ตอนที่อวี่เหวินห่าวกลับคุยกับหยวนชิงหลิงเรื่องนี้หยวนชิงหลิงอดถอนหายใจไม่ได้แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยพบพระชายารองหลิวมาก่อน ไม่รู้นางเป็นผู้หญิงแบบไหน แค่ว่าผู้หญิงตั้งครรภ์คนนึงตัดสินใจโดดน้ำในทะเลสาบฆ่าตัวตาย ก็คิดได้ว่า ให้นางใช้ชีวิตกับพระชายาจี้แล้วล่ะก็ ไม่สู้ตายไปซะยังดีซะกว่า”“ตอนที่ข้าอยู่ที่สำนักตรวจการเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าไม่ได้พูดอย่างละเอียด ที่จริงน่าจะเป็นพระชายาจี้ที่คุกคามนาง เอาชีวิตของพ่อนางมาข่มขู่เช่นนี้”หยวนชิงหลิงมองไปที่เขา “แล้วคดีนี้จะเป็นอย่างไร?”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “จะเป็นอย่างไรได้? เกิดคดีขึ้นในจวน อีกทั้งยังคิดสั้นกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตาย พระชายาจี้ทำทุกอย่างได้อย่างรัดกุม ต้องเตรียมคำพูดแก้ตัวอย่างรอบคอบ พรุ่งนี้สำนักตรวจการยังต้องไปอีกครั้ง ถึงตอนนั้นต้องมีสักคนสองคนบอกว่าเห็นพระชายารองหลิวโดดทะเลสาบ แต่แค่ไปช่วยไม่ทัน เรื่องนี้แม้ว่าจะจัดการไปแล้ว เว้นแต่อ๋องจี้จะออกหน้าให้พระชายารอง มิฉะนั้นก็คงต้องรอให้ความจริงปรากฏออกมาในสักวันนึง”หยวนชิงหลิงเองก็คิดแบบนี้ตราบใดที่พระชายารองหลิวฆ่าตัวตายจริง ใครหน้าไหนก็ไม่มีทางสืบหาความจริงต่
อวี่เหวินห่าวกลับไปที่จวนอ๋องก่อนรอบหนึ่ง และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “มีสถานการณ์อะไรบ้างที่ให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่สนใจไม่สนใจสิ่งใด จนถึงขั้นกระโดดทะเลสาบได้บ้าง?”หยวนชิงหลิงตกใจกับคำถามนี้ “ท่านไม่ใช่เคยบอกว่านางถูกพระชายาจี้คุกคามหรือ?”“ข้าต้องหาเหตุผลที่สมควรไปทูลเสด็จพ่อ มิฉะนั้นการที่พระชายารองหลิวที่ตั้งครรภ์อยู่นั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย ทางบ้านของนางต้องประสบเคราะห์ภัย คนก็ตายไปแล้ว พยายามอย่าให้เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงพ่อพี่น้องครอบครัวนางเลย นางเป็นคนที่กตัญญู”หยวนชิงหลิงคิดดูแล้ว แล้วให้คำอธิบายปลอม ๆ ที่สมเหตุสมผลแก่เขาอวี่เหวินห่าวเข้าไปในวังกราบทูลรายงานเรื่องนี้ หลังจากที่จักรพรรดิ์หมิงหยวนได้ฟังเรื่องราวแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทรงให้ไปเข้าเฝ้าทูลเรื่องนี้ไทเฮาให้กระจ่างแจ้งไทเฮาทรงโศกเศร้าเสียใจมาก ราชวงศ์ตั้งหน้าตั้งตารอคอยเด็กที่จะถึงกำเนิดขึ้นมาโดยตลอด แต่ว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พระชายาของเหล่าชินอ๋องทั้งหลายไม่มีข่าวคราวใดเลยสักนิด อย่างมากที่สุดก็แค่อ๋องซุนกับอ๋องจี้ที่ให้กำเนิดพระธิดา แต่ไม่กี่ปีนี้ความเคลื่อนไหวเลยสักนิดก็ไม่มีนอกจากนั้น พระชายาของเจ้าสาม อ๋องเว่
ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ หากคลอดลูกออกมาแล้วด่วนสิ้นใจไปก่อนวัยอันควร นั่นมันก็ช่างทำร้ายจิตใจกัน จริง ๆ แล้วยังให้ราชวงศ์ต้องเหนื่อยล้า คนข้างนอกไม่น้อยอาจพูดลือกันว่าราชวงศ์ไม่อาจกำเนิดทายาทออกมาได้ การถือกำเนิดมาแล้วถูกสวรรค์นำกลับไป นี่เป็นตระกูลอวี่เหวินที่ถูกสวรรค์ลงโทษพระชายาจี้ป่วย เพราะไปดูแลอ๋องหวยพระชายารองหลิวป่วยเป็นโรคติดต่อ เพราะต้องไปดูแลพระชายาจี้ นี่ล้วนเป็นการแสดงถึงมิตรภาพความเมตตา มันไม่ผิดเลยสักนิด สมควรยกย่องเสียด้วยซ้ำไปนางจะกล่าวโทษใครได้?ไทเฮาพูดอย่างเศร้าสร้อย “สวรรค์ไม่เมตตาตระกูลอวี่เหวินของข้า!”อวี่เหวินห่าวรู้ว่าตอนนี้เสด็จย่ายังไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่วันนี้ก็ถือว่าน่ายกย่องแล้วสำหรับนางที่ยอมรับฟังได้ ผ่านไปสักพัก เรื่องนี้ก็คงค่อย ๆ ลืมเลือนไปเองเขาปลอบโยนสักสองสามคำ แล้วให้เสด็จย่าเสวยโจ๊กครึ่งชามได้อย่างไรก็ตามหลังจากเสด็จย่าเสวยโจ๊กหมด ก็มองหลานชายและพูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้ากลับสะใภ้ของเจ้าอยู่ด้วยกันมาปีกว่าแล้ว ยังไม่มีข่าวดีอีกหรือ? ท้องของนางถ้าไม่สามารถมีได้ เจ้าก็ควรแต่งพระชายารอง ตอนนี้พระชายารองของเจ้าเจ็ดก็ได้เลือกมาแล้ว เจ
“เจ้าควบคุมนางลงจริง ๆ หรือ?” ไทเฮาเองก็สงสัยอยู่บ้าง ช่วงนี้ได้ยินว่าจวนอ๋องฉู่น่าอึดอัดมาก ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จนิสัยของเจ้าห้าเองไม่ใช่คนกลัวเมียอวี่เหวินห่าวยิ้ม “ดูท่านย่าพูดเข้า? นางก็แค่ผู้หญิงคนนึง หลานจะควบคุมนางไม่ลงหรือ?”“ควบคุมได้ก็ดี แน่นอนว่า ถ้านางสามารถให้กำเนิดทายาทได้ นั่นก็เหมาะสมแล้ว นางเป็นพระชายาเอก เด็กที่เกิดออกมาพวกเขาย่อมเหนือกว่าลูกที่เกิดจากพระชายารอง” ไทเฮากล่าว“ใช่แล้ว ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” อวี่เหวินห่าวพูดแบบขอไปที เขาต้องรีบไป ไม่อย่างงั้นเสด็จย่าไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรออกมาให้เขาอับอายอีก เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ในตอนที่กำลังจะขอทูลลา เสด็จย่าได้พูดว่า “ใช่แล้ว สะใภ้ของเจ้ารักษาโรคของเจ้าหกหาย เจ้าก็ให้นางไปดูอาการพระชายาจี้เสียหน่อย ถ้ารักษาได้ ก็รีบรักษาเถิด”อวี่เหวินห่าวกลัวนางพูดถึงเรื่องนี้“ทำไมรึ? ไม่ยินยอมงั้นรึ?” ไทเฮาพูดอย่างเย็นชาอวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “ไม่ยอมที่ไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? เพียงแต่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้ส่งคนมาขอ นางไปไหนมาไหนคนเดียวก็ลำบาก? อีกทั้งเดือนนี้ รอบเดือนของนางยังไม่มา แม้ไม่สามารถพูดได้อย่างแน่ชัดว่านางตั้งครรภ์ อาจมีควา
อวี่เหวินห่าวไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ จึงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้ายังไม่เคยมาเลย งั้นข้าบอกกับเสด็จย่าไปว่าเจ้าอาจตั้งครรภ์แบบนี้ เรื่องนี้เปิดเผยไม่ได้แล้ว”ลวี่หยาพูดว่า “ไม่ใช่นะเพคะ พระชายา ทำไมท่านไม่เคยมา? เคยมาแล้วนะเพคะ แต่ว่ารอบเดือนของท่านออกจะแปลก บางครั้งตั้งสองสามเดือนถึงจะมาสักครั้ง”“เคยมาด้วยหรือ?” หยวนชิงหลิงตกใจอวี่เหวินห่าวมองนาง และพูดด้วยความประหลาดใจ “ตัวเจ้าเองมาไม่มา เจ้าไม่รู้หรือ?”หยวนชิงหลิงนิ่งเงียบไปครู่แล้วค่อยพูดว่า “มาน้อย ใครจะไปรู้ว่าใช่ไม่ใช่?”“มีอะไรจะพูดไหม?” อวี่เหวินห่าวมองนาง “เหล่าหยวน เจ้ายังมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอีก?”“มีอะไรน่าปิดบังกัน?” หยวนชิงหลิงเปลี่ยนเรื่องคุย “งั้นเรื่องพระชายารอง ก็คือปล่อยเลยตามเลยไป? เสด็จพ่อไม่ตรัสอะไรบ้างหรือ?”“ในพระทัยเสด็จพ่อคงรู้เรื่องนี้ดี จึงไม่ตรัสสิ่งใด” อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อไม่ตรัสอะไร พวกเราก็อย่าได้สนเลย”นางตะโกนเรียกตัวเป่า “ตัวเป่า พวกเราไปเดินเล่นกัน”ตัวเป่าวิ่งออกมา หยวนชิงหลิงออกคำสั่งให้ลวี่หยา “เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าด้วย”ลวี่หยารับคำสั่ง และเดินออกไปจากจวนกั
“มีความสุข? งั้นดีเลย ภายหลังทุกวัน เจ้ากับตัวเป่าก็เล่นด้วยกัน ออกกำลังกายฝึกฝนรอเจ้าคลอดลูกแล้ว ข้าจะเล่นกับลูกเอง”พูดเรื่องคลอดลูกอีกแล้ว!หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าไปที่ไหนก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ได้เลยในยุคสมัยโบราณนี้ไม่มีอะไรดีเลย ตอนปัจจุบันนี้เองก็ไม่ต่าง แต่งงานมาแล้วปีหนึ่งถ้ายังไม่มีลูกก็ถือว่าเป็นความผิดที่เลวร้ายมากคนอื่นพูดก็ช่าง แต่เขาก็ยังพูดบ่นไม่หยุดแบบนี้หยวนชิงหลิงรู้สึกหดหู่เหลือเกินวันรุ่งขึ้นไม่มีเรื่องอะไร หยวนชิงหลิงก็กลับไปบ้านตัวเองกลับไปเยี่ยมหาท่านย่า วันก่อนนั้นตอนนางกลับไปเยี่ยมบ้าน ตอนนั้นจิ้งโฮ่วไม่อยู่บ้าน แต่กลับไปครั้งนี้ หลวนซรื่อกับฮูหยินเฒ่ารองล้วนไม่ได้ปฏิบัติกับนางอย่างใจร้ายจนเกิดไป ทั้งยังสั่งให้คนเตรียมมื้อเที่ยงให้นางด้วยอาการของฮูหยินเฒ่าก่อนหน้านั้นยังจะดีหรือไม่ หยวนชิงหลิงรู้ว่านางไม่ได้ใส่ใจร่างกายของตัวเอง ต้องไม่สนใจกินยาเป็นแน่นางถามหญิงรับใช้ซุนแล้ว หญิงรับใช้ซุนบอกว่าหลวนซรื่อไม่ได้มาถามเรื่องยาอีก แต่หยวนชิงหลิงมองเห็นยาของนางยังเหลืออยู่มาก พบว่าท่านย่าคงไม่ค่อยกินยา“ท่านย่าเจ้าคะ ทำไมท่านไม่กินยา? สุ
หลังออกจากประตูจวนกันมาแล้ว หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นรึ? นางบอกว่าเจ้าเถียงท่านพ่อ เพราะเรื่องแต่งงาน?” หยวนชิงผิงทำหน้าเหมือนดูโชคร้าย “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย หาคนอะไรไม่รู้มาให้ข้า แต่ละคนเป็นพ่อข้าได้ด้วยซ้ำ เป็นพ่อหม้ายทั้งนั้น”หยวนชิงหลิงรู้ว่าคนอย่างเสนาบดีจิ้งหยวนปาหลงเป็นนักเก็งกำไร ในสายตาของเขาทุกอย่างก็ล้วนแลกเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ได้โดยเฉพาะการแต่งงานของลูกสาว สามารถแลกเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ได้ยอดเยี่ยมที่สุดคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ที่ได้รับการตามอกตามใจจากครอบครัว ยังดูถูกเขาที่ตกต่ำเป็นแค่เสนาบดี ติดอยู่ในตำแหน่งเดิมมาหลายปี ก็ยังเป็นได้แค่ตำแหน่งผู้ช่วย ไต่เต้าขึ้นไปไม่ได้ยังอาจจะตกต่ำลงมาได้อีกคุณชายจากตระกูลต่ำต้อย เขาก็รู้สึกดูแคลน ยังไงก็ดีเขายังเป็นเสนาบดีหาคนที่อายุมากกว่าสักหน่อย มีตำแหน่งที่มั่นคง ย่อมต้องมีอำนาจ ภรรยาตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรหยวนชิงหลิงหล่าว “เรื่องแต่งงานของเจ้า ข้าช่วยเจ้าดูแลเรื่องนี้”“อือ” หยวนชิงผิงตอบแบบขอไปทีไม่ได้จริงจังหลังจากที่หยวนชิงหลิงกลับจวนแล้ว นางก็ถามนางข้าหลวงสี่อย่างจริงจังนางข้าหลวงสี่ปากคอเราะร้าย “ท่านล
“น้องสาวเจ้าพูดอะไรกับเขา? หรือว่าไปพูดแทงใจดำอะไรเขามา?” อวี่เหวินห่าวเอ่ยถาม“มีที่ไหนกัน? แค่ถามไปคำเดียว กู้ซีก็รีบหันเดินไปเลย” หยวนชิงหลิงยังพอจำเรื่องนี้ได้อยู่บ้างอวี่เหวินห่าวกล่าว “เจ้าหมอนั้นไม่รู้ว่าไปทำบ้าอะไรอยู่ ช่างมันเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะลองหา ๆ ดู”“พื้นเพภูมิหลังวงศ์ตระกูลแบบธรรมดาก็ได้ แต่ตัวคนต้องเป็นคนดี ไม่เอาแบบท่านที่ชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัว” หยวนชิงหลิงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอวี่เหวินห่าวงอนจนหน้ายาว “ใครใช้ความรุนแรงในครอบครัว? เจ้าใครใช้ความรุนแรงในครอบครัว? ข้าใช้ความรุนแรงในครอบครัวตอนไหนกัน?”ใช้ความรุนแรงในครอบครัวมันคืออะไร? ได้ยินแล้วไม่น่าจะใช่สิ่งที่ดีหยวนชิงหลิงยิ้มและกล่าวว่า “แต่ตอนนี้ท่านได้เปลี่ยนตัวเองใหม่แล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ท่านกลับเนื้อกลับตัวไปอย่างสิ้นเชิงเลย”อวี่เหวินห่าวยิ้มอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ก็ไม่รู้ว่าใครกลับเนื้อกลับตัว เจ้าสิแตกต่างยังกับเป็นคนละคน หากไม่รู้ว่า ยังคิดอยู่เลยว่าเจ้าเปลี่ยนตัวเป็นอีกคนนึงจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ว่าอาการบาดเจ็บจากการถูกโบยยังอยู่ข้า ข้าคงยังสงสัยอยู่แน่”หยวนชิงหลิงหัวเราะคิกคัก “จริงหรือ?
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม