ฉีจื่อฟู่ตอบ “…เข้าใจแล้ว” เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าภรรยาที่เมื่อก่อนเคยอ่อนโยนแสนดีมีคุณธรรมของตนเอง เหตุใดถึงได้มีสายตาเยือกเย็นอำมหิต น่าขนลุกได้เหมือนกับคนชั่วช้าแบบนี้ได้ หรงจือจือตรงเข้าไปในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าหรง พร้อมกับฉีจื่อฟู่ ฉีจื่อฟู่ค้นพบว่าเมื่อเดินผ่านธรณีประตูนี้เข้าไปด้านในแล้ว หรงจือจือก็เลื่อนมือมาคล้องแขนของเขาไว้ด้วยตนเอง หัวใจของฉีจื่อฟู่ยิ่งเต้นเร็วแรง มองหรงจือจืออย่างไม่อยากเชื่อสายตา และหรงจือจือในตอนนี้ ก็ยิ้มอย่างอบอุ่นให้เขา คล้ายกับว่ารักเขามาก ทั้งหมดนี้ทำให้ฉีจื่อฟู่รู้สึกราวว่าตนเองกำลังฝันไป ความสุขและความร่าเริงเบิกบาน เอ่อล้นอยู่ภายในหัวใจของเขา ปล่อยให้หรงจือจือพาไปที่หน้าเตียงนอนของนายหญิงผู้เฒ่าหรงอย่างล่องลอย ทำความเคารพนายหญิงผู้เฒ่าหรงพร้อมกับนางแล้ว ฉีจื่อฟู่ยังคงรู้สึกว่าตนเองอยู่ในห้วงความฝันอันแสนงดงามหอมหวาน หรงจือจือเอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านย่า วันนี้สามีว่างพอดี จือจือจึงพาเขากลับมาเยี่ยมท่านด้วยเจ้าค่ะ!” นายหญิงผู้เฒ่าหรงเห็นสายตาของฉีจื่อฟู่ยามมองหลานสาว เต็มด้วยเสน่หาลุ่มหลง ก็โล่งใจทันที ก่อนจะผุดยิ้มพลางเอ่ยว่า “ดีเลย ดีเล
รู้สึกราวกับมีสิ่งของล้ำค่าอยู่ในมือ แต่ตนเองกลับทำลายทิ้งไปจนหมดสิ้น คล้ายกับมีเสียงแก้วแตกสลาย ดังก้องไปมาในใจของเขา สิ่งนี้ทำให้เขาจ้องมองใบหน้ามุมข้างที่เยือกเย็นของหรงจือจือแล้ว รู้สึกปวดแสบในดวงตา บัดนี้หรงจือจือรังเกียจเขายิ่งนัก แม้เพียงสายตาเดียวก็คร้านจะเหลียวมองเขาอีกแล้ว จึงไม่รู้ว่าในยามนี้เขามีสีหน้าอย่างไร กลับเป็นเจาซีซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง มองเห็นสีหน้าเช่นนี้ของฉีจื่อฟู่ ชัดเจนในสายตา เหอะ แค่เท่านี้ ซื่อจื่อคงยังไม่เริ่มรู้สึกเสียใจหรอกกระมัง? หลังจากนี้ คุณหนูยืนกรานจะหย่าขาดและจากไป ไม่มีบัวไหมสวรรค์ดอกที่สองอีกแล้ว ซื่อจื่อจะเสียดายขนาดไหน? ชีวิตที่มีความสุขไม่เลือก กลับเลือกทำลายคุณหนูของตนเอง สมควรแล้ว! เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว หรงจือจือก็เห็นมหาราชครูหรงกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ใต้ต้นไม้ นางเดินเข้าไปทำความเคารพทันที “คารวะท่านพ่อ” ฉีจื่อฟู่ลืมความทุกข์ใจเจ็บปวด รีบเดินตามเข้าไปทำความเคารพด้วยเช่นกัน “คารวะท่านพ่อตาขอรับ!” ตำแหน่งในราชสำนักของพ่อตาคนนี้ของเขา ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เล่น หากได้รับการสนับสนุนจากพ่อตาแล้ว เส้นทางขุนนางของเขา ย่อมราบรื่นขึ้นอย่
...บนรถม้าฉีจื่อฟู่สีหน้าเย็นยะเยือก กำลังรอให้หรงจือจือปลอบโยนตนเองสักสองสามประโยค พ่อตาทำแบบนี้กับตน นางไม่โอ๋ตนเอง หรือไม่กลัวว่าตนจะปฏิเสธต่อนางอย่างเย็นชา?แต่ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ หรงจือจือไม่ได้ส่งเสียงเช่นกันเหมือนกับว่าไม่ใส่ใจในอารมณ์ของเขาเลยสักนิด เหมือนกับว่าต่อให้เขาโมโหจนอกแตกตาย ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่อยู่ต่อหน้านายหญิงใหญ่ถึงจะปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน ตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทำให้เขายากที่จะยอมรับได้ตอนที่เขากำลังจะหมดความอดทนจู่ ๆ หรงจือจือเอ่ยปากพูดขึ้น “ท่านพี่!”ฉีจื่อฟู่เผลอยิ้มออกมาทันที สุดท้ายนางก็ยังสนใจตนอยู่ จะไม่เป็นห่วงตนที่ไหนกัน?เขาเหลือบตามองนาง กล่าวด้วยความเย่อหยิ่ง “มีเรื่องอะไรหรือ?”หรงจือจือจ้องตาของฉีจื่อฟู่ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “อาการป่วยของท่านย่า หวังว่าท่านพี่จะไม่นำไปพูดกับคนอื่น”นางไม่อยากมีปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามา ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นอีกฉีจื่อฟู่ไม่ได้ลังเล ก็ตอบรับทันที “ได้”ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด เพียงเพราะเขามองออกถึง ความสำคัญของนายหญิงผู
หรงจือจือค่อย ๆ ยิ้มออกมา นางกล้าที่จะพูดถึง ‘ความผิด’ของตนเองต่อหน้าของนางถาน แต่ไม่รู้ว่านางถานจะยินดีฟังหรือไม่ตลอดทางที่กลับถึงจวนโหว ฉีจื่อฟู่เหมือนกับนกหัวขวานที่ปากยื่นยาว พูดมาก ถึงขนาดพูด‘เหตุผล’มากมาย แต่ไม่มีสักประโยคที่หรงจือจือรู้สึกเข้าหูล้วนเป็นคำพูดที่ไร้จิตใจ เนรคุณ แต่กลับยังพูดออกมาได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ฟังแล้วไม่น่าพอใจสักนิดหรงจือจือจึงผล็อยหลับไปเสียเลยในขณะที่ฉีจื่อฟู่พูดอยู่ ก็เห็นหรงจือจือหลับไปแล้ว ใบหน้าที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เพียงแค่เห็นใบหน้าของนางที่ผล็อยหลับไป หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัวใบหน้าที่งามล่มเมืองเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องอวดโอ้ความงาม เพียงแค่นั่งหลับตาเงียบ ๆ ก็ทำให้คนจิตใจฟุ้งซ่านได้แล้วเขายื่นมือออกไปลูบใบหน้าของหรงจือจืออย่างอดไม่ได้ในเวลานี้รถม้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน หรงจือจือได้สติกลับมาคนบังคับรถม้าด้านนอกกล่าว “ซื่อจื่อ ฮูหยินซื่อจื่อ ถึงแล้วขอรับ”หรงจือจือมองฉีจื่อฟู่ที่มือยื่นอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าประหลาดใจ กล่าวเสียงเรียบ “ท่านพี่กำลังทำอะไรหรือ?”ฉีจื่อฟู่รีบหดมือกลับทันที เขาจะให้หรงจือจือรู้ถึง ความใส่ใ
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า กลับกลายเป็นบุญวาสนาของตนไปเสียแล้วนางถานพ่นลมหายใจ “เจ้าต้องรู้จักรักษาเอาไว้ ปรนนิบัติลูกชายของข้าดี ๆ! ลูกชายของข้า ต้องนอนอยู่ที่ห้องหนังสือในเรือนของเขามาหลายวันแล้ว ถ้าหากเจ้ารู้ความ ก็ขอร้องเขาดี ๆ ให้เข้าไปนอนที่ห้องของเจ้า ทำเช่นนี้ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของเจ้าด้วยเช่นกัน”หรงจือจือไม่ต้องการหน้าตาแบบนี้เลยสักนิดเดียวเมื่อนางถานเห็นว่าหรงจือจือไม่รีบรับปาก ก็พูดด้วยความไม่พอใจ “ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะว่าเจ้า อันที่จริงเจ้ามีชีวิตอยู่ในความสุขแต่ไม่เห็นค่าของความสุข เสน่ห์ของลูกชายข้า แม้แต่องค์หญิงแห่งแคว้นเจายังต้านไม่ได้”“ไม่มีงานแต่งไม่มีสินสอด นางก็ยอมถวายตัวให้ลูกชายข้า สามีที่โดดเด่นเช่นนี้ ตอนนี้อยู่ตรงหน้าของเจ้าแล้ว เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีกหรือ?”ถึงอย่างไรฉีจื่อฟู่ก็อยากได้หน้า จึงกล่าวขึ้น “พอแล้ว ท่านแม่ คำพูดพวกนี้ไม่ต้องพูดอีก จือจือมาเพื่อจะขอโทษท่าน พวกเราพูดธุระกันเถอะ”ไม่แต่งงานไม่มีสินสอด อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าโอ้อวดอะไร เขาก็ไม่อยากจะให้ใครพูดถึงบ่อย ๆตอนนั้นที่อยู่กับอวี้ม่านหวา ฉีจื่อฟู่คิดเพียงแค่ตนเป็นบุรุษที่ประสบความส
ตอนนี้นางถานคิดว่า นับตั้งแต่ที่ลูกชายของตนกลับมายังแคว้นต้าฉี ชีวิตของตนก็ทุกข์ทรมานขึ้นเรื่อย ๆ ถูกยั่วโมโหจนหัวใจจะวายทุกวัน ไม่มีวันไหนที่จะได้สบายใจ!แต่นางจะโทษลูกชายของตนเองได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องนำเรื่องทั้งหมดนี้ ไปโยนให้ภรรยาแพศยาอย่างหรงจือจือนางถานในเวลานี้สั่นระริกไปทั่วทั้งตัว ด่าว่าต่อ “หากทำให้แม่สามีอย่างข้าต้องโมโหตาย ในใจของเจ้าคงจะมีความสุขมากใช่หรือไม่?”หรงจือจือเยาะหยัน “ท่านแม่ จือจือปฏิบัติตามเจตนาของท่านพี่ สารภาพความผิดของตนเอง อันที่จริงก็เพื่อปลอบโยนจิตใจของท่านแม่ มีความคิดที่อยากจะยั่วโมโหท่านแม่ที่ไหนกัน?”นางถานโมโห ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น “มีผู้ใดเขาปลอบใจเช่นเจ้าบ้าง? หากคำพูดเหล่านี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นการปลอบใจได้ เช่นนั้นหากหัวใจของข้าเป็นมหาสมุทร ก็คงจะกว้างเกินไป กว้างจนไปถึงแคว้นใกล้เคียงแล้ว!”หรงจือจือขมวดคิ้ว “แต่ท่านแม่ นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ลูกนึกความผิดเรื่องอื่นของตนเองไม่ออกแล้วจริง ๆ หรือว่าท่านแม่อยากจะฟังลูกพูดอะไรที่ขัดแย้งกับความตั้งใจอย่างนั้นหรือ? แต่คำขอโทษที่ไม่จริงใจ คิดว่าท่านแม่ก็คงจะไม่ต้องการเช่นกัน”นางถานกล่าวในใจ
ตามหลักแล้ว ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังคำพูดนี้ของนาง ย่อมรู้ว่านางกำลังไม่พอใจเดิมนางคิดว่าหรงจือจือฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว จะยอมอ่อนข้อ ถึงอย่างไรก็อยู่ต่อหน้าของลูกชาย มีหรือที่นังแพศยาคนนี้จะไม่กลัวจริง ๆ ว่าตนจะไม่ยอมให้นางนวดศีรษะให้ จนทำให้ความประทับใจของลูกชายที่มีต่อนางแย่ลงยิ่งกว่าเดิม?แต่นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อหรงจือจือฟังจบ ก็โค้งตัวทันที กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อท่านแม่ไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวกลับก่อน”นางถาน “???”นางพูดว่าไม่ต้องการอย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่นางพูดคือ ถูกนังแพศยาคนนี้ทำให้โมโห หากฉลาดสักหน่อย สิ่งที่ควรทำคือขอโทษตน ง้อตนไม่ใช่หรือ?เมื่อเห็นหรงจือจือพูดจบ หันหลังแล้วเดินออกไปนางถานก็กล่าวด้วยความโมโห “หยุดเดี๋ยวนี้!”หรงจือจือชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองนางถาน “ท่านแม่ มีอะไรหรือ?”เมื่อเห็นนางแสร้งโง่แบบนี้ ยังถามตนว่ามีอะไรอีก นางถานก็โมโหจนแทบอยากจะลุกขึ้นไป แล้วข่วนหน้าของหรงจือจือให้ลายแต่ฉีจื่อฟู่เกรงว่าหากมีเรื่องกันต่อไปแบบนี้ เรื่องที่จะนวดศีรษะให้ท่านแม่ ก็คงจะดำเนินต่อไปไม่ได้จริง ๆจึงกล่าว “พอแล้ว จือจือ! ท่านแม่พูดเพราะแค
ความเจ็บปวดประเภทนี้ ทำให้นางถานค่อย ๆ จำได้ว่า อันที่จริงตอนนั้นที่นางเริ่มสังเกตเห็นถึงอาการปวดหัวของนาง นอกจากเหมือนกับมีคนกระแทกที่บริเวณหัวภายนอกแล้ว ยังรู้สึกเหมือนมีพลั่ว มาคนอยู่ในหัวสมองของนางพร้อมกันเมื่อสามปีก่อน เป็นหรงจือจือที่คอยนวดและฝังเข็มให้ตนเป็นประจำทุกวัน ความเจ็บปวดภายในหัวถึงได้หายไปอย่างช้า ๆ เหลือไว้เพียงอาการปวดหัวด้านนอกเท่านั้นเพียงแต่บัดนี้ทันทีที่ถูกหรงจือจือนวดแบบนี้ ไม่รู้เป็นเพราะจินตนาการของนางหรือไม่ นางถึงรู้สึกว่าความรู้สึกปวดที่เหมือนกับถูกคนในหัวสมองที่คุ้นเคยก่อนหน้านี้ กลับมาอีกแล้วความเจ็บปวดจากแรงกดดันภายนอก ทำให้นางรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่งหรงจือจือแสร้งทำเป็นสงสัย “ไม่น่าหรอกกระมัง? จะเจ็บกว่าเดิมได้อย่างไรกันนะ? เมื่อก่อนนี้ข้าก็นวดให้ท่านแม่แบบนี้นี่นา”แน่นอนว่าต้องเจ็บกว่าเดิม เพราะวิธีการของนาง กำลังช่วยนางถานฟื้นคืนความเจ็บปวดก่อนหน้านี้อย่างช้า ๆความรู้สึกที่ภายในหัวสมองถูกคน กว่าจะนวดให้นางถานหายดี นางใช้เวลาถึงสามปีเต็ม ๆ แต่หากคิดอยากจะทำให้อาการกำเริบอีกครั้ง ใช้เวลาสามวันก็เพียงพอแล้ว นี้เป็นการทำให้ป่วยหนักอย่างกะทันหั
หรงจือจือมองฉีจื่อฟู่ด้วยความดูแคลนปนรังเกียจ ให้โอกาสเขาอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?เช่นนั้นผู้ใดให้โอกาสท่านย่าของนางบ้าง?ฉีจื่อฟู่เห็นว่าไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการก็ลุกขึ้นเดินโซเซไปหาหรงจือจือ “จือจือ เดิมทีวันนี้ข้าควรอยู่กับผิงถิง แต่ภายในใจข้ามีแต่เจ้า…”หรงจือจือไม่สนใจที่จะฟังเขาพูดอีกนางโบกมือโปรยผงสีขาว นางกินโอสถต้านพิษตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจพูดคุยกับฉีจื่อฟู่ตามลำพังแล้วฉีจื่อฟู่รู้สึกหมดแรงและวิงเวียนศีรษะโดยพลัน ประกอบกับเมาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงล้มหมดสติลงกับพื้นทันทีหรงจือจือไม่รู้สึกห่วงว่าเขาจะเป็นหวัดแต่อย่างใด ยิ่งไม่สนใจที่จะประคองเขาขึ้นมาพูดเสียงดังว่า “บอกให้อวี้ม่านหวามารับเขา!”เจาซีรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ!”จากนั้นสั่งให้บ่าวรับใช้ซึ่งเป็นสมุนของตนเองไปตามคนมาหลังจากที่หรงจือจือถูกฉีจื่อฟู่ทำร้ายบาดเจ็บเมื่อครั้งก่อน ทั่วทั้งเรือนหลันก็ไม่มีผู้ใดอยากให้เขาอยู่ค้างแรมที่นี่ต่อ ไม่โน้มน้าวให้หรงจือจือรั้งเขาให้อยู่ที่นี่ต่ออีกแต่อวี้หมัวมัวกังวลใจเล็กน้อย “คุณหนู พวกเราส่งตัวฉีจื่อฟู่กลับไปดีหรือไม่? อวี้ม่านหวาเป็นคนเรื่องมาก หากประเดี๋ยวมารับตัวเขา เกรง
ผิดที่นางยืนด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด ผิดที่นางแต่งงานมาเป็นภรรยา วางตัวเองเป็นนายหญิง รักและเคารพในตัวเอง ไม่รู้จักใช้มารยาสาไถยกับบุรุษแบบที่อนุทำกันฉีจื่อฟู่หลุบตาลง “ไม่ใช่ ไม่ใช่…ข้าเองก็ผิด…”หรงจือจือเลิกคิ้วขึ้น คิดในใจว่านี่ช่างเป็นคำพูดที่หาได้ยากยิ่งในช่วงที่ผ่านมา เคยมีผู้ใดในสกุลฉี ที่ไม่วางตัวว่าตนเป็นฝ่ายถูกต้องกับนางด้วยหรือ? แม้ว่าช่วงแรกฉีจื่อฟู่จะยอมรับว่าทำผิดต่อนาง แต่ไม่นานก็กลับมายืดหลังตรง ใช้ถ้อยคำไร้ยางอายกับนางเหมือนเดิมท่าทีเสียใจของเขาในวันนี้จึงนับเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงฉีจื่อฟู่กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้วจริงๆ! แม้ว่ายามนั้นเจ้าจะทำดีต่อข้า แต่ข้าก็เอาแต่รู้สึกว่าเจ้าสมบูรณ์แบบจนเหมือนไม่ใช่คน เจ้าคล้ายจะรักข้า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รักข้าขนาดนั้น”“นอกจากนี้ ทุกคนก็เอาแต่ชื่นชมเจ้า บอกว่าเจ้าดีอย่างโน้นอย่างนี้ บอกว่าเจ้าเก่งกาจมากความสามารถ เป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้า เสมือนว่าการที่ข้าแต่งงานกับเจ้ าเป็นอะไรที่เกินเอื้อมไปจากตัวข้าอย่างไรอย่างนั้น”“เสมือนว่าข้าไม่คู่ควรกับเจ้าแม้แต่น้อย”
ครั้นสายตาของหรงจือจือตกไปที่ปากประตู ก็เห็นฉีจื่อฟู่ดื่มจนเมาไม่ได้สติ ข้างเท้าเป็นขวดสุราที่ตกแตก ในวินาทีนี้กำลังประคองขอบประตูอยู่ “จือจือ...”ใบหน้าของบ่าวรับใช้เองก็เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ กล่าวอยู่ตรงปากประตูว่า “คุณหนูขอรับ คุณชายเขาจะบุกเข้ามาให้ได้ เราเองก็ไม่กล้าลงมือ...”อย่างไรก็เป็นบ่าวรับใช้ทั้งสิ้น ตอนนี้ฉีจื่อฟู่ดื่มเยอะเกินไป ไม่ว่ากันด้วยเหตุผล หากลงไม้ลงมือขึ้นมาจริง ๆ และเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาสักเล็กน้อย บ่าวรับใช้เหล่านี้คงไม่มีผู้ใดรับมือได้ในแขนเสื้อของหรงจือจือมัดยากล่อมประสาทอย่างอ่อนเอาไว้ห่อหนึ่ง ชนิดที่ว่าออกฤทธิ์ทันที กำลังคิดจะทำให้ฉีจื่อฟู่หมดสติ และเรียกให้คนมาหามเขาออกไปทว่าฉีจื่อฟู่มองนางทั้งดวงตาแดงก่ำ “จือจือ ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้า...”หรงจือจือเงียบไปครู่หนึ่งอันที่จริงนางรู้สึกว่าระหว่างตนกับฉีจื่อฟู่ ไม่มีอะไรต้องคุยกันนานแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เห็นท่าทีของเขา อย่างไรก็มีความสงสัยอยู่สองสามส่วน คนผู้นี้พอเมา จะพูดแตกต่างออกไปหรือไม่?อย่างไรในมือนางก็มียา ฉีจื่อฟู่เองก็ทำร้ายนางไม่ได้ นางมองบรรดาบ่าวรับใช้ “พวกเจ้าออกไปก่อน”บรรดาบ่าวรับใช้ถอน
...จวนสกุลฉี เรือนหลันหรงจือจือกำลังนั่งชงชาอยู่ จู่ ๆ ก็เห็นแมวตัวหนึ่ง วิ่งอุตลุตเข้ามาวางพวงดอกไม้ที่คาบไว้ในปากบนตักของนางแตกต่างจากนกแก้วรู้จักแต่กลอกตาขาวก่อนหน้านี้ตัวนั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะจีบปากจีบคอร้องเหมียวเหมียวเรียกหรงจือจือ แถมยังใช้ศีรษะถูมือของหรงจือจืออีกด้วยเจาซีตกใจ “เจ้าแมวมาจากไหน?”หรงจือจือสะบัดมือ ก่อนจะส่งสัญญาณบอกเจาซีว่าไม่จำเป็นต้องตอบสนองรุนแรง แมวตัวนี้มิได้มีแจตนาร้ายกับตน มิหนำซ้ำท่าทีที่มีต่อตนยังอ่อนโยนและเชื่องเป็นอย่างมากและแมวตัวนั้นยังปีนขึ้นไปบนโต๊ะ แล้วใช้ใบหน้าน้อย ๆ แนบเข้ากับใบหน้าของหรงจือจืออีกด้วยเซิ่งเฟิงที่คอยตามดูมาตลอดทาง ในวินาทีนี้หลบอยู่บนหลังคา อึ้งจนเบิกตาโพลง!ในมือเขาบีบอัญมณีที่หล่นบนพื้นขณะคุณชายหลีเดินมาสองสามเม็ด ท่านเสนาบดีไม่สนใจอัญมณีเลยแม้แต่น้อย แต่เขาเสียดาย!เพียงแต่ในวินาทีนี้ เขาแทบอยากจะจิ้มตาตัวเอง!เนื่องจากคุณชายหลีที่บางทีปกติดูแล้วเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง แต่มันกลับรู้ว่าผู้ใดต่างหากที่มันควรเอาใจ ความอวดฉลาดนี้...ควรค่าให้เซิ่งเฟิงสังเกตและเลียนแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังถูไถหรงจือจือเสร็จ จิ่นหลีก็เด
สุดยอดไปเลย ข้ามีอนาคตแล้ว ข้าก้าวหน้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าข้าจะเริ่มด่านายบ้านตัวเองว่าไร้รสนิยมแล้ว!ข้าไม่ควรชื่อเซิ่งเฟิง ข้าควรชื่อว่าพ้นทุกข์ เพราะผู้ที่พ้นทุกข์ถึงจะได้ไปแดนสุขาวดีหลังพ่อบ้านหวงได้รับคำสั่ง ก็รีบไปหาอัญมณี หลายปีมานี้ท่านเสนาบดีสร้างความดีความชอบไว้ไม่น้อย พอให้แต่งตั้งเป็นเสนาบดีมอบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีได้เจ็ดแปดรอบเนื่องด้วยจวนเสนาบดีได้รับประทานรางวัลมหาศาลนับไม่ถ้วน เบื้องล่างท่านเสนาบดีก็มีบุคคลเก่งกาจผู้หนึ่งนามว่าเฉียนว่านเชียน ช่วยท่านเสนาบดีดูแลทรัพย์สมบัติอย่าเห็นว่าจวนเสนาบดีของพวกเขามีคนเพียงไม่กี่คนนี้ ทว่าอันที่จริงเรียกได้ว่ามั่งคั่งทัดเทียมทรัพย์สินในคลังหลวงฉะนั้นใช้เวลาไม่นาน อัญมณีที่ด้านนอกขายออกได้ในราคามิธรรมดาเหล่านั้น ก็ถูกพ่อบ้านหวงสั่งให้คนย้ายมาห้าหีบแววตาพ่อบ้านหวงเปล่งประกายราวคบเพลิง จ้องอัญมณีเหล่านี้เขม็ง จะให้ตกหล่นแม้แต่เม็ดเดียวก็ไม่ได้ทว่าเฉินเยี่ยนซูกลับทำราวกับพวกนี้ไม่ใช่อัญมณี แต่เป็นเพียงหินทั่วไปก็มิปาน ลวดมือไปคว้าออกมาสองสามกำมือ แล้ววางไว้บนโต๊ะ ตรึกตรองเลือกที่เรียบ ๆ หน่อย จากนั้นก็ใส้ไปในพวงดอกไม้พวงนั้น
เฉินเยี่ยนซู “เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? ตำราประวัติศาสตร์เล่มไหน ที่สอนฝ่าบาทว่าต้องตามจีบสตรีอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้น้อยนั่งไม่ติดแล้วเขาทำคอตก ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางก้มหน้าราวกับทำเรื่องผิดก็มิปานจากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ขอโทษนะ ท่านอัครมหาเสนาบดี! วันก่อนข้าเห็นนางกำนัลผู้หนึ่งแอบอ่านนิยาย อ่านไปใบหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความสุข เอาแต่แอบยิ้ม ข้าสงสัยนิดหน่อย ก็เลยเอามาอ่าน”“ข้าไม่กล้าอ่านตำราเบ็ดเตล็ดเหล่านั้นอีกแล้ว ข้าจะตั้งใจอ่านฎีกา อ่านม้วนเสนอนโยบายการปกครอง ไม่ทำให้ท่านอัครมหาเสนาบดีผิดหวังในตัวข้าอีก”หากรู้เช่นนี้คงไม่มาอวดเก่งต่อหน้าท่านอัครมหาเสนาบดีแล้วไม่คิดเลยว่าแค่ไม่กี่ประโยคก็ถูกท่านอัครมหาเสนาบดีมองออกแล้วว่า ตนอ่านอะไรที่ไม่ควรอ่านในตอนนี้ขันทีอาวุโสหยางเองก็ปาดเหงื่อตรงหน้าผากเช่นกัน ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างอิหลักอิเหลื่อว่า “ท่านเสนาบดี ฝ่าบาทเองก็ไม่ได้อ่านนานมาก อ่านเพียงครึ่งชั่วยามก็อ่านจบแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้ให้ข้าน้อยไปหานิยายเล่มอื่นกลับมาอีก...”เขาเองก็เป็นกังวลเช่นกัน ในฐานะบ่าวรับใช้ข้างกายของฝ่าบาท หากไม่ดูแลฝ่าบาทให้ดี ทำให้
ที่ข้าอยากพูดคือสิ่งนี้หรือ? ข้าขาดเงินแค่นี้หรือ?ฮ่องเต้น้อยเบะปาก ก่อนจะไปนั่งบนม้านั่งหินตรงกันข้าม “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านนี่ช่างน่าเบื่อจริง ๆ ไม่มีความตลกขบขันเลยสักนิด ฟังไม่ออกกระทั่งคำพูดล้อเล่น”น้ำเสียงของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “กษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น”ฮ่องเต้น้อยจุกอยู่ในลำคอ สายตาตกไปบนตั๋วเงินแผ่นนั้น หนึ่งหมื่นตำลึงทองเขา ‘จุ๊’ ขึ้นมาเสียงหนึ่ง “พวงดอกไม้แค่สองสามพวก ใช้เงินมากมายขนาดนี้ ท่านเสนาดีไม่เสียดายหรือ?”เฉินเยี่ยนซู “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หย่งอัน “...”ท่านอัครมหาเสนาบดีมีเพียงจุดนี้ที่ไม่ดี พูดน้อยเกินไป ตนอยากจะพูดกับอีกฝ่ายให้มากสักหน่อย ทว่าก็มักหาหนทางไม่เจอเขากะพริบตามองเฉินเยี่ยนซูร้อยพวงดอกไม้จนเสร็จอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านคงไม่ได้เป็นคนสวมใส่พวงดอกไม้เองแน่ ๆ หรือว่าท่านจะมอบให้กับสตรีที่ชอบหรือ?”เฉินเยี่ยนซู “...”เขามิได้ตอบกลับทว่าฮ่องเต้น้อยไม่เห็น หูของเสนาบดีนั้นแดงระเรื่อไปหมดแล้ว ฮ่องเต้น้อยคิดว่าตนไขคดีได้แล้ว ต้องให้สตรีที่ชอบเป็นแน่ฮ่องเต้ฮึกเหิมขึ้นมา เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านอัครมหาเสนา
“แผนนี้ที่คุณหนูคิดออกมา ช่างเหนือชั้นจริง ๆ ไม่ได้ยุยงให้เขาไปขอเงินกับนางถานเสียทีเดียว นอกจากพูดไปแค่ว่านางถานปฏิบัติกับพวกเขาพี่น้องไม่เท่าเทียมกัน”หรงจือจือกล่าวขึ้นชืด ๆ “เรื่องบนโลกใบนี้ เดิมก็มีแต่กังวลว่าจะแบ่งให้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว หากนางถานขี้เหนียวกับลูกชายทั้งสองคน ย่อมไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่นางดันใจกว้างกับอีกคน อีกคนอดกลั้นไม่ไหวก็เป็นธรรมดา”บางทีนางถานอาจอธิบายว่า นั่นเป็นเพราะถานผิงถิงคือคนในบ้านมารดาของตนแต่ฉีจื่อเสียนคนที่เหตุผลบิดเบี้ยวนั่น ฟังสิ่งเหล่านี้รู้เรื่องเสียที่ไหนกัน?ได้ห้าร้อยตำลึงในวันนี้แล้ว ความโลภของฉีจื่อเสียนก็มีแต่จะมากขึ้นทุกวันอวี้หมัวมัวกล่าวขึ้นอีกว่า “จริงสิเจ้าคะ คุณหนู คนของเราปลอมตัวเป็นคนรับใช้ทั่วไป เดินผ่านจวนโหว และพูดคุยกับอันธพาลนั่นไม่น้อยทีเดียว”อวี้หมัวมัวถ่ายทอดคำพูดเหล่านั่นให้หรงจือจือฟัง“ฮูหยินของเรามีเงินจริง ๆ สินเดิมนั่นก็แค่ควักออกมาให้นางหลิวนิดหน่อยเท่านั้น น่าจะมีห้าพันกว่าตำลึงเต็ม ๆ”“นั่นน่ะสิ แค่แต่งอนุผู้หนึ่ง เงินยังมากมายขนาดนี้”“เจ้าลองคิดดูสิ อย่างไรก่อนหน้านี้ที่จวนก็เป็นจวนโหว เป็นขุนนางทรงอิทธิ
ครั้นหรงจือจือได้ยินดังนั้น มุมปากก็กระตุกรอยยิ้มแสนพอใจออกมา เหตุใดฉีจื่อเสียนจึงยังมาขอยืมเงินได้? ย่อมเป็นเพราะสองวันนี้เล่นพนันจนเสพติดไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจติดหนี้ที่บ่อนด้วยนี่ช่างเป็นเรื่องดีที่มาพร้อมกันสองเรื่องจริง ๆอวี้หมัวมัวกล่าว “ให้ไล่เขาไปไหมเจ้าคะ?”หรงจือจือ “ไม่ ให้เขาเข้ามา”อวี้หมัวมัว “เจ้าค่ะ”เรื่องที่ช่วงนี้หรงจือจือไม่ยอมพบใคร แต่พบเพียงฉีจื่อเสียน ทำเอาฉีจื่อเสียนคาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง รีบสาวเท้าก้าวยาวเข้าไปทันทีหลังพบหรงจือจือ เขาก็กล่าวเข้าประเด็นทันที “ท่านพี่สะใภ้ ขอข้ายืมเงินสักหนึ่งร้อยตำลึงได้หรือไม่?”ฉีจื่อเสียนอายุยังน้อย ที่จวนให้เงินเขาเพียงเดือนละหกสิบตำลึง ไว้ใช้จ่ายส่วนตัว เขาเอ่ยปากทีก็จะเอาหนึ่งร้อย เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้มีรายจ่ายที่อยู่นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจริง ๆเขากังวลอยู่เล็กน้อยว่าหรงจือจือจะปฏิเสธแต่ไม่คิดเลยว่าหรงจือจือจะยอมง่าย ๆ “เจาซี เจ้าไปเอาเงินมา”ครั้นฉีจื่อเสียนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พร้อมมองไปที่หรงจือจือแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่สะใภ้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่พูดกับท่านไม่ได้”“ท่านพี่ก็แค