สิ้นคำพูดเหล่านั้น มหาเสนาบดีฉู่ก็ได้ฟาดไม้ลงไป ได้ยินแค่เสียงไม้ที่กระทบลงกับเนื้อ ฉู่หมิงหยางกรีดร้องออกมา กุมหัวหมอบคลานอยู่กับพื้นแล้วกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรงและไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีกฉู่หมิงชุ่ยที่รีบเข้ามา เห็นฉากนั้นนางก็รีบเข้าไป แต่ก็ค่อย ๆ หยุดฝีเท้าลง มองไม้ที่ฟาดลงไปบนหลังบนขาของฉู่หมิงหยาง ก้นบึ้งของหัวใจมีความรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูกในที่สุดฉู่หมิงหยางก็ร้องออกมา แต่ล่ะไม้ที่ฟาดลงไป มหาเสนาบดีฉู่ออกแรงฟาดลงไปอย่างแรง ตีจนเนื้อเปิดตัวแตก หมานเอ๋อร์รีบวิ่งเข้าไปอยากจะแย่งไม้พลองของมหาเสนาบดีฉู่ อวี่เหวินห่าวปาแก้วออกไปกระแทกหน้าผากของหมานเอ๋อร์ ทันใดนั้นเลือดสด ๆ ไหลรินออกมา หมานเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น มองอวี่เหวินห่าวอย่างซ่อนความความขุ่นเคือง เลือดไหลหยดลงกับพื้น ให้ความรู้สึกที่น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก “อ๋องฉู่ ท่านคิดบัญชีกับผู้หญิง ท่านไม่ใช่ลูกผู้ชายจริง ๆ””บ่าวตระกูลฉู่ บังอาจเกินไปแล้ว เจ้าหาว่าข้าไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรือ” อ๋องรุ่ยชินกล่าวอย่างเย็นชาไม้พลองก็ฟาดลงบนตัวของหมานเอ๋อร์ด้วย หมานเอ๋อร์กัดฟันและกล่าวว่า “นายท่านตี ตีบ่าวให้ตายเถอะเจ้าค่ะ ได้โปรดปล่
“ข้าอยากถามท่านสักคำ ถ้าท่านตอบรับข้าตั้งแต่แรก คงไม่เป็นอย่างตอนนี้ใช่ไหม?” ขอบตาของฉู่หมิงชุ่ยแดงระเรื่อ นางเอ่ยถามออกมาโดยไม่สนในซูยี่ที่ยืนอยู่ซูยี่ตาเบิกกว้างหูผึ่งอวี่เหวินห่าวถลึงตามองซูยี่ ซูยี่ยังอยู่ที่นี่ เขาเองไม่สะดวกจะพูดจริง ๆ “พระชายาฉี” อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าเชื่อว่า เรื่องราวผ่านไปแล้วก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว มันคงจะดีกว่าที่จะเก็บความทรงจำดี ๆ เอาไว้”ในแววตาของฉู่หมิงชุ่ยปรากฏความสิ้นหวังออกมา “อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเพราะหยวนชิงหลิง ท่านไม่เคยปฏิบัติดีกับข้าเท่านางมาก่อน”อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “ข้าขอบคุณนางที่นางไม่ยอมแพ้และยอมมีบุตรธิดาให้แก่ข้า ถ้าข้าปฏิบัติต่อนางไม่ดี ข้าคงตายไม่ดี เจ้าเจ็ดเขาดีกับเจ้าเหลือเกิน หวังว่าพระชายาฉีจะรักและถนอมวาสนานี้”“เขาแต่งชายารอง!” ฉู่หมิงชุ่ยพูดอย่างเย็นชาอวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างเฉยชา “เรื่องพระชายารองเจ้าเป็นคนจัดการไม่ใช่หรือ? ได้ยินว่าเจ้าให้เขาแต่งพระชายารอง ถึงกับไปหาพระนางฮองเฮาเพื่อขอเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ในเมื่อเจ้าเป็นคนร้องขอ นั่นต้องยินดีและเต็มใจ ก็ควรต้องรู้สึกดีสิ”นางก้าวไปข้างหน้า มองเขาอ
มหาเสนาบดีฉู่รู้สึกว่าตัวเองดวงซวยซะจริง จึงสั่งให้คนยกเหล้ามา เขานั่งกับเซียวเหยากงนั่งขัดสมาธิบนเตียงหลอฮั่นดื่มเหล้าด้วยกัน“เจ้าเด็กน้อยห้าคนนี้ ใจแคบนิดหน่อย” เซียวเหยากงขำแล้วขำอีก “เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ”มหาเสนาบดีฉู่พูดอย่างเฉยชา “ใจแคบ? คงไม่ใช่อย่างที่เห็น เกรงว่ากลัวเมียซะมากกว่า”เซียวเหยากงหัวเราะขึ้นมา และยกแก้วเหล้าชนแก้วกับเขา “ที่เจ้าพูด ข้าไม่ปฏิเสธหรอกนะ มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพื่อผู้หญิง ก็ต้องหนักแน่นมากพอ ถึงไม่กลัวที่จะขุ่นข้องหมองใจกับเจ้า”มหาเสนาบดีฉู่จ้องมองเขา “เขาเป็นราชนิกูล ขุ่นข้องหมองใจกับแล้วเป็นอย่างไร? ขุ่นข้องหมองใจกับข้ามิได้หรือ? คนอื่นพูดยังไงก็ช่าง แต่เจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์ยังไงกัน? เจ้ายังพูดแบบนี้อีกไม่น่ายกเหล้าดี ๆ มาดื่มกับเจ้าเลยจริงเชียว”พูดจบเขาก็ยื่นมือไปคว้ามันมาเซียวเหยากงตีมือเขา ปากบ่นหมุบหมิบ “พอเถอะ ๆ ใจแคบไปไหม? พูดกับเจ้าสองคำก็ไม่ฟังซะแล้ว หลายปีมานี้ยังวุ่นวายมิพออีกหรือ? เจ้าควรต้องใส่ใจคนใต้บังคับบัญชาเจ้าหน่อย เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน? ฉลูผยองทะยานฟ้า วงศ์ตระกูลรุ่งเรืองเสียจนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกล้าตะโกนใส่ชินอ๋องว่าไม
หัวข้อต่อจากนี้ มิอาจพูดได้อีกแล้วหลังจากเซียวเหยากงจากไป มหาเสนาบดีฉู่ได้สั่งให้คนมัดหมานเอ๋อร์ไว้ที่โรงเก็บฟืนด้านในและให้คนสอบปากคำอย่างเข้มงวด จึงได้ทราบว่าหมานเอ๋อร์เป็นคนหนานเจียง เป็นนักแสดงตกอับในเมืองหลวง แต่ถูกขับไล่ออกมาเพราะพื้นเพเป็นคนหนานเจียง ฉู่หมิงหยางเองไม่หวังได้ทำความดีอะไร แต่เห็นว่านางมีความสามารถอะไรบางอย่างจึงเก็บนางไว้ข้างกายคนหนานเจียงมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ค่อยดีอย่างมาก เนื่องจากคุณหนูรองตระกูลฉู่เอานางมาดูแลจึงรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์มหาเสนาบดีฉู่รู้ว่าคนที่วางแผนไปที่สำนักผู้ตรวจการไม่ใช่นาง จึงโบยไปแล้วหนึ่งยกก็ไล่ออกจากตระกูลฉู่ตอนที่หมานเอ๋อร์เก็บข้าวของเสร็จก็ไปหาฉู่หมิงหยางเพื่อกล่าวอำลาฉู่หมิงหยางถูกตีจนนอนอยู่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นมาได้ เมื่อได้ยินว่านางถูกขับไล่ออกไป จึงรีบผงกหัวขึ้น “อย่างไรเสียเจ้าต้องออกไป งั้นช่วยข้าอีกสักเรื่อง”“คุณหนูรองโปรดว่ามาเจ้าค่ะ” หมานเอ๋อร์กล่าว”เจ้าเป็นคนหนานเจียง เจ้าทำมนต์เสน่ห์คุณไสยอู่กูได้ เจ้าจงไปฆ่าหยวนชิงหลิงซะ” ฉู่หมิงหยางกัดฟันพูดหมานเอ๋อร์ตกใจ “ฆะ...ฆ่าคน บ่าวทำไม่ได้””เจ้าทำไม่ได้รึ?” ฉู่หมิ
หมานเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา เห็นร่างการเด็กหนุ่มสกปรกมอมแมมมีแววตาเย็นชาเห็นว่านางเป็นศัตรู นางปาดน้ำตาออก “ข้านั่งในบ้านของเจ้าแล้ว? ขอโทษนะ ข้าจะย้ายออกไป”“เจ้ามีมือมีเท้า ออกไปหางานทำสิ” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชา “มาขอทานทำไม?”หมานเอ๋อร์ร้องไห้ออกมา “ข้าเป็นคนหนานเจียง ใคร ๆ ต่างไม่ต้องการเด็กสาวจากหนานเจียง””ไปท่าเรือขนสัมภาระสิ เจ้ามีมือมีเท้าครบ มีแรงด้วย” เด็กหนุ่มนั่งลงลูบท้อง วันนี้ก็ขอทานมาไม่สำเร็จ เขาไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว ทำได้แค่ดื่มน้ำลูบท้องหมานเอ๋อร์ลุกออกไปไม่นานนัก นางก็กลับมา ในมือถือหมั่นโถวสองลูก ยื่นให้เด็กหนุ่ม “เลี้ยงเจ้ากิน”เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่ เงยหน้ามองนาง “เจ้า...”“ข้าซื้อ ไม่ได้ขโมยมา” นางลูบติ่งหูนาง “เจ้านายของข้าเคยมอบต่างหูเงินให้ข้าคู่หนึ่ง ข้าเลยขายแลกเงินเล็กน้อย””เจ้าไม่ใช่ขอทาน?” เด็กหนุ่มรับมันมา กินคำเล็กๆค่อยเคี้ยวอยู่นานถึงกลืน“ข้าไม่ใช่ แต่เกรงว่าจะได้เป็นขอทานแล้ว” หมานเอ๋อร์พูดออกมาอย่างโศกเศร้า นางนั่งลงมองเด็กหนุ่ม “เจ้าบอกว่าไปที่ท่าเรือขนสัมภาระ เขารับผู้หญิงไหม?”เด็กหนุ่มส่ายหน้า “คงไม่น่ารับ”หมานเอ๋อร์อุทานด้วยค
อวี่เหวินห่าวจ้องตาเขม็ง “เจ้าออกไปก่อน ข้าพูดเอง”ซูยี่ออกไปอย่างเศร้า ๆหยวนชิงหลิงเห็นทั้งคู่”ตอบโต้กัน “อืม? ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?”อวี่เหวินห่าวดื่มน้ำอีกสักอึกและกลืนลงไป เขามองไปทางหยวนชิงหลิงอย่างระมัดระวัง “เรื่องนี้จริง ๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย แต่ข้าคิดว่าควรบอกเจ้า”“ว่ามาเถอะ” หยวนชิงหลิงมองสีหน้าเขา เรื่องนี้ดูท่าไม่น่าจะเล็ก“ก็ตอนที่ออกมา ข้ากับซูยี่ออกไป ฉู่หมิงชุ่ยไล่ตามมา...” เขาไอกระแอ่มออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “นั้นคือพระชายาฉี...””ข้ารู้ฉู่หมิงชุ่ยคือใคร ท่านว่ามาสิมีเรื่องอะไร!” หยวนชิงหลิงขึ้นเสียงอวี่เหวินห่าวตอบอืม เริ่มหลบตา “นางไล่ตามมา เอาป้ายหยกแขวนมาคืนข้า ป้ายหยกแขวนที่ถูกเอาไปนั้นเป็นของที่เสด็จปู่ประทานให้ข้า เจ้ารู้ไหมข้ารักและหวงแหนป้านหยกแขวนชิ้นนี้มาก เอามาคืนข้าแบบแตกเป็นสามเสี่ยง ข้าโกรธยิ่งนัก...”หยวนชิงหลิงตบโต๊ะ “ท่านพูดใจความสำคัญสิ!”อวี่เหวินห่าวก้มหัวลงและพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “พระชายาฉีถามข้า ถ้านางหย่า ข้าจะหย่ากับเจ้าแล้วแต่งนางเป็นพระชายาไหม”หยวนชิงหลิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “สวรรค์!”อวี่เหวินห่าวรีบอธ
สองวันมานี้นางข้าหลวงสี่และอาซื่อยุ่งมาก คนในจวนมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรอองค์ชายน้อยเกิดมาแล้ว ต้องวุ่นวายมากแน่ จวนอ๋องต้องการคนที่พึ่ๅงพาน่าเชื่อถือได้ต้องมีวรยุทธ์มีศิลปะป้องกันตัวสักเล็กน้อยดีที่สุด นี่คือสิ่งที่อาซื่อแนะนำ เพราะตอนที่พระชายาเดินทางเข้าออก ทางที่ดีที่คือสาวใช้ข้างกายต้องมีวรยุทธ์ดังนั้น รุ่งขึ้นยามเช้า อาซื่อจึงพานางข้าหลวงสี่ไปตลาดฝั่งตะวันตกด้วยกันพวกนางไม่ได้พูดถึงจวนอ๋องฉู่ พูดแค่ว่าต้องการสาวใช้ฝีมือไม่เลวสักสองสามคนมารับใช้ฮูหยิน จ่ายราคาดี ดังนั้นผ่านมาทุกวันคนก็ยังมาเยอะ แต่ก็ยังไม่เหมาะสมสักคน ความต้องการของอาซื่อสูงและเยอะ สามารถรับสิบกระบวนท่าจากนางได้ คือรับสามกระบวนท่าก็น้อยแล้ววันนี้เพิงร้านได้ถูกตั้งขึ้น สาวน้อยก็เข้ามาถาม อาซื่อโบกมือ “เจ้าช่างเถอะ พวกเราหาเอง”นางไม่เชื่อสาวน้อย นิสัยคำพูดคำจาเหมือนไม่ได้รับการสอน มองไม่ออกว่าจริงไหมสาวน้อยยิ้มแล้วยิ้มอีก “ท่านประกาศที่นี้สองสามวันแล้ว ยังหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว ไม่มองคนแคระในมือดูล่ะ? คนร่างผอมอ้วนจะเป็นอย่างไรล้วนดีเยี่ยม ใช้ได้ทั้งนั้น สองสิ่งต่างกันล้วนดีเยี่ยมเหมือนกัน
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ทั้งสองคนก็ผ่านไปร้อยกระบวนท่าและไม่มีใครเสียเปรียบเพียงแค่หอบหายใจเล็กน้อยเท่านั้นอาซื่อหล่นลงมา ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่ต้องสู้แล้ว ผ่านแล้ว" หมานเอ๋อร์จัดไรผมอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างแปลกใจ "จริงรึ?"นางข้าหลวงมองอาซื่ออย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง "เหตุใดไม่ถามความเป็นมาสักหน่อยล่ะ? ครอบครัวล่ะ? ชื่อแซ่ล่ะ?" อาซื่อยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น "ข้าเพียงแค่รับผิดชอบด้านวรยุทธ ส่วนด้านความเป็นมาชื่อแซ่ก็เป็นท่านกูกู"นางข้าหลวงมองหมานเอ๋อร์แล้วเอ่ยถาม "เจ้าชื่ออะไร? อายุเท่าไร? เป็นคนที่ไหน? แล้วมาเมื่อหลวงนานเท่าไรแล้ว?"หมานเอ๋อร์กล่าว "ข้าชื่อกู๋หมานเอ๋อร์เจ้าค่ะ มาที่เมืองหลวงได้สามปีแล้ว ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี ก่อนหน้านี้ข้าเป็นสาวใช้ในตระกูลหนึ่งและเพิ่งออกมา""เป็นคนที่ไหน?" นางข้าหลวงถามต่อหมานเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับแขนเสื้อแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า "คนหนานเจียง" "เดิมทีอยู่กับตระกูลไหน?" นางข้าหลวงเอ่ยถาม"จวนฉู่" หมานเอ๋อร์กล่าวนางข้าหลวงตกตะลึง "ตระกูลมหาเสนาบดีฉู่?""ใช่เจ้าค่ะ" หมานเอ๋อร์กังวลเล็กน้อยนางข้าหลวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ตระกูลฉู่ดูแลจวน
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม