ครั้นถึงลานเรือนเห็นทุกอย่างในจวนล้วนจัดการได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บรรดาบ่าวรับใช้เดินไปเดินมาอย่างมีระเบียบ ความหรูหราไม่ต่างจากงานเลี้ยงชมดอกเหมยในจวนอ๋องเฉียนครั้งนั้นแม้แต่น้อย นางถานผู้รักในเกียรติจอมปลอมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นหน่อย ทว่าหรงจือจือหรือจะยอมปล่อย?นางเปล่งเสียง “แปลงดอกไม้นั้นจ่ายไปถึงแปดสิบตำลึง พวกเจ้าต้องตั้งใจหน่อยล่ะ”“ชุดชาชุดนี้ร้อยยี่สิบตำลึง เป็นกระเบื้องเย็นชั้นดีจากแคว้นเยียนเชียวนะ อย่าได้ทำตก”“แล้วยังนี่อีก...”นางถานได้ยินแล้วพลันใบหน้าบิดเบี้ยวในจวนมีเงินอยู่ไม่มากแล้ว เงินที่ผู้ดูแลหลี่ได้มาถูกนางหรงนางแพศยาผู้นี้เอาไปตั้งมากอย่างนั้น บัดนี้ชุดชาชุดเดียวก็จ่ายไปมากเช่นนี้แล้ว นางถานจะไม่เดือดดาลได้อย่างไร?นางพูดทั้งหน้าตึง “นางหรง มีผู้ใดดูแลเรือนเช่นนี้บ้าง? ในจวนก็ใช่ว่าจะไม่มีชุดชา ไยต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมายเพื่อซื้อชุดชาชุดใหม่ด้วย?”แปลงดอกไม้ก็ช่างเถอะ ทุกคนชมดอกไม้ก็ต้องชมกันอยู่แล้ว แต่ชุดชามันมีความจำเป็นอันใดกัน?เห็นเพียงฉีอวี่เยียนก็เข้ามาประสมโรงอย่างคึกคักด้วยหรงจือจือตอบอย่างไม่เร็วและไม่ช้า “ท่านแม่ นี่คือชุดชาที
เมื่อนางถานได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ฝืนข่มไฟโทสะในใจ ไม่ว่าอย่างไรอีกเดี๋ยวจะให้คนอื่นเห็นเรื่องขายหน้าไม่ได้นางจึงแค่กลอกตาใส่หรงจือจือ “ข้าจะยังไม่ต่อล้อต่อเถียงเรื่องในวันนี้กับเจ้า!”เนื่องจากมีฮูหยินกั๋วกงมาหลายท่าน นางถานจึงออกไปต้อนรับแขกด้วยตัวเองรอจนแขกเหรื่อทยอยมาครบแล้วหลังจากกู้เจียนเจียนบุตรชายของเสนาบดีกรมคลังนั่งลง ก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วกล่าววาจาเหน็บแนม “นายหญิงผู้เฒ่าหรงเพิ่งสิ้น จวนโหวยังถือเป็นญาติเกี่ยวดอง เพิ่งจะผ่านไปสามวันก็รีบจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ ไม่รู้ว่ารีบร้อนอันใดกัน!”ครั้นนางกล่าวเช่นนี้ นางถานย่อมเสียหน้าเป็นธรรมดานางอวี๋ ฮูหยินของเสนาบดีกรมคลังชายตามองนางทีหนึ่ง “เจียนเจียน เจ้ากำลังพูดจาเลื่อนเปื้อนอันใดกัน? เจ้าสอดปากที่นี่ได้หรือ?”เมื่ออบรมบุตรสาวเสร็จ นางอวี๋ก็หันมองไปทางนางถาน “บุตรสาวอายุน้อยไม่รู้ความ ฮูหยินโปรดอย่าได้ถือสาเลยนะ”นางถานฝืนยิ้ม “ข้าเข้าใจ ความจริงคุณหนูรองกู้ก็พูดมีเหตุผล ข้าแค่เห็นว่าจือจืออารมณ์ไม่ดีนัก จึงบอกให้จัดงานเลี้ยงนี้ หวังว่าความครึกครื้นจะทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นบ้าง!”ครอบครัวของพวกเขาล่วงเกินเสนาบดีกรมคลังไม่ได
“ท่านรีบร้อนกลับไปอาละวาดเช่นนี้ จะไม่ดีต่อคุณหนูสามนะขอรับ!”“อีกอย่าง วันนี้มีสตรีสูงศักดิ์มากมายออกอย่างนั้น ท่านกลับไปต่อว่าฮูหยินซื่อจื่อต่อหน้าทุกคน ฮูหยินซื่อจื่อจะเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มิสู้คุยกันเป็นการส่วนตัว ไม่แน่ว่าเรื่องราวอาจยังพลิกผันได้นะขอรับ?”ฉีจื่อเสียนใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “แขกสตรีทั้งนั้นแล้วอย่างไร? คนยิ่งเยอะสิยิ่งดี ข้าไปอาละวาดตอนนี้หรงจือจือจะได้ขายหน้ามากขึ้น!”“ไยข้าต้องใส่ใจกับชื่อเสียงของนางด้วย? นางทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีกระทั่งอาจารย์แล้ว ข้ายังต้องสนใจกฎระเบียบอันใดอีก? ข้าต้องการให้ชื่อเสียงของนางพังพินาศ เป็นที่หัวเราะของผู้คนนั่นแหละ!”“สตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวงต้องประณามนาง เมื่อนั้นนางจึงจะรู้ว่าตัวเองทำผิดไป จึงจะไปพูดดี ๆ ต่อหน้าท่านเจียง ให้เขารับข้ากลับเข้าสำนักอีกครั้ง!”ฉีจื่อเสียนรู้สึกว่าคำพูดชุนเซิงเตือนสติเขาจริง ๆ วันนี้คือโอกาสดีที่จะหาเรื่องหรงจือจือ คนยิ่งมากก็ยิ่งดี!ชุนเซิง “แต่คุณชายสี่ เช่นนั้นเรื่องการแต่งงานของคุณหนูสาม...”ฉีจื่อเสียนเอ่ยอย่างรำคาญใจ “เอาละ เจ้าไม่ต้องพูดแล้
ฉีจื่อเสียนเอ่ยอย่างหัวเสีย “เข้าใจผิดอันใด? หรงจือจือ ท่านช่างเล่นละครเก่งจังนะ! บทศรีภรรยาท่านกลับแสดงมาได้ถึงสามปี ปั่นหัวครอบครัวข้าจนหัวหมุนหมดแล้ว!”“มีความสามารถเช่นนี้ ไยไม่ไปเป็นตัวนางแสดงบทนางเอกเสีย? เกรงว่าสตรีในโรงงิ้วอำมหิตต่ำทรามสู้ท่านไม่ได้!”หรงจือจือหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำเพื่อสกุลฉีตลอดสามปี อย่าว่าแต่ให้คนนอกประทับใจเลย บางครั้งนางก็นับถือตัวเองที่ทุ่มเทได้ขนาดนั้นเช่นกันสุดท้ายกลับได้มาเพียงคำพูดนี้ของฉีจื่อเสียนท่านเจียงก็ไม่อยากสอนเขาอยู่แล้ว แต่นางไม่ยินยอม ช้าเร็วต้องขับออกจากสำนักอยู่ดีบัดนี้นางแค่รู้สึกโชคดีที่เป็นศัตรูของครอบครัวพวกเขาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวถ้อยคำอันใด นางก็ไม่สะทกสะท้าน มิเช่นนั้นเกรงว่าวันนี้ต้องกระอักเลือดเพราะฉีจื่อเสียนแล้วยามนี้นางจ้องฉีจื่อเสียน แสร้งทำเป็นพูดอย่างผิดหวัง “น้องเสียน เจ้าอย่าได้พูดจาให้ร้ายข้าอีกเลย ต่อให้เจ้าไม่คำนึงถึงชื่อเสียงข้า แต่ก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของตัวเองนะ!”ฉีจื่อเสียนเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ “ชื่อเสียง? ตอนนี้ข้าถูกท่านทำร้ายถึงขั้นนี้แล้ว ท่านไม่ให้คำอธิบายอะไรสักอย่าง ปากกลั
“เมื่อครู่เจาซีทำลับ ๆ ล่อ ๆ ออกไป พอกลับถึงเรือนหลังของฮูหยินซื่อจื่อก็รีบเอาจดหมายพวกนี้ออกมาเพื่อจะเผา!”“ดีที่บ่าวตาเร็วมือไวแย่งมาได้ก่อน บ่าวจะเอามาให้ท่าน เจาซียังตามมาตลอดทาง คิดจะแย่งกลับไปอีกแน่ะเจ้าค่ะ!”นางถานรีบถาม “ในจดหมายเขียนว่าอย่างไรบ้าง?”ฉีจื่อเสียนมองจดหมายฉบับนั้นแวบหนึ่งก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “นี่คือจดหมายที่สำนักบัณฑิตเราใช้เฉพาะ คือจดหมายที่ท่านเจียงเขียนถึงพี่สะใภ้! วันนี้ท่านรีบร้อนส่งคนไปเผาทำลาย ในใจคิดอันใดอยู่กันแน่?”นางถานอดมองไปทางหรงจือจือไม่ได้ พร้อมเอ่ยด้วยโทสะ “นางหรงเจ้าทำดีนี่! ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะซ่อนแผนเอาไว้จริง ๆ หากไม่ใช่เพราะข้ารอบคอบ ให้หลี่หมัวมัวตามคนของเจ้าไป ก็ไม่รู้ว่าครอบครัวข้าต้องถูกเจ้าปั่นหัวจนเป็นอย่างไรแล้ว!”หรงจือจือแสร้งพูดหน้าจริงจัง “ท่านแม่ ถือเสียว่าข้าผิดก็แล้วกัน เผาจดหมายนี้เสียเถิด อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ท่านจะให้เหล่าฮูหยินเห็นจดหมายไม่ได้เป็นอันขาดนะเจ้าคะ!”นางถานอยู่กับหรงจือจือมาสามปี เคยเห็นอากัปกิริยาสีหน้าซีดขาวเช่นนี้ของนางเสียที่ไหน? เห็นชัดว่ามีชนักติดหลัง!แล้วพอเห็นสีหน้าร้อนรนของเจาซีอีก มันคื
นางถานไม่ตะขิดตะขวงใจสักนิด ยังคงพูดพล่ามไม่หยุด “ท่านเจียงไม่สามารถรั้งตัวผู้มีความสามารถเช่นลูกชายข้าเอาไว้ข้างตัวได้ ต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากแน่!”“แต่ท่านเจียงจะทำอันใดได้? จะแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ไม่ทดแทนบุญคุณแทนลูกชายข้าก็ไม่ได้กระมัง? ส่วนลูกชายข้าก็หลงกลนางหรงนางแพศยาแล้ว!”หรงจือจืออยากจะพูดแต่ก็หยุด ซับน้ำตาตรงหางตาที่ไม่เคยปรากฏ “เฮ้อ ท่านแม่ ท่านทำร้ายน้องเสียนแล้วจริง ๆ...”นางถานพูดด้วยความกรุ่นโกรธ “เจ้ายังจะเพ้อเจ้อยุแยงอันใดอีก?!”ทว่าตอนนี้เองฮูหยินฉินกั๋วกงอดพูดขึ้นไม่ได้ “ฮูหยินโหว หรือว่าท่านก็อ่านจดหมายฉบับนี้เองก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ?”เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของฮูหยินฉินกั๋วกงกอปรกับบรรดาฮูหยิน สตรีสูงศักดิ์ที่ราวกับอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น หลังจากสลับจดหมายกันอย่างรวดเร็วแล้ว ก็เผยสีหน้าที่มีถ้อยคำพันหมื่นในใจกลับไม่รู้จะกล่าวออกมาจากปากอย่างไรนางถานเริ่มสงสัย “นี่พวกท่าน...”กลับเป็นกู้เจียนเจียนที่อดรนทนไม่ไหวจริง ๆ อ่านจดหมายในมือของตัวเอง [นางหนูสกุลหรง เห็นตัวอักษรประหนึ่งเห็นหน้า ก่อนหน้านี้ข้าพูดแล้วหลายครั้ง ฉีจื่อเสียนผู้นั้นมิใช่ผู้เห
“ลูกสะใภ้ยังอยากถามท่านอีกแน่ะ ท่านมีความแค้นอันใดกับน้องเสียนหรือไม่ ลูกสะใภ้ก็บอกแล้ว ถือเสียว่าเป็นความผิดของข้า บอกให้ท่านอย่าได้ทำร้ายน้องเสียนเป็นอันขาด แต่ท่านก็ยังดื้อดึงจะทำ!”ถ้อยคำเหล่านี้ย้ำเตือนนางถาน เป็นนางที่ต้องการให้ประจานกับทุกคนจริง ๆบรรดาฮูหยินเริ่มกระซิบกระซาบ มองหรงจือจือด้วยสายตาเห็นใจมากขึ้นหากหรงจือจือเป็นคนนำจดหมายออกมา พวกนางย่อมสงสัยว่าหรงจือจือหมายทำลายชื่อเสียงของน้องชายสามี มิใช่คนดีอันใด แต่นางหรงกลับห้ามถึงที่สุดแล้ว เป็นนางถานที่จะประกาศต่อสาธารณะให้ได้!นางหรงมิใช่ศรีภรรยาแล้วคืออันใด? นางถานมิใช่สตรีโง่งมแล้วคืออันใดอีก?หรงจือจือพูดทั้งน้ำตาคลอ “ข้าวางแผนเพื่อน้องเสียนทุกเรื่อง น้องเสียนยังเด็ก เข้าใจข้าผิดก็ช่างเถิด ข้าไม่โทษเขา แต่ท่านแม่ก็เข้าใจข้าผิดด้วย ทั้งยังไม่ยอมฟังคำเตือนของข้า เรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของน้องเสียนเช่นนี้ เหตุใดท่านไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วค่อยทำ ลูกสงสารน้องเสียนจริง ๆ”หรงจือจือกล่าวจบ ฉีจื่อเสียนก็มองหน้านางถานด้วยสายตาเคียดแค้นนั่นสิ!ทั้งที่ท่านแม่สามารถให้หลี่หมัวมัวอ่านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเปิดเผยห
นางถานมองดูเลือดในมือของตัวเองด้วยความตกใจ จากนั้นก็ตาลาย“ฮูหยิน!” หลี่หมัวมัวรีบไปประคองนางถานด้วยความตกใจ แล้วตวาดใส่บ่าวไพร่ด้านข้าง “เจ้ายังยืนบื้อทำอันใด? รีบไปตามหมอประจำจวนสิ!”สตรีผู้สูงศักดิ์ที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลหันกลับมาเห็นก็ตกใจเหมือนกันทีแรกพวกนางนึกว่านี่ก็วุ่นวายพอแล้วไม่นึกว่าฉีอวี่เยียนที่เงียบมานานจะหยิบกาน้ำชาด้านข้างขว้างใส่ฉีจื่อเสียนอีก!“เพล้ง!” เสียงหนึ่ง ฉีจื่อเสียนหน้าผากแตกแล้วฉีจื่อเสียนมีโทสะเป็นทุนเดิม ซ้ำยังถูกขว้างของใส่จนเลือดตกยางออก จึงพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “ฉีอวี่เยียน ท่านอยากตายแล้วใช่ไหม!”ฉีอวี่เยียนอดกลั้นไม่ไหว เดินปรี่ไปลงไม้ลงมือกับฉีจื่อเสียน “เจ้าสิอยากตาย! เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น! เจ้าจะมาเวลาไหนก็ไม่มา ต้องมาก่อเรื่องเอาเวลานี้! ชาติที่แล้วข้าติดค้างเจ้าหรือ?”สองพี่น้องเริ่มวิวาทกัน ไม่นานฉีอวี่เยียนก็หน้าฟกช้ำดำเขียว หน้าผากของฉีจื่อเสียนแตกแล้วยังไม่ว่า ใบหน้ายังมีรอยข่วนกระจายอยู่ทั่วอีกทีแรกนางถานถูกประคองลุกขึ้นมาแล้วยังคิดจะวางมาดมารดาสั่งสอนฉีจื่อเสียนบุตรอกตัญญูหนึ่งคำรบกลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองพี่น้องจะทะเลาะกันจนเ
หญิงสาวที่ถูกปลดนั้นเสียหายมากกว่าการหย่ามาก จะกลายเป็นที่น่าขันของทั้งแคว้นต้าฉี!นางหมกมุ่นกับชื่อเสียงขนาดนั้น สกุลหรงใส่ใจชื่อเสียงมากถึงขนาดนั้น เอาไว้เห็นหนังสือปลดภรรยาจากเขาแล้ว นางก็จะเข้าใจเองว่า เขาสามารถทำให้นางตกสู่นรกได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียว ไม่อาจพลิกฟื้นเมื่อต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวลนลาน นางต้องไม่กล้าทำเช่นนี้กับม่านหวาอีกแน่นอน!ในท้องของม่านหวามีลูกของเขาอยู่ ลูกของเขาก็เปรียบเสมือนลูกของหรงจือจือเช่นกันไม่ใช่หรือไร? อนาคตก็ต้องเรียกหรงจือจือว่าท่านแม่มิใช่หรือ? การที่นางรังแกแม่ผู้ให้กำเนินของลูกเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลชัดๆ!อวี้ม่านหวาตาเป็นประกาย นางพูดยุแยงต่อ “ท่านพี่ฟู่ ฮูหยินซื่อจื่ออาจจะโมโหเพียงชั่ววูบเพราะโกรธเคืองเรื่องเตาอุ่นมือก็เป็นได้ ท่านอย่าได้ถือสาหาความกับนางเลยเจ้าค่ะ…”แล้วก็เป็นไปดังคาด ฉีจื่อฟู่ได้ฟังดังนี้ก็ยิ่งโมโห “ก็แค่เตาอุ่นมืออันเดียว ข้าถูกทำร้ายจนมีสภาพนี้ ส่วนของก็ถูกนางเอากลับคืนไปแล้ว นางยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”“เจ้ารู้ความขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรก็ยอมให้นางทุกอย่าง แต่นางกลับเอาแต่ใช้อำนาจ ข้าคิดถูกแล้วที่จะให้นางเป็นอนุ
กระทั่งชาถ้วยนั้นเย็นลงแล้ว หรงจือจือถึงค่อยๆ รับมาแต่อวี้ม่านหวายังไม่ทันจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรงจือจือก็สาดชาอุ่นถ้วยนั้นใส่หน้าของอวี้ม่านหวา ทำเอาอวี้ม่านหวาร้องออกมาด้วยความตกใจ “กรี๊ด…ฮูหยินซื่อจื่อ นี่ท่าน…”หรงจือจือวางถ้วยชาลงก่อนจะเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “เจ้ากล่าววาจาไร้ยางอาย ข้าจึงช่วยล้างหน้าเรียกสติ”“ต่อไปจะได้เลิกภูมิใจต่อคำพูดและการกระทำชั้นต่ำไร้ยางอายของตัวเอง ทำให้สามีของตนขายหน้า”“ประเดี๋ยวเจ้ากลับไปร้องไห้ฟ้องเขาก็บอกเขาด้วยล่ะว่า ไม่ต้องขอบคุณที่ข้าเป็นห่วงชื่อเสียงของเขา นี่เป็นสิ่งที่นายหญิงเช่นข้าสมควรทำอยู่แล้ว”อวี้ม่านหวาหน้าซีดเขียวนึกไม่ถึงว่าหรงจือจือจะคาดเดาได้ว่านางจะกลับไปร้องไห้ฟ้องฉีจื่อฟู่ แต่นางไม่กลัวสักนิดเลยหรือ?เมื่อเห็นความประหลาดบนสีหน้าอวี้ม่านหวาหรงจือจือก็เงยหน้าพูดด้วยความดูถูก “หากครั้งหน้าคิดจะมาหาเรื่องข้าอีกก็จำไว้สองเรื่อง เรื่องแรก ตีงูต้องตีให้ตาย อย่าได้เอาของที่ไม่ได้มีความสำคัญสำหรับศัตรูมาข่มขู่”นี่อีกฝ่ายคิดว่านางกลัวว่าจะถูกเอาไปฟ้องฉีจื่อฟู่หรือ? บัดนี้ฉีจื่อฟู่นับว่าเป็นอะไรสำหรับนางกัน?ใบหน้าของอวี
ครานี้อวี้ม่านหวาเข้าใจแล้ว ที่หรงจือจือเรียกนางมายกน้ำชาวันนี้ก็เพื่อเอาคืนเรื่องที่นางแย่งเอาเตาอุ่นมือของอีกฝ่ายนางร้อนจนปลายนิ้วกลายเป็นสีแดง พูดหน้าเบ้ว่า “ไม่…ไม่เย็นแล้ว! ฮูหยินซื่อจื่อ เชิญท่านดื่มชา”ทว่าหรงจือจือกลับไม่ยอมรับถ้วยชาเอาแต่มองนางถูกลวกจนแทบบ้าคลั่ง กล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ชอบแย่งของๆ คนอื่นมากขนาดนั้นเชียวหรือ? สามีก็จะแย่ง แค่เตาอุ่นมือก็ยังจะแย่ง?”อวี้ม่านหวากัดริมฝีปาก ใบหน้าเปี่ยมด้วยความอัดอั้นใจ ได้แต่พูดว่า “ข้าไม่กล้าแล้ว! ไม่กล้าอีกแล้ว ฮูหยินโปรดดื่มชา”แต่หรงจือจือยังคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีครั้นเห็นว่าอวี้ม่านหวาเริ่มตัวสั่นและยกถ้วยชาใบนั้นได้ไม่มั่นหรงจือจือก็เอ่ยเตือนอย่างเรียบนิ่ง “หากน้ำชาหกเลอะกระโปรงข้า เจ้าต้องยกน้ำชาใหม่อีกครั้ง”อวี้ม่านหวามีแต่ต้องยกถ้วยชาให้มั่นอีกครั้งนางเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วหรงจือจือพูด “ซื่อจื่อไม่อยู่ที่นี่ คิดว่าเจ้าคงเข้าใจว่าน้ำตาของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้า จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าผู้ใดเป็นอนุนะ?”ตอนนี้อวี้ม่านหวาสำนึกเสียใจเจียนตาย หากรู้แต่แรกว่าหรงจือจือจะไม่เป็นไปตามที่นางคิดไว้ วัน
เจาซีโมโหวมาก “บังอาจ! กล้าดีอย่างไรมาใช้ถ้อยคำเช่นนี้กับฮูหยินซื่อจื่อ อยากตายใช่หรือไม่?”อวี้ม่านหวาพูดหยามเหยียด “ทำไม? ในท้องข้ามีลูกของซื่อจื่ออยู่ พวกเจ้ากล้าเอาชีวิตข้าจริงๆ รึ?”“ฮูหยินซื่อจื่อ ข้ายอมเรียกท่านว่าฮูหยินก็เพราะให้ความเคารพ หากข้าไม่ให้ความเคารพแล้วล่ะก็ อันที่จริงแล้ว…ข้าต่างหากที่เป็นฮูหยินในสายตาซื่อจื่อ ส่วนท่านก็เป็นแค่อนุ”หรงจือจือรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ดูแล้วท่าทีนอบน้อมที่เจ้าแสดงด้านนอกนั่นคงเป็นการตบตาบ่าวรับใช้สินะ”จะแสดงด้านที่แยกเขี้ยวกางเล็บก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้านางหากนางสั่งสอนอีกฝ่ายและถูกบ่าวรับใช้ในจวนเห็นเข้า เช่นนั้นนางก็จะดูเป็นคนเย่อหยิ่งก้าวร้าวที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอวี้ม่านหวาเชิดคางขึ้น “ใช่! หากฮูหยินซื่อจื่อไม่อยากถูกบ่าวรับใช้ในจวนพูดว่าเป็นหญิงใจดำ ไม่อยากให้ท่านพี่เอาใจออกห่าง ข้าก็แนะนำให้ปล่อยข้ากลับไปเสีย อย่าคิดว่าจะได้ดื่มชาอะไรนั่น มิเช่นนั้น วันหน้าท่านพี่คงยิ่งไม่เหยียบมาที่นี่อีก”เจาชีฟังแล้วโมโห “นังหญิงแพศยานี่กำลังพูดเหลวไหลอะไร? ซื่อจื่อพยายามร่วมเรือนหอกับคุณหนูของพวกข้าหลายครั้ง เป็นคุณหนูของพวกข้าต่างหากที่ไ
หรงจือจือยิ้ม “น้องสามีจริงจังเกินไปแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน ช่วงนี้ท่านแม่ไม่พอใจข้าหลายเรื่อง หากเจ้ามีเวลาว่างก็ไปช่วยพูดให้ข้าหน่อย”ตอนนี้นางถานกำลังเกลียดนางเข้ากระดูกดำ หากลูกชายของนางไปพูดถึงหรงจือจือในทางที่ดีให้ฟัง ไม่รู้ว่าจะทำให้นางถานโมโหจนกระอักเลือดอีกได้หรือไม่?ความจริงแล้วช่วงนี้ฉีจื่อเสียนค่อนข้างไม่ชอบแม่ตัวเอง แต่เพื่อถ้อยคำนี้ของหรงจือจือแล้ว เขาจึงรีบพูดว่า “พี่สะใภ้วางใจเถิด ข้าจะช่วยไปพูดให้แน่นอน ท่านแม่อายุมากแล้ว ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก สมควรที่ข้าต้องตักเตือนนาง!”หรงจือจือเดินจากไปด้วยความสบายใจ รอดูว่าวันนี้ลูกประทัดอย่างฉีจื่อเสียนจะทำให้นางประหลาดใจได้อีกหรือไม่ตกค่ำบรรดาบ่าวรับใช้ยกอาหารเข้ามา แต่หรงจือจือเพิ่งจะเริ่มทานอาหารนางก็ได้ยินเสียงรายงานด้วยความยินดีของเจาซี “คุณหนูอาจจะไม่ทราบ คุณชายสี่ไปหานางถาน ทั้งสองคนมีปากเสียงกันเพราะเรื่องของท่าน คุณชายสี่ยังใช้ถ้อยคำรุนแรงหลายคำ ทำเอานางถานร้องไห้ไปหนึ่งชั่วยามและเป็นลมหมดสติ”“ทางนั้นมีทั้งคนพยายามปลุกให้ได้สติ มีทั้งคนไปตามหมอ สถานการณ์วุ่นวายไปหมาย ทว่าคุณชายสี่กลับไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย หลังจาก
ฉีจื่อฟู่เผยอปาก แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีภายในใจทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ ถึงขั้นโกรธแค้นที่หรงจือจือเลือดเย็นกับตัวเอง เหตุใดนางจึงไม่ยอมไปคุกเข่าเพื่อเขา?นางให้ความสำคัญต่อเรื่องของน้องสี่มากกว่าเขาได้อย่างไร ทั้งยังยุยงให้ท่านพ่อทำแบบนี้อีก?เรื่องนี้ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ สมัยที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานกัน จือจือจะให้ความสำคัญต่อเขาเป็นอันดับแรกในทุกๆ เรื่อง ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดก็จะเสนอตัวไปอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองเมื่อได้ยินว่าปรมาจารย์ซื่อคงมีบัวไหมสวรรค์ นางก็ไม่สนใจร่างกายที่บอบบางของตัวเอง ยอมคุกเข่าขึ้นเขาไปทีละก้าวๆ เพื่อขอโอสถมาให้เขากระทั่งในเวลาที่เขาไม่ยอมกินโอสถเพราะกลัวรสขม นางก็จะปลอบประโลมด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กทว่าตอนนี้…ความแตกต่างนี้ทำให้เขาทั้งรู้สึกอึดอัดและเสียใจ เบ้าตาแดงก่ำ ทิ้งตัวลงนอนด้วยความโมโหและพลิกตัวหันหลังให้ทุกคนทำให้อวี้ม่านหวาที่ตอนแรกร้องไห้อยู่ในอ้อมอก ต้องนิ่งค้างอยู่กลางอากาศอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านพี่ฟู่?”ฉีจื่อฟู่คิดว่าจือจือเห็นตัวเองไม่ชอบใจแล้วจะเข้ามาปลอบ แค่ประโยคเดียว เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น เขาก็จะยอ
ฉีจื่อฟู่ “…”เขาไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆ! เขาอยากจะฝืนร่างกายลุกขึ้นพังบ้านหลังนี้ให้รู้แล้วรู้รอด น้องสี่ทำร้ายจนเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่าท่านพ่อกลับไม่สนใจใยดี หันไปให้ความสำคัญต่อน้องสี่แทนเขาอย่างรวดเร็วจะให้ฉีจื่อฟู่ยอมรับได้อย่างไร?ที่เขาเสียใจมากที่สุดคือ “จือจือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เจ้าควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือข้า ในสายตาเจ้าควรมีเพียงข้า…”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบม่านหวาและไม่พอใจกับเรื่องที่ข้าเอาเตาอุ่นมือไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย เหตุใดเจ้าจึงเห็นแก่ตัวเช่นนี้?”หรงจือจือมีท่าทีจนใจ “ซื่อจื่อ ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าเป็นภรรยาของท่าน แต่ก็เป็นฮูหยินซื่อจื่อของจวนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ย่อมต้องคิดแทนทั้งจวนโหว”“น้องสามีมีอนาคตที่สดใส วันหน้าก็จะช่วยเหลือท่านได้ อีกอย่าง แต่เดิมพวกท่านก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ เหตุใดซื่อจื่อจึงเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองเช่นนี้?”ฉีจื่อเสียนรีบช่วยพูดว่า “ใช่ ท่านพี่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว! พี่สะใภ้หวังดีกับข้าเช่นนี้ ท่านวางใจเถิด ไม่ว่าวันหน้าท่านพี่จะเป็นอย่างไร ข้าก็จะให้ความเคารพเชื่อฟังต่อท่านเฉกเช่นเดียวกับเคารพมารดา”หรงจือจือไม่อยา
“ข้าเองก็พอจะเดาได้ว่า มีเพียงหญิงแพศยาเช่นเจ้าที่จะมีความคิดต่ำช้าเช่นนี้ โบราณว่าไว้ พี่สะใภ้คนโตเปรียบเสมือนมารดาอีกคน ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับน้องสามีก็เป็นเช่นนั้น”“คนที่มีจิตใจสกปรก ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็สกปรกไปหมด หากเจ้ายังไม่เข้าใจคำพูดของข้าอีก ข้าก็ยินดีช่วยตบเรียกสติ!”ใบหน้าของอวี้ม่านหวาบวมแดงจากการถูกตบ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงจากการถูกถากถาง นางหันไปโผตัวเข้าสู่อ้อมอกฉีจื่อฟู่และเริ่มร้องไห้ “ท่านพี่…”ฉีจื่อเสียนพูดด้วยความรำคาญ “ร้องๆๆ วันๆ ดีแต่ร้องไห้ ท่านพี่ยังไม่ทันตาย เจ้าก็ร้องคร่ำครวญประหนึ่งอยู่ในงานศพ!”อวี้ม่านหวาเป็นหญิงแพศยาจริงๆ ถ้อยคำของนางมีเจตนาจะทำลายชื่อเสียงกับอนาคตของเขาชัดๆ!อวี้ม่านหวาสะอึก นางจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะไม่ร้องไห้ก็ไม่ใช่อีกซิ่นหยางโหวฟังคำของหรงจือจือแล้วมองอวี้ม่านหวาด้วยความรังเกียจปราดหนึ่งเช่นกัน จากนั้นจึงหันมองฉีจื่อฟู่ “คอยระวังปากของหญิงสาวนี้ให้ดี เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดสุ่มสี่สุ่มห้า!”ฉีจื่อฟู่ “ขอรับ!”เขารู้ว่าถ้อยคำของอวี้ม่านหวาเหลวไหล แต่จือจือถึงขั้นลงมือเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ?
หรงจือจือคิดไม่ถึงว่าฉีจื่อฟู่จะมีความคิดที่จะทรมานนางเช่นกัน สายตานางจ้องมองไปที่ฉีจื่อฟู่พลางถามด้วยเสียงราบเรียบ “หมายความว่า ซื่อจื่อสำนึกและเสียใจกับสิ่งที่พูดกับข้าก่อนหน้านี้หรือ?”สีหน้าของฉีจื่อฟู่เปลี่ยนไป หากเขายอมรับว่าสำนึกและเสียใจกับคำพูดพวกนั้น ก็เท่ากับยอมรับว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมไม่ใช่หรือไร?แม้ปากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องให้หรงจือจือรักษา ทว่าแท้จริงแล้วภายในใจกลับให้ความสำคัญมากนี่ทำให้เขาหงุดหงิดหรงจือจือเล็กน้อย ในเมื่อรักเขาก็ไปคุกเข่าแทนเขาสิ จะถามเช่นนี้ให้มากความทำไม? นี่มันต่างอะไรกับการทำให้เขาผู้เป็นสามีต้องอับอาย?เขาพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “สิ่งใดที่ข้าพูดไปแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียใจ”“ข้าเพียงแต่คิดว่า เจ้าเห็นข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่ว่าจะในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ หรือในฐานะว่าที่โหวฮูหยินในอนาคต เจ้าก็คงไม่รู้สึกสบายใจนัก ด้วยเหตุนี้จึงได้ให้โอกาสเจ้าไปสวดภาวนาเพื่อข้าก็เท่านั้น”“เจ้าแต่งงานเข้ามาในครอบครัวนี้ คนในสกุลฉีล้วยแต่ดีกับเจ้าไม่น้อย เท่านี้ก็ถือเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”“หากข้าไม่เป็นห่วงอนาคตของเจ้า จะผิดคำพูดต่อหน้าสิ่งศักดิ์