ไทเฮาตรัสอย่างขุ่นเคืองพลางขมวดคิ้ว "เจ้ายังยืนบื้ออะไรอยู่อีก? ทำไมไม่ไปที่จวนอ๋องฉู่และอธิบายเรื่องนี้ให้องค์หญิงรัชทายาทฟัง? ความเข้าใจผิดนี้ต้องอธิบายให้ชัดเจน"หูโม่โม่กล่าวว่า "ไทเฮาโปรดระงับโทสะด้วย องค์รัชทายาทย่อมรู้เรื่องนี้ดี และทุกคนภายนอกรู้ว่าเป็นเสียนเฟยที่ประกาศพระราชเสาวนีย์ปลอม และองค์หญิงรัชทายาทเองน่าจะรู้เรื่องนี้ด้วย"ไทเฮาพูดอย่างโกรธเคือง "ทุกคนรู้ว่านางประกาศพระราชเสาวนีย์ปลอม และข้าก็ไม่ได้จัดการนาง ลับหลังข้าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่พูดว่าข้ากำลังปกป้องนาง"หูโม่โม่กล่าวว่า "ไทเฮาอย่ากังวลไปเลยเพคะ ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์หรอก"ไทเฮายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดเดิม ๆ "ข้าบอกให้เจ้าไปจวนอ๋องฉู่ ก็ไปได้แล้ว"หูโม่โม่รับคำสั่ง "เพคะ!"หยวนชิงหลิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ที่จู่ ๆ ไทเฮาก็ส่งหูโม่โม่ไปอธิบายเรื่องพระราชเสาวนีย์ปลอมเนื่องจากเรื่องนี้ผ่านไปนานแล้วและไม่จำเป็นต้องอธิบายอีก ในตอนนั้นเสียนเฟยบ้าคลั่ง และไม่ได้นำพระราชเสาวนีย์ออกมาด้วย ดังนั้นย่อมเป็นของปลอมเป็นแน่ดังนั้นนางจึงขอให้หูโม่โม่ปลอบไทเฮา บอกว่านางรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และไม่
เด็ก ๆ อยู่ในตำหนักเสี่ยวเยว่ ซึ่งเดิมอยู่ในห้องของหยวนชิงหลิง แต่แม่นมให้นมเด็ก ๆ ไม่สะดวก ดังนั้นเขาจึงทำความสะอาดห้องด้านข้าง และใช้เป็นห้องเด็กไปก่อนทันทีที่ทั้งสองเข้ามา พวกเขาเห็นแม่นมเด็กกำลังยุ่งอยู่กับการปลอบเปาจื่อ แต่เปาจื่อก็ไม่ได้ร้องไห้"เกิดอะไรขึ้น?" อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้วและถาม "เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าถ้าไม่ได้ง้อแง้มากก็อย่าไปอุ้มพวกเขา"เมื่อเห็นคู่สามีภรรยารัชทายาทข้ามา แม่นมก็รีบคุกเข่าลงและสารภาพว่า "องค์รัชทายาทองค์หญิงยกโทษให้หม่อมฉันด้วย บ่าวไม่ดูให้ดี เด็ก ๆ จึงตกลงมาเพคะ”"ตกลงมาหรือ?" หยวนชิงหลิงเดินไปดูเปาจื่อ เห็นแค่เขายิ้มเหมือนหญิงชราไร้ฟัน รอยยิ้มอย่างเรียบง่ายและจริงใจ"ตกลงมาได้อย่างไร" อวี่เหวินห่าวมองไปที่เปลมันถูกปรับแต่งตามแบบที่หยวนชิงหลิงได้วาดให้ไว้ก่อนหน้านี้ โดยล้อมไว้ทั้งสามด้านสูงสามชุน ส่วนอีกด้านหนึ่งมีราวกั้นเตี้ย ๆ กันไว้ เพื่อที่ว่าแม้ว่าเด็กจะพลิกตัวเขาก็จะไม่ตกลงมายิ่งกว่านั้นเด็กยังพลิกตัวไม่ได้“จริงนะเพคะ องค์ชายใหญ่ตกลงมา พวกบ่าวก็เห็น” แม่นมอีกสองคนกล่าวทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าเห็นเขาตกลงมากับตาเจ้าเ
อวี่เหวินห่าวรู้สึกงงงวยมาก "ให้ตายเถอะ ราวกั้นหลวมหรือไม่?" เขาลองตรวจสอบดู พบว่ามันแข็งแรงราวกับหินเมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเขาพูดแบบนั้น นางนึกถึงสิ่งที่เจ้าอาวาสพูดขึ้นมาได้การถ่ายทอดทางพันธุกรรมหากหลังจากฉีดยาแล้วสมองได้พัฒนาขึ้นจริง ๆ แฝดสามก็จะได้รับถ่ายทอดด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่แล้วเซลล์สมองจะทำงานมากกว่า หรือมีมากกว่าเซลล์อื่น กล่าวคือยิ่งฉลาดและมีไอคิวสูงในแง่ของกล้ามเนื้อและสมรรถภาพทางกาย...ก็มีผลกับทั้งร่างกายด้วยกล่าวคือ สมองสำหรับร่างกายมนุษย์เปรียบเหมือนผู้บังคับบัญชาสูงสุด การพัฒนาของสมองจะส่งผลต่อทุกสิ่งในร่างกายมนุษย์"เกิดอะไรขึ้น?" อวี่เหวินห่าวถาม เมื่อเห็นใบหน้าของหยวนชิงหลิงซีดลงอย่างกะทันหัน“ไม่เป็นไร” หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างเคอะเขิน “ข้าแค่คิดว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย”"นั่นสิ แต่พวกเขาอาจจะฉลาดและแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไป ท้ายที่สุดเด็กที่เกิดในวันประสูติของพระพุทธองค์นั้นย่อมไม่ธรรมดา" อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงยิ้ม “ใช่แล้ว”วันรุ่งขึ้น หลังจากที่อวี่เหวินห่าวออกไปแล้ว นางขอให้แม่นมอุ้มทารกทั้งสามเข้าไปใน
หยวนชิงหลิงพูดอย่างโกรธเคืองว่า "ใช่ แถมยังช่วยกู้โลกด้วย"เจ้าอาวาสกล่าวว่า "รุ่นพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องปฏิเสธการวิจัยของท่านเอง หากท่านสามารถเข้าใจและชั่งน้ำหนักนั้นได้ ท่านจะสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อมนุษยชาติ"ผู้ที่ทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มักมีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอยู่ในใจแน่นอนว่านางเองก็เช่นกันอย่างไรก็ตาม หลังจากเดินทางข้ามเวลา นางถึงตระหนักว่าการค้นคว้าของนางนั้นไม่จำเป็นจริง ๆมนุษย์ฉลาดอยู่แล้วหากฉลาดขึ้นหรือมีความสามารถมากขึ้น ความทะเยอทะยานก็จะมากขึ้น และความกล้าหาญก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ความสามารถควบคุมความทะเยอทะยานได้ และความสามารถก็เป็นตัวขยายความทะเยอทะยานด้วยเช่นกันหลังจากส่งเจ้าอาวาสไปแล้ว นางมองไปที่สามแฝดและเตือนอย่างเคร่งเครียดว่า "ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะฟังเข้าใจหรือไม่ สรุปเลยนะ เป็นคนปกติ เก็บท่าทีให้ดี ไม่อนุญาตให้แสดงพฤติกรรมผิดปกติอะไรออกมานะ "คุณชายน้อยติ่มซำทั้งสามคนมองนางด้วยดวงตาดำขลับเป็นประกาย เม้มปาก ชูกำปั้นดิ้นไปดิ้นมา และผายลมออกมาพร้อมกันเปาจื่อยิ้มทังหยวนเหม่อลอยเสี่ยวลั่วหมี่ตกใจแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาหยวนชิงหลิงมองพ
หยวนชิงหลิงยื่นมือไปจับไหล่เขาและพูดอย่างจริงจัง "ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน แต่ท่านต้องใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งพูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อนะ ฟังข้าพูดให้จบก่อน"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยความประหลาดใจ "เจ้ารู้แล้วหรือ? ข้ายังอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ"หยวนชิงหลิงตกตะลึง "ท่านเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรือ?"อวี่เหวินห่าวก็ตกตะลึงเช่นกัน "เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่ได้พูดเรื่องเดียวกัน"“ท่านพูดก่อน” หยวนชิงหลิงกล่าวจู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็ยิ้มจนคิ้วของเขาขยับราวกับมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน และพูดอย่างเขินอายว่า "จิ้งถิงกำลังมา"หยวนชิงหลิงเห็นเขายิ้มจนตาหยี ท่าทางของเขาชวนหมั่นไส้ยิ่งนัก และได้ยินไม่ชัดจึงถามอีกครั้งว่า "ใครมานะ?""จิ้งถิง!" อวี่เหวินห่าวพูดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาช่างนุ่มนวล เข้ากับรอยยิ้มที่ไม่มีใครเทียบได้เหมือนสาวน้อยที่รอคอยการแต่งงาน"จิ้งถิง?" ระฆังเตือนดังขึ้นในหัวของหยวนชิงหลิง เฉินจิ้งถิงคนนั้น เพื่อนทางจดหมายจากต้าโจว "เขามาที่นี่ เขามาทำอะไร?""เข้าร่วมพิธีสถาปนาองค์รัชทายาท" อวี่เหวินห่าวนั่งตัวตรงดูจริงและเคร่งขรึม "วันนั้นเป็นวันสำคัญสำหรับข้า ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะมาหร
หยวนชิงหลิงมองเขา “ท่านเคยพูดไม่ใช่หรือว่าว่าข้าแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก? ท่านอยากรู้ไหมว่าทำไม"“แตกต่างกัน แล้วมันจะทำไมเล่า? ผู้คนต่างมีประสบการณ์แตกต่างกันและนิสัยใจคอก็ย่อมแตกต่างกัน” อวี่เหวินห่าวเริ่มหลบตาของนาง “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ไปเดินเล่นกันเถอะ”หยวนชิงหลิงมองเขา นึกถึงก่อนหน้านั้นที่เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งคราวและเขาไม่สนใจที่จะบีบบังคับถามต่อไป ในตอนแรกเขาอยากจะถาม แต่ภายหลังเขาก็ถามจนไม่ถาม และมาตอนนี้ก็เลี่ยงที่จะถามด้วยสมองอันชาญฉลาดของเขาจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่สงสัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของนาง“เจ้าห้า ข้าไม่อยากออกไปเดินเล่น ข้าแค่อยากพูดให้ชัดเจน” หยวนชิงหลิงพูดอวี่เหวินห่าวมองนาง "สิ่งที่เจ้าพูดจะทำให้เราแยกจากกันในที่สุดงั้นหรือ?"หยวนชิงหลิงตกใจ "จะเป็นไปได้ย่างไร ทำไมท่านถึงคิดอย่างนั้น?"“ไม่จริงหรือ?”หยวนชิงหลิงพูดว่า "ไม่แน่นอน ทำไมเราถึงแยกจากกัน เจ้าคิดอะไรอยู่?"เหนื่อยจริง ๆ!อวี่เหวินห่าวมองนางและพูดอย่างช้า ๆ ว่า "อันที่จริง ถังหยางกับข้าเคยคุยกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเจ้าเป็นการส่วนตัวมากกว่าหนึ่งครั้ง รวมถึงกล่องยาด้
“นี่เป็นการสิงร่างคนอื่นได้อย่างไร?”มันแตกต่างจากที่นางพูดเลยมิใช่หรือ?“ทำไมจะไม่ใช่การสิงร่างคนอื่นล่ะ? ร่างกายยืมมาจากคนอื่น แต่วิญญาณเป็นของเจ้า ไม่แปลกใจเลยที่ข้าบอกว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ที่แท้ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของเจ้าเอง เรื่องของวิญญาณน่าสนใจมากทีเดียว” อวี่เหวินห่าวที่ดูเคร่งเครียดกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ปีศาจอสูรกายก็ถือว่าใช้ได้แล้ว การสิงร่างคนอื่นนั้น โชคดีที่ว่าวิญญาณต้องอยู่ในร่างกายของตัวเอง และไม่ไปไหนไม่ได้หยวนชิงหลิงอึ้งไปสักพัก รู้สึกสับสนเล็กน้อยกับตรรกะในหัวของเขา เขาพูดเหมือนว่าดีมาได้อย่างนั้นอวี่เหวินห่าวถาม "เจ้าบอกว่าเดิมทีเจ้าเป็นหมอ? หมอชาหรือหมอเหล้า? ดูเจ้าชงชาเก่ง เจ้าเป็นหมอชาหรือไม่?"มุมปากของหยวนชิงหลิงกระตุก "หมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอชาหรือหมอเหล้าสักหน่อยใช่ไหม? เท่าที่ข้ารู้ราชวงศ์ของเราก็มีหมอเป็นเจ้าหน้าที่วิชาการด้วย""แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้ชาย เจ้า..." จู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็มองนางอย่างหวาดผวา และพูดอย่างตื่นตระหนกว่า "สวรรค์ เจ้าไม่ใช่ผู้ชายใช่ไหม? ข้าจะบอกว่าเจ้ารู้เรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ตั้งมากมาย และยังคุยเรื่องจุดดำ
"ดังนั้นพวกเด็ก ๆ จึงมีพลังวิญญาณมาแต่กำเนิด พลังวิญญาณนี้มาจากวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า และวิญญาณของเจ้าคือพลังงานอย่างที่เจ้าอาวาสเคยว่าไว้"จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็ประหลาดใจและตั้งใจมองเขาหยวนชิงหลิงเข้าใจว่าทำไมร่างนี้ถึงไม่ใช่ของนาง แต่มันสามารถส่งต่อไปให้พวกเด็ก ๆ ได้นางรีบพูดว่า "ข้าเข้าสิงร่างนี้ด้วยความคิดของข้า ซึ่งหมายความว่าความคิดของข้าสามารถควบคุมกล่องยาได้ และมันสามารถส่งผลต่อสมองของหยวนชิงหลิงคนเดิม หรืออีกนัยหนึ่งคือคลื่นสมองของข้าแต่เดิม และหยวนชิงหลิงคนก่อนเกิดการเชื่อมต่อกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสมองของร่างกายที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้ และส่งต่อไปยังพวกเด็ก ๆ ด้วย น่าจะเป็นแบบนี้นะ"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยสายตาใสซื่อ "เจ้าบอกว่าใช่ แต่ข้าเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระ ข้าก็ไม่รู้จัปฏิเสธได้อย่างไร"เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบของเขา หยวนชิงหลิงก็ไม่ตกใจมากนัก ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่นางก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า "หลังจากฟังเรื่องนี้แล้ว ท่านไม่มีอะไรจะถามแล้วใช่ไหม?""ถามรึ?" อวี่เหวินห่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไม่มีอะไรจะถามแล้ว มีอะ