นางถานไม่ตะขิดตะขวงใจสักนิด ยังคงพูดพล่ามไม่หยุด “ท่านเจียงไม่สามารถรั้งตัวผู้มีความสามารถเช่นลูกชายข้าเอาไว้ข้างตัวได้ ต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากแน่!”“แต่ท่านเจียงจะทำอันใดได้? จะแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ไม่ทดแทนบุญคุณแทนลูกชายข้าก็ไม่ได้กระมัง? ส่วนลูกชายข้าก็หลงกลนางหรงนางแพศยาแล้ว!”หรงจือจืออยากจะพูดแต่ก็หยุด ซับน้ำตาตรงหางตาที่ไม่เคยปรากฏ “เฮ้อ ท่านแม่ ท่านทำร้ายน้องเสียนแล้วจริง ๆ...”นางถานพูดด้วยความกรุ่นโกรธ “เจ้ายังจะเพ้อเจ้อยุแยงอันใดอีก?!”ทว่าตอนนี้เองฮูหยินฉินกั๋วกงอดพูดขึ้นไม่ได้ “ฮูหยินโหว หรือว่าท่านก็อ่านจดหมายฉบับนี้เองก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ?”เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของฮูหยินฉินกั๋วกงกอปรกับบรรดาฮูหยิน สตรีสูงศักดิ์ที่ราวกับอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น หลังจากสลับจดหมายกันอย่างรวดเร็วแล้ว ก็เผยสีหน้าที่มีถ้อยคำพันหมื่นในใจกลับไม่รู้จะกล่าวออกมาจากปากอย่างไรนางถานเริ่มสงสัย “นี่พวกท่าน...”กลับเป็นกู้เจียนเจียนที่อดรนทนไม่ไหวจริง ๆ อ่านจดหมายในมือของตัวเอง [นางหนูสกุลหรง เห็นตัวอักษรประหนึ่งเห็นหน้า ก่อนหน้านี้ข้าพูดแล้วหลายครั้ง ฉีจื่อเสียนผู้นั้นมิใช่ผู้เห
“ลูกสะใภ้ยังอยากถามท่านอีกแน่ะ ท่านมีความแค้นอันใดกับน้องเสียนหรือไม่ ลูกสะใภ้ก็บอกแล้ว ถือเสียว่าเป็นความผิดของข้า บอกให้ท่านอย่าได้ทำร้ายน้องเสียนเป็นอันขาด แต่ท่านก็ยังดื้อดึงจะทำ!”ถ้อยคำเหล่านี้ย้ำเตือนนางถาน เป็นนางที่ต้องการให้ประจานกับทุกคนจริง ๆบรรดาฮูหยินเริ่มกระซิบกระซาบ มองหรงจือจือด้วยสายตาเห็นใจมากขึ้นหากหรงจือจือเป็นคนนำจดหมายออกมา พวกนางย่อมสงสัยว่าหรงจือจือหมายทำลายชื่อเสียงของน้องชายสามี มิใช่คนดีอันใด แต่นางหรงกลับห้ามถึงที่สุดแล้ว เป็นนางถานที่จะประกาศต่อสาธารณะให้ได้!นางหรงมิใช่ศรีภรรยาแล้วคืออันใด? นางถานมิใช่สตรีโง่งมแล้วคืออันใดอีก?หรงจือจือพูดทั้งน้ำตาคลอ “ข้าวางแผนเพื่อน้องเสียนทุกเรื่อง น้องเสียนยังเด็ก เข้าใจข้าผิดก็ช่างเถิด ข้าไม่โทษเขา แต่ท่านแม่ก็เข้าใจข้าผิดด้วย ทั้งยังไม่ยอมฟังคำเตือนของข้า เรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของน้องเสียนเช่นนี้ เหตุใดท่านไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วค่อยทำ ลูกสงสารน้องเสียนจริง ๆ”หรงจือจือกล่าวจบ ฉีจื่อเสียนก็มองหน้านางถานด้วยสายตาเคียดแค้นนั่นสิ!ทั้งที่ท่านแม่สามารถให้หลี่หมัวมัวอ่านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเปิดเผยห
นางถานมองดูเลือดในมือของตัวเองด้วยความตกใจ จากนั้นก็ตาลาย“ฮูหยิน!” หลี่หมัวมัวรีบไปประคองนางถานด้วยความตกใจ แล้วตวาดใส่บ่าวไพร่ด้านข้าง “เจ้ายังยืนบื้อทำอันใด? รีบไปตามหมอประจำจวนสิ!”สตรีผู้สูงศักดิ์ที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลหันกลับมาเห็นก็ตกใจเหมือนกันทีแรกพวกนางนึกว่านี่ก็วุ่นวายพอแล้วไม่นึกว่าฉีอวี่เยียนที่เงียบมานานจะหยิบกาน้ำชาด้านข้างขว้างใส่ฉีจื่อเสียนอีก!“เพล้ง!” เสียงหนึ่ง ฉีจื่อเสียนหน้าผากแตกแล้วฉีจื่อเสียนมีโทสะเป็นทุนเดิม ซ้ำยังถูกขว้างของใส่จนเลือดตกยางออก จึงพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “ฉีอวี่เยียน ท่านอยากตายแล้วใช่ไหม!”ฉีอวี่เยียนอดกลั้นไม่ไหว เดินปรี่ไปลงไม้ลงมือกับฉีจื่อเสียน “เจ้าสิอยากตาย! เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น! เจ้าจะมาเวลาไหนก็ไม่มา ต้องมาก่อเรื่องเอาเวลานี้! ชาติที่แล้วข้าติดค้างเจ้าหรือ?”สองพี่น้องเริ่มวิวาทกัน ไม่นานฉีอวี่เยียนก็หน้าฟกช้ำดำเขียว หน้าผากของฉีจื่อเสียนแตกแล้วยังไม่ว่า ใบหน้ายังมีรอยข่วนกระจายอยู่ทั่วอีกทีแรกนางถานถูกประคองลุกขึ้นมาแล้วยังคิดจะวางมาดมารดาสั่งสอนฉีจื่อเสียนบุตรอกตัญญูหนึ่งคำรบกลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองพี่น้องจะทะเลาะกันจนเ
“ได้เปิดโลกแล้ว” เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ทยอยอำลากับหรงจือจือฮูหยินหนิงกั๋วกงเดินถึงหน้าประตูก็มองหรงจือจือพลางพูดว่า “นางหรง วันนี้ข้ามาเพราะเจ้า เห็นว่าคนที่มาส่งเทียบเชิญคือคนของเจ้าจึงมาชมสักหน่อย”“แต่บัดนี้ดูแล้ว จวนโหวแห่งนี้ออกหน้าไม่ได้จริง ๆ! ตามหลักข้าไม่ควรถามเรื่องในครอบครัวคนอื่นให้มาก แต่อดใจไม่ไหวอยากเตือนเจ้าสักคำ ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนเพื่อคนอื่นมากเท่าไรก็ไม่ได้ความรู้สึกขอบคุณสักนิด”“ต่อไปเจ้าวางแผนเพื่อตัวเองให้มากสักหน่อยเถิด!”หรงจือจือรู้ดี ฮูหยินหนิงกั๋วกงหวังดีต่อนาง จึงตอบอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณฮูหยินที่ชี้แนะ จือจือได้รับการสั่งสอนแล้วเจ้าค่ะ!”ฮูหยินหนิงกั๋วกงถอนหายใจทีหนึ่งก็จากไปด้วยการประคองของหญิงรับใช้สูงวัย นางรู้สึกเสียดายที่หรงจือจือออกเรือนมายังครอบครัวเช่นนี้นักบุรุษตกหลุมรักถอนตัวได้ สตรีตกหลุมรักถอนตัวไม่ได้!เด็กน่ารักดีเลิศเช่นนี้ ทั้งชีวิตจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนสกุลฉีแล้วจริง ๆนางอวี๋กับกู้เจียนเจียนกลับเป็นคนสุดท้ายหรงจือจือเลี่ยงคนจากจวนสกุลหรง หลังจากเดินส่งพวกนางสองสามก้าวแล้วก็กล่าวกับนางอวี๋ว่า “ระยะนี้สุขภาพของฮูหยินดีขึ้นบ้
บางครั้งหรงจือจือก็นับถือนางถานมาก นี่มันเวลาใดแล้วยังจะนึกถึงเงินหนึ่งพันสองร้อยตำลึงสำหรับงานเลี้ยงชมดอกไม้อีก!เกรงว่ามุดเข้ารูเงินแล้วคงไม่ออกมาแล้วนางถางยังเอ่ยต่อ “เจ้าอย่าคิดจะเอาสินเดิมร้อยหาบของอวี่เยียนมาพูด ให้เจ้าออกเงินทีไร เป็นต้องเอาเรื่องนี้มาทำให้ข้าอารมณ์เสียทุกที!”“ค่าใช้จ่ายในวันนี้ เจ้าจะจ่ายก็จ่าย ไม่จ่ายก็ต้องจ่าย ถ้าเจ้าไม่มีจริง ๆ ก็กลับไปขอจากบ้านมารดาเจ้า! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจวนมหาราชครูจะให้เงินหนึ่งพันกว่าตำลึงไม่ได้!”แม้หรงจือจือจะรู้มานานว่านางถานหน้าด้าน แต่เวลานี้ก็ยังประหลาดใจผู้ใดก็ตามที่รักในศักดิ์ศรีจะรู้ว่าการใช้สินเดิมของลูกสะใภ้เป็นเรื่องน่าอายนางถานนอกจากจะหมายตาสินเดิมของนาง ยังจะให้นางมอบสินเดิม กลับไปขอเงินจากบ้านมารดา เรื่องไร้อายยางเช่นนี้ ทั่วเมืองหลวงคงมีสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใหญ่ไม่กี่แห่งที่กล่าวออกมาได้หรงจือจือตอบราบเรียบ “ท่านแม่ เรื่องในวันนี้คือความผิดของผู้ใดกันแน่ คนที่ฉลาดสักหน่อยล้วนมองออก หากท่านจะให้ลูกสะใภ้รับผิดชอบ เช่นนั้นต่อให้ตายลูกสะใภ้ก็ไม่รับ!”นางถานพูดเสียงแข็ง “เจ้าจะรับหรือไม่ก็คือความผิดของเจ้า!”เพิ่ง
ฉีจื่อเสียนกล่าวอย่างเห็นต่าง “ท่านคือผู้หญิงคนหนึ่ง เหตุใดเอาแต่พูดเรื่องอยากจะแต่งงานให้เร็ว ๆ อย่างไร้ยางอายเช่นนี้? ก็แค่การแต่งงาน วันนี้เจรจาไม่สำเร็จ พรุ่งนี้ค่อยเจรจามิได้หรือ? มีอันใดต้องโวยวายกัน?”เมื่อเขากล่าวจบ ซิ่นหยางโหวก็ฟาดฝ่ามือไปอย่างจัง ตบเขาจนล้มลงกับพื้น “เจ้ามันสารเลว! บุกเข้ามาในงานของแขกเหรื่อสตรี ลงมือกับมารดาเจ้าต่อหน้าทุกคน ทำลายการแต่งงานของพี่สาวเจ้า แล้วเจ้ายังกล้าพูดออกมาหน้าด้าน ๆ อีก!”ฉีจื่อเสียนหน้าบวมทันทีหรงจือจือได้ยินคำพูดของซิ่นหยางโหวแล้วก็อยากหัวเราะ ฉีจื่อเสียนมีความผิดแค่นี้หรือ? เขายังลบหลู่ด่าทอพี่สะใภ้อย่างนางต่อหน้าผู้คน ใช้คำศัพท์ที่ต่ำตมที่สุดแต่ตอนซิ่นหยางโหวสั่งสอนฉีจื่อเสียนกลับไม่เอ่ยถึงสักคำไม่ใช่อื่นใด เพราะซิ่นหยางโหวไม่สนใจว่านางที่เป็นลูกสะใภ้คนนี้จะถูกลบหลู่อย่างไรก็เท่านั้นแต่...ตอนนี้นางไม่ต้องการความสนใจจากซิ่นหยางโหว ในสายตาของนาง ซิ่นหยางโหวก็เป็นแค่เครื่องมือที่จะสร้างจุดจบไม่ดีเท่านั้นนางถานเห็นบุตรชายถูกตบก็สงสารจับใจ แต่นึกถึงหน้าผากของตัวเองที่กว่าจะห้ามเลือดได้ ก็ข่มความสงสารนี้อย่างยากลำบากฉีอวี่เยีย
ทว่าฉีจื่อฟู่มองหรงจือจือครู่หนึ่งแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนในและไม่หันมองตามสายตาของเขาเลย ราวกับจู่ ๆ ก็สูญเสียปัญญาความรู้แจ้งไปฉีจื่อฟู่ขมวดคิ้ว รีบเตือนนาง “จือจือ...”หรงจือจือไม่มองไปทางนั้นเพียงพูดเรียบ ๆ ว่า “ซื่อจื่อ วันนี้ที่ควรห้ามข้าได้ห้ามแล้ว ที่ควรเตือนก็เตือนแล้ว แต่ท่านแม่คือผู้อาวุโส นางจะทำให้ได้ ข้าก็จนปัญญาเหมือนกัน”“เรื่องนี้ไม่ว่าซื่อจื่อจะพูดเหตุผลกับที่ไหน พูดให้ตายก็มิใช่ปัญหาอันใดของข้า ในเมื่อข้าไม่ได้ทำผิด ย่อมไม่ยอมรับผิด ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องสั่งข้า”ฉีจื่อฟู่จุกอก เขาไม่เข้าใจเลย เพราะอะไรทุกครั้งที่เขาขอร้องจือจือสักหน่อย นางกลับไม่ทำตามความต้องการของเขาง่าย ๆ สักครั้ง ยามนี้ต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้ ยังไม่เห็นแก่หน้าของเขาซึ่งเป็นสามีสักนิดอีกนี่ทำให้ฉีจื่อฟู่มีโทสะสุมทรวง กล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าคือลูกสะใภ้ของท่านแม่ ไม่ว่าเจ้าจะผิดหรือไม่ ยอมรับผิดแทนท่านแม่หน่อยจะเป็นไรไป? เจ้าไม่มีความกตัญญูสักนิดเลยหรือ?”ในที่สุดหรงจือจือก็ปรายตามองเขา “ซื่อจื่อช่างเป็นบุตรชายในอุทรของท่านแม่โดยแท้ ซื่อจื่อมีใจกตัญญูเช่นนี้ ทั้งยังชอบรับผิดเช่นนี้ เหตุ
ไม่ว่าอย่างไร ฉีจื่อฟู่ก็เคารพยำเกรงบิดาของตนจากใจจริงเห็นบิดาพูดถึงขนาดนี้แล้ว จึงพูดกระแทกกระทั้นกับหรงจือจืออย่างไม่สมัครใจ “ได้ ข้าพูดผิดเอง! หรงจือจือ เจ้าบีบให้สามีของตัวเองขอโทษเจ้า เจ้าเก่งนักนะ พอใจแล้วหรือยัง?”กล่าวจบ นอกจากฉีจื่อฟู่จะไม่ได้รับความตกใจกลัวและการสำนึกผิดจากหรงจือจือ ยังเห็นการถากถางจากแววตาของนางด้วยเขารู้สึกเพียงอยู่ในสถานที่เช่นนี้ต่อไม่ได้อีกสักนาทีแล้ว จึงสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินไปด้วยความโกรธเห็นว่าบ้านเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ฉีจื่อฟู่ในฐานะที่เป็นซื่อจื่อ กลับจากไปเพราะเรื่องขี้ปะติ๋วเช่นนี้ นี่ทำให้ซิ่นหยางโหวกุมหน้าอกของตัวเอง โกรธจนหน้าแดงก่ำ “ดูท่าทางไม่รับผิดชอบและไม่รู้จักลำดับความสำคัญของเขานี้สิ นี่ก็คือซื่อจื่อซิ่นหยางโหวของข้าหรือ! เวรกรรมแท้ ๆ!”ฉีจื่อฟู่ทำเช่นนี้ ทำให้ซิ่นหยางโหวเจ็บใจเสียยิ่งกว่าเรื่องที่นางถานทำผิดในวันนี้เสียอีก อย่างไรเสียฉีจื่อฟู่ก็คือซื่อจื่อของจวน คืออนาคตของวงศ์ตระกูลเขาอดคิดไม่ได้ หากบุตรชายที่เกิดกับอนุภรรยาของเขายังอยู่...หรงจือจือเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อ ใช่ว่าเรื่องพวกนี้จะกอบกู้ไม่ได้แล้ว เอาไว้ข้า
หรงจือจือยิ้ม “น้องสามีจริงจังเกินไปแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน ช่วงนี้ท่านแม่ไม่พอใจข้าหลายเรื่อง หากเจ้ามีเวลาว่างก็ไปช่วยพูดให้ข้าหน่อย”ตอนนี้นางถานกำลังเกลียดนางเข้ากระดูกดำ หากลูกชายของนางไปพูดถึงหรงจือจือในทางที่ดีให้ฟัง ไม่รู้ว่าจะทำให้นางถานโมโหจนกระอักเลือดอีกได้หรือไม่?ความจริงแล้วช่วงนี้ฉีจื่อเสียนค่อนข้างไม่ชอบแม่ตัวเอง แต่เพื่อถ้อยคำนี้ของหรงจือจือแล้ว เขาจึงรีบพูดว่า “พี่สะใภ้วางใจเถิด ข้าจะช่วยไปพูดให้แน่นอน ท่านแม่อายุมากแล้ว ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก สมควรที่ข้าต้องตักเตือนนาง!”หรงจือจือเดินจากไปด้วยความสบายใจ รอดูว่าวันนี้ลูกประทัดอย่างฉีจื่อเสียนจะทำให้นางประหลาดใจได้อีกหรือไม่ตกค่ำบรรดาบ่าวรับใช้ยกอาหารเข้ามา แต่หรงจือจือเพิ่งจะเริ่มทานอาหารนางก็ได้ยินเสียงรายงานด้วยความยินดีของเจาซี “คุณหนูอาจจะไม่ทราบ คุณชายสี่ไปหานางถาน ทั้งสองคนมีปากเสียงกันเพราะเรื่องของท่าน คุณชายสี่ยังใช้ถ้อยคำรุนแรงหลายคำ ทำเอานางถานร้องไห้ไปหนึ่งชั่วยามและเป็นลมหมดสติ”“ทางนั้นมีทั้งคนพยายามปลุกให้ได้สติ มีทั้งคนไปตามหมอ สถานการณ์วุ่นวายไปหมาย ทว่าคุณชายสี่กลับไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย หลังจาก
ฉีจื่อฟู่เผยอปาก แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีภายในใจทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ ถึงขั้นโกรธแค้นที่หรงจือจือเลือดเย็นกับตัวเอง เหตุใดนางจึงไม่ยอมไปคุกเข่าเพื่อเขา?นางให้ความสำคัญต่อเรื่องของน้องสี่มากกว่าเขาได้อย่างไร ทั้งยังยุยงให้ท่านพ่อทำแบบนี้อีก?เรื่องนี้ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ สมัยที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานกัน จือจือจะให้ความสำคัญต่อเขาเป็นอันดับแรกในทุกๆ เรื่อง ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดก็จะเสนอตัวไปอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองเมื่อได้ยินว่าปรมาจารย์ซื่อคงมีบัวไหมสวรรค์ นางก็ไม่สนใจร่างกายที่บอบบางของตัวเอง ยอมคุกเข่าขึ้นเขาไปทีละก้าวๆ เพื่อขอโอสถมาให้เขากระทั่งในเวลาที่เขาไม่ยอมกินโอสถเพราะกลัวรสขม นางก็จะปลอบประโลมด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กทว่าตอนนี้…ความแตกต่างนี้ทำให้เขาทั้งรู้สึกอึดอัดและเสียใจ เบ้าตาแดงก่ำ ทิ้งตัวลงนอนด้วยความโมโหและพลิกตัวหันหลังให้ทุกคนทำให้อวี้ม่านหวาที่ตอนแรกร้องไห้อยู่ในอ้อมอก ต้องนิ่งค้างอยู่กลางอากาศอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านพี่ฟู่?”ฉีจื่อฟู่คิดว่าจือจือเห็นตัวเองไม่ชอบใจแล้วจะเข้ามาปลอบ แค่ประโยคเดียว เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น เขาก็จะยอ
ฉีจื่อฟู่ “…”เขาไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆ! เขาอยากจะฝืนร่างกายลุกขึ้นพังบ้านหลังนี้ให้รู้แล้วรู้รอด น้องสี่ทำร้ายจนเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่าท่านพ่อกลับไม่สนใจใยดี หันไปให้ความสำคัญต่อน้องสี่แทนเขาอย่างรวดเร็วจะให้ฉีจื่อฟู่ยอมรับได้อย่างไร?ที่เขาเสียใจมากที่สุดคือ “จือจือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เจ้าควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือข้า ในสายตาเจ้าควรมีเพียงข้า…”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบม่านหวาและไม่พอใจกับเรื่องที่ข้าเอาเตาอุ่นมือไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย เหตุใดเจ้าจึงเห็นแก่ตัวเช่นนี้?”หรงจือจือมีท่าทีจนใจ “ซื่อจื่อ ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าเป็นภรรยาของท่าน แต่ก็เป็นฮูหยินซื่อจื่อของจวนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ย่อมต้องคิดแทนทั้งจวนโหว”“น้องสามีมีอนาคตที่สดใส วันหน้าก็จะช่วยเหลือท่านได้ อีกอย่าง แต่เดิมพวกท่านก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ เหตุใดซื่อจื่อจึงเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองเช่นนี้?”ฉีจื่อเสียนรีบช่วยพูดว่า “ใช่ ท่านพี่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว! พี่สะใภ้หวังดีกับข้าเช่นนี้ ท่านวางใจเถิด ไม่ว่าวันหน้าท่านพี่จะเป็นอย่างไร ข้าก็จะให้ความเคารพเชื่อฟังต่อท่านเฉกเช่นเดียวกับเคารพมารดา”หรงจือจือไม่อยา
“ข้าเองก็พอจะเดาได้ว่า มีเพียงหญิงแพศยาเช่นเจ้าที่จะมีความคิดต่ำช้าเช่นนี้ โบราณว่าไว้ พี่สะใภ้คนโตเปรียบเสมือนมารดาอีกคน ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับน้องสามีก็เป็นเช่นนั้น”“คนที่มีจิตใจสกปรก ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็สกปรกไปหมด หากเจ้ายังไม่เข้าใจคำพูดของข้าอีก ข้าก็ยินดีช่วยตบเรียกสติ!”ใบหน้าของอวี้ม่านหวาบวมแดงจากการถูกตบ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงจากการถูกถากถาง นางหันไปโผตัวเข้าสู่อ้อมอกฉีจื่อฟู่และเริ่มร้องไห้ “ท่านพี่…”ฉีจื่อเสียนพูดด้วยความรำคาญ “ร้องๆๆ วันๆ ดีแต่ร้องไห้ ท่านพี่ยังไม่ทันตาย เจ้าก็ร้องคร่ำครวญประหนึ่งอยู่ในงานศพ!”อวี้ม่านหวาเป็นหญิงแพศยาจริงๆ ถ้อยคำของนางมีเจตนาจะทำลายชื่อเสียงกับอนาคตของเขาชัดๆ!อวี้ม่านหวาสะอึก นางจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะไม่ร้องไห้ก็ไม่ใช่อีกซิ่นหยางโหวฟังคำของหรงจือจือแล้วมองอวี้ม่านหวาด้วยความรังเกียจปราดหนึ่งเช่นกัน จากนั้นจึงหันมองฉีจื่อฟู่ “คอยระวังปากของหญิงสาวนี้ให้ดี เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดสุ่มสี่สุ่มห้า!”ฉีจื่อฟู่ “ขอรับ!”เขารู้ว่าถ้อยคำของอวี้ม่านหวาเหลวไหล แต่จือจือถึงขั้นลงมือเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ?
หรงจือจือคิดไม่ถึงว่าฉีจื่อฟู่จะมีความคิดที่จะทรมานนางเช่นกัน สายตานางจ้องมองไปที่ฉีจื่อฟู่พลางถามด้วยเสียงราบเรียบ “หมายความว่า ซื่อจื่อสำนึกและเสียใจกับสิ่งที่พูดกับข้าก่อนหน้านี้หรือ?”สีหน้าของฉีจื่อฟู่เปลี่ยนไป หากเขายอมรับว่าสำนึกและเสียใจกับคำพูดพวกนั้น ก็เท่ากับยอมรับว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมไม่ใช่หรือไร?แม้ปากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้หรงจือจือรักษา ทว่าแท้จริงแล้วภายในใจกลับให้ความสำคัญมากนี่ทำให้เขาหงุดหงิดหรงจือจือเล็กน้อย ในเมื่อรักเขาก็ไปคุกเข่าแทนเขาสิ จะถามเช่นนี้ให้มากความทำไม? นี่มันต่างอะไรกับการทำให้เขาผู้เป็นสามีต้องอับอาย?เขาพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “สิ่งใดที่ข้าพูดไปแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียใจ”“ข้าเพียงแต่คิดว่า เจ้าเห็นข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่ว่าจะในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ หรือในฐานะว่าที่โหวฮูหยินในอนาคต เจ้าก็คงไม่รู้สึกสบายใจนัก ด้วยเหตุนี้จึงได้ให้โอกาสเจ้าไปสวดภาวนาเพื่อข้าก็เท่านั้น”“เจ้าแต่งงานเข้ามาในครอบครัวนี้ คนในสกุลฉีล้วยแต่ดีกับเจ้าไม่น้อย เท่านี้ก็ถือเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”“หากข้าไม่เป็นห่วงอนาคตของเจ้า จะผิดคำพูดต่อหน้าสิ่งศักดิ์
หมอเทวดาเล่นตามน้ำว่า “ใช้ความรุนแรงให้น้อย โมโหให้น้อยก็พอ”หรงจือจือ “นี่ เฮ้อ…”เดิมทีสองพ่อลูกซิ่นหยางโหวยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง เพราะฉีจื่อฟู่ไม่ได้ดีกับหรงจือจือ อีกทั้งหมอเทวดาก็ไม่ได้ตรวจโดยละเอียด แต่เมื่อเห็นหรงจือจือถามโดยละเอียดเช่นนี้ก็คลายความสงสัยเหล่านี้ลงก็จริง อย่างไรจื่อฟู่ก็เป็นสามีของหรงจือจือ นางจะไม่อยากให้เขาได้ดีได้อย่างไร?หมอเทวดาประสานมือพูดว่า “ไปเชิญคนอื่นมาตรวจเถิด! ข้าขอตัว!”หรงจือจือ “ข้าจะไปส่ง”นางเดินไปส่งหมอเทวดาออกจากจวนโหว หลังจากเดินห่างออกมาหลายก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงคนในจวนหมอเทวดาถึงค่อยมองหรงจือจือด้วยความชื่นชม “เจ้าไม่ได้เลอะเลือน”ตอนที่ได้ยินว่าหรงจือจือกลับมาที่จวนซิ่งหยางโหวก่อนหน้านี้ ทั้งยังช่วยวางแผนให้ครอบครัวนี้ เขาก็โมโหแทบอกแตกตายครั้งนี้เขามาโดยอ้างว่ามาช่วยตรวจฉีจื่อฟู่ ทว่าความจริงแล้วต้องการมาด่าหรงจือจือต่างหากเคราะห์ดีที่เขาทำการจับชีพจรก่อน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เข้าใจหรงจือจือผิดแต่ก็ไม่แปลก คนนอกอาจจะไม่รู้ถึงวิชาแพทย์ของจือจือ แต่เขากลับรู้ดีว่านางเก่งกาจกว่าเขาผู้เป็นอาจารย์เสียอีก หากคิดจะช่วยฉีจื่อฟู่จริงๆ ม
หนังหน้าเขาตึงเปรี๊ยะ คิดไม่ถึงว่าหมอเทวดาจะไม่ไว้หน้าขนาดนี้ และพูดจาขวานผ่าซากเช่นนี้ทว่าตอนนี้ยังต้องขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยบุตร จึงระเบิดอารมณ์ไม่ได้ ได้แต่กล่าวว่า “ขอท่านหมอเทวดาช่วยลูกข้าด้วย เขาคือซื่อจื่อแห่งจวนโหว เป็นสามีของจือจือ...”หมอเทวดาหยิบเข็มเงินออกมา แล้วแทงฉีจื่อฟู่ให้ตื่นอย่างไม่เกรงใจมิหนำซ้ำยังจงใจไม่ออมแรงอีกด้วย แทงจนเขามีเลือดออกมามากมายซิ่นหยางโหวที่เห็นดังนั้นขมวดคิ้วมุ่น แต่อย่างไรเขาก็ไม่เป็นวิชาแพทย์ และไม่มั่นใจว่าเลือดนี่ไม่ไหลไม่ได้หรือเปล่า จึงไม่กล้าพูดมากแต่อย่างใดทว่าหมอประจำจวนที่เข้าใจวิชาแพทย์ซึ่งดูอยู่ข้าง ๆ ยิ่งไม่กล้าพูดเข้าไปใหญ่ คิดเพียงว่าที่หมอเทวดาแทงเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลของหมอเทวดาเองหลังฉีจื่อฟู่ฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินหมอเทวดากล่าวว่า “พักผ่อนสักพัก ก็ลุกจากเตียงได้แล้ว เพียงแต่เมื่อเป็นเพราะโรคเก่ากำเริบ หลังจากนี้อาจจะอ่อนแอลงทุกวัน อาการกำเริบอยู่เป็นระยะ กลับไปเป็นอย่างแต่ก่อน กระทั่งถึงแก่ความตาย”คำพูดของพ่อบุญธรรม ย่อมอยู่ในการคาดคะเนของหรงจือจือเช่นกันเมื่อฉีจื่อฟู่อาการกำเริบครั้งแรก หลังจากนั้นก็จะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ กระ
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ครั้นซิ่นหยางโหวฟังการร่ำไห้ของอวี้ม่านหวาจบ สายตาที่ไม่สบอารมณ์ก็ตกไปบนหน้าของหรงจือจือ กำลังจะตำหนินางว่าเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ถึงกลับอาละวาดจนวุ่นวายไปหมดทั้งจวนทว่าหรงจือจือเอ่ยปากกับอวี้ม่านหวาก่อน “เจ้ารู้ว่าเจ้าไม่ดีก็ดี! ในจวนเตาอุ่นมือแบบไหนจะไม่มีเลยหรืออย่างไร?”“เป็นแค่อนุผู้หนึ่ง ดันจะยังยุยงให้ท่านพี่ไปแย่งของภรรยาเอก ก่อเรื่องจนวุ่นวายไปทั้งจวน ไม่รู้ว่าฮองเฮาของแคว้นเจาองค์ก่อน สั่งสอนเจ้ามาอย่างไร!”“น้องเสียนทนเห็นไม่ได้ จึงไปเอากลับมา ข้าโน้มน้าวอย่างก็โน้มน้าวไม่ได้ ช่างเถิด มาพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ เจาซี เอาเทียบของข้ามา เชิญท่านพ่อบุญธรรมมาดูซื่อจื่อที่จวน!”เจาซี “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”แน่นอนว่าพ่อบุญธรรมที่หรงจือจือกล่าวถึง หมายถึงหมอเทวดาลูกบุญธรรมของนายหญิงผู้เฒ่าหรงในตอนนี้ซิ่นหยางโหวกล้าด่านางเสียที่ไหน?กลับหันหน้าไปมองอวี้ม่านหวา และด่าอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ช่างเป็นตัวสร้างปัญหาจริง ๆ!”ฉีจื่อเสียนเองก็ยังไม่ลืมว่าตอนนั้น เหตุใดตนถึงต่อยตีกับพี่ชายขึ้นมา จึงเอ่ยขานรับ “ไม่ใช่เพร
อวี้ม่านหวาตกตะลึง “ท่านพี่ฟู่...”ฉีจื่อเสียนกลับไม่แยแสสถานการณ์ของฉีจื่อฟู่เลยแม้แต่น้อย คิดเพียงว่าที่อีกฝ่ายเป็นลมหมดสติไป เพราะตนกล้าหาญไร้ที่เปรียบ ทักษะการต่อสู้โดดเด่นเขายกเตาอุ่นมือของหรงจือจือขึ้นมา แล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอวี้ม่านหวารีบเอ่ยขึ้นว่า “เร็วเข้า รีบไปเชิญหมอประจำจวนมา!”...ก่อนที่ฉีจื่อเสียนจะกลับมา อวี้หมัวมัวได้บอกสถานการณ์ทางนั้นกับหรงจือจือเรียบร้อยแล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงของฉีจื่อเสียน “ท่านพี่สะใภ้ ท่านดูสิข้าเอาอะไรกลับมาให้ท่าน”หรงจือจือกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางมองเตาอุ่นมือที่หวนคืนสู่เจ้าเดิม ก่อนจะแสร้งเอ่ยขึ้นด้วยความตื้นตันใจ “ต้องขอบคุณน้องเสียนมาก ๆ น้องเสียนรู้เหตุรู้ผลอย่างที่คิดจริง ๆ”เจาซีรีบไปรับเตาอุ่นมือมาฉีจื่อเสียนเขียวช้ำไปทั้งหน้า เขามองหรงจือจือ “เช่นนั้น...เช่นนั้นเรื่องหาอาจารย์ใหม่ให้ข้า ที่ท่านพี่สะใภ้พูดก่อนหน้านี้...”หรงจือจือ “เจ้าวางใจ พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนของท่านเจียงด้วยตัวเอง ขอร้องให้เขาช่วยแนะนำให้ ไม่รู้ว่าน้องเสียนมีอาจารย์ที่ดูไว้ในใจหรือไม่?”แววตาของฉีจื่อเสียนเปล่งประกาย “ย่อมมีอยู่แ