“ใต้เท้าทั้งสองทั้งมีคุณธรรมและซื่อสัตย์เช่นนี้ ทำให้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก เด็ก ๆ เร็วเข้า ไปเตรียมเหล้าและอาหารให้ใต้เท้าทั้งสองเร็ว” ฮูหยินเฒ่าสั่งออกมาซูยี่ อาซื่อ และหมานเอ๋อร์มองทหารองค์รักษ์ที่เชื่อฟังและไปกับฮูหยินเฒ่าก็อดพูดไม่ได้ว่า “ฮูหยินเฒ่าช่างมีคุณธรรมและบารมีสูงส่งจริง ๆ”“มิใช่หรือ? นางพูดคำเดียวมีน้ำหนักกว่าพวกเราพูดเป็นร้อยอีก” อาซื่อทั้งชื่นชมและยกย่องด้วยเหตุนี้ อวี่เหวินห่าวจึงอยู่ที่จวนจิ้งโฮ่วได้จนถึงฟ้าสางไม่ยุ่งยากอะไรนัก นางข้าหลวงสี่ที่ไปแอบดู บอกว่าพวกทหารองค์รักษ์พักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านข้าง ท่านอ๋องอยู่ต่อได้อีกสักหน่อยอวี่เหวินห่าวกอดหยวนชิงหลิงและถอนหายใจออกมา “สามีภรรยาบ้านอื่นนอนด้วยกันได้ แต่ข้ากลับทำเหมือนโจรไม่มีผิด”หยวนชิงหลิงก็สงสัย “พวกเขารับคำสั่งจากเสด็จพ่อ แต่เหตุใดถึงเชื่อฟังท่านย่ากัน?”อวี่เหวินห่าวเองก็สงสัย แต่ก็ไม่อยากสนใจ แค่ได้อยู่ต่อก็เป็นอันใช้ได้แล้วตอนที่อวี่เหวินห่าวไป พวกองค์รักษ์ปฏิบัติกับเขาอย่างเอาใจใส่และอบอุ่นมาก ไม่เคร่งขรึมเหมือนวันก่อน ๆ ตอนที่อวี่เหวินห่าวขึ้นม้า องครักษ์คนหนึ่งในนั้นก็เข้ามาช่วยดันก้นของเขาด้ว
ช่วงนี้จักรพรรดิหมิงหยวนรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่งนักแค่เรื่องเจ้าเมืองจิ้งเป่ยก็มากเกินพอแล้ว ตอนนี้เจ้าสามยังทำเรื่องชั่วช้าพรรค์นั้นออกมาอีก ยังไม่พอ ช่วงนี้ยังฝันเห็นหลัวกุ้ยผินหลายคืนติดต่อกันอีก ในฝันหลัวกุ้ยผินยังร้องขอความเป็นธรรมอีกด้วยยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้แก้ไขให้กระจ่างชัด?จักรพรรดิหมิงหยวนรับสั่งเรียกตัวอ๋องเว่ยเข้าวัง ในหอตำรานั้นเกิดอะไรขึ้น มู่หรูกงกงเองก็ไม่ทราบเช่นกัน รู้แค่ว่าอ๋องเว่ยเข้าไปอยู่นาน และด้านในก็มีเสียงตวาดที่ไม่ต่างจากฟ้าผ่าดังออกมามากมายหลายครั้งตอนที่อ๋องเว่ยออกมา เขาเดินคอตกออก และเดินกะเผลกอีกต่างหากมู่หรูกงกงเข้าไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็เรียกให้เขาไปสอบถามอาการของพระชายาเว่ยมู่หรูกงกงที่ออกไปแล้ว และกลับมาแล้วนั้นเข้าไปกราบทูลให้ทรงทรงว่า “อาการบาดเจ็บไม่สาหัส แต่หมอหลวงบอกว่าโชคดีนักที่พระชายาฉู่ช่วยไว้ได้ทัน มิฉะนั้นคงรักษาชีวิตพระชายาเว่ยไว้ไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรูกงกงก้าวไปข้าวหน้าเอ่ยกระซิบเบา ๆ “ฝ่าบาท บ่าวได้ทราบมาว่า ก่อนหน้านั้นที่พระชายาเว่ยได้แท้งลูกนั้น ท่านอ๋องเว่ยเป็นคนวางยาพ่ะย่ะค่ะ”จักรพรรดิหมิงหยวนที่กริ้วจนหน้าดำทะ
จักรพรรดิหมิงหยวนหัวเราะ "เจ้าไปโต้เถียงอะไรกับเขา? ไม่ว่าเจ้าจะมีความรู้แค่ไหน เจ้าสามารถเหนือกว่าเขาได้หรือ?"“ไม่ใช่ความรู้พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นสามัญสำนึกทั่วไป เมื่อวานอากาศหนาวเย็นมาก เณรน้อยจึงมาจุดเตาถ่านให้พวกเราคลายหนาว คาดไม่ถึงว่าการจุดเตาถ่านก็ทำให้เกิดพิษได้”จักรพรรดิหมิงหยวนหัวเราะ “จุดเตาถ่านก็ทำให้เกิดพิษได้? เป็นไปไม่ได้ มีคนวางยาต่างหากเล่า ไม่อย่างนั้นจะถูกพิษได้อย่างไร?”เหลิ่งจิ้งเหยียนตอบว่า “ฝ่าบาทเองก็ทรงคิดแบบนั้นใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? แต่ท่านเจ้าอาวาสก็ดื้อรั้นเหลือเกิน บอกว่าแค่จุดเตาถ่าน และปิดหน้าต่างไม่ให้มีลมระบายออกไปก็สามารถเอาชีวิตคนได้ กระหม่อมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ การจุดเตาถ่านก็มีมานมนานแล้ว ก็ไม่เคยเห็นมีคนตายมิใช่หรือ?”“ใช่” จักรพรรดิหมิงหยวนรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว “ไม่เคยเห็นคนเหล่านั้นจุดเตาถ่านแล้วตาย? ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ไหนจะมีฝังท่อกระจายความร้อนไว้ใต้ดินที่บ้านกัน? ล้วนแต่พึ่งพาเตาถ่านกันเท่านั้น”เหลิ่งจิ้งเหยียนตอบว่า “กระหม่อมก็ปฏิเสธเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเขาว่าอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดิหมิงหยวนวางแก้วลง และมองไปที่เหลิ่งจิ้งเหยียน
หลัวกุ้ยผินเป็นผู้บริสุทธิ์ฝ่าบาทได้ยกเลิกคำตัดสินเดิมของตัวเอง หลัวกุ้ยผินไม่ได้ทำร้ายฮองเฮา โม่โม่คนนั้นเสียชีวิตด้วยเตาถ่านคำตัดสินนี้ที่ประกาศในท้องพระโรงทำให้เหล่าข้าราชบริพานต่างตกใจยิ่งนักในเวลานี้ฝ่าบาทยอมรับความผิดของตนเอง มันดูไม่ค่อยเหมาะมากนัก? ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เจ้าเมืองจิ้งเป่ยจะไม่ยิ่งกำเริบเสิบสานหรอกหรืออย่างไรเสีย ความคิดของจักรรพรรดิหมิงหยวนคือ ไม่ยอมอนุญาตให้มีการตัดสินคดีผิดพลาดแม้แต่คดีเดียวเขาตัดสินผิดพลาด ทำให้หลัวกุ้ยผินตายเปล่า และยังทำร้ายผู้คนในตระกูลหลัว ดังนั้นจึงทำการสั่งลงโทษตัวเอง รับโทษโบยแปดสิบทีอ๋องจี้แสดงความกตัญญูที่หน้าท้องพระโรง แบ่งเบารับโทษจากเสด็จพ่อมาสิบห้าทีอ๋องอันก็ออกไปช่วยรับอีกสิบห้าทีอ๋องซุนผู้อ่อนแอก็รับไปอีกสิบห้าทีอ๋องรุ่ยชิงที่เป็นน้องชายร่วมอุทรก็ช่วยรับด้วยอีกสิบทีทุกคนมองไปที่อวี่เหวินห่าวอ๋องฉีกับอ๋องหวยไม่มา เจ้าแปดเจ้าเก้าก็ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรงอวี่เหวินห่าวรู้ว่าวันนี้ที่ท้องพระโรงมีการประกาศคำตัดสินคดีของหลัวกุ้ยผิน ดังนั้นเขาจึงเข้ามาในท้องพระโรงแต่เช้าแต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาไม่อยากถูก
เขาถูกหามออกไป สองขายืนตรงไม่ได้ด้วยซ้ำ สภาพของเขาคือเหมือนนอนตายขยับเขยือนไม่ได้ ต้องพึ่งองค์รักษ์แบกเขาออกไปหน้าประตูท้องพระโรง พวกข้าราชบริพานต่างเงยมอง ท่านมหาเสนาบดียิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น อวี่เหวินห่าวที่ถูกแบกเข้ามา ท่านมหาเสนาบดีถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋องยังสบายดีใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” อวี่เหวินห่าวกัดฟันพูด “ไม่ตายก็นับว่าดี ข้าจะจดจำความเมตตาของท่านมหาเสนาดีไว้”“ควรจดจำ ควรจดจำ ท่านอ๋องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเรื่องในวันนี้” ท่านมหาเสนาบดีเอ่ยอย่างยิ้ม ๆจู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็รู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมา แต่ก็ไม่มีแรงจะทำไหวจักรพรรดิหมิงหยวนมีรับสั่งลงมาให้ทำการรักษาแผลใส่ยาให้พวกท่านอ๋อง แล้วส่งกลับจวนเพื่อพักฟื้นเมื่อถังหยางเห็นอวี่เหวินห่าวคุกเขากึ่งหมอบบนรถม้ากลับไปที่จวนก็อดตกใจไม่ได้ จึงถามถึงสาเหตุ อวี่เหวินห่าวพูดขึ้นอย่างขมขื่นว่า "มันเป็นความผิดของเสด็จพ่อชัด ๆ ทำไมข้าถึงต้องมาถูกโบยตีเช่นนี้ด้วย?"ถังหยางรู้สึกสงสาร “ไอหยา ท่านอ๋องผู้แสนดีของข้า ก้นท่านเมื่อไหร่จะเลิกถูกโบยทรมานแบบนี้สักที พระชายารู้คงต้องกังวลใจมากแน่”“อย่าบอกนางนะ” อวี่เหวินห่าวพยายามลุกขึ้น ถังห
วันนี้หยวนชิงหลิงไม่เห็นอวี่เหวินห่าวมา จึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก คิดว่าหลังจากเจ้าเมืองจิ้งเป่ยมาแล้ว เขาคงต้องยุ่งมากแน่นางทำแผลฆ่าเชื้อให้พระชายาเว่ย ที่หน้าผากนางเองก็บาดเจ็บอยู่แล้ว ไม่ได้จัดการให้ดีจนเป็นหนอง แล้วยังมีแผลใหม่เกิดซ้ำขึ้นมาอีก ช่างน่าสงสารซะจริงหัวหน้าขันทีได้เข้ามาถ่ายทอดราชโองการ ว่าอนุญาตให้หย่าได้ และทำการแต่งตั้งนางเป็นจิ้งเหอจวิ้นจู่ และหัวหน้าขันทียังบอกอีกว่า ฝ่าบาทยังสั่งให้อ๋องเว่ยมาขอโทษนางด้วยตัวเองหยวนชิงหลิงเป็นกังวลใจมากถ้าอ๋องเว่ยมา จะมาทำให้กระทบกระเทือนจิตใจนางหรือไม่เพียงแต่รอแล้วทั้งสองคนก็ยังไม่มา คาดว่าเขาคงไปค่ายทหารทางตอนเหนือแล้ว หยวนชิงหลิงก็รู้สึกโล่งใจ และไม่ได้เรียกให้คนไปถามเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายเหตุการณ์ที่กำแพงเมืองนั้นเป็นแผลใหญ่ในใจนาง แล้วจะนับประสากับจิ้งเหอจวิ้นจู่กันอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้น ที่จริงสามารถกลับบ้านได้แล้ว แต่จิ้งเหอจวิ้นจู่อยากจะอยู่ในจวนจิ้งโฮ่วต่ออีกสองวัน และขอความเห็นจากหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงเองก็รู้ว่า หากนางกลับบ้านแม่คงโดนสายตาที่บ้านมองอย่างระแวดระวังด้วยความเป็นห่วงกับอาการของนาง ดังนั้นหยว
นางร้องไห้น้ำตาไหลริน “นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”อวี่เหวินห่าวยื่นมือออกมาให้นางมานั่งลงและพูดว่า "ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น แต่อ๋องคนอื่น ๆ และเสด็จอาก็ถูกโบยด้วย พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น คดีของหลัวกุ้ยผินนั้นได้รับการสะสางแล้ว เสด็จพ่อยอมรับผิด และสั่งลงโทษตัวเองแปดสิบที ไม่สิ พวกเราทุกคนล้วนช่วยกันแบ่งเบา ส่วนข้าคือคนที่โดนน้อยที่สุด”"มีท่านอ๋องกี่คนที่ถูกโบย?" หยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเขา เมื่อเห็นว่าอาการบาดเจ็บได้รับการรักษาแล้ว นางจึงขอให้ถังหยางพันผ้าพันแผลทับ เพื่อไม่ให้เลือดติดผ้าปูที่นอนนางทั้งโกรธและเสียใจ นางห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้"พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สี่ และเสด็จอา รวมข้าด้วยก็ห้าคน" อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นว่าถังหยางทำแผลค่อนข้างรุนแรงหยาบคาย นางจึงรีบไปช่วยเป่าแผลอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่ลืมที่จะถามว่า "แปดสิบทีแบ่งกันห้าคน ทำไมท่านถึงได้ยี่สิบห้าที? คำนวณอย่างไรก็ไม่ใช่ ยังบอกว่าตัวเองได้น้อยที่สุด ยี่สิบห้าทีไม่ได้น้อยที่สุดแล้ว"อวี่เหวินห่าวพูดบ่น "เมื่อเทียบกับแปดสิบทีแล้ว ถือว่าโดนน้อยกว่าแล้ว"หลังจากถูกหยวนชิงหลิงซักถามจนพูดออกมาว่า
หยวนชิงหลิงยังคงเจ็บใจ และก็รู้ว่าถูกโบยครั้งนี้มันคุ้มค่า อย่างน้อยหลัวกุ้ยผินก็พ้นข้อกล่าวหา และคนจากตระกูลหลัวทั้งหมดก็ได้รับการอภัยโทษด้วยอวี่เหวินห่าวจับมือนางไว้ "ไม่ร้องไห้นะ ดีไหม? ข้ายังสบายดี"หยวนชิงหลิงถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ปวดมากไหม? ฉีดยาแก้ปวดดีไหม?"อวี่เหวินห่าวสูดหายใจเข้าลึก "ไม่ได้เจ็บสาหัส เจ็บนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าหากมีอะไรแก้ปวดหน่อยล่ะก็ ขอสักหน่อยก็ดี"รู้ว่าเขาพยายามอดทนอยู่ยี่สิบห้าที ถูกโบยไปจนเนื้อแตกขนาดนั้น จะไม่เจ็บได้อย่างไรกัน?ไม่ใช่ว่านางไม่เคยสัมผัสรสชาติเช่นนี้มาก่อน และหากพวกข้าราชบริพานจับตามองอยู่ พวกทหารคงลงมือโบยหนักขึ้นหยวนชิงหลิงฉีดยาแก้ปวดให้เขา และสั่งยาแก้อักเสบเพื่อไม่ให้เขาเป็นไข้ คืนนี้นางไม่กล้าไปไหน แม้ต้องฝ่าฝืนรับสั่งฝ่าบาทก็ตามข้าวเย็นนางก็กินไม่ลง ตักน้ำแกงกินได้ไม่กี่คำก็วางช้อนลงแล้วอวี่เหวินห่าวนอนกินข้าวอยู่บนเตียง เพื่อให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นง่อยไร้ประโยชน์ และไม่ยอมให้คนมาป้อนเพียงแต่การใช้ศอกค้ำเพื่อกินข้าวนั้นก็ลำบากอยู่เหมือนกัน จนในที่สุดก็ก้มหน้ากินในชามเหมือนหมูกินข้าวหยวนชิงหลิงที่เห็นทั้งขำและปว
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม