“ท่านอ๋อง!” ถังหยางมอง อวี่ เหวินห่าวด้วยความกังวลใจ “พระชายาไปแบบนี้ เกรงว่าจะยิ่งไปเพิ่มความโกรธให้ฝ่าบาท”อวี่ เหวินห่าวก้มหัวลงอย่างช้า ๆ คำพูดที่ หยวน ชิงหลิงพูดตอนไป มันยังก้องในหูเขา เรื่องยุ่งยากน่ารำคาญใจแบบนี้ ทำให้เขาเจ็บปวดจนพูดไม่ออก“ให้นางไป เสด็จพ่อผิดหวังในตัวข้าอยู่แล้ว ผิดหวังอีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป” อวี่ เหวินห่าวกล่าวอย่างเงียบ ๆ“ทำไมพระชายาถึงมอบสร้อยลูกปัดให้ฮองเฮา” สวี่อีเค้นสมองคิดหาเหตุผลที่ หยวน ชิงหลิงลงมือทำแบบนี้“เพื่ออะไร? เป็นธรรมชาติที่นางจะประจบประแจงฮองเฮา” อวี่ เหวินห่าวกล่าวอย่างเย็นชา“ประจบฮองเฮาได้อย่างไร?”ถังหยางมองสวี่อีอย่างเรียบเฉย “เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ? ตอนนี้จิ้งโฮ่วอยากพึ่งพิงตระกูล ฉู่ หมิงชุ่ย เจ้านี่ไม่รู้อะไรซะจริง”สวี่อีพ่นหายใจออกมา “จิ้งโฮ่วนี่มันตาแก่เศษสวะจริง ๆ หน้าไม่อายเลยสักนิด ตอนที่ท่านอ๋องของเราได้รับความโปรดปราน ก็ลงมือวางแผนการสารพัดแต่งลูกสาวเข้าจวนอ๋อง วันนี้ท่านอ๋องตกต่ำ เขาก็รีบสะบัดหางหนีไปพึ่งตระกูลฉู่ หมิงชุ่ย มันไม่ละอายบ้างหรือไง?”ถังหยางเห็นว่า อวี่ เหวินห่าวสีหน้ายิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ เลยดุสวี
แต่ทว่าจักรพรรดิหมิงหยวนยังทรงกริ้วอยู่ แล้วให้ขันทีมู่หรูเชิญตัว หยวน ชิงหลิงมาเข้าเฝ้าอ๋องซุนมอง หยวน ชิงหลิงรู้สึกสงสาร ช่างหน้าขายหน้าจริง ๆ ให้นางไปเจอกับความโกรธของเสร็จพ่อเพราะตัวเองแบบนี้ ได้ยินมาว่าเจ้าห้าอยู่ในวังหลวงเพื่อพักฟื้นอาการบาดเจ็บ ไปบอกเจ้าห้าสักคำ ให้เจ้าห้าช่วยพานางกลับดีกว่าหยวน ชิงหลิงเข้ามาในตำหนักจักรพรรดิหมิงหยวนก็ไม่เงยหน้า เพียงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “คุกเข่าลง!” หยวน ชิงหลิงคุกเข่า “ถวายบังคมเสด็จพ่อ!”ข้าวของในตำหนักรกรุงรังไปหมด ขันทีมู่หรูกำลังเก็บกวาดร่องรอยของหินฝนหมึกที่กระจัดกระจายบนพื้น มองดูแล้ว ฝ่าบาทเป็นพวกเวลาโมโห ชอบทำลายข้าวของ บนพื้นมีสายสร้อยลูกปัดนอนนิ่งอยู่ มันตกอยู่บนพื้นห่างจาก หยวน ชิงหลิงไม่ถึงห้าฟุตจักรพรรดิหมิงหยวนถามนางอย่างใจเย็นว่า “เมื่อครู่มู่หรูเข้ามารายงานข้า เจ้าบอกว่าทำสร้อยหาย เจ้าทำหายที่ไหน?”“ทูลฝ่าบาท ทำหายที่พระตำหนักเฉียนคุนเพคะ ”“งั้นเจ้าดูนี่ ที่พื้น ใช่สร้อยลูกปัดที่เจ้าทำหายที่ตำหนักเฉียนคุนหรือไม่” จักรพรรดิหมิงหยวนถามหยวน ชิงหลิงจ้องมองดู แล้วตอบกลับว่า “ใช่เพคะ”“สร้อยลูกปัดเส้นนี้ ฮองเฮาให้คน
เสียนเฟยวางถ้วยชาลงมอง หยวน ชิงหลิง ลังเลอยู่สักครู่แล้วเอ่ยถามว่า “พระชายาฉู่ ก็อยู่ที่นี้ด้วยหรือ? งั้นหม่อมฉันไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว”จักรรรดิหมิงหยวนกล่าวต่อไปว่า “เจ้ามาก็ดีแล้ว เรื่องนี้ลูกชายเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เจ้านั่งลงเถอะ”เมื่อได้ยินว่าเกี่ยวของกับอ๋องฉู่ด้วย เสียนเฟยรู้สึกเกลียดนางจนแทบจะกินนางทั้งเป็นนางระงับความโกรธโดยที่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง “เพคะ!” นางกระเถิบเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ ในสมองรีบคิดตามอย่างรวดเร็ว ฝ่าบาทต้องคิดว่า หยวน ชิงหลิงนำสร้อยไปให้ฮองเฮาเป็นความต้องการของเจ้าห้า เจ้าห้าไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ เวลานี้ลูกควรปกป้องตัวเองสิ ทำไมถึงทำตัวเหลวไหลได้?แต่งภรรยาไร้คุณธรรมแบบนี้ถ้าลูกห้าถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาและถูกเนรเทศออกไปละก็ นางไม่มีทางปล่อย หยวน ชิงหลิงไปแน่ทำไมต้องเป็นผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงนี้ด้วย ถ้าแต่ง ฉู่ หมิงชุ่ยเข้ามาตั้งแต่แรกละก็ จะมีเหตุการณ์ตรงหน้าแบบวันนี้เกิดขึ้นได้หรือ?เสียนเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียด ในใจเกลียด หยวน ชิงหลิงจนอยากบีบกระดูกนางให้เป็นเถ้าถ่านหยวน ชิงหลิงนั่งคุกเข่าตัวตรง ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับรังสีอมหิตข
ฮองเฮาฉู่มองนางข้าหลวงเป่าด้วยความประหลาดใจ “เจ้าได้ยินอะไรผิดไป? ข้าให้เจ้านำสร้อยลูกปัดมาส่งคืน ทำไมจึงกราบทูลเช่นนั้น?” “พระองค์...” ริมฝีปากของนางข้าหลวงเป่าซีดขาวและตัวสั่นเทา “หม่อมฉันรู้มาก หม่อมฉันคิดไปว่าการที่พระชายาฉู่ส่งสร้อยลูกปัดมาให้ก็เพื่ออ๋องฉู่ ดังนั้นหม่อมฉันจึงพูดมากไปว่าพระชายาส่งให้ฮองเฮาเพื่อให้ฮองเฮาชมเชยอ๋องฉู่”ฮองเฮาฉู่โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “เจ้ากล้าดียังไงมาคาดเดาส่งเดชเช่นนี้ เจ้าช่างบังอาจ!”ฮองเฮาฉู่จู่ ๆ ก็สงบใจคิดขึ้นมาได้ อี้เป่าอยู่กับนางมาหลายปี นิสัยใจคอก็รู้ดี นางไม่มีทางพูดจาเหลวไหลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทได้แน่ทันใดนั้นนางก็นึกถึง ฉู่ หมิงชุ่ยขึ้นมาก่อนหน้านั้น ฉู่ หมิงชุ่ยก็เสนอให้ไปหาเสียนเฟย แค่นางคิดว่าไม่จำเป็นต้องลงมือกับเสียนเฟย เสียนเฟยนางเป็นหลานสาวของไทเฮา นางลงมือกับเสียนเฟยไปเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ง่ายที่จะลงมือต่อสีหน้าของจักรพรรดิหมิงหยวนมองได้ยากนัก อี้เป่ามีหรือจะกล้า? เกรงว่าฮองเฮาจะเป็นคนบงการ เขามองหน้าฮองเฮาฉู่อย่างเย็นชาฮองเฮาฉู่ลุกขึ้นมาเล่นละครฉากนึง นางตบลงไปที่หน้าของนางข้าหลวงเป่าอย่างแรง และพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “บัง
“เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนสับเปลี่ยนยา?” หยวน ชิงหลิงถามนางข้าหลวงสี่นางข้าหลวงสี่เอาแต่นิ่งเงียบฝ่ามือของจักรพรรดิหมิงหยวนตบลงไปบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ วางลง เขามองนางข้าหลวงสี่อย่างเงียบ ๆ ในใจรู้สึกเป็นโหว่ง ๆ ลึกลงไปอย่างช้า ๆนางข้าหลวงสี่สามารถแก้ข้อกล่าวหานี้ได้ แต่นางไม่ทำนางยอมรับมันโดยปริยายจักรพรรดิหมิงหยวนทั้งตกใจทั้งโกรธ เป็นนางข้าหลวงสี่ไปได้อย่างไร “พระชายาฉู่ ท่านมีหลักฐานไหม?” ขันทีมู่หรูตกใจมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามหยวน ชิงหลิงตอบอย่างเรียบเฉยว่า “หลักฐานอยู่ที่พระตำหนักเฉียนคุน ต่อหน้าพระพักตร์ไท่ซ่างหวง นางข้าหลวงสี่ เจ้าจะต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เจ้าถึงจะยอมรับผิดใช่ไหม? เจ้าเคยลงมือทำร้ายพระองค์ไปแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่สนว่าเรื่องของเจ้าจะทำให้พระองค์โกรธจนส่งผลกับพระอาการ พวกเราไปเผชิญหน้ากันพระตำหนักเฉียนคุนเถอะ” นางข้าหลวงสี่แทบจะเงยหน้าขึ้นอย่างเร็ว แสงไฟในแววตาที่ค่อยมอดลงทีละน้อย ผิวหนังบนใบหน้าค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เปลือบตาที่หย่อนคล้อยตกลง จู่ ๆ ก็ดูรู้สึกเหมือนนางจะดูแก่ลงหลายปี“ไม่ต้องไปถึงพระตำหนักเฉียนคุนหรอกเพคะ หม่อมฉันยอมรับผิ
นางข้าหลวงสี่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “บุญคุณต้องทดแทน ปีที่แล้วหม่อมฉันป่วยหนัก พระชายาฉู่ส่งยามาให้รักษาอาการป่วยจนหาย วันนี้ช่วยนางสักครั้งถือว่าตอบแทนบุญคุณ หม่อมฉันรู้ว่ายังไงพระชายาก็ไม่ได้รับโทษ ไท่ซ่างหวงต้องการนางอย่างมากก็อาจจะถูกดุด่าไม่กี่คำ หม่อมฉันไม่ต้องการทำร้ายใคร”เมื่อนางพูดจบ นางก็โขกหัวกับพื้นอยู่นาน เมื่อเงยหน้าขั้น สีหน้ามีแต่ความสงบ “หม่อมฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฝ่าบาทโปรดประทานเหล้าพิษให้ด้วย!”ชีวิตนี้นางไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้วไปถึงปรโลกก็ไม่ติดหนี้บุญคุณเขาอีกสีหน้าของจักรพรรดิหมิงหยวนมีความไม่ยินยอมกับเรื่อนี้ “ถ้าเจ้าสารภาพถึงคนบงการอยู่เบื้องหลัง ข้าก็จะทำเหมือนเรื่องที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น”นางข้าหลวงสี่นิ่งเงียบราวกับนางเตรียมใจตายแล้ว และไม่มีใครเปลี่ยนความคิดนี้ได้จักรพรรดิหมิงหยวนทั้งเกลียดและโศกเศร้าเสียใจ เขาไม่อยากฆ่านางข้าหลวงสี่ เรื่องนี้เองก็ไม่สามารถบอกไท่ซ่างหวงได้ ไท่ซางหวงในตอนนี้ประชวรเป็นโรคหัวใจ พระองค์จะทนรับเรื่องที่คนสนิทข้างกายที่อยู่มาด้วยกับตั้งสิบกว่าปีวางยาพิษพระองค์เองได้หรอตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่นึง ฝ่าบาทก็เอ่ยขึ้น
จักรพรรดิหมิงหยวนมองนาง “ถ้าเจ้าไม่รู้จะทำยังไง บางทีเจ้ากลับไปสอนพ่อเจ้าสักหน่อยก็ดี”หยวน ชิงหลิงทำตัวไม่ถูกมาก ๆ ทำแบบนี้มันจะดีหรือ?“อย่าเอาเรื่องของบิดาหม่อมฉันมากวนพระทัยเลยเพคะ” หยวน ชิงหลิงตอบคำตอบนี้จักรพรรดิหมิงหยวนพึงพอใจมาก จักรพรรดิหมิงหยวนมองนางสักครู่แล้วจู่ ๆ ก็พูดออกมาว่า “ตอนนั้นนางข้าหลวงสี่พูดว่า พระชายาฉีเกลียดเจ้า จึงทำร้ายเจ้า เจ้าไม่ควรแก้แค้นเป็นการส่วนตัว เข้าใจไหม?” “ถ้านางทำหม่อมฉันก่อนล่ะเพคะ?” หยวน ชิงหลิงถาม นางไม่อยู่รอเฉย ๆ ให้ใครมารังแกนางได้หรอกนะ “นางไม่กล้าหรอก และตระกูลฉู่เองจะไม่ให้นางลงมืออีก ยังมีอีกเรื่อง” จักรพรรดิหมิงหยวน พึมพัมมองนางแล้วกล่าวต่อว่า “เสียนเฟยเคยพูดกับข้า ว่าจะให้เจ้าห้าแต่งกับพระชายาฉี ทั้งคู่เล่นด้วยกันเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่สุดท้ายไร้วาสนา ช่างน่าเสียดาย พระชายาฉียังมีน้องสาวอีกคน โตมาคล้ายนางมาก ข้าเลยคิดว่าจะให้เจ้าห้าแต่งกับคุณหนูรองแต่งเข้ามาเป็นพระชายารอง เจ้าว่ายังไง?” หยวน ชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่มีเพคะ!”จักรพรรดิหมิงหยวนรู้สึกแปลกใจ ทำไมใจกว้างอะไรเช่นนี้คุณหนูรองตระกูลฉู่เป็นคุณหนูที่เกิดจากฮูหยิน
เมื่อถึงพระตำหนักเฉียนคุน พบว่าไท่ซ่างหวงนั่งเอนหลังแทะเม็ดแตงอยู่ในพระตำหนัก นอกจากฉางกงกง ก็ยังมีอีกคนนึงใส่ชุดสีดำ พกกระบี่ ผมของเขาตรงขมับดูเหมือนย้อมสีมา ยังดูหนุ่มอยู่เลย เขาพบว่า หยวน ชิงหลิงเข้ามาในตำหนัก สายตาที่มองมา และเขาก็ดูเย็นเยือกในชั่วพริบตาไท่ซ่างหวงแทะเม็ดแตงแล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อน”ชายชุดดำประสานมือและขอทูลลาออกไปฝีเท้าของเขาเบามาก ไม่ว่าจะจับตาดูแล้ว ก็ยังรู้สึกเลยว่าเขาเคลื่อนไหวส้นเท้าไม่ได้แตะพื้น แค่แปปเดียวเขาก็หายไปซะแล้ว“มองอะไร? เขาเป็นองครักษ์เงาของข้าเอง เรื่องของเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้ว?” ไท่ซ่างหวงเหลือบมองนางและถามด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูท่าทางไม่เลวเลยหยวน ชิงหลิงจู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอน ชายชราคนนี้รู้ทุกอย่าง อาจรวมถึงคนบงการนางข้าหลวงสี่ด้วย ชายชรามองที่นางและยิ้มแปลก ๆ ออกมาหยวน ชิงหลิงรู้สึกในหัวของเธอเหมือนงุนงง เธอต้องเดาไม่ผิดแน่ ๆ ชายชราคนนี้รู้ทุกอย่าง“ฉางกงกง ข้าอยากสนทนากับไท่ซ่างหวงตามลำพัง เชิญท่านออกไปก่อน” หยวน ชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองโง่เหมือนไอ้ทึ่มแบบนี้ไม่ได้ ต้องถามให้ชัดเจนฉางกงกงเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ เขารีบออกไ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม