง “ฉันกำลังมีปัญหาใหญ่กับพวกเขา” “นารา วรเมธินทร์?” ภานุวัฒน์เลิกคิ้ว “คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่เสือของวงการธุรกิจ?” “ใช่…เธอมีหลักฐานในมือ แฟ้มการเงินที่ไม่ควรหลุดออกไปจากโต๊ะของฉัน” ปกรณ์พูดราวกับกลืนก้อนหิน “และที่แย่กว่านั้น…ศักดิ์ดา หายตัวไป” “หายตัว?” น้ำเสียงของภานุวัฒน์เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ติดต่อไม่ได้เลย ไม่ว่าจะช่องทางไหน ราวกับหายเข้ากลีบเมฆ…ฉันไม่รู้ว่าเข
ในรถยนต์ที่กำลังแล่นฝ่าค่ำคืน นารานั่งเงียบอยู่เบาะหลัง มือยังกำโทรศัพท์ไว้แน่น ใจของเธอวิ่งวนไปด้วยความกังวล ภาพใบหน้าของธีภพลอยขึ้นมาในห้วงความคิด เสียงลมหายใจของเธอหนักขึ้น หยดน้ำเริ่มคลอเบ้าตา เธอพึมพำเบา ๆ “ธีภพอย่าเป็นอะไรนะ…คุณต้องไม่เป็นอะไร…” ................ เสียงพนักงานรายงานความคืบหน้าดังผ่านโสต แต่สำหรับธีภพแล้ว มันเป็นเพียงเสียงแผ่วเบาในหมอกมัวของความสับสน เขารู้สึกถึงบางอย่าง...ไม่ปกติ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตามสัญชาตญาณ หน้าจอยังคงว่างเปล่า ไม่มีสัญญาณ ไม่มีการตอบสนอง หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเป็นจังหวะที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม นี่มันเกินกว่าความบังเอิญ เขาหันขวับไปยังผู้ช่วยใกล้ตัว เสียงของเขาทุ้มต่ำ แต่กดดันจนอีกฝ่ายเย็นวาบ “ขอโทษ ขอยืมโทรศัพท์หน่อย” เมื่อได้เครื่องมา เขารีบกดหมายเลขของนารา ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อยแต่มั่นคง จังหวะรอสายช่างยาวนานกว่าปกติราวกับเวลาทั้งหมดถูกยืดออก แล้วเสียงเธอก็มา... เขาหลับตาเพียงเสี้ยววินาที เมื่อได้ยินเสียงเธอ ความอบอุ่นแผ่วเบาแทรกผ่านความวุ่นวายรอบตัว “นารา...ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” “คุณ...ธีภพ ฉัน…ออกมาจากบริษัทแล้วค่ะ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ตามด้วยเสียงเปิดอย่างเงียบเชียบ คนสนิทของเธอก้าวเข้ามาอย่างระวัง มองหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างนอบน้อมก่อนรายงาน "คุณผู้หญิงครับ ธีภพเพิ่มการรักษาความปลอดภัยรอบตัวเขาและคนใกล้ชิดมากขึ้น เขาให้คนคุมบ้าน มีคนเฝ้าเปลี่ยนเวร ไม่เปิดช่องว่างให้เราเข้าใกล้ได้เลยครับ" คุณวิลัยลักษณ์ไม่ได้หันกลับไป มองเพียงภาพสะท้อนในกระจกเท่านั้น แต่แววตาของเธอเปลี่ยนไปทันที "เขารู้แล้วว่าเราจะไม่หยุดง่าย ๆ ... ดี นั่นแปลว่าเขากลัว" เสียงของเธอนุ่มนวลแต่เยียบเย็นจนทำให้คนฟังต้องหลบสายตาอย่างไม่รู้ตัว เธอแตะลิปสติกสีแดงเข้มลงที่มุมปากช้า ๆ ก่อนจะวางมันลงอย่างแผ่วเบา "ถ้าเข้าไปถึงตัวเขาไม่ได้ ก็จงทำให้คนที่เขารักเดินออกมาเอง" คนสนิทอีกคนพยักหน้ารับคำ ก่อนรายงานต่อ "ฝ่ายเทคนิคของเราสามารถแทรกเข้าไปในระบบของซาเลียนได้ครับ แต่มีเวลาทำงานได้แค่ไม่เกินสองชั่วโมง เพราะระบบความปลอดภัยของพวกเขาค่อนข้างแข็งแรง หากเกินเวลานั้น ระบบจะรีบูตและปิดทุกช่องทาง" หญิงสูงศักดิ์เพียงยิ้มบาง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยแรงควบคุม "สองชั่วโมงก็เพียงพอ ถ้าหมากทุกตัวขยับตรงตามจังหวะ" ในห้องระบบไอทีอีก
สำนักงานใหญ่ ซาเลียน อินโนเวชั่น แสงแดดลอดผ่านกระจกบานใหญ่ ตกต้องใบหน้าของธีภพ ขณะเขายืนเงียบอยู่ริมหน้าต่างห้องทำงานสูงสุดของตึกซาเลียน สายตาคมกริบทอดมองลงไปยังภาพถนนเบื้องล่างอย่างไร้ถ้อยคำ แต่ภายในใจ...กลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง บรรยากาศเงียบเกินไปในช่วงวันที่ควรจะมีพายุ เสียงประตูเปิดออกเบา ๆ คีรณัฐก้าวเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟในมือ ใบหน้าขรึมจริงจังกว่าทุกวัน “ตามฉันมา มีเรื่องเหรอ” ธีภพไม่ได้หันกลับ เพียงพยักหน้าเบา ๆ “ฉันไม่ไว้ใจเลย…ทุกอย่างมันเงียบผิดปกติ” “และในความเงียบแบบนี้…คนพวกนั้นมักจะเริ่มลงมือ” คีรณัฐมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดเสียงนิ่ง “ฉันจะส่งคนเข้าไปดูแลในบ้านของแก” ธีภพหันกลับมาในที่สุด สบตาเพื่อนที่ร่วมมือกันมานานตรง ๆ “แกจะส่งคนของแกเข้าไป?” “ใช่” คีรณัฐพยักหน้า “แต่จะไม่ใช่ในฐานะสายลับหรือซุ่มระวัง เขาจะเป็นคนดูแลความปลอดภัยที่เข้าไปอยู่กับพวกแกอย่างเปิดเผยเลย” “เขาจะอยู่ในบ้านยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าใครจะออกไปไหน เขาจะไปด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะคุณนารา...กับคุณสุวิมล” ธีภพนิ่งไปอึดใจ ริมฝีปากเม้มแน่น “ฉันไม่อยากให้แม่กับนารารู้สึกเหมือ
ภานุวัฒน์ เขาก้าวออกมาจากมุมหนึ่งของลานจอดรถ เสื้อนอกสีเข้มพริ้วไหวตามแรงลมบ่าย ดวงตาคมกริบของเขาจ้องตรงไปยังปกรณ์ที่ยังจับแขนลาริสาไว้แน่น ร่างของเขาไม่สูงใหญ่อย่างข่มขู่...แต่ท่าทางนิ่งสงบกลับกดดันจนบรรยากาศเหมือนหยุดหายใจ “แก…” ปกรณ์เบิกตาโพลง สีหน้าเปลี่ยนจากตกใจเป็นแค้นเคืองทันที “นี่แก…ตามฉันเหรอ?!” คำพูดยังไม่ทันจบ หมัดหนักของภานุวัฒน์พุ่งเข้าใส่ใบหน้าเขาอย่างแม่นยำ เสียงกระแทกดังชัด ปกรณ์ล้มลงไปกองกับพื้น เลือดไหลซึมที่มุมปาก “แกวางแผนทั้งหมด…ตั้งแต่แรก…” เขาคำรามขณะพยายามลุกขึ้น “ฉันแค่รู้จักคนแบบแกดีพอ” ภานุวัฒน์ตอบเรียบ ๆ ดวงตาเย็นเฉียบ เขาขยับตัวเข้ามาบังลาริสาอย่างชัดเจน แผ่นหลังสูงใหญ่ของเขาปิดเงาร้ายไว้เบื้องหน้าเธอ ปกรณ์พยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็โดนผลักกระแทกจนทรุดลงแนบพื้น "ไปให้พ้นหน้าฉัน ถ้าแกยังอยากใช้ขาของแกเดินออกไป" สุดท้าย เขาทำได้เพียงหันหลังหนี เงาของเขาลากยาวขณะวิ่งหนีไปอย่างไร้ศักดิ์ศรี ทิ้งไว้เพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ ที่ยังสะท้อนอยู่ในอกของลาริสา หลังเหตุการณ์สงบลง ลาริสายืนนิ่ง มือสั่น ร่างยังสะท้าน เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่า
สำนักงานใหญ่ “ซาเลียน อินโนเวชั่น” เสียงประตูรถเปิดออกเบา ๆ ธีภพก้าวเท้าลงจากรถคันเดิมที่เขาเคยใช้เดินทางอย่างเงียบ ๆ ในวันที่ยังหลบอยู่เบื้องหลัง แต่วันนี้ ทุกย่างก้าวของเขา ชัดเจน มั่นคง และไม่หลบสายตาใครอีกต่อไป แสงแดดบ่ายคล้อยสะท้อนกระจกหน้าตึกสำนักงานใหญ่ ร่างสูงในสูทสีเข้มเดินตรงเข้าสู่ล็อบบี้โดยไร้เงาของผู้ติดตาม เพราะเขาไม่ใช่แขกของที่นี่อีกต่อไป วันนี้…ทุกคนจะได้รู้ว่า ใครคือเจ้าของตัวจริงของ “ซาเลียน อินโนเวชั่น” ภายในห้องประชุมกระจกชั้นบนสุด ภานุวัฒน์ กำลังยืนมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าของเมือง เขาหันมาทันทีเมื่อเห็นธีภพก้าวเข้ามา ริมฝีปากยกยิ้มบาง ๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำต้อนรับ “ทุกคนเริ่มรู้แล้ว” ภานุวัฒน์เอ่ย “ก็ควรรู้” ธีภพตอบเสียงเรียบ เขาวางแฟ้มลงบนโต๊ะ หยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ แล้วกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่แน่วแน่ “ปกรณ์จะเริ่มดิ้น” ภานุวัฒน์พยักหน้า ดวงตาคมกริบพลางผลักเอกสารบางส่วนไปให้เพื่อนตรงหน้า “และดิ้นแรงด้วย” ธีภพเหลือบตามองเอกสารในมือ ไม่ต้องอ่านก็รู้ว่าภายในคือรายงานความเคลื่อนไหวที่พวกเขาเฝ้าจับตาอย่างเงียบ ๆ มาตลอด เขาหันไปสบตาเพื่อนสนิท
ดวงตาของพฤกษ์ไพศาลสั่นไหวแรงขึ้น น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อขอบตาแต่ไร้เรี่ยวแรงจะไหลลง เสียงของธีภพต่ำลงอีกเล็กน้อย ไม่ตวาด ไม่แข็งกร้าว แต่มันบาดลึกกว่ามีดใด “คุณปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่ง…ต้องแบกรับความตายของคนรักไว้ทั้งชีวิต” ธีภพเงียบไปเพียงครู่ แล้วเอ่ยช้า ๆ อีกครั้ง “รวมถึง...เรื่องอรดา ก็คงเป็นคุณใช่ไหม ที่สั่งให้เธอหาผู้ชายมาทำร้ายนารา” ไม่มีคำตอบ ไม่มีเสียง มีเพียงดวงตาชราที่สั่นระริก และเปลือกตาที่กะพริบช้าเหมือนยอมรับอย่างไร้ข้อแก้ตัว “คุณไม่ได้ลงมือเอง...แต่คุณสั่งการทุกอย่าง” เขาหยุดนิ่ง สูดลมหายใจลึก คล้ายพยายามกลืนบางอย่างที่ตีขึ้นมาในอก “ทั้งหมดนั้น...ผมรู้ ผมเห็น และผมจำได้ทุกอย่าง” เสียงเครื่องช่วยหายใจยังคงดังเป็นจังหวะ เงียบงันกดดันราวกับเวลาในห้องหยุดนิ่ง “แต่ผมไม่เกลียดคุณอีกแล้ว” เขาก้มลงช้า ๆ ใช้ปลายนิ้วแตะแขนที่อ่อนแรงของผู้เป็นพ่อเบา ๆ สัมผัสนั้นไร้การตอบสนอง แต่มันคือ ‘การปล่อยวาง’ ที่แท้จริง “คุณได้รับกรรมของคุณแล้ว และมันยังไม่จบหรอก…ผมรู้” ธีภพยืดตัวขึ้น สบตากับดวงตาแก่ชราที่เอ่อแววเศร้า ราวกับสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในหัวใจของชายคนนี้…คือความ
หลังอาหารเช้า ถ้วยชามถูกเก็บไปทีละใบโดยธีภพที่ยืนล้างจานอยู่ข้างอ่าง นาราเช็ดโต๊ะ ส่วนลุงอำนวยขยับจะช่วยแต่สุวิมลห้ามไว้ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ไม่ต้องช่วยจ้ะ ลุงเป็นแขกของเราแล้ว” บรรยากาศอบอุ่นหลังมื้ออาหารเต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่สงบอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว จนกระทั่ง…ธีภพวางจานสุดท้ายลง แล้วหันมามองแม่กับนารา “แม่ครับ…นารา…” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย “ผมว่าจะไปเยี่ยมพ่อ” คำพูดนั้นเหมือนหยุดทุกการเคลื่อนไหวไว้ชั่วขณะ คุณสุวิมลเงียบไปทันที มือที่ถือผ้าเช็ดจานอยู่หยุดนิ่ง กลีบปากเม้มเข้าหากันแน่นน้อย ๆ แต่เธอไม่พูดอะไร นาราชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ดวงตาเธอนิ่ง แต่อารมณ์ข้างในเหมือนกำลังเคลื่อนไหวแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอไม่ได้ห้าม แต่เธอสงสัย “…จำเป็นต้องไปหรือคะ” เธอถามเบา ๆ ธีภพพยักหน้าช้า ๆ “ครับ” ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่มีถ้อยคำแสดงความลังเล หรือความโกรธ มีเพียงความหนักแน่นที่นารารู้จักดี น้ำเสียงแบบนี้…เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว คุณสุวิมลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่ง...แต่มือที่กุมกันไว้บนตักกลับสั่นเล็กน้อย “ภพ ลูกรู้ใช่ไหม ว่าคนอย่างเขา…ไม่เคยให้ความหมา
คืนนั้น คุณสุวิมลแยกเข้าห้องพักผ่อนอย่างเงียบ ๆ ขณะที่ธีภพพานาราเดินกลับเข้าห้อง ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสีอุ่นส่องอยู่ตรงหัวเตียง นารากำลังจะเดินไปหยิบเสื้อคลุม แต่เสียงประตูปิดลงช้า ๆ จากด้านหลังทำให้เธอชะงัก ธีภพยืนอยู่ตรงนั้น แววตาทอดมองมาอย่างแน่นิ่ง เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้ามาหาเธอทีละก้าว ทีละก้าว จนเสียงลมหายใจของเขาแตะข้างแก้มเธอ “คุณไม่รู้หรอก ว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน ผมคิดถึงคุณมากขนาดไหน” เขาพูดเบา ๆ นาราหัวเราะนิด ๆ ในลำคอ แต่เสียงหัวใจกลับดังเกินจะซ่อน “ทำไมจะไม่รู้ล่ะคะ…ฉันก็คิดถึงคุณมากเหมือนกัน” ธีภพยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเขาใกล้เสียจนเธอสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจ มือของเขายกขึ้นแตะหลังมือเธอเบา ๆ เหมือนจะยืนยันว่าตัวตนของเธอยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เป็นเพียงความฝันในคืนเหงา นาราขยับมองเขา แววตาเรียบนิ่งของชายหนุ่มสะท้อนบางสิ่งที่เธอไม่อาจปิดกั้น เขาขยับเข้าใกล้อีกนิด แล้วใช้มืออีกข้างจับไหล่เธอไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงแตะหน้าผากกับเธออย่างช้า ๆ นาราหลับตาลง ราวกับในที่สุดก็ได้ที่พักใจ ไม่มีคำพูดใดต่อจากเขา มีเพียงเสียงลมหายใจชิดกัน และมือที่เลื่อนจา
บ่ายนั้น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ไม่ต้องเสแสร้ง เสียงช้อนกระทบถ้วยชา และกลิ่นหอมของขนมไทยที่นาราอาสานำมา ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะไม้ทรงกลม พูดคุยถึงเรื่องเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน คุณสุวิมลฟังเรื่องราวจากทั้งสองคนเงียบ ๆ บางครั้งก็แทรกด้วยคำแนะนำสั้น ๆ บ้างก็หัวเราะออกมาด้วยความสุข ธีภพเงยหน้ามองแม่ แล้วหันไปมองนารา หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยมีเพียงแววตาแข็งกล้าและเต็มไปด้วยคำถาม… แต่วันนี้ เธอกำลังยิ้มให้กับแม่ของเขาในบ้านหลังนี้ เหมือนคนที่มีสายเลือดเดียวกัน เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบที่เคยแข็งกระด้าง กลับนุ่มลงในพริบตา เพราะสองผู้หญิงตรงหน้า คือหัวใจของเขาทั้งหมด หลังจบบ่ายที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เงียบสงบ และเสียงหัวเราะ ธีภพนั่งอยู่ข้างแม่ของเขาในสวนหลังบ้าน ปลายนิ้วเขาไล้ขอบแก้วน้ำเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก “แม่ครับ…” สุวิมลหันมามองลูกชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “มีอะไรหรือเปล่าลูก?” ธีภพสบตาแม่ ก่อนจะพูดอย่างหนักแน่นแต่ยังอ่อนโยน “ผมกับนาราคุยกันแล้ว ว่าอยากให้แม่ย้ายไปอยู่กับผม…อยู่ที่บ้านนาราครับ” คุณสุวิมลนิ่งไปเล็กน้อย ราวกับเธอกำลังทบทวน “เพราะอะไรจ๊ะ?” “เพราะผม