“ข้าอยากถามท่านสักคำ ถ้าท่านตอบรับข้าตั้งแต่แรก คงไม่เป็นอย่างตอนนี้ใช่ไหม?” ขอบตาของฉู่หมิงชุ่ยแดงระเรื่อ นางเอ่ยถามออกมาโดยไม่สนในซูยี่ที่ยืนอยู่ซูยี่ตาเบิกกว้างหูผึ่งอวี่เหวินห่าวถลึงตามองซูยี่ ซูยี่ยังอยู่ที่นี่ เขาเองไม่สะดวกจะพูดจริง ๆ “พระชายาฉี” อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าเชื่อว่า เรื่องราวผ่านไปแล้วก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว มันคงจะดีกว่าที่จะเก็บความทรงจำดี ๆ เอาไว้”ในแววตาของฉู่หมิงชุ่ยปรากฏความสิ้นหวังออกมา “อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเพราะหยวนชิงหลิง ท่านไม่เคยปฏิบัติดีกับข้าเท่านางมาก่อน”อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “ข้าขอบคุณนางที่นางไม่ยอมแพ้และยอมมีบุตรธิดาให้แก่ข้า ถ้าข้าปฏิบัติต่อนางไม่ดี ข้าคงตายไม่ดี เจ้าเจ็ดเขาดีกับเจ้าเหลือเกิน หวังว่าพระชายาฉีจะรักและถนอมวาสนานี้”“เขาแต่งชายารอง!” ฉู่หมิงชุ่ยพูดอย่างเย็นชาอวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างเฉยชา “เรื่องพระชายารองเจ้าเป็นคนจัดการไม่ใช่หรือ? ได้ยินว่าเจ้าให้เขาแต่งพระชายารอง ถึงกับไปหาพระนางฮองเฮาเพื่อขอเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ในเมื่อเจ้าเป็นคนร้องขอ นั่นต้องยินดีและเต็มใจ ก็ควรต้องรู้สึกดีสิ”นางก้าวไปข้างหน้า มองเขาอ
มหาเสนาบดีฉู่รู้สึกว่าตัวเองดวงซวยซะจริง จึงสั่งให้คนยกเหล้ามา เขานั่งกับเซียวเหยากงนั่งขัดสมาธิบนเตียงหลอฮั่นดื่มเหล้าด้วยกัน“เจ้าเด็กน้อยห้าคนนี้ ใจแคบนิดหน่อย” เซียวเหยากงขำแล้วขำอีก “เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ”มหาเสนาบดีฉู่พูดอย่างเฉยชา “ใจแคบ? คงไม่ใช่อย่างที่เห็น เกรงว่ากลัวเมียซะมากกว่า”เซียวเหยากงหัวเราะขึ้นมา และยกแก้วเหล้าชนแก้วกับเขา “ที่เจ้าพูด ข้าไม่ปฏิเสธหรอกนะ มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพื่อผู้หญิง ก็ต้องหนักแน่นมากพอ ถึงไม่กลัวที่จะขุ่นข้องหมองใจกับเจ้า”มหาเสนาบดีฉู่จ้องมองเขา “เขาเป็นราชนิกูล ขุ่นข้องหมองใจกับแล้วเป็นอย่างไร? ขุ่นข้องหมองใจกับข้ามิได้หรือ? คนอื่นพูดยังไงก็ช่าง แต่เจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์ยังไงกัน? เจ้ายังพูดแบบนี้อีกไม่น่ายกเหล้าดี ๆ มาดื่มกับเจ้าเลยจริงเชียว”พูดจบเขาก็ยื่นมือไปคว้ามันมาเซียวเหยากงตีมือเขา ปากบ่นหมุบหมิบ “พอเถอะ ๆ ใจแคบไปไหม? พูดกับเจ้าสองคำก็ไม่ฟังซะแล้ว หลายปีมานี้ยังวุ่นวายมิพออีกหรือ? เจ้าควรต้องใส่ใจคนใต้บังคับบัญชาเจ้าหน่อย เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน? ฉลูผยองทะยานฟ้า วงศ์ตระกูลรุ่งเรืองเสียจนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกล้าตะโกนใส่ชินอ๋องว่าไม
หัวข้อต่อจากนี้ มิอาจพูดได้อีกแล้วหลังจากเซียวเหยากงจากไป มหาเสนาบดีฉู่ได้สั่งให้คนมัดหมานเอ๋อร์ไว้ที่โรงเก็บฟืนด้านในและให้คนสอบปากคำอย่างเข้มงวด จึงได้ทราบว่าหมานเอ๋อร์เป็นคนหนานเจียง เป็นนักแสดงตกอับในเมืองหลวง แต่ถูกขับไล่ออกมาเพราะพื้นเพเป็นคนหนานเจียง ฉู่หมิงหยางเองไม่หวังได้ทำความดีอะไร แต่เห็นว่านางมีความสามารถอะไรบางอย่างจึงเก็บนางไว้ข้างกายคนหนานเจียงมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ค่อยดีอย่างมาก เนื่องจากคุณหนูรองตระกูลฉู่เอานางมาดูแลจึงรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์มหาเสนาบดีฉู่รู้ว่าคนที่วางแผนไปที่สำนักผู้ตรวจการไม่ใช่นาง จึงโบยไปแล้วหนึ่งยกก็ไล่ออกจากตระกูลฉู่ตอนที่หมานเอ๋อร์เก็บข้าวของเสร็จก็ไปหาฉู่หมิงหยางเพื่อกล่าวอำลาฉู่หมิงหยางถูกตีจนนอนอยู่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นมาได้ เมื่อได้ยินว่านางถูกขับไล่ออกไป จึงรีบผงกหัวขึ้น “อย่างไรเสียเจ้าต้องออกไป งั้นช่วยข้าอีกสักเรื่อง”“คุณหนูรองโปรดว่ามาเจ้าค่ะ” หมานเอ๋อร์กล่าว”เจ้าเป็นคนหนานเจียง เจ้าทำมนต์เสน่ห์คุณไสยอู่กูได้ เจ้าจงไปฆ่าหยวนชิงหลิงซะ” ฉู่หมิงหยางกัดฟันพูดหมานเอ๋อร์ตกใจ “ฆะ...ฆ่าคน บ่าวทำไม่ได้””เจ้าทำไม่ได้รึ?” ฉู่หมิ
หมานเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา เห็นร่างการเด็กหนุ่มสกปรกมอมแมมมีแววตาเย็นชาเห็นว่านางเป็นศัตรู นางปาดน้ำตาออก “ข้านั่งในบ้านของเจ้าแล้ว? ขอโทษนะ ข้าจะย้ายออกไป”“เจ้ามีมือมีเท้า ออกไปหางานทำสิ” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชา “มาขอทานทำไม?”หมานเอ๋อร์ร้องไห้ออกมา “ข้าเป็นคนหนานเจียง ใคร ๆ ต่างไม่ต้องการเด็กสาวจากหนานเจียง””ไปท่าเรือขนสัมภาระสิ เจ้ามีมือมีเท้าครบ มีแรงด้วย” เด็กหนุ่มนั่งลงลูบท้อง วันนี้ก็ขอทานมาไม่สำเร็จ เขาไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว ทำได้แค่ดื่มน้ำลูบท้องหมานเอ๋อร์ลุกออกไปไม่นานนัก นางก็กลับมา ในมือถือหมั่นโถวสองลูก ยื่นให้เด็กหนุ่ม “เลี้ยงเจ้ากิน”เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่ เงยหน้ามองนาง “เจ้า...”“ข้าซื้อ ไม่ได้ขโมยมา” นางลูบติ่งหูนาง “เจ้านายของข้าเคยมอบต่างหูเงินให้ข้าคู่หนึ่ง ข้าเลยขายแลกเงินเล็กน้อย””เจ้าไม่ใช่ขอทาน?” เด็กหนุ่มรับมันมา กินคำเล็กๆค่อยเคี้ยวอยู่นานถึงกลืน“ข้าไม่ใช่ แต่เกรงว่าจะได้เป็นขอทานแล้ว” หมานเอ๋อร์พูดออกมาอย่างโศกเศร้า นางนั่งลงมองเด็กหนุ่ม “เจ้าบอกว่าไปที่ท่าเรือขนสัมภาระ เขารับผู้หญิงไหม?”เด็กหนุ่มส่ายหน้า “คงไม่น่ารับ”หมานเอ๋อร์อุทานด้วยค
อวี่เหวินห่าวจ้องตาเขม็ง “เจ้าออกไปก่อน ข้าพูดเอง”ซูยี่ออกไปอย่างเศร้า ๆหยวนชิงหลิงเห็นทั้งคู่”ตอบโต้กัน “อืม? ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?”อวี่เหวินห่าวดื่มน้ำอีกสักอึกและกลืนลงไป เขามองไปทางหยวนชิงหลิงอย่างระมัดระวัง “เรื่องนี้จริง ๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย แต่ข้าคิดว่าควรบอกเจ้า”“ว่ามาเถอะ” หยวนชิงหลิงมองสีหน้าเขา เรื่องนี้ดูท่าไม่น่าจะเล็ก“ก็ตอนที่ออกมา ข้ากับซูยี่ออกไป ฉู่หมิงชุ่ยไล่ตามมา...” เขาไอกระแอ่มออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “นั้นคือพระชายาฉี...””ข้ารู้ฉู่หมิงชุ่ยคือใคร ท่านว่ามาสิมีเรื่องอะไร!” หยวนชิงหลิงขึ้นเสียงอวี่เหวินห่าวตอบอืม เริ่มหลบตา “นางไล่ตามมา เอาป้ายหยกแขวนมาคืนข้า ป้ายหยกแขวนที่ถูกเอาไปนั้นเป็นของที่เสด็จปู่ประทานให้ข้า เจ้ารู้ไหมข้ารักและหวงแหนป้านหยกแขวนชิ้นนี้มาก เอามาคืนข้าแบบแตกเป็นสามเสี่ยง ข้าโกรธยิ่งนัก...”หยวนชิงหลิงตบโต๊ะ “ท่านพูดใจความสำคัญสิ!”อวี่เหวินห่าวก้มหัวลงและพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “พระชายาฉีถามข้า ถ้านางหย่า ข้าจะหย่ากับเจ้าแล้วแต่งนางเป็นพระชายาไหม”หยวนชิงหลิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “สวรรค์!”อวี่เหวินห่าวรีบอธ
สองวันมานี้นางข้าหลวงสี่และอาซื่อยุ่งมาก คนในจวนมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรอองค์ชายน้อยเกิดมาแล้ว ต้องวุ่นวายมากแน่ จวนอ๋องต้องการคนที่พึ่ๅงพาน่าเชื่อถือได้ต้องมีวรยุทธ์มีศิลปะป้องกันตัวสักเล็กน้อยดีที่สุด นี่คือสิ่งที่อาซื่อแนะนำ เพราะตอนที่พระชายาเดินทางเข้าออก ทางที่ดีที่คือสาวใช้ข้างกายต้องมีวรยุทธ์ดังนั้น รุ่งขึ้นยามเช้า อาซื่อจึงพานางข้าหลวงสี่ไปตลาดฝั่งตะวันตกด้วยกันพวกนางไม่ได้พูดถึงจวนอ๋องฉู่ พูดแค่ว่าต้องการสาวใช้ฝีมือไม่เลวสักสองสามคนมารับใช้ฮูหยิน จ่ายราคาดี ดังนั้นผ่านมาทุกวันคนก็ยังมาเยอะ แต่ก็ยังไม่เหมาะสมสักคน ความต้องการของอาซื่อสูงและเยอะ สามารถรับสิบกระบวนท่าจากนางได้ คือรับสามกระบวนท่าก็น้อยแล้ววันนี้เพิงร้านได้ถูกตั้งขึ้น สาวน้อยก็เข้ามาถาม อาซื่อโบกมือ “เจ้าช่างเถอะ พวกเราหาเอง”นางไม่เชื่อสาวน้อย นิสัยคำพูดคำจาเหมือนไม่ได้รับการสอน มองไม่ออกว่าจริงไหมสาวน้อยยิ้มแล้วยิ้มอีก “ท่านประกาศที่นี้สองสามวันแล้ว ยังหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว ไม่มองคนแคระในมือดูล่ะ? คนร่างผอมอ้วนจะเป็นอย่างไรล้วนดีเยี่ยม ใช้ได้ทั้งนั้น สองสิ่งต่างกันล้วนดีเยี่ยมเหมือนกัน
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ทั้งสองคนก็ผ่านไปร้อยกระบวนท่าและไม่มีใครเสียเปรียบเพียงแค่หอบหายใจเล็กน้อยเท่านั้นอาซื่อหล่นลงมา ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่ต้องสู้แล้ว ผ่านแล้ว" หมานเอ๋อร์จัดไรผมอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างแปลกใจ "จริงรึ?"นางข้าหลวงมองอาซื่ออย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง "เหตุใดไม่ถามความเป็นมาสักหน่อยล่ะ? ครอบครัวล่ะ? ชื่อแซ่ล่ะ?" อาซื่อยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น "ข้าเพียงแค่รับผิดชอบด้านวรยุทธ ส่วนด้านความเป็นมาชื่อแซ่ก็เป็นท่านกูกู"นางข้าหลวงมองหมานเอ๋อร์แล้วเอ่ยถาม "เจ้าชื่ออะไร? อายุเท่าไร? เป็นคนที่ไหน? แล้วมาเมื่อหลวงนานเท่าไรแล้ว?"หมานเอ๋อร์กล่าว "ข้าชื่อกู๋หมานเอ๋อร์เจ้าค่ะ มาที่เมืองหลวงได้สามปีแล้ว ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี ก่อนหน้านี้ข้าเป็นสาวใช้ในตระกูลหนึ่งและเพิ่งออกมา""เป็นคนที่ไหน?" นางข้าหลวงถามต่อหมานเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับแขนเสื้อแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า "คนหนานเจียง" "เดิมทีอยู่กับตระกูลไหน?" นางข้าหลวงเอ่ยถาม"จวนฉู่" หมานเอ๋อร์กล่าวนางข้าหลวงตกตะลึง "ตระกูลมหาเสนาบดีฉู่?""ใช่เจ้าค่ะ" หมานเอ๋อร์กังวลเล็กน้อยนางข้าหลวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ตระกูลฉู่ดูแลจวน
ซูยี่มองอาซื่อ "ข้าไม่เข้าใจเคยเห็นแล้วทำไมถึงหน้าไม่อายล่ะ?""เห็นได้ชัดว่าเจ้าเห็นนางหน้าตาดีจึงบอกว่าเคยพบ คนไม่ได้ความเช่นเจ้าข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว" อาซื่อหมุนตัวแล้วเดินจากไปซูยี่ตกตะลึง จึงดึงอาซื่อแล้วดันนางเข้าเข้าไปในมุม ยกมือข้างหนึ่งขึ้นดันกำแพงไว้ทำให้อาซื่อตกอยู่ภายใต้เงาที่ดูทรงพลังและแข็งแกร่งของตนเอง ใบหน้าใหญ่ขยับเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจัง "เจ้ากล่าวมาให้ชัด ใครบ้าตัณหา?"อาซื่อตกใจจนกระโดดออก แล้วรีบผลักฝ่ามือใส่หน้าเขา "เจ้าคิดจะทำอะไร?"มือที่ผลักออกไปของนางนิ้วมือก็ได้จิ้มเข้าไปในดวงตาของซูยี่ ซูยี่จึงยื่นมือออกไปปัดในทันที ส่วนอาซื่อก็ยื่นมือออกไปปัดสุดท้ายทั้งสองคนจึงทำให้เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นซูยี่โมโหมาก "เจ้ามันงี่เง่าจริง ๆ อย่าคิดว่าข้าจะกลัวพวกเจ้าแซ่หยวน ที่เจ้ามักจะบอกว่าข้าโง่ข้าก็ไม่เคยถือสาเจ้า มาตอนนี้บอกว่าข้าบ้าตัณหาแล้วยังมาจิ้มตาข้าอีก"อาซื่อเอ่ยอย่างโมโห "ข้าเพียงเอ่ยหลอกล้อเจ้าเล่น เจ้านี้มันสมองหมูไม่รู้หรือไง?""ข้าไม่ใช่สมองหมู""ถ้าเจ้าไม่ใช่สมองหมูแล้วจะเป็นใครเล่า?" อาซื่อข่มอารมณ์ แล้วกล่าวอย่างโมโหซูยี่เห็นท่าทางน