แต่เขาคิดจนหัวแตก ก็ไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย คนยังคงไม่สามารถขึ้นไปอยู่บนเตียงหลังเดียวกับหรงจือจือ รู้สึกเพียงว่า ในใจของตนกระวนกระวายอย่างที่สุด ปากคอยิ่งแห้งผากกว่าเดิม อวี้ม่านหวารับรู้ได้ว่า ใจของเขาไม่อยู่ที่นี่ จึงกล่าวด้วยหยาดน้ำตาที่ขังคลอในเบ้าตาว่า “ท่านพี่ หรือว่าท่านไม่ปรารถนาจะมาหาข้า? ถ้าเป็นแบบนั้น ท่านก็ไปหาพี่หญิง…ไม่สิ ท่านก็ไปหาฮูหยินซื่อจื่อเถอะ” พูดจบ ก็เริ่มซับน้ำตา ในอดีต ฉีจื่อฟู่มีความอดทนให้การปลอบนางอย่างมาก ทว่าวันนี้ ความคาดหวังอันเต็มอกที่จะได้ร่วมหอกับหรงจือจือถูกดับลงสิ้น จากที่เดิมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว หนนี้ จึงขมวดคิ้วเหลือบตามองนางคราหนึ่ง แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าแสร้งเป็นปวดท้อง เพื่อเรียกให้ข้ามาหรือ?” อวี้ม่านหวาถูกทำให้พูดไม่ออก ฉีจื่อฟู่รู้สึกว่านางช่างประหลาดนัก ปวดท้องอะไรกัน? เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเรื่องเท็จ กระทั่งลูกไม้เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเล็กๆ พวกนี้ของนาง เขาก็มองไม่ออกอย่างนั้นหรือ? แล้วบัดนี้ ยังจะมาเล่นตัวเพื่อการใดอีก? อวี้ม่านหวาเริ่มหลั่งน้ำตา “ท่านพี่ฟู่ เหตุใดท่านจึงกล่าวกับข้าเช่นนี้? ข้าเป
เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง! หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ —— ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปก
ความจริงหนนี้นางถานเองก็รู้สึกว่า บุตรชายของตนทำเกินไปหน่อย เพราะก่อนหน้านี้คนทั้งตระกูลฉีไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายกับองค์หญิงท่านนั้นมาก่อน แล้วหรงจือจือจะเป็นฝ่ายขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเองได้อย่างไร? ทว่าบุตรชายกำลังต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากหรงจือจือไม่ยอมรับ แม้ฝ่าบาทจะมิได้ตัดสินโทษสถานหนักกับจื่อฟู่ แต่ก็เกรงว่าจวนซิ่นหยางโหว จะสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ไป นางจึงหันขวับมองไปทางหรงจือจือทันที คว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “จือจือ เจ้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้วมิใช่หรือ ถึงแม้เจ้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อจื่อฟู่แล้ว ก็จำใจต้องยอมรับ” “เจ้าก็เป็นคนมีเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้มาตลอด เจ้าวางใจเถิด หลังจากนี้แม้เจ้าจะเป็นอนุ แต่สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงมีในยามนี้ แม้จะไม่ให้เจ้าต้องขาดแม้เพียงสักอย่าง!” นางถานออกแรงบีบไปที่มือเล็กน้อย นี่เป็นการเตือนหรงจือจือว่า จงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม จงเห็นแก่จวนโหวเป็นสำคัญ หรงจือจือฟังวาจาของนางถานจบแล้ว ยิ่งไม่อยากเชื่อหูตนเอง สุขภาพของนางถานไม่สู้ดีนัก และร่างกายมักจะอ่อ
ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!” หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!” สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!” พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้! ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต
หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…” เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ” เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!” หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…” ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!” หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่า
หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่ ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ? ช่างหน้าด้านเสียจริง! นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ” แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!” “หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามี
หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!” ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?” หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!” สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!” หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมท
นางถานยังคงรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่เห็นคนของหรงจือจือ ขณะที่นางกำลังหมดความอดทนลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็รอจนกระทั่งสาวใช้กลับมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ!” นางถานที่ทนความหนาวเย็นมาเกือบครึ่งชั่วยามจนหน้าเขียวแล้ว ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “ว่าอย่างไรนะ?!” แล้วสิ่งที่ตนเองอุตส่าห์เตรียมการไว้ตลอดทั้งเช้านี้ จะสูญเปล่าไปดื้อ ๆ หรือ? เรื่องนี้ทำให้นางถานยิ่งมีโทสะ สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือสิ่งที่เตรียมไว้มิได้ใช้ทรมานนางหรง แต่กลับทรมานตนเองแทน แล้วจะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร? หญิงชรารับใช้ที่วิ่งเต้นสืบข่าวมาเอ่ยว่า : “ได้ยินคนของหลันย่วนบอกว่า ฮูหยินซื่อจื่อเดินทางกลับเรือนมารดาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้เฉินฟังมาถึงตรงนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อคงมิได้กลับเรือนมารดาไป เพื่อร้องเรียนต่อท่านมหาราชครูหรอกนะเจ้าคะ?” นางถานฟังจบ ตอนแรกก็เครียดขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นลงอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หาใช่เรื่องใหญ่อันใด มหาราชครูหรงคร่ำครึหัวโบราณมาแต่ไหนแต่ไร นางกลับไปก็มีแต่จะถูกก่นด่
แต่เขาคิดจนหัวแตก ก็ไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย คนยังคงไม่สามารถขึ้นไปอยู่บนเตียงหลังเดียวกับหรงจือจือ รู้สึกเพียงว่า ในใจของตนกระวนกระวายอย่างที่สุด ปากคอยิ่งแห้งผากกว่าเดิม อวี้ม่านหวารับรู้ได้ว่า ใจของเขาไม่อยู่ที่นี่ จึงกล่าวด้วยหยาดน้ำตาที่ขังคลอในเบ้าตาว่า “ท่านพี่ หรือว่าท่านไม่ปรารถนาจะมาหาข้า? ถ้าเป็นแบบนั้น ท่านก็ไปหาพี่หญิง…ไม่สิ ท่านก็ไปหาฮูหยินซื่อจื่อเถอะ” พูดจบ ก็เริ่มซับน้ำตา ในอดีต ฉีจื่อฟู่มีความอดทนให้การปลอบนางอย่างมาก ทว่าวันนี้ ความคาดหวังอันเต็มอกที่จะได้ร่วมหอกับหรงจือจือถูกดับลงสิ้น จากที่เดิมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว หนนี้ จึงขมวดคิ้วเหลือบตามองนางคราหนึ่ง แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าแสร้งเป็นปวดท้อง เพื่อเรียกให้ข้ามาหรือ?” อวี้ม่านหวาถูกทำให้พูดไม่ออก ฉีจื่อฟู่รู้สึกว่านางช่างประหลาดนัก ปวดท้องอะไรกัน? เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเรื่องเท็จ กระทั่งลูกไม้เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเล็กๆ พวกนี้ของนาง เขาก็มองไม่ออกอย่างนั้นหรือ? แล้วบัดนี้ ยังจะมาเล่นตัวเพื่อการใดอีก? อวี้ม่านหวาเริ่มหลั่งน้ำตา “ท่านพี่ฟู่ เหตุใดท่านจึงกล่าวกับข้าเช่นนี้? ข้าเป
ตงจื้อกล่าวอย่างคิดว่าตนมีเหตุผลว่า “แต่ข้าคิดว่า ซื่อจื่อ ท่านจึงจะเป็นดั่งฟ้าของฮูหยินซื่อจื่อมิใช่หรือขอรับ? ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรงจะสำคัญเช่นไร ก็ไม่มีทางสำคัญเท่าการทำให้ท่านเบิกบานใช่ไหมขอรับ?”เมื่อฉีจื่อฟู่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้ามืดมนลงแล้ว “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก !”ตนเป็นสามีของจือจือ นางควรจะให้ความสำคัญกับตนเป็นอันดับแรกในทุกเรื่องชัดๆในเวลานั้นเอง ก็มีข้ารับใช้อีกคนเข้ามารายงานว่า “ซื่อจื่อ อนุอวี้บอกว่าท้องของนางรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง บอกให้ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนนางขอรับ!”ฉีจื่อฟู่ “รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้! ในเมื่อหรงจือจือไม่รู้จักรับน้ำใจของผู้อื่น เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางเดียวดายไปเถอะ มีคนมากมายที่รักข้า ข้าก็มิใช่ว่าต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวเสียหน่อย!“ชิวอี้ เจ้าจงส่งความไปบอกเรือนหลัน ให้ฮูหยินซื่อจื่อสำนึกตนให้ดี คิดดูว่าจะขอโทษข้าเช่นไร ไม่เช่นนั้น ถึงเวลาคลอดบุตรภรรยาเอกออกมาไม่ได้ ก็จงอย่าได้มาขอร้องข้าแล้วกัน!”ชิวอี้สั่นสะท้านขึ้นมา เหลือบมองตงจื้อคราหนึ่ง แล้วคุกเข่ากล่าวว่า “ซื่อจื่อ ไม่เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นเด็กรับใช้รับหน้าที่ช่วยจัดการธุระต่างๆ ไปส่งข่าวดีไหมขอร
หรงจือจือมองไปที่ตงจื้อ ถามอย่างราบเรียบที่แฝงไปด้วยความเย็นชาและเย้ยหยันว่า “คำพูดที่บอกไม่ได้ข้าสวมชุดไว้ทุกข์ เป็นเจ้าหรือซื่อจื่อที่พูด?”ตงจื้อตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “เป็นข้าพูดเองขอรับ ฮูหยินซื่อจื่อ ข้าก็พูดไปเพื่อประโยชน์ของท่าน ข้า…”หรงจือจือกล่าวด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “ข้ารับใช้ในจวนนี้ ล้วนต่างก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว แต่ละคนต่างกล้ามาสั่งสอนข้า ว่าควรจัดการเรื่องราวอย่างไร คิดว่าครั้งก่อนที่โบยบ่าวรับใช้แซ่เฉินนั่นไป คงยังไม่พอจะเชือดไก่ให้ลิงดูกระมัง”ตงจื้องงแล้ว นี่ฮูหยินซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรกัน?หรงจือจือ “เด็กๆ! ลากออกไปโบยซะ! ครั้งก่อนสั่งสอนบ่าวแซ่เฉินนั่นเช่นไร วันนี้ก็จงสั่งสอนเขาเช่นนั้น!”ตงจื้อรีบกล่าวว่า “ฮูหยินซื่อจื่อ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดกัน? ข้าหวังดีต่อท่านจริงๆ นะขอรับ หรือท่านไม่อยากปรนนิบัติซื่อจื่อพักผ่อนแล้วหรือ? หากโบยข้า ซื่อจื่อจะต้องไม่พอใจแน่!”หรงจือจือคิดในใจว่า อย่างนั้นย่อมดีที่สุด ทางที่ดีให้ฉีจื่อฟู่ไร้ความสุขทุกคืน ไม่พอใจตนทุกวัน จะได้ไม่คิดถึงเรื่องร่วมเตียงกันที่น่าขยะแขยงแบบนี้อีกนางไม่แม้จะเงยหน้า ไม่ม
หรงจือจือ “ถูกแล้ว คำพูดพวกนั้น จะไม่ทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อน และยังจะช่วยเจ้าให้พ้นผิดด้วย แต่หากเจ้าไม่วางใจ ไม่ยินดีช่วยก็ไม่เป็นไร ข้าจะไม่บังคับ”ทว่า ชุนเซิงกลับโขกศีรษะให้หรงจือจือครั้งหนึ่ง “ในตอนนั้น ชีวิตนี้ของข้าก็เป็นฮูหยินซื่อจื่อท่านที่ช่วยกลับมา ข้าจดจำพระคุณของท่านได้ ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางทำร้ายข้า เรื่องนี้ข้าจะช่วยท่านขอรับ”หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เช่นนี้ก็ดีนัก ลำบากเจ้าแล้ว”เจาซีก้าวเข้าไปเพื่อยัดตั๋วเงินให้ชุนเซิงแต่ชุนเซิงกับยืนกรานไม่ยอมรับ “ฮูหยินซื่อจื่อ เดิมบุญคุณที่ช่วยชีวิต ก็ควรตอบแทนอยู่แล้ว! และตอนนั้น ยังเป็นข้าที่บอกว่าตนเองก็อยากร่ำเรียนหนังสือ ท่านถึงได้จัดให้ข้าไปเป็นเด็กรับใช้เรื่องเรียนของคุณชายสี่”“เวลานี้ ข้าพอรู้อักษรอยู่บ้าง จึงเข้าใจหลักการและเหตุผลจำนวนหนึ่ง บุญคุณที่ท่านมีต่อข้า ดุจดั่งการให้กำเนิดใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ หากมอบเงินให้ข้า กลับจะเป็นการดูหมิ่นข้านะขอรับ”คำพูดของชุนเซิง มิได้อยู่เหนือความคาดหมายของหรงจือจือเลยเพราะหลายปีมานี้ แม้สัญญาขายตัวของเขาจะอยู่กับนางถาน ทว่า เรื่องของฉีจื่อเสียนนั้น ชุนเซิงก็มักมารายงา
เพียงแต่ตอนนั้น เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีถูกกัด หลังคุณหนูตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องด้วยความตกใจของนาง ก็รีบดูบาดแผลให้เขา ทว่า ทันทีที่ท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินเอ่ยปากกลับพูดว่า ในป่ารกร้างเช่นนี้ถึงกับมีงูมากัดเขา แต่ไม่เอ่ยว่าเป็นเพราะช่วยคุณหนูเลยสักคำตอนนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังงีบหลับอย่างสะลึมสะลือ จึงไม่ทราบเรื่องนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และสังเกตเห็นเรื่องนี้ จึงมีเพียงเจาซีเท่านั้นในใจของเจาซีนั้น รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็มิได้เปิดโปงอย่างหุนหัน เพียงสอบถามเขาเป็นการส่วนตัวประโยคหนึ่งในภายหลัง ตอนส่งท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินจากไปว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีเจตนาใดกันแน่?”ท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินมิได้ตอบ เพียงกล่าวว่า “ขอแม่นางโปรดเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้บอกให้คุณหนูของเจ้ารู้”เจาซีคิดว่า น่าจะเป็นเพราะไม่ต้องการให้คุณหนูของนางเกิดภาระทางใจ จึงรับปากไปต่อมาท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินจึงได้จากไปพร้อมกับลูกน้องที่มารับเขาหรงจือจือมองเจาซีอย่างแปลกใจทีหนึ่ง “เหตุใจเจ้าจึงมั่นใจเพียงนี้?”เจาซีจึงได้สติกลับมา “นี่…”นางคิดว่า ในเมื่อตอนนั้นรับปากท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินไปแล
กล่าวจบ หรงจือจือก็สาวเท้าจากไปฉีอวี่เยียนดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมา “ท่านแม่ นี่ดีเหลือเกิน ข้ายังกังวลว่าข้าจะได้แต่งงานไม่ดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะยังวางแผนให้ข้า”นางถาน “ล้วนเป็นเพราะลูกเสียนของข้าศึกษาตำรามา จึงไปเกลี้ยกล่อมนางได้สำเร็จ เจ้าต้องขอบคุณน้องเจ้าให้ดี!”ฉีจื่อเสียนได้หน้าก็ยิ่งยินดี แต่ในใจก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง เพราะวันนี้หรงจือจือไม่ไว้หน้าเขาเลยชัดๆ หรือว่ามาคิดได้เอาภายหลังกัน?ใช่แน่แล้ว คำพูดของตนมีเหตุผลจะตาย การที่หรงจือจือเชื่อฟังก็เป็นเรื่องสมควรแล้วฉีอวี่เยียนรีบกล่าวว่า “ต้องขอบคุณน้องชายแล้ว!”ซิ่นหยางโหวส่งขันทีอาวุโสหยางจากไป เมื่อกลับมาก็เห็นพวกเขากำลังเริงร่า เมื่อสอบถามจนรู้สาเหตุ ก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกทีหนึ่งจากนั้นก็มองฉีจื่อฟู่ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “จือจือกลับมาคิดเพื่อครอบครัวนี้อีกครั้ง คิดว่าในใจคงยังมีเจ้าอยู่ ในอนาคต เจ้าจงอย่างทำเรื่องโง่ๆ อีก คืนนี้ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนจือจือให้ดีๆ ซะ!”ฉีจื่อฟู่ “ขอรับ!”เขาจะไม่อยากนอนกับจือจือได้อย่างไร?อวี้ม่านหวากำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แต่กลับไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว……เมื่อกลับมาถึงเรือนหลัน
ในเมื่อเฉินเยี่ยนซูลงมือแล้ว หรงจือจือก็ไม่ใช่พวกไม่รู้ถึงความปรารถนาดีของผู้อื่นจึงหยิบยืมคำพูดของเฉินเยี่ยนซู มาทำให้อวี้ม่านหวาสงบเสงี่ยมลงหน่อยอวี้ม่านหวาก็หวาดกลัวจนหดร่างด้วยความสั่นสะท้านไปครู่หนึ่งจริงๆนางถานกล่าวด้วยความโมโหว่า “หรงจือจือ ในท้องของม่านหวา…”หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินคำพูดของนางถาน มองไปที่ฉีอวี่เยียนนิ่งๆ “น้องสามี ข้าวางแผนว่าผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง จะจัดงานชมดอกไม้ในนามของท่านแม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร? ส่วนเรื่องเทียบเชิญ ก็จะให้คนในเรือนของข้าไปส่งเอง”ตามกฎหมายของแคว้นต้าฉี หากบิดามารดาเสียชีวิต บุตรธิดาต้องไว้ทุกข์สามปี หากผู้เป็นปู่ย่าวายชนม์ ชนรุ่นหลานต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปีไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้วหรือไม่ ล้วนเป็นเช่นเดียวกับยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหรงถึงแก่กรรม หรงจือจือจึงไม่สะดวกที่จะใช้ชื่อตนไปจัดงานเลี้ยงทุกประเภทเมื่อฉีอวี่เยียนได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็สว่างไสวขึ้นทันที “พี่สะใภ้ จริงหรือ?”ในแคว้นต้าฉี การจัดงานประชุมบทกวี เป็นการพบปะสังสรรค์ของเหล่าบัณฑิต ส่วนการจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ ส่วนมากล้วนเป็นงานดูตัวที่เหล่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์
หรงจือจือกำลังปวดหัวว่าไม่มีเหตุผลจะใช้อยู่ต่อ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนส่งหมอนมาให้ตอนง่วงพอดีคำพูดเสแสร้งที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของอวี้ม่านหวานี้ กลับเป็นการช่วยตนอีกแรง “อนุอวี้กล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง ในเมื่อยามนี้เจ้าก็เป็นอนุแล้ว ข้ายังจะจากไปทำไมอีก? เรื่องการหย่าร้าง ก็ให้ถือเสียว่าไม่เคยพูดถึงเถอะ”อวี้ม่านหวา “?”ไม่ใช่นะ นี่ เหตุใดจึงไม่เหมือนที่ข้าคิดไว้เล่า?ฉีจื่อฟู่ถอนใจอย่างโล่งอกทันที แม้ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขา ที่จะให้หรงจือจือเป็นอนุ แต่อย่างน้อย นางก็ไม่พูดถึงเรื่องการหย่าร้างแล้วหรงจือจือจับตามองสีหน้าที่เปลี่ยนไปด้วยความตระหนกของอวี้ม่านหวา “ที่สีหน้าของอนุอวี้ไม่น่ามองถึงเพียงนี้ หรือการที่ข้าอยู่ต่อ ทำให้เจ้าไม่พอใจแล้ว?”อวี้ม่านหวาฝืนยิ้มว่า “ไม่…ไม่ใช่! ในใจของท่านพี่ฟู่มีพี่หญิงอยู่ หากพี่หญิงจากไป ท่านพี่ฟู่จะต้องเสียใจแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น น้องจะหวังให้พี่หญิงจากไปได้อย่างไร?”เมื่อฉีจื่อฟู่ฟังจบ ก็เหลือบมองอวี้ม่านหวาอย่างตื้นตัน “ม่านหวา…”เมื่อเห็นพฤติกรรมอันน่าทุเรศของเขา เจาซีก็โมโหจนหน้าเขียวใจของหรงจือจือกลับสงบนิ่ง ไร้ระลอกคลื่น เพร
อวี้ม่านหวาจะคาดได้อย่างไรว่า ขันทีอาวุโสหยางผู้นี้ไม่เพียงมาประกาศราชโองการที่ทำจิตใจของตนหนักอึ้งหดหู่เท่านั้น แถมยังพูดถึงเรื่องความเป็นตายขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกเมื่อฟังคำพูดนี้ของอีกฝ่ายจบ นางก็หวาดกลัวจนท้องเริ่มปวดแปลบขึ้นมาแล้ว!นางถานรีบประคองนาง “องค์หญิง…”เมื่อขันทีอาวุโสหยางได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองนางถานอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง “ฮูหยิน แคว้นเจาล่มสลายไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีองค์หญิงอันใดแล้ว หรือว่า จวนโหวของพวกท่านมีความคิดเป็นอื่น?”นางถานตกใจจนสะดุ้ง รีบกล่าวว่า “มิกล้า! ข้าแค่พูดผิดไปชั่วขณะเท่านั้น ขอหยางกงกงโปรดอย่าได้ถือสาเลย!”ขันทีอาวุโสหยางแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง สะบัดแส้ในมือทีหนึ่ง “เช่นนั้น ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว!”ซิ่นหยางโหว “ข้าจะไปส่งกงกง!”ขันทีอาวุโสหยางก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยง เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่า ซิ่นหยางโหวต้องการประจบตน บัดนี้ฉีจื่อฟู่ทำลายอนาคตตัวเอง หนทางเบื้องหน้าของจวนโหวจึงน่าเป็นห่วงรอจนพวกเขาออกไปแล้วฉีจื่อฟู่มองไปทางหรงจือจือ ขมวดคิ้วถามว่า “จือจือ เจ้ารู้จักท่านอัครมหาเสนาบดีหรือ?”หรงจือจือสงบความคิดลง นางก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า เฉินเยี่ยน